เผ่าจี้ไม่ได้ประชาสัมพันธ์เรื่องนี้แต่อย่างใด ทว่าตระกูลหงกลับแตกต่างกัน พวกเขาได้เชื้อเชิญกองกำลังทั้งหลายมาเป็นประจักษ์พยาน ถึงครานั้นหากเผ่าจี้ไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ เช่นนั้นเผ่าจี้ก็จะกลายเป็นศัตรูของกองกำลังทั้งหลาย แล้วอย่าคิดว่าจะสามารถยืนหยัดอยู่ในห้วงดาราของมหาโลกาพันสามได้อีก
เมื่อหลัวซิวมาถึงแดนปริศนาเผ่าจี้ เหยียนเยว่เอ๋อร์ เหยียนซีโรว่ ช่าจื่อเยียน เสี่ยวเจียงหมิง จีเสี่ยวจื่อและหนิงหานยู่ก็ล้วนออกมาแล้ว
สถานที่จัดการแข่งขันไม่มีทางจัดอยู่ในแดนปริศนาเผ่าจี้อยู่แล้ว เนื่องจากตระกูลหงก็กลัวเช่นกันว่าเมื่อถึงเวลานั้นเผ่าจี้จะเปลี่ยนสีกะทันหัน
เพราะฉะนั้นสถานที่จัดการแข่งขัน จึงถูกเลือกให้อยู่บนสนามโล่งแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากแดนปริศนาเผ่าจี้หลายหมื่นไมล์ อีกทั้งมีการสร้างสนามจัตุรัสไว้ที่นี่หนึ่งแห่ง เพื่อสร้างเวทีประลองยุทธ์
“มีความมั่นใจหรือไม่? หากไม่มีความมั่นใจก็ช่างมันเถอะ ต่อให้เผ่าจี้ของเราเสื่อมทรุดลงแล้ว ก็ไม่มีทางเกรงกลัวตระกูลหงเล็ก ๆ ตระกูลหนึ่งหรอก”นายแห่งเผ่าจี้พูดเช่นนี้กับหลัวซิว
หลัวซิวสามารถสัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงของนายแห่งเผ่าจี้ที่มีต่อตนเองได้อยู่ เพื่อคำนึงถึงความปลอดภัยของตน เผ่าจี้ยอมที่จะขายหน้าแต่ก็จะหยุดยั้งการแข่งขันในครั้งนี้อย่างสุดกำลังสามารถ
สำหรับเรื่องนี้นั้น หลัวซิวย่อมไม่มีทางทำให้นายแห่งเผ่าจี้ลำบากใจอยู่แล้ว ถึงแม้จะไม่สามารถพาลาร์เข้าร่วมการแข่งขัน จากศักยภาพของเขาในปัจจุบัน ก็ไม่เกรงกลัวคู่ต่อสู้ทั้งปวงที่อยู่ต่ำกว่าแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์เช่นกัน แม้นหงเว่ยนั่นจะเป็นจักรพรรดิเทพขั้นสูง อย่างน้อยหลัวซิวก็มีความมั่นใจห้าส่วนเป็นต้นไป
ซึ่งความมั่นใจนี้ถือว่าไม่ต่ำแล้ว เส้นทางการฝึกยุทธ์ไม่มีทางปลอดภัยไร้ความเสี่ยง การเดินอยู่บนเส้นด้ายแห่งความเป็นความตายถึงจะเป็นชั่วชีวิตของจอมยุทธ์ต่างหาก
เมื่อเห็นว่าสีหน้าของพวกเหยียนเยว่เอ๋อร์เต็มเปี่ยมไปด้วยความกังวล หลัวซิวจึงยิ้มแล้วพูดว่า: “ไม่ต้องกังวลกันแล้ว ข้าสามารถขจัดบรรพอาจารย์ระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ของตระกูลหงได้ แล้วจะเกรงกลัวหงเว่ยกระจอก ๆ รึ?”
“เจ้าเป็นผู้สังหารหงหวู้จริง ๆ หรือ?”เมื่อนายแห่งเผ่าจี้ได้ยินคำพูดนี้ ก็รู้สึกตะลึงเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้
โลกาภายนอกต่างเล่าลือกันว่าการตายของหงหวู้มีความเกี่ยวข้องกับหลัวซิว แต่กลับไม่มีใครคิดเลยว่าหลัวซิวจะมีความสามารถในการสังหารหงหวู้ ต่างพูดแค่ว่าอุบายค่ายกลของหงหวู้ถูกหลัวซิวควบคุม จากนั้นมหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิก็ลงมือ ถึงจะฆ่าหงหวู้ตาย
ตระกูลหงไม่มีความกล้าในการไปหาเรื่องสำนักจักรพรรดิมรณะ เนื่องจากบรรพอาจารย์เพียงหนึ่งเดียวในปัจจุบันของตระกูลหงก็เป็นเพียงมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นปฐมภูมิเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิด้วยซ้ำ
“ข้าไม่ได้เป็นผู้สังหารมันจริง ๆ”หลัวซิวยิ้มอย่างเก้อเขิน เขาแค่ทำลายอุบายค่ายกลของหงหวู้ จากนั้นก็ปลดปล่อยลายค่ายเวลาออกมาผนึกฝ่ายตรงข้ามไว้ ผู้ที่สังหารหงหวู้จริง ๆ คือลาร์
อย่างไรเสียลาร์นั่นก็เป็นผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์อยู่ หากปะทะกันหนึ่งต่อหนึ่ง ถึงแม้วิถีค่ายกลของเขาจะอยู่เหนือหงหวู้หนึ่งขั้น แต่ถ้าเกิดจะสังหารหงหวู้นั้น กลับเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย อย่างไรเสียช่องกว้างระยะความต่างระหว่างระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์และระดับจักรพรรดิเทพมันไม่ใช่เล็ก ๆ เลย มาตรฐานศักยภาพของเขา ณ ปัจจุบัน แค่อยู่ระดับจักรพรรดิเทพ ซึ่งยังไม่บรรลุถึงระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์
ในขณะเดียวกัน สายตาของหลัวซิวก็มองเห็นหงเทียนที่ยืนอยู่ด้านหลังจีเสี่ยวจื่อ ร่างดั้งเดิมของหงเทียนคือสมบัติแห่งจักรพรรดิเทพ แต่ศักยภาพของจิตภัณฑ์ได้รับผลกระทบจากนายท่ายด้วย เพราะฉะนั้นศักยภาพของหงเทียนจึงเทียบเท่าระดับจ้าวมหาเทพ นอกซะจากอนาคตจีเสี่ยวจื่อจะบรรลุถึงจักรพรรดิเทพ เขาถึงจะมีศักยภาพระดับจักรพรรดิเทพ
การปรากฏตัวของตระกูลหงทำให้จิตใจของหงเทียนไม่อาจนิ่งสงบได้ตลอดมา เมื่อปีนั้นเขาอยู่ในสายของนายท่านตระกูลหง เนื่องจากการก่อกบฏภายในตระกูล ทำให้สายของพวกเขาแทบจะตายจนสูญสิ้น เขาหนีเอาชีวิตรอดอย่างสุดชีวิต สุดท้ายก็เหลือเพียงวิญญาณเสี้ยวหนึ่ง แล้วสิงสถิตดิ้นทุรนทุรายอยู่ภายในตำหนักจื่อเซียวระดับราชาเทพ
หากไม่ใช่เพราะพบเจอหลัวซิว เขาไม่มีทางมีวันนี้แน่นอน ความมุ่งมั่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่อยู่ในส่วนลึกของหัวใจเขาก็คือการล้างแค้น
“ไปกันเถอะ ไปทักทายตระกูลหงหน่อย ไม่กล้ารุกรานสำนักจักรพรรดิมรณะ แต่กลับกล้ามาหาเรื่องเผ่าจี้ ใช้เวลาอีกไม่นาน กองทัพใหญ่ของเผ่าจี้และตระกูลเทพสงครามก็จะกวาดล้างห้วงดารา ล้มล้างตระกูลหงของพวกมัน!”หลัวซิวพูดด้วยจิตใจที่เร่าร้อนฮึกเหิมประโยคหนึ่ง ก่อนจะมุ่งหน้าเดินออกไปจากแดนปริศนาเผ่าจี้
เมื่อหงเทียนได้ยินคำพูดเหล่านี้ สภาพจิตใจเขาก็สั่นไหวขึ้นมา ทว่าก็ซับซ้อนมากเช่นกัน แม้เขาจะอยากล้างแค้นมาก ๆ แต่กลับไม่อยากให้ตระกูลหงถูกล้มล้าง