มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2708 คำว่าความรักความผูกพัน
“ถูกข้าซ่อนอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง นอกเสียจากเจ้าตกลงเงื่อนไขหนึ่งของข้า มิเช่นนั้นข้าก็จะไม่บอกเจ้าหรอก”
“เจ้าไม่มีสิทธิ์มาเจรจาเงื่อนไขกับข้า”
มีจิตสังหารที่เยือกเย็นทะลุออกมาจากดวงตาหลัวซิว เขารู้สึกว่าสตรีนางนี้ไม่ค่อยรู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี
“เจ้าต้องทำความเข้าใจก่อนว่าไฟเทวดวงนั้นไม่ใช่ของเจ้าตั้งแต่แรกอยู่แล้ว!”หลัวซิวพูดกระแทกเสียงต่ำ
“ข้ารู้ แต่ไฟเทวดวงนั้นเป็นสิ่งที่ถูโยวหมิงมอบให้ข้าด้วยตัวเอง……”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลัวซิวก็หมดความอดทนต่อซูเสว่หลันนี่โดยสิ้นเชิงแล้ว นี่ก็เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่เขาได้พบสตรีที่หน้าด้านไร้ยางอายเช่นนี้
จากผลการฝึกตนของซูเสว่หลัน เมื่ออยู่ต่อหน้าหลัวซิว นางก็ไม่มีความสามารถที่จะต่อต้านได้เลยแม้แต่น้อย เมื่อนางตอบสนองกลับมาได้ นิ้วมือของหลัวซิวก็แนบลงกลางหว่างคิ้วนางแล้ว ก่อนที่พลังวิญญาณที่มากมายมหาศาลจะพรั่งพรูเข้าไปในตัวหยั่งรู้ของนาง
“เจ้า……”
สีหน้าของซูเสว่หลันเปลี่ยนไปอย่างมาก นางจักไม่ทราบได้อย่างไรว่าคนดังกล่าวคิดที่จะทำอะไร เห็นได้ชัดเจนเลยว่านี่เป็นการใช้อำนาจค้นวิญญาณ สอดแนมความทรงจำที่อยู่ในตัวหยั่งรู้ของนาง!
นางคิดว่าฝ่ายตรงข้ามแค่ข่มขู่ตน เดิมทีคิดว่ายังสามารถเจรจาเงื่อนไขได้อยู่ แต่นึกไม่ถึงเลยด้วยซ้ำว่าฝ่ายตรงข้ามจะไม่มีความอดทนเช่นนี้
อย่างไรก็ตามบัดนี้กลับสายเกินไปแล้วที่ซูเสว่หลันจะรู้สึกเสียใจทีหลัง ภายใต้การกดอัดของหลัวซิว อย่าว่าแต่ขยับตัวได้เลย แม้แต่อ้าปากนางก็ยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
แม้นจะอยู่ในแดนเทพมารระดับหกเหมือนกัน แต่พลังตัวสำนึกของหลัวซิวกลับบรรลุถึงระดับเทพมารระดับเจ็ดตั้งนานแล้ว อีกทั้งระดับของวิญญาณก็เป็นพลังญาณเทวเช่นกัน การที่จะใช้พลังอำนาจสอดแนมความทรงจำของซูเสว่หลันนั้น ไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด
ทว่าหลัวซิวก็จะไม่สอดแนมความทรงจำของผู้อื่นง่าย ๆ แต่ซูเสว่หลันนี่ทำให้เขาโกรธเกรี้ยวแล้วจริง ๆ
เพียงพริบตาเดียว ตัวสำนึกของหลัวซิวก็ทำลายเกราะป้องกันในตัวหยั่งรู้ของซูเสว่หลัน พลังวิญญาณที่แข็งแกร่งและมากมายมหาศาลพุ่งเข้าไปในตัวหยั่งรู้ของนางปานน้ำหลาก ก่อนจะพุ่งตรงไปยังเขตพื้นที่ที่เก็บซ่อนความทรงจำโดยตรง
อย่างไรก็ตามในเวลานี้เอง จู่ ๆ ประตูห้องก็ถูกเปิดออก ถูโยวหมิงบุกเข้ามา
“สหายหลัว หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
ทันทีที่เข้ามาถูโยวหมิงก็เห็นภาพเหตุการณ์ดังกล่าว จึงตะโกนพูดเสียงดังอย่างควบคุมไม่ได้
หลัวซิวขมวดคิ้วพลางชักนิ้วมือกลับมาจากหว่างคิ้วซูเสว่หลัน และถอนพลังวิญญาณออกมาจากตัวหยั่งรู้ของนางด้วย
วินาทีนี้ ซูเสว่หลันรู้สึกเหมือนตนได้เดินผ่านประตูนรกไปรอบหนึ่ง บนร่างกายที่อ่อนช้อยเต็มเปี่ยมไปด้วยเม็ดเหงื่อ ชุดกระโปรงบนตัวเริ่มเปียกชุ่มเล็กน้อยด้วย
นางถอยหลังกลับไปสองก้าวด้วยสีหน้าที่หวาดกลัว บัดนี้นางรู้สึกหวาดกลัวหลัวซิวที่อยู่ตรงหน้านี้จากก้นบึ้งของหัวใจเลยล่ะ
“สหายโยวหมิง เหตุใดเจ้าจึงต้องให้ข้ายั้งมือ?”หลัวซิวไม่ได้สนใจซูเสว่หลัน แม้นสตรีนางนี้จักเฉลียวฉลาดในเรื่องหยุมหยิม แต่สำหรับหลัวซิวที่มีประสบการณ์สองภพชาติแล้ว ยังไม่ได้นำตัวละครเล็ก ๆ เช่นนี้มาไว้ในสายตา
เห็นได้ชัดเจนเลยว่าสีหน้าอารมณ์ของถูโยวหมิงซับซ้อนมาก “สหายหลัว ข้า……”
ทั้งชีวิตของมนุษย์คนหนึ่ง สิ่งที่ข้ามผ่านไปยากที่สุดก็คือความรักความผูกพัน หลัวซิวรู้อยู่ว่าท้ายที่สุดแล้วถูโยวหมิงก็ไม่สามารถลืมซูเสว่หลันคนนี้ได้อยู่ดี
แม้ถูโยวหมิงก็เป็นผู้แข็งแกร่งที่คงอยู่มาหลายร้อยล้านปีแล้ว ต่อให้ตัดเวลาอันยาวนานที่นอนหลับใหลอยู่ในโลงศพเทวออกไป เขาก็เป็นคนที่ฝึกตนมาหลายสิบล้านปีแล้วเหมือนกัน
อย่างไรก็ตามการมีชีวิตคงอยู่มายาวนาน ไม่ได้หมายความว่าจะมีความฉลาดทางอารมณ์สูง ทันทีที่ตกลงไปในหลุมแห่งความรักความผูกพัน การที่จะออกมานั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ยากมากถึงมากที่สุด
ชีวิตทั้งชีวิต คำว่าความรักความผูกพันมันฝังอยู่ที่หัวใจ!
“ช่างมันเถอะ เจ้าจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเจ้าเองเถิด”
หลัวซิวส่ายหน้า ไม่ได้พูดอะไรมาก หากเขาดึงดันที่จะค้นความทรงจำของซูเสว่หลัน ก็เท่ากับไม่สนใจความรู้สึกของถูโยวหมิงโดยสิ้นเชิง
หลัวซิวย่อมไม่ทำเช่นนั้นอยู่แล้ว มิฉะนั้นมันก็จะทำให้ถูโยวหมิงรู้สึกทรมานและลำบากใจมากยิ่งขึ้น
แน่นอนอยู่แล้วว่าหลัวซิวก็ไม่มีความคิดที่จะปล่อยซูเสว่หลันไปด้วย เมื่อครู่ขณะที่เขาดึงตัวสำนึกกลับมาจากตัวหยั่งรู้ของนาง ก็ได้ทำการทิ้งตราประทับไว้ในตัวหยั่งรู้ของซูเสว่หลันแล้ว จากผลการฝึกตนของซูเสว่หลัน นางไม่มีทางสัมผัสได้เลยด้วยซ้ำ
ถูโยวหมิงก้มคำนับให้หลัวซิวรอบหนึ่ง ก่อนจะพาซูเสว่หลันออกไปจากห้อง
ไม่นานนัก ถูโยวหมิงที่อยู่ด้านล่างของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง หันหลังให้ซูเสว่หลันแล้วพูดว่า “เจ้าไปเถอะ”
“เจ้าตัดใจให้ข้าจากไปได้จริง ๆ หรือ?”น้ำเสียงของซูเสว่หลันเต็มเปี่ยมไปด้วยความโศกเศร้า จู่ ๆ นางก็โผเข้ากอดถูโยวหมิงจากด้านหลัง “โยวหมิง สาเหตุที่ข้าจากเจ้าไปเมื่อปีนั้น เป็นเพราะข้าถูกบีบให้จำใจต้องทำเช่นนั้นจริง ๆ ข้ามีความลำบากใจนะ!”
ปฏิกิริยาของซูเสว่หลันทำให้หัวใจถูโยวหมิงสั่นคลอนขึ้นมา อันที่จริงจิตใจเขาก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกันว่าซูเสว่หลันจะทอดทิ้งและหลอกตน และเขาก็คิดมาโดยตลอดเช่นกันว่านางมีความลำบากใจบางอย่าง ใช้ข้ออ้างเหล่านี้มาปลอบใจตัวเอง
บัดนี้เมื่อซูเสว่หลันพูดคำพูดเช่นนี้ออกมา เกราะป้องกันในใจถูโยวหมิงก็เริ่มคลี่คลายลงเล็กน้อย ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนมีความเกี่ยวข้องกับตัวธรรม เพียงเพราะคำว่าความรักความผูกพัน
เมื่อซูเสว่หลันมองเห็นปฏิกิริยาของถูโยวหมิง จึงทำให้นางรู้สึกโล่งอกขึ้นมา นางเชื่อว่าขอแค่ตนให้คำอธิบาย ถูโยวหมิงก็ต้องเชื่อตัวเองแน่นอน แล้วยอมรับตัวนางใหม่อีกครั้ง
นางเข้าใจดีมาก ๆ ว่าทันทีที่ตัวเองออกไปจากที่นี่ หากตกอยู่ในเงื้อมมือสำนักสรรพอสูรอีกครั้ง ต้องไม่มีจุดจบดี ๆ แน่นอน และถ้าเกิดอยู่พร้อมกับพวกถูโยวหมิง ก็เท่ากับมีคนปกป้อง
เหมือนอย่างที่หลัวซิวกล่าว ซูเสว่หลันเป็นสตรีที่เฉลียวฉลาดในเรื่องหยุมหยิมจริง ๆ อันที่จริงตัวสำนึกของหลัวซิวก็สังเกตกิริยาท่าทางและบทสนทนาของนางกับถูโยวหมิงที่อยู่ด้านล่างโรงเตี๊ยมตลอดเวลาเช่นกัน จากผลการฝึกตนของซูเสว่หลันและถูโยวหมิง ย่อมไม่มีทางค้นพบตัวสำนึกของหลัวซิวอยู่แล้ว
นั่งอยู่ในห้องพัก หลัวซิวถอนหายใจเบา ๆ ทีหนึ่ง จู่ ๆ เขาก็ไม่ค่อยถือโทษตนที่เป็นไท่ซ่างฉิงเมื่อชาติปางก่อนตัดอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดทิ้งแล้ว บางครั้งเรื่องความรักความผูกพันมันเป็นเรื่องดีจริง ๆ แต่ขณะที่มันทำร้ายคนคนหนึ่ง ก็ทำร้ายได้ย่อยยับจนไม่เหลือชิ้นดีจริง ๆ
หลัวซิวรู้สึกโชคดีมาก ๆ ที่ตอนนั้นตัวเองได้พบกับสตรีอย่างเยว่เอ๋อร์และซีโรว่ หากได้พบกับสตรีอย่างซูเสว่หลัน ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้น
เขาสามารถดูออกอยู่ว่าสาเหตุที่ซูเสว่หลันคิดหาทุกวิถีทางเพื่ออยู่ต่อนั้น ก็เพื่อตามหาคนปกป้อง เพราะนางรู้อยู่ว่าทันทีที่ออกจากที่นี่ สำนักสรรพอสูรก็จะไม่ปล่อยนางไป
และมันก็เป็นอย่างที่คาดการณ์เอาไว้จริง ๆ ด้วย ผ่านไปไม่นานนัก ถูโยวหมิงก็พาซูเสว่หลันกลับมา อีกทั้งยังมาถึงหน้าห้องพักของหลัวซิว
เพราะถูโยวหมิงรู้อยู่ว่าในบรรดาพวกเขาทั้งหมด ผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจก็ยังเป็นหลัวซิวอยู่ดี และเขาก็ทราบเช่นกันว่ามีภัยคุกคามจากสำนักสรรพอสูร เขาและซูเสว่หลันจากไปคนเดียวไม่ได้แน่นอน จึงต้องมาแจ้งให้หลัวซิวทราบอยู่แล้ว
“สหายหลัว เสว่หลันมีความอึดอัดใจ อีกทั้งข้าก็เป็นคนมอบไฟไทวให้นางจริง ๆ นางไม่เคยทอดทิ้งข้า”
นั่งอยู่ในห้องพัก เมื่อหลัวซิวได้ยินคำพูดของถูโยวหมิงที่อยู่ด้านนอก ใบหน้าจึงเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มที่ดูขมขื่น
“เจ้าพานางกลับมาแล้ว ข้ายังจะพูดอะไรได้อีกเล่า? เจ้าจะให้นางอยู่ต่อก็อยู่ต่อเสียเถิด”หลัวซิวพูดอย่างเย็นชา
สำหรับหลัวซิวแล้ว ซูเสว่หลันจะอยู่ต่อหรือไม่อยู่ต่อล้วนไม่สำคัญ การที่นางอยู่ข้างกายตนนั้น กลับสามารถทำให้เขาจับตาดูทุกกิริยาท่าทางของสตรีนางนี้ได้
ส่วนเบาะแสของไฟเทวนั้น หลัวซิวรู้อยู่ว่าเขาคงทำได้เพียงวางแผนอย่างค่อยเป็นค่อยไป และเขาก็ไม่มีหนทางที่จะพูดคุยเรื่องนี้กับถูโยวหมิงได้เช่นกัน
……
ทุกครั้งที่แดนเทียนฮวงเปิดออกหนึ่งครั้ง มันก็จะมาพร้อมกับการแข่งขันคัดเลือกอัจฉริยะ เงื่อนไขของผู้ที่เข้าร่วมการคัดเลือกในครั้งนี้คือช่วงอายุที่ฝึกตนต้องไม่มากกว่าหนึ่งล้านปี สำหรับผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์จำนวนมาก ช่วงวัยในการฝึกตนหนึ่งล้านปีนั้นถือว่าวัยรุ่นมาก ๆ แล้ว
หลังจากข่าวคราวแพร่งพรายออกไป อัจฉริยะทุกคนที่มีความมั่นใจในศักยภาพของตัวเองล้วนพากันเดินทางมาเมืองเสว่น่า ทุกคนล้วนคันไม้คันมืออยากต่อสู้ กระตือรือร้นอยากทดลอง
เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้มีคนลักไก่ นอกจากกำหนดช่วงวัยในการฝึกตนต้องต่ำกว่าหนึ่งล้านปีแล้ว ผลการฝึกตนก็จำเป็นต้องบรรลุถึงเทพมารระดับหกเป็นต้นไปเช่นกัน
ทุกอย่างเหมือนอย่างที่ลิ่งฮู๋จื่อเซวียนกล่าวมาไม่มีผิด หลังจากเวลาล่วงเลยไปสองวัน ข่าวคราวเรื่องเริ่มรับสมัครการแข่งขันคัดเลือกอัจฉริยะก็แพร่งพรายออกไปในเมืองเมืองเสว่น่า
ภายในเวลาชั่วขณะ ทั้งเมืองก็เดือดพล่านขึ้นมา จำนวนคนที่นับไม่ถ้วนต่างพุ่งเบียดเสียดกันออกมาจากที่พัก มุ่งหน้าไปยังจุดลงทะเบียนต่าง ๆ
ผู้ที่สามารถฝึกตนถึงแดนเทพมารระดับหกภายในระยะเวลาหนึ่งล้านปีได้นั้น อันที่จริงมีไม่มากแต่อย่างใด แต่ถ้าเกิดมองในมุมทั้งดาราโลกร้าง ตลอดจนอัจฉริยะที่มาจากห้วงดาราอื่น ๆ จำนวนคนจึงมีเยอะมาก ๆ
ด้วยเหตุนี้จุดลงทะเบียนก็ถูกตั้งขึ้นหลายร้อยจุด เพื่อคำนึงถึงความยุติธรรม การแข่งขันคัดเลือกอัจฉริยะในครั้งนี้เปิดให้ทุกคนลงทะเบียน รวมไปถึงอัจฉริยะจากสำนักตระกูลอื่น ๆ ก็สามารถเข้าร่วมได้เช่นกัน
หากเป็นกองกำลังที่อยู่ในระดับเดียวกันกับตระกูลเทียนฮวง โดยส่วนใหญ่แล้วต่างจะสงบเสงี่ยมตัวตน ไม่ส่งศิษย์ในสำนักมาเข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้
วันนี้ลิ่งฮู๋จื่อเซวียนมาเคาะประตูห้องพักของหลัวซิวตั้งแต่เช้าตรู่ จากนั้นพวกเขาก็มาถึงจุดลงทะเบียนพร้อมกัน
พวกหลัวซิวต่างลงทะเบียนหมดแล้ว รวมไปถึงลาร์ก็ลงทะเบียนเช่นกัน การทำเช่นนี้มีโอกาสทำให้ตัวตนยักษ์อัสนีของลาร์ถูกเปิดเผยสูงมาก ทว่าครั้นเมื่ออยู่ในดารามังกรดำ อันที่จริงก็มีคนจำนวนมากมองเห็นแล้ว หลัวซิวจึงไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนี้มากเท่าไหร่นัก
อย่างไรเสียแม้นลาร์จะเป็นยักษ์ตรีภพ แต่ท้ายที่สุดแล้วก็อยู่แค่เทพมารระดับเจ็ด ซึ่งจะทำให้คนจำนวนมากหวั่นไหว แต่ก็ไม่ถึงขั้นดึงดูดให้ผู้แข็งแกร่งที่ตั้งตระหง่านอยู่ในระดับขั้นสูงสุดออกมา
ขั้นตอนในการลงทะเบียนไม่ซับซ้อนแต่อย่างใด เริ่มจากการบันทึกข้อมูล ต่อมาก็คือทดสอบว่าศักยภาพบรรลุเงื่อนไขหรือไม่ รองลงมาก็คือการทดสอบอายุกระดูกหรือช่วงวัยในการฝึกตนนั่นเอง
ขอแค่ผ่านขั้นตอนการเหล่านี้ ก็จะได้รับป้ายบัญชาการที่ใช้เข้าร่วมการแข่งขันคัดเลือกอัจฉริยะ ในป้ายบัญชาการมีข้อมูลของทุกคนบันทึกอยู่ ซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้ ด้วยเหตุนี้จึงสามารถป้องกันการคดโกงได้
แน่นอนอยู่แล้วว่าถ้าเกิดมีคนทำป้ายบัญชาการในการเข้าร่วมการแข่งขันสูญหายหรือเสียหาย เช่นนั้นสิทธิ์ในการเข้าร่วมการแข่งขันคัดเลือกอัจฉริยะของเจ้าก็จะถูกเพิกถอนเช่นกัน
เพราะจำนวนคนที่เข้าร่วมการแข่งขันคัดเลือกอัจฉริยะมีมากเกินไป ดังนั้นจึงต้องผ่านการแข่งขันรอบแรกก่อน ซึ่งจะมีคนจำนวนมากตกรอบในการแข่งขันรอบแรก
แต่ทว่านี่ไม่มีความยากอะไรต่อหลัวซิวด้วยซ้ำ ถ้าเกิดมีบททดสอบใดที่แม้แต่เขายังผ่านไม่ได้ละก็ เช่นนั้นทั้งโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดก็คงไม่มีผู้ใดสามารถผ่านได้แล้วล่ะ
เมื่อกระแสนิยมในการลงทะเบียนเริ่มค่อย ๆ ทุเลาลง มีคนจัดทำข้อมูลสถิติโดยคร่าว ๆ อัจฉริยะที่มารวมตัวกันในเมืองเสว่น่าในครั้งนี้ แค่จำนวนคนที่ลงทะเบียนเข้าร่วมการแข่งขันรอบแรกก็มีมากถึงสองแสนกว่าคนแล้ว!
แม้เมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนจอมยุทธ์ในดาราโลกร้างแล้ว จำนวนตัวเลขนี้มันไม่ค่อยโดดเด่นอะไรจริง ๆ เพราะแค่บนดาราที่ค่อนข้างเจริญรุ่งเรืองหนึ่งดวง จำนวนจอมยุทธ์ก็มีมากกว่านี้เสียอีก
ยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุด หากจำนวนจอมยุทธ์ในดาราโลกร้างที่สามารถฝึกตนถึงแดนเทพมารระดับเก้าได้มีหนึ่งร้อยล้านคน
เช่นนั้นผู้ที่สามารถฝึกตนถึงระดับนี้ภายในหนึ่งล้านปีนั้น มากสุดก็เป็นหนึ่งในหมื่น ซึ่งนี่หมายความว่าในบรรดาเทพมารระดับหกหนึ่งร้อยล้านคน มีเพียงหนึ่งหมื่นคนเท่านั้นที่บรรลุเงื่อนไขนี้
เมื่อคำนวณตามนี้แล้ว จำนวนสองแสนกว่าคนที่เข้าร่วมการแข่งขันคัดเลือกอัจฉริยะในครั้งนี้จึงถือเป็นตัวเลขที่ไม่น้อยเลย
นอกจากกองกำลังสูงส่งที่สามารถเทียบเคียงกับตระกูลเทียนฮวงได้แล้ว แทบจะมีอัจฉริยะเกินครึ่งในยุคสมัยนี้มาเข้าร่วมการแข่งขันคัดเลือกอัจฉริยะในครั้งนี้!
แน่นอนอยู่แล้วว่ายังมีอัจฉริยะอีกจำนวนมากที่ไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันเพราะสาเหตุต่าง ๆ การแข่งขันคัดเลือกอัจฉริยะในเมืองเสว่น่า ไม่สามารถเป็นตัวแทนของทั้งโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดได้