มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake – บทที่ 2674 เดชแห่งเทพมารระดับเก้า

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2674 เดชแห่งเทพมารระดับเก้า

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2674 เดชแห่งเทพมารระดับเก้า

“ฆ่า !”

เจ้าสำนักมังกรฟ้าตะโกนเสียงดัง มังกรโลหิตขนาดมหึมาที่อยู่ด้านหลังเขาส่ายหัวสะบัดหาง พุ่งทะยานเพียงครั้งเดียวก็ถึงนวสวรรค์

นี่คือวิชาพิฆาตที่แข็งแกร่งที่สุด บุกเบิกโดยผู้แข็งแกร่งในระดับเทพมารระดับแปด มีพลังที่น่าทึ่ง เจ้าสำนักมังกรฟ้าอาศัยพลังอมตะนี้ สังหารคู่ต่อสู้ผู้แข็งแกร่งมาแล้วนับไม่ถ้วน

ลวี่โหลวมีสีหน้าสงบนิ่ง มืออันเรียวงามทั้งสองข้างสำแดงตราประทับออกมา ขยับเพียงแผ่วเบา ก็มีรอยแยกปริภูมิแผ่กระจายออกมารอบด้าน

นี่คือพลังอมตะที่ฉีกขาดปริภูมิออกเป็นชิ้น ๆ ประกอบด้วยพลังเต๋าของกฎปริภูมิ ด้วยเหตุยนี้ มังกรอันดุร้ายจึงกลายเป็นเศษกระดาษ และถูกปริภูมิที่แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ฉีกขาดในพริบตา

ตุ้บ !

มืออันเรียวยาวทะลุผ่านอนัตตาที่ขวางอยู่ แล้วปะทะเข้ากับหน้าอกขอเจ้าสำนักมังกรฟ้า เจ้าสำนักผู้หยิ่งยโสของสำนักมังกรฟ้าไม่อาจต้านทานได้ ร่างกายของเขาสั่นและกระอักเลือดออกมา จากนั้นก็กระเด็นไปไกลนับพันลี้

เมื่อเห็นฉากนี้ ทุกคนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกใจหาย ความสามารถของลวี่โหลวประมุขเขาช่างอยู่เหนือจินตนาการ ศิษย์จำนวนมากของภูเขาว่านเริ่นต่างมีกำลังใจเพิ่มขึ้น ต่างตะโกนโห่ร้องเสียงดังเพื่อให้กำลังใจอาจารย์ประมุขเขา

“นี่คือลวี่โหลวประมุขเขาของภูเขาว่านเริ่นจริงหรือ ? ความสามารถช่างแข็งแกร่งจริง ๆ วิชาพลังอมตะที่นางฝึกตนนี้ ต้องอยู่ในระดับเทพระดับเก้าอย่างแน่นอน ?”

นักยุทธ์ที่ยืนดูการต่อสู้อยู่ไกล ๆ ไม่ว่าจะเป็นบบรรดาเจ้าสำนัก หรือแม้แต่บรรพอาจารย์ตระกูลต่างก็ตกตะลึง

ผลการฝึกตนของลวี่โหลวประมุขเขาอยู่ในระดับเทพมารระดับแปดช่วงกลาง แต่ของเจ้าสำนักมังกรฟ้าอยู่ถึงระดับเทพมารระดับแปดช่วงปลาย

เมื่อมีผลการฝึกตนอยู่ในแดนเทพมารระดับแปดแล้ว การต่อสู้ข้ามขั้นถือเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เทพมารระดับเจ็ดลงมา ราชาเทพ มกุฎเทพ จักรพรรดิเทพ มหาจักรพรรดิยุทธ์ เป็นตัวแทนของการมีพรสวรรค์

ส่วนเทพมารระดับเจ็ดขึ้นไป เป็นตัวแทนของกำลังในการต่อสู้ ตัวอย่างเช่น เทพมารระดับเจ็ดขึ้นไป ก็คือราชาเทพระดับเจ็ด เป็นต้น

ความแตกต่างระหว่างแดนเล็กหนึ่งแดนนั้นมีสูงมาก แต่ลวี่โหลวประมุขเขากลับถือไพ่เหนือกว่า อย่างเดียวที่พออธิบายได้ก็คือ เคล็ดวิชาพลังอมตะที่นางฝึกตนนั้น เหนือกว่าเจ้าสำนักมังกรฟ้า

อย่างไรเสีย ภูเขาว่านเริ่นคือผู้สืบทอดระดับแดนศักดิ์สิทธิ์ ครอบครองวิชาอมตะในระดับเทพระดับเก้า ส่วนสำนักมังกรฟ้าที่ถึงแม้จะแข็งแกร่ง แต่ก็ไร้ซึ่งมรดกอันลึกซึ้งและยิ่งใหญ่

“ตำนานเล่าว่าอาจารย์ปู่ของภูเขาว่านเริ่นเป็นถึงราชาเทพระดับเก้าท่านหนึ่ง ฝึกตนในวิชาพลังอมตะที่แข็งแกร่งไร้เทียมทาน ที่มีชื่อว่าวิชาเวทย์ย้ายเขาถล่มฟ้า” คนจำนวนไม่น้อยต่างแอบกระซิบกระซาบกัน

อันที่จริงแล้วหลายคนต่างรู้ดีว่า เมื่อสามสิบล้านปีก่อน ที่สำนักมังกรฟ้าประกาศสงครามกับภูเขาว่านเริ่นอย่างแข็งแกร่ง เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะต้องการคว้าวิชาพลังอมตะ ที่ภูเขาว่านเริ่นเป็นผู้สืบทอดมาไว้ในครอบครอง

“เจ้าสำนักมังกรฟ้า ท่านไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า ถอยทัพไปเสียเถิด” ลวี่โหลวปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ แล้วค่อย ๆ พูดขึ้นเบา ๆ อย่างเย็นชา

“หึ พูดเช่นนี้ไม่เร็วไปหน่อยหรือ ?”

เจ้าสำนักมังกรฟ้าส่งเสียงฟึดฟัด ทันใดนั้นก็เงยหน้าแล้วส่งเสียงคำรามออกมา ร่างกายของเขาพุ่งทะยานขึ้นไปทันที จากนั้นร่างของเขาก็กลายเป็นมังกรโลหิตที่ดุร้ายตัวหนึ่ง

โฮก !

มังกรโลหิตอ้าปาก และคายเตาเทวออกมา เตาเทวมีขนาดใหญ่ขึ้น และหล่นลงมา ทันใดนั้นเอง ก็มีพลังดูดกลืนวิญญาณที่มีพลานุภาพพวยพุ่งออกมา และดูดกลืนลวี่โหลว รวมไปถึงปริภูมิที่อยู่รอบข้างนางเข้าไปในเตา

ภายในเตาเทวใบนี้มีที่ว่างอยู่ อัคคีมังกรพวยพุ่งออกมาอย่างต่อเนื่องจนท่วมตัวลวี่โหลว

ตูม ! ตูม ! ตูม !……

ในเตาเทว มีเสียงระเบิดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นลวี่โหลวที่กำลังโจมตีเตาอย่างดุดัน เพื่อต้องการหลุดพ้นออกมาจากเตาใบนี้ให้ได้

“เตาเทพเลือดมังกรฟ้ากำจัดทุกอย่าง เจ้าไม่มีทางหนีรอดหรอก !”

มังกรโลหิตสะบัดตัว และกลายร่างกลับมาเป็นเจ้าสำนักมังกรฟ้าดังเดิม เขายกมือขึ้นคว้า และจับเตาเทวสีแดงฉานเอาไว้ จากนั้นก็กระตุ้นพลังของเตาเทวใบนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อต้องการกลั่นแปรลวี่โหลวที่ถูกขังอยู่ภายใน

“แย่แล้ว ! นี่มันคือเตาเทพเลือดมังกรฟ้า !”

เมื่อเห็นลวี่โหลวถูกขังเอาไว้ คนที่รู้สึกเป็นห่วงมากที่สุด ย่อมเป็นคนของภูเขาว่านเริ่น หงเหยียนพูดขึ้นด้วยสีหน้ากังวลว่า “เตาเทพเลือดมังกรฟ้าใบนี้ ได้ยินว่าเป็นอาวุธเทพระดับแปดที่อาจารย์ปู่ของสำนักมังกรฟ้าหลอมขึ้น อีกทั้งยังไม่ใช่อาวุธเทพระดับแปดธรรมดาอีกด้วย แต่เป็นอาวุธราชาเทพระดับแปด หากแสดงแสนยานุภาพออกมาอย่างเต็มที่ ถึงขั้นสามารถแผดเผาผู้แข็งแกร่งในระดับเทพมารระดับแปดให้ตายอยู่ในเตาได้ !”

หงเหยียนเป็นกังวลอย่างยิ่ง อดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปดึงแขนเสื้อของหลัวซิว “ท่านนาย ท่านรีบคิดหาวิธีช่วยท่านพี่ของข้าเร็วเข้า”

คนอื่น ๆ ในภูเขาว่านเริ่นเองล้วนตกใจจนหน้าถอดสี รวมไปถึงพวกของผู้อาวุโสหวยซินที่ถูกลดขั้นเป็นผู้คุมกฎ หากเกิดอะไรไม่คาดฝันขึ้นกับประมุขเขาลวี่โหลวเข้า สถานการณ์เช่นนี้ นับว่าไม่เป็นผลดีกับภูเขาว่านเริ่นอย่างยิ่ง

ทุกคนต่างกำลังเป็นกังวล ยกเว้นหลัวซิวเพียงผู้เดียวที่ไม่รู้สึกกังวล หากลวี่โหลวถูกเจ้าสำนักมังกรฟ้าเอาชนะได้ง่ายดายเช่นนี้ เขาก็คงรู้สึกผิดหวังกับทายาทของราชาเทพว่านเริ่นเป็นอย่างยิ่ง

ถึงแม้เขาจะมาถึงภูเขาว่านเริ่นได้เพียงไม่นานนัก แต่กลับนำพาความเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฝ่ามือมาให้กับภูเขาว่านเริ่น

หากเป็นเมื่อก่อน มีผลการฝึกตนที่ต่างกันหนึ่งแดน ลวี่โหลวคงทำได้เพียงตีเสมอกับเจ้าสำนักมังกรฟ้าได้เท่านั้น แต่หลังจากที่ ลวี่โหลวได้ฝึกตนในวิชาพลังอมตะที่เขาถ่ายทอดให้ ก็มีความสามารถที่สูงขึ้นไม่ใช่เพียงแค่หนึ่งหรือสองระดับเท่านั้น

ด้วยแดนของหลัวซิว หากเขาต้องการถ่ายทอดวิชาพลังอมตะให้กับใครสักคน ก็จะต้องปรับเปลี่ยนวิชาพลังอมตะ ให้เข้ากับสรีระตามธรรมชติของคนผู้นั้นมากที่สุด และมีเพียงแค่การฝึกตนวิชาพลังอมตะเท่านั้น ที่จะทำให้แสดงผลลัพธ์สูงสุดออกมาได้

ถึงแม้เจ้าสำนักมังกรฟ้าเสกเตาเทพเลือดมังกรฟ้า ซึ่งเป็นอัญบัลลังก์แห่งสำนักออกมา แต่เมื่อเทียบกับตราเขามังกรฉิวที่ลวี่โหลวกลั่นแปรออกมาอย่างมีสมาธิในช่วงนี้ เหมือนกับเศษเหล็กที่ไม่อาจเทียบได้กับขนะสินค้าชั้นสูง

หรือหากมองถอยหลังมาอีกหนึ่งก้าว หากลวี่โหลวไม่ต้องการเปิดเผยเรื่องตราเขามังกรฉิวซึ่งเป็นเหมือนทหารสูงสุดของจักรวรรดินี้ ในพระราชวังกูเฟิง ก็ยังมีของขลังศัสตราวุธที่มีอานุภาพร้ายกาจอีกมากมาย ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่สมบัติในระดับเทพระดับเก้าเท่านั้น

“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ก็แค่เจ้าสำนักมังกรฟ้าตัวเล็ก ๆ ไม่อาจทำให้พี่สาวของเจ้าตกที่นั่งลำบากได้หรอก” หลัวซิวหัวเราะพลางพูดปลอบใจ

เมื่อเห็นว่าในเวลาเช่นนี้หลัวซิวยังคงยิ้มออก หงเหยียนก็รู้สึกไม่พอใจนัก แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด นางถึงได้เชื่อในคำพูดทุกอย่างของท่านนายผู้นี้อย่างสนิทใจ ในเมื่อท่านนายมั่นใจเช่นนี้ ไม่แน่ว่าในระยะนี้ ความสามารถและผลการฝึกตนของท่านพี่ อาจพัฒนาแบบก้าวกระโดดก็ได้ ?

เมื่อคิดว่าในช่วงนี้ตนเองมักขอคำแนะนำในการฝึกตนจากท่านนายอยู่บ่อยครั้ง และพบว่าแดนยุทธ์มีการพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด ท่านพี่มีพรสวรรค์ที่เหนือกว่าตนเองมาก ก็ย่อมมีการพัฒนาที่สูงยิ่งกว่าถึงจะถูก

“เปรี้ยง !”

ไม่นานนัก พลังเต๋าศักดิ์สิทธิ์อันกว้างใหญ่และไม่อาจคาดเดาได้ ก็พวยพุ่งออกมาจากเตาเทพเลือดมังกรฟ้า พลังเต๋าศักดิ์สิทธิ์นี้ เหนือกว่ากฎพลังเต๋าที่อยู่ในเตาเทว มังกรฟ้าเลือด ภายใต้การระเบิดและบดขยี้สรรพสิ่ง ทำให้ผู้แข็งแกร่งในระดับเทพมารระดับเจ็ดที่อยู่ในเหตุการณ์ ต่างขาสั่นจนแทบยืนไม่อยู่

ส่วนบรรดานักยุทธ์ที่มีผลการฝึกตนไม่ถึงระดับเทพมารระดับเจ็ด ต่างก็ถูกพลานุภาพของพลังเต๋าศักดิ์สิทธิ์กดทับจนลงไปนอนอยู่กับพื้น ไม่อาจเงยหน้าขึ้นมาได้ ทำได้เพียงคลานอยู่บนพื้น

“ฟึ่บ !”

ฝาของเตาเทพเลือดมังกรฟ้าลอยกระเด็นไป จากนั้นก็มีแสงเทวอันสุกสว่างทะยานขึ้นจากเตากลั่นยา แสงเทวนี้ฉีกขาดพื้นนภา พุ่งตรงขึ้นไปยังจักรวาลอันกว้างใหญ่ บดขยี้ดารา และตัดขาดแสงดาว !

ในชั่วพริบตาเดียว ทุกคนต่างสัมผัสได้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของพลานุภาพที่กว้างใหญ่และไร้ขอบเขตนั้น สิ่งมีชีวิตทุกสรรพสิ่งต่างต้องตัวสั่นเพราะสิ่งนี้

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?” ในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นคนของสำนักมังกรฟ้าหรือภูเขาว่านเริ่น หรือแม้แต่นักยุทธ์คนอื่น ๆ ที่ยืนดูการต่อสู้อยู่ในที่ไกล ๆ ต่างก็ตัวสั่น และรู้สึกหวาดกลัวออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ

ภายใต้แรงกดดันดันของพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ไร้เทียมทานนี้ ทุกคนต่างรู้สึกว่าตนเองตัวเล็กลง และรู้สึกต้องต่ำเหมือนกับมดตัวเล็ก ๆ

ทุกคนต่างตกตะลึงและหวาดกลัว ในนั้นมีเพียงคนเดียวที่ไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ นั่นก็คือหลัวซิว

ตัวธรรมขงเขาอยู่ได้ทั้งสองภิภพ ทั้งจักรภพแปดทิศ และนวนภาทศพสุ อาศัยเพียงพลังเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ยังไม่มีใครที่สามารถทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวและตื่นตระหนกได้

“เดชแห่งเทพมารระดับเก้า !”

เมื่อสัมผัสได้ถึงออร่าที่ทำให้ต้องรู้สึกใจสั่น สีหน้าของเจ้าสำนักมังกรฟ้าเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน และอุทานออกมาอย่างตกใจ

ตอนนี้เขานึกเสียใจทีหลังแล้ว เขาไม่เคยกล้ามาแตะต้องภูเขาว่านเริ่น เป็นเพราะกลัวว่าที่นี่จะมีเคล็ดลับที่เป็นมรดกตกทอด ที่ผู้แข็งแกร่งในระดับเทพมารระดับเก้าทิ้งเอาไว้ให้ อีกทั้ง เขาคิดไม่ถึงเลยว่า ลวี่โหลวประมุขเขาแห่งภูเขาว่านเริ่น จะมีความสามารถที่อยู่เหนือกว่าเขาไปอีกหนึ่งระดับ

ทว่า ต่อให้เขานึกเสียใจทีหลังก็สายไปเสียแล้ว เมื่อก้าวแรกผิดพลาด ก้าวต่อไปก็ย่อมผิดพลาด ในแสงเทวที่พุ่งออกมาจากเตาเทพเลือดมังกรฟ้า มีร่าง ๆ หนึ่งค่อย ๆ เดินก้าวออกมาอย่างสง่างาม นั่นก็คือลวี่โหลว

ในมือของนางถือหอคอยเวทย์สีดำขลับอยู่ ถึงแม้จะไม่ใช่ตราเขามังกรฉิว แต่ก็เป็นสมบัติอันแข็งแกร่งชิ้นหนึ่ง ที่อาจารย์ปู่ราชาเทพว่านเริ่นทิ้งเอาไว้ให้

หอคอยเวทย์สีดำส่องแสงแก่นเทพออกมา ลำแสงแก่นเทพทั้งหมดกลายเป็นปราณกระบี่ กวาดไปทั่วทวยสรรพสิบทิศ

พรวด ! พรวด ! พรวด !……

เลือดนับไม่ถ้วนสาดกระเซ็น ภายใต้การปราบปรามของพลังเต๋าศักดิ์สิทธิ์ นักยุทธ์จำนวนมากที่เป็นศิษย์ของสำนักมังกรฟ้า ต่างไม่มีความสามารถที่จะต้านทานได้ จึงมีผู้คนหลายแสนที่ถูกสังหารในชั่วพริบตา

ชิ้ง !

ปราณกระบี่เส้นหนึ่งปักลงบนเตาเทพเลือดมังกรฟ้า อัญบัลลังก์แห่งสำนักของสำนักมังกรฟ้าชิ้นนี้ ลอยกระเด็นออกไปทันที ด้านบนเต็มไปด้วยรอยร้าว มีเสียงร้องครวญคราง และแสงก็ค่อย ๆ มืดลง

เจ้าสำนักมังกรฟ้าหันหลังหนีไปทันที แต่เจตนาฆ่าที่น่ากลัวเหลือประมาณ ได้กักขังเขาเอาไว้อย่างแน่นหนา

“ไม่ !”

เขาเงยหน้าแล้วตะโกนขึ้นด้วยความโกรธแค้น ปราณกระบี่พุ่งลงมาทันที และแทงทะลุหน้าอกของเขา ทำให้ผู้แข็งแกร่งในระดับเทพมารระดับแปดอย่างเขา ต้องถูกตรึงอยู่กลางอนัตตา

ปราณกระบี่จำนวนมากพุ่งออกไป และสังหารทีละศพอย่างไร้ความปรานี หลังจากที่ปราณกระบี่ทั้งหมดหายไปแล้ว ดูเหมือนทั่วทั้งท้องนภาจะถูกฉาบได้วยเลือด เรือรบมังกรฟ้าเต็มไปด้วยรูโหว่ เลือดบนเรือไหลเป็นสายน้ำ ผู้รุกรานจากสำนักมังกรฟ้า ถูกสังหารทั้งหมด !

เหตุพลิกผันที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ ที่ทำทุกคนต่างตกตะลึง ถึงขั้นว่า แม้กระทั่งศิษย์จำนวนมากของภูเขาว่านเริ่นเอง ก็พลอยตกใจไปด้วยเช่นกัน

ผู้อาวุโสใหญ่ที่เฟิ่งออกจากการปิดขังฝึกตนเอง ก็ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง ในตอนแรก หลังจากที่พระราชวังกูเฟิงเปิดออก เขาก็ได้รับสิทธิ์ในการฝึกวิชาย้ายเขาถล่มฟ้าจากลวี่โหลวประมุขเขา ส่วนภายในพระราชวังกูเฟิงยังมีสมบัติอย่างอื่นอยู่อีกหรือไม่นั้น เขาเองก็ไม่รู้ข้อมูลอะไรมากไปกว่านั้น

เห็นเช่นนี้แล้ว ดูเหมือนของที่อาจารย์ปู่ทิ้งเอาไว้ให้ภูเขาว่านเริ่นจะแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง อย่างน้อยหอคอยเวทย์สีดำขลับที่ลวี่โหลวประมุขเขานำออกมาสำแดงเมื่อครู่ ก็เหมือนกับของขลังชิ้นหนึ่งในตำนานที่อาจารย์ปู่เคยใช้ นั่นก็คือหอคอยเทพนิรยวิภา !

ห้วงดาราโลกร้าง ท้องฟ้ากว้างใหญ่ไพศาล หนึ่งธาตุดารา เป็นเพียงจุดเล็ก ๆ ที่อยู่บนจักรวาลอันกว้างใหญ่ผืนนี้เท่านั้น

ดาวเคราะห์จำนวนนับไม่ถ้วนรวมกันกลายเป็นหนึ่งธาตุดารา ธาตุดารานับร้อยรวมกันเป็นหนึ่งอาณาจักรดารา ห้าอาณาจักรดารารวมกันเป็นหนึ่งห้วงดารา

ห้วงดาราโลกร้าง มีห้าอาณาจักรดาราใหญ่ มีธาตุดารานับร้อย และมีดาวเคราะห์นับไม่ถ้วน !

ห่างจากธาตุดารามังกรฟ้าออกไปไม่มีที่สิ้นสุด มีธาตุดาราแห่งหนึ่ง ชื่อว่าธาตุดาราต้าโหลว บนดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่มีชื่อว่าดาราหลัวเทียนมีร่างสูงตระหง่านร่างหนึ่งลืมตาขึ้นในทันที สายตาอันลึกล้ำคู่นั้นสามารถเปลี่ยนแปลงทุกสรรพสิ่งได้ และมองทะลุทุกสิ่ง

สายตาของเขามองผ่านอนัตตาจำนวนนับไม่ถ้วนที่ซ้อนทับกันอยู่ ทันใดนั้นเอง ก็ดูเหมือนจะมองเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในภูเขาว่านเริ่น จากนั้นก็เอ่ยปากถามขึ้นอย่างสงบว่า : “นี่คือมรดกที่ราชาเทพทิ้งเอาไว้ให้อย่างนั้นหรือ ?”

สำนักมังกรฟ้าเป็นเพียงแค่หมากตัวหนึ่งเท่านั้น เมื่อหลายสิบล้านปีก่อน สำนักเซียนต้าโหลวต่างหากที่เป็นศัตรูตัวฉกาจของภูเขาว่านเริ่น !

บนท้องฟ้าเหนือภูเขาว่านเริ่น ลวี่โหลวยืนถือหอคอยเทวอยู่ในมือ ฉากการสังหารหมู่สำนักมังกรฟ้า ทำให้ทุกคนต้องตกใจ

ผู้แข็งแกร่งในระดับเทพมารระดับเก้า ไม่ว่าจะอยู่ในห้วงดาราโลกมหาศักดิ์ใด ก็นับว่าเป็นผู้แข็งแกร่งที่ไร้เทียมทาน ผู้แข็งแกร่งในระดับนี้ ส่วนใหญ่จะนั่งสังเกตการณ์อยู่ห่าง ๆ ยากที่จะลงมือด้วยตนเอง

ทว่า วันนี้กลับทำให้ทุกคนสัมผัสได้ถึงคลุมโลกาศักดิ์สิทธิ์ของผู้แข็งแกร่งในระดับเทพมารระดับเก้า ยิ่งไปกว่านั้น อาจารย์ปู่ของภูเขาว่านเริ่นยังเป็นผู้แข็งแกร่งในระดับเทพมารระดับเก้า และเป็นราชาเทพระดับเก้าผู้หนึ่งอีกด้วย !

ถึงแม้ว่าเขาจะจากไปนานแล้ว แต่ของขลังศัสตราวุธที่เขาทิ้งเอาไว้ ยังคงเก็บซ่อนพลังของกฎพลังเต๋าเอาไว้ นอกเสียจากเทพมารระดับเก้าจะมาด้วยตนเอง มิเช่นนั้นก็ไม่มีใครที่สามารถต้านทานได้

การต่อสู้สิ้นสุดลง ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบ หลัวซิวกลับไม่ได้ลงมือ ทุกคนต่างกำลังตกตะลึงอยู่กับความศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่ของลวี่โหลวประมุขเขา แต่มีน้อยคนนักที่จะรู้ว่า หากไม่มีเขาช่วยเปิดพระราชวังกูเฟิงให้ด้วยมือของตนเอง เกรงว่าวันนี้ คงเป็นวันที่ภูเขาว่านเริ่นต้องสิ้นชื่ออย่างแน่นอน

ศิษย์จำนวนนับไม่ถ้วนถูกส่งออกไปให้เก็บกวาดสนามรบ เรือรบมังกรฟ้าขนาดมหึมาถูกแกะออกเป็นชิ้นส่วน จากนั้นจึงส่งเข้าไปเก็บไว้ในคลังสมบัติของภูเขาว่านเริ่น

ภายในหุบเขาเทพจันทราอันบริสุทธิ์ ลวี่โหลวมาถึงที่นี่ แล้วหันไปโน้มตัวคารวะหลัวซิว “ลวี่โหลวทำภารกิจสำเร็จแล้ว !”

“เจ้าทำได้ดีมาก ยังไม่ถึงเวลาที่จะใช้ตราเขามังกรฉิว นอกเสียจากจะปรากฏเทพมารระดับเก้าขึ้นในภูเขาว่านเริ่น มิเช่นนั้น ทันทีที่ถูกคนอื่นหมายตา ก็จะไม่มีทางฟื้นคืนได้ตลอดไป” หลัวซิวพูดขึ้นเช่นนี้

“ลวี่โหลวทราบแล้ว นอกเสียจากจะถึงคราแห่งความตาย มิเช่นนั้นลวี่โหลวจะไม่มีทางใช้ทหารจักรวรรดิเลิศล้ำเด็ดขาด”

ลวี่โหลวพยักหน้าแล้วพูดขึ้น “ไม่สู้เก็บตราเขามังกรฉิวเอาไว้ในมือของท่านนายเป็นการชั่วคราวจะดีกว่า ?”

ของขลังระดับตราเขามังกรฉิว ต่อให้เป็นราชาเทพว่านเริ่นตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ไม่อาจกลั่นออกมาได้อย่างแน่นอน ในสายตาของลวี่โหลว ของล้ำค่าเช่นนี้ควรอยู่ในมือของท่านนาย จึงจะเหมาะสมที่สุด

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

None

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท