มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake – บทที่ 2711 อะไรคือตัวธรรม

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2711 อะไรคือตัวธรรม

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2711 อะไรคือตัวธรรม

การปรากฏตัวของถังกู่สง เป็นเพียงบทแทรกที่น้อยนิดมากจนไม่มีค่าพอที่จะให้พูดถึง ผู้อาวุโสใหญ่ทั้งสี่แห่งตระกูลเทียนฮวงก็ไม่ได้นำมาใส่ใจเช่นกัน

“เริ่มการคัดเลือกรอบแรก!”

จากการที่เสียงของราชาเทพนิศากรดังเข้าไปในหูของทุกคนที่อยู่ในสนาม แท่นบูชาที่สว่างไสวละลานตาก็ปรากฏบนพื้นที่ว่างที่อยู่ด้านล่างผู้อาวุโสใหญ่ทั้งสี่

พื้นที่ว่างดังกล่าวกว้างใหญ่มาก ๆ ปริมาตรของแท่นบูชาก็มีรัศมีเป็นพันเมตร ซึ่งเพียงพอที่จะสามารถส่งคนนับหมื่นไปยังแดนเทพโบราณพร้อมกันได้

แดนเทพโบราณแตกต่างจากแดนเทียนฮวง เล่ากันว่าเป็นสถานที่ที่ตระกูลเทียนฮวงใช้ฝึกฝนศิษย์วัยรุ่นโดยเฉพาะ เมื่อนำมันมาเป็นสนามในการคัดเลือกอัจฉริยะรอบแรก จึงสามารถพูดได้เลยว่าเหมาะสมไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว

มีผู้อาวุโสใหญ่ทั้งสี่คอยควบคุมบัญชาการด้วยตนเองอยู่ที่นี่ ทุกคนจึงปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ ทยอยขึ้นไปบนแท่นบูชา

หลังจากที่ถูกส่งไปยังแดนเทพโบราณแล้ว หลัวซิวก็เงยหน้าขึ้นมามอง พบว่าบริเวณรอบ ๆ คือเมฆหมอกที่ไร้ขอบเขต ส่วนด้านหน้าคือมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ไพศาล ด้านบนของมหาสมุทรมีสะพานไม้ต้นเดียวที่คับแคบพาดอยู่หนึ่งสะพาน

“สิ่งที่ประเมินในด่านแรกของการคัดเลือกรอบแรกคือตัวธรรมของพวกเจ้าทุกคน สิ่งที่พวกเจ้าเห็นตรงหน้าคือสมุทรทุกขัง ส่วนสะพานที่อยู่บนสมุทรทุกขังนั้น มีนามว่าสะพานวัฏสงสาร ผลการประเมินในด่านนี้ของพวกเจ้าจะตัดสินโดยระยะทางที่พวกเจ้าสามารถเดินอยู่บนสะพานวัฏสงสารแห่งสมุทรทุกขัง!”

ยืนอยู่ตรงชายฝั่งของสมุทรทุกขัง มีน้ำเสียงที่เรียบนิ่งของราชาเทพนิศากรดังก้องอยู่กลางท้องฟ้าที่ว่างเปล่า หลัวซิวพบว่ารอบกายตนเองไม่มีผู้อื่น ด้วยเหตุนี้จึงแสดงให้เห็นเลยว่า หลังจากที่ทุกคนถูกส่งเข้ามาในแดนเทพโบราณแล้ว ล้วนเข้ารับการประเมินตัวคนเดียว เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วทุกคนจึงสามารถพึ่งพาได้เพียงตัวเองเท่านั้น

มีอัจฉริยะสองแสนกว่าคน เท่ากับว่าทุกคนล้วนอยู่ในพื้นที่ที่เป็นของตัวเอง ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตระกูลเทียนฮวงทุ่มทุนไปไม่น้อยจริง ๆ

สาเหตุที่นำตัวธรรมจัดวางไว้ในด่านแรกของการประเมินนั้น หลัวซิวย่อมทราบอยู่แล้วว่าเป็นเพราะอะไร เนื่องจากสำหรับผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์ทุกคนแล้ว ตัวธรรมเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุด มิเช่นนั้นต่อให้มีสติปัญญาที่ล้ำเลิศมากเพียงใด ทันทีที่ตัวธรรมไม่ได้มาตรฐาน จึงถูกลิขิตไว้แล้วไม่มีทางเดินบนเส้นทางของผู้แข็งแกร่งได้ยาวนาน

จากการปฏิบัติตัวของทั้งสองภพชาติ หลัวซิวมีการตระหนักรู้และความเข้าใจในแดนยุทธ์ที่เป็นของตนเอง เขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่าโดยเฉพาะหลังจากผลการฝึกตนบรรลุถึงเทพมารแล้ว จอมยุทธ์ก็ถือว่าหลุดพ้นจากร่างเนื้อแห่งมนุษย์ทั่วไปแล้ว ตั้งแต่เทพมารเป็นต้นไป หากอยากฝึกตนขึ้นไปถึงแดนที่สูงกว่าละก็ ตัวธรรมก็จะดูสำคัญขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

ในโลกหล้านี้ หากพูดถึงตัวธรรมแล้ว หลัวซิวมั่นใจว่าตนไม่ด้อยกว่าผู้อื่นแน่นอน เพราะฉะนั้นเขาจึงก้าวขึ้นไปบนสะพานวัฏสงสารที่อยู่เหนือสมุทรทุกขังอย่างไม่ลังเลใจเลยแม้แต่น้อย

วัฏสงสารคืออะไร? วัฏสงสารก็คือการเวียนว่ายตายเกิดและห้วงเวลาที่เชื่อมต่อกัน การเกิดแก่เจ็บตายก็คือวัฏสงสาร วัฏสงสารห้วงเวลาก็เป็นวัฏสงสารเช่นกัน

มีเพียงการเวียนว่ายตายเกิดแต่ไม่มีห้วงเวลา มันก็จะไม่ใช่วัฏสงสารที่สมบูรณ์แบบ หากมีเพียงห้วงเวลาแต่ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด ก็ไม่สามารถประกอบเป็นวัฏสงสารได้เช่นกัน

หลัวซิวกล้าพูดเลยว่าในโลกหล้านี้ ไม่มีผู้ใดเข้าใจวัฏสงสารดีไปมากกว่าเขาแล้ว ทว่าวิถียุทธ์ช่วงแรกที่เขาฝึกในภพชาตินี้คือเส้นทางแห่งวัฏสงสาร เขาจึงมีการตระหนักรู้และเข้าใจในวัฏสงสารในแบบของตัวเองเช่นกัน

เมื่อเท้าย่ำลงบนสะพานวัฏสงสาร ภาพฉากที่อยู่รอบตัวหลัวซิวก็เปลี่ยนไปภายในพริบตา สามารถพูดได้เลยว่าก้าวหนึ่งก้าว เปลี่ยนแปลงหนึ่งครั้ง

สายตาของเขาเริ่มเลือนราง ถัดจากนั้นเมื่อสายตาที่เลือนรางกลับมาชัดเจนอีกครั้ง เขาพบว่าตัวเองอยู่บนถนนของคูเมืองแห่งหนึ่งที่มีผู้คนขวักไขว่

“หลัวซิว!”

ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงดังมาจากด้านหลัง หลัวซิวหันหน้ากลับไปมอง ก่อนจะพบว่ามีสตรีนางหนึ่งกำลังวิ่งมาทางตัวเองอย่างลุกลน

“ลู่เมิ่งเหยา?”

มีรัศมีแห่งความแปลกใจปรากฏบนใบหน้าหลัวซิว และสตรีที่กำลังวิ่งมาทางเขาก็คือลู่เมิ่งเหยานั่นเอง บนใบหน้านางดูหวาดผวา เสื้อผ้าที่อยู่บนตัวก็เสียหายเล็กน้อยด้วย

ในขณะเดียวกัน หลัวซิวพบว่าตัวเองสัมผัสผลการฝึกตนของตนไม่ได้แล้ว ราวกับว่าเขา ณ วินาทีนี้ไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งแดนเทพมารระดับหกอีกต่อไป แต่เป็นมดตัวจ้อยที่ยังคงอยู่ในแดนกลั่นร่าง!

“ฮ่าฮ่า นังกะหรี่! เมื่อไม่มีการคุ้มครองจากพ่อมึง ท่านชายอย่างกูอยากรู้เหมือนกันว่ามึงจะหนีไปจากเงื้อมมือกูได้อย่างไร!”

มีเสียงหัวเราะที่เยือกเย็นสะท้อนมา ถัดจากนั้นหลัวซิวก็มองเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ในชุดแพรพาลูกน้องสามสี่คนไล่ตามมา

และหลัวซิวก็จำชายหนุ่มที่เป็นผู้นำได้แล้วเช่นกัน ไม่นึกเลยว่าจะเป็นโกวจินชวน!

ครั้นเมื่ออยู่ในสำนักเซียวเหยา ท่านพ่อของลู่เมิ่งเหยาเสียชีวิตเพราะการแก่งแย่งตำแหน่งเจ้าสำนัก ต่อมาโกวจินชวนก็พาคนของตัวเองจะย่ำยีนาง แล้วถูกหลัวซิวลงมือหยุดยั้งไว้ อีกทั้งใช้วิชาดาบเร็วสังหารโกวจินชวนรวมไปถึงลูกน้องของเขาจนตายหมด

“นี่คือวัฏสงสารหรือ?”

ถึงแม้ทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้จะสมจริงมากเพียงใด ทว่าจิตใจของหลัวซิวกลับสุขุมเรียบนิ่งมาโดยตลอด

เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้ อันที่จริงเขาก็รู้แล้วว่าจะทลายมันอย่างไร ขอแค่เขาสามารถทำใจให้หนักแน่น มองทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นรอบกายให้เป็นภาพลวงตา เช่นนั้นทุกอย่างก็จะทลายลงไปเองโดยที่เขาไม่ต้องทำอะไร

“อ๊ายย! ……”

ลู่เมิ่งเหยายังวิ่งไม่ถึงด้านหน้าหลัวซิว ก็ถูกคนกลุ่มนั้นสกัดกั้นเอาไว้ บนใบหน้าของคนเหล่านั้นล้วนเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มอันหื่นกาม แล้วพูดคำพูดที่ถ่อยอย่างยิ่งออกมา

“กดร่างนางเอาไว้!”

เหล่าจอมยุทธ์เข้ามาจับกุมตัวลู่เมิ่งเหยา จากนั้นก็ปัดกวาดข้าวของทุกอย่างบนแผงขายของข้าง ๆ ทิ้ง ก่อนจะกดร่างลู่เมิ่งเหยาลงไปบนแผงขายของ

“โอ้โห นั่นมันเจ้าหนูที่นังชั้นต่ำนี่เคยชอบมิใช่หรือ? ไยมึงจึงไม่เป็นวีรบุรุษช่วยโฉมงามแล้วล่ะ?”

และในเวลานี้เอง โกวจินชวนก็มองเห็นหลัวซิวที่อยู่ในกลุ่มคน แล้วแสยะยิ้มอย่างดูหมิ่น

หลัวซิวก็ยังคงเรียบนิ่งสุขุมอยู่เช่นเคย เนื่องจากเขารู้แล้วว่าสิ่งที่ทดสอบในด่านนี้ก็คือตัวธรรมจักหนักแน่นดังก้อนหินก้อนใหญ่หรือไม่ หากเขาลงมือช่วย เช่นนั้นบททดสอบในด่านนี้ก็มีโอกาสล้มเหลวสูงมาก

“หลัวซิว ช่วยข้าด้วย!”ลู่เมิ่งเหยาตะโกนร้องจนเสียงแหบ ทว่าจากพละกำลังของนาง กลับดิ้นรนออกมาจากการถูกควบคุมตัวไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

“ฮ่าฮ่า ไอ้แซ่หลัว มึงจะไม่ช่วยมันจริง ๆ หรือ?”โกวจินชวนหัวเราะได้บ้าคลั่งมากยิ่งขึ้น “ในเมื่อมึงไม่ช่วยมัน เช่นนั้นท่านชายอย่างกูก็จะเอามันต่อหน้ามึงแล้วนะ!”

เหล่าจอมยุทธ์ทำการกดร่างลู่เมิ่งเหยาเอาไว้แน่น ๆ และโกวจินชวนก็เดินไปด้านหลังนาง ก่อนจะเริ่มถอดกางเกงโดยตรง

ณ เสี้ยววินาทีนั้น มีรัศมีแห่งความเยือกเย็นหนึ่งกระพริบขึ้นมาในสายตาหลัวซิว

ลู่เมิ่งเหยาเป็นสตรีนางแรกที่หลัวซิวในภพชาตินี้ชอบ ถึงแม้ระหว่างทั้งสองจะไม่มีบุพเพสันนิวาสต่อกันก็ตาม แต่ใจหลัวซิวกลับไม่มีทางมองดูนางถูกผู้อื่นเหยียดหยามย่ำยีโดยไม่ทำอะไร

“ตัวธรรม? อะไรคือตัวธรรม?”

รัศมีแห่งความเยือกเย็นที่อยู่ในสายตาหลัวซิวเข้มข้นมากยิ่งขึ้น “หากหนักแน่นดั่งก้อนหินก้อนใหญ่ เย็นชาไร้ความปราณีก็คือตัวธรรมละก็ เช่นนั้นตัวธรรมนี้จักไม่เอาก็ช่าง!”

“ตัวธรรมของข้าคือการไม่ละอายใจต่อสิ่งที่กระทำไป!”

วินาทีนี้ จู่ ๆ จิตใจหลัวซิวก็เบิกบานขึ้นมา เขาเข้าใจแล้วว่าตัวเองเกิดแนวคิดที่ผิดพลาดมาตั้งแต่แรกแล้ว หากคนที่ตัวเองใส่ใจถูกผู้อื่นเหยียดหยามย่ำยีแล้วตนยังสามารถนิ่งดูดายได้ละก็ ต่อให้ตัวธรรมจะหนักแน่นดังก้อนหินก้อนใหญ่ มันก็ไม่ใช่ตัวธรรมที่เขาต้องการอย่างแน่นอน ตัวธรรมที่ไร้ความปราณีจะแตกต่างอะไรจากไท่ซ่างฉิงเมื่อชาติปางก่อนเล่า?

และมาตรแม้นว่าเป็นไท่ซ่างฉิงเมื่อชาติปางก่อน ก็ใช่ว่าจะไร้ความปราณีเสมอไป เขาแค่ตัดขาดอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดทิ้ง เป็นการปลงตก นำความรู้สึกทั้งหมดซ่อนไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจ

“ไปตายซะ!”

ร่างกายของหลัวซิวเคลื่อนไหวภายในเสี้ยววินาที ถึงแม้วินาทีนี้ผลการฝึกตนของเขาจะเป็นเพียงแดนกลั่นร่างก็ตาม แต่กลับมีจิตสังหารที่น่าสยดสยองระเบิดออกมา

“ฟึ่บ!”

นิ้วมือทั้งสองนิ้วของเขาประกบเป็นกระบี่ เนื่องจากผลการฝึกตนมีจำกัด เขาก็ปลดปล่อยพลังอมตะที่มีพลานุภาพเป็นหนึ่งออกมาไม่ได้เช่นกัน แต่ดรรชนีกระบี่เล่มนี้ก็ยังคงเร็วปานสายฟ้าอยู่เช่นเคย แสดงให้เห็นถึงความหมายที่ลึกซึ้งที่สุดของวิชาดาบเร็วได้อย่างแท้จริง!

“ฟึ่บ!”

โกวจินชวนที่กำลังถอดกางเกงอยู่ถูกดรรชีกระบี่เล่มนี้ของหลัวซิวแทงจนกระโหลกทะลุโดยตรง

“ท่านชาย!”

เหล่าจอมยุทธ์ที่โกวจินชวนพามาด้วยอุทานอย่างตะลึง ผลการฝึกตนของคนเหล่านี้ต่ำสุดก็อยู่ที่แดนฝึกชี่ไห่เช่นกัน จากศักยภาพของหลัวซิว เขาไม่สามารถต่อต้านได้เลยด้วยซ้ำ หากไม่ใช่เพราะเขาจู่โจมด้วยความเร็วที่เร็วปานสายฟ้า เขาอาจจะไม่มีทางสังหารโกวจินชวนได้เลยด้วยซ้ำ

การประดาบที่ดุเดือดเริ่มต้นขึ้น เมื่อหลัวซิวถูกสังหาร เขาก็ได้สบตากับลู่เมิ่งเหยากะทันหัน ดวงตาคู่นั้นยังคงตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูกอยู่เช่นเคย ทว่ากลับตะโกนร้องเรียกชื่อเขาด้วยใบหน้าที่ท่วมเต็มไปด้วยน้ำตา

เพียงชั่วขณะ หลัวซิวก็หมดสติไป ถัดจากนั้นแดนมิติทั้งหมดก็หายไปเช่นกัน ต่อมาหลัวซิวก็เห็นว่าตัวเองยังยืนอยู่บนสะพานวัฏสงสาร ส่วนด้านล่างคือสมุทรทุกขังที่มีคลื่นที่ใหญ่จนน่าตกตะลึง

“ผ่านด่านแล้วหรือ?”

สีหน้าอารมณ์ของหลัวซิวดูไม่แยแส สุขุมเรียบนิ่ง สำหรับการทดสอบตัวธรรมของสะพานวัฏสงสารนั้น แม้แต่เขาเองก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชม เนื่องจากเมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น รู้ทั้งรู้ว่าเป็นแดนมิติ แต่ก็ตัดสินใจได้ยากมาก

อย่างไรเสียทันทีที่ตัดสินใจผิดพลาด ก็มีโอกาสตกรอบสูงมาก และสูญเสียโอกาสในการได้เข้าร่วมตระกูลเทียนฮวง

แต่สำหรับหลัวซิวแล้ว การเข้าใจหัวใจตนเองได้อย่างลึกซึ้งเช่นนั้น กลับไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถทำได้

หลัวซิวมุ่งหน้าเดินไปข้างหน้าต่อ ถัดจากนั้นก็มีภาพมายาใหม่เกิดขึ้นอีก ตัวเขาเหมือนอยู่ในแดนสวรรค์แห่งหนึ่งยังไงอย่างนั้น ที่นี่มีต้นยาเซียนที่ล้ำค่าอย่างยิ่งขึ้นอยู่เยอะมาก ยิ่งกว่านั้นคือยังมีศัสตราวุธของขลังชั้นยอดที่ทิ้งเรี่ยราดไปทั่วด้วย ตลอดจนคัมภีร์เคล็ดของเคล็ดเซียนสูงสุด

หากบอกว่าการทดสอบแดนมิติในก่อนหน้านี้คือตัวธรรมในการตัดสินเรื่องอารมณ์ความรู้สึก เช่นนั้นบททดสอบ ณ วินาทีนี้ก็คือดูว่าจะสามารถต้านทานระงับกิเลสได้หรือไม่

หลัวซิวมุ่งหน้าเดินไปข้างหน้าตลอด สายตาไม่หันมองไปข้าง ๆ เลย ตัวธรรมหนักแน่นดั่งหินก้อนใหญ่ ไม่หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย

ถัดจากนั้น บนสะพานวัฏสงสารก็มีภาพมายาอื่น ๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีอัสนีที่กว้างใหญ่ไพศาลอย่างไร้ขอบเขตผ่าลงมา และมีอัคคีเทพที่น่าสยดสยองแผดเผาลุกโชน ไม่ว่าจะถูกอัสนีผ่าหรือถูกไฟเผา ความรู้สึกเช่นนั้นล้วนสมจริงอย่างยิ่ง

อย่างไรก็ตามทั้งหมดทั้งมวลนี้กลับเป็นเพียงภาพลวงตาต่อตัวธรรมของหลัวซิว เมื่อหลัวซิวรู้สึกว่าตัวเองใกล้จะเดินถึงสุดปลายขอบเขตของสะพานวัฏสงสารแล้ว จู่ ๆ เขาก็พบว่าตัวเองมาถึงหุบเขาที่งดงามดั่งมีมนต์ขลังแห่งหนึ่ง

หุบเขาแห่งนี้เหมือนดั่งดินแดนในอุดมคติ เงียบสงบและเยือกเย็น ในหุบเขาขึ้นเต็มไปด้วยดอกไม้ใบหญ้า และตรงกลางหุบเขาก็มีบ้านไม้ตั้งอยู่หนึ่งหลัง

เสียงเอี๊ยดดังขึ้น ประตูของบ้านไม้ถูกเปิดออก จากนั้นก็มีสตรีสองนางเดินออกมาจากด้านใน

หลัวซิวย่อมต้องคุ้นเคยต่อสตรีทั้งสองนางนั่นอยู่แล้ว เนื่องจากพวกนางคือเหยียนเยว่เอ๋อร์และเหยียนซีโรว่

“ท่านสวามี!”

เมื่อสตรีทั้งสองเห็นหลัวซิว จึงมีความตื่นเต้นดีใจปรากฏบนใบหน้าทันที ทั้งสองเดินออกมาจากด้านใน แล้วมาควงแขนข้างซ้ายข้างขวาของเขา

“ท่านสวามี ข้าคิดถึงท่านจนแทบจะตายแล้วเจ้าค่ะ”

ร่างกายอันอ่อนช้อยของเหยียนเยว่เอ๋อร์ล้มเซเข้าไปในอ้อมอกหลัวซิว มือเล็ก ๆ ที่เหมือนดังหยกก็เริ่มถอดเสื้อของเขาออกแล้ว

“ข้าก็คิดถึงท่านสวามีมากเช่นกัน”เหยียนซีโรว่ก็ทำเช่นเดียวกัน ร่างกายแนบติดกับแผ่นหลังของหลัวซิวแน่น ๆ หน้าอกที่นุ่มและอิ่มเอิบนั่นแนบติดกับแผ่นหลังของหลัวซิวอย่างแท้จริง เปลี่ยนแปลงเป็นรูปร่างลักษณะต่าง ๆ นานา

บนพื้นหญ้ามีกลีบดอกไม้เกลื่อนกลาด งดงามมากจนหาที่เปรียบไม่ได้ เสื้อผ้าของสตรีงดงามแห่งยุคทั้งสองร่วงลงบนพื้น ชายตามองด้วยความเสน่หา ความยั่วยวนที่ไร้ขอบเขตได้ทำการปกคลุมหลัวซิวเอาไว้โดยสิ้นเชิง

หลัวซิวถอนหายใจเบา ๆ พวกนางต่างเป็นภรรยาของตน การที่มีเรื่องราวทั้งหมดนี้เกิดขึ้นนั้นถือเป็นเรื่องที่ปกติมาก ๆ ทว่าการที่มันเกิดขึ้นที่นี่ จึงไม่ใช่เรื่องปกติแล้วล่ะ

“ยัยบื้อทั้งสองเอ๊ย คอยข้ากลับไปหาพวกเจ้าที่หุบเขาสยบปีศาจนะ”

ภายในดวงตาหลัวซิวเปี่ยมล้นไปด้วยจิตใจที่มีสติสุขุมเยือกเย็น เขาลูบใบหน้าของสตรีทั้งสองนางเบา ๆ จากการที่เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ภาพมายาทั้งหมดจึงสลายหายไป

“สรรพวิถีล้วนว้าง!”

นี่เป็นครั้งแรกที่หลัวซิวโคจรวิถีไร้ลักษณ์หลังจากเดินขึ้นมาบนสะพานวัฏสงสาร อีกทั้งทันทีที่ขึ้นมาเขาก็โคจรพลังอมตะอย่างสรรพวิถีล้วนว้างแล้ว

เมื่อปลดปล่อยพลังอมตะนี้ออกมา วิชาวิถีทั้งปวงที่อยู่หน้าเขาก็จะเปล่าประโยชน์ เมื่อเขาย่างเท้าก้าวเดินออกไปอีกครั้ง ภาพมายาทั้งหมดยังไม่ทันได้วิวัฒนาการออกมา ก็สลายหายไปหมดแล้ว

ระหว่างทางเห็นภาพมายามามากเช่นนั้น หลัวซิวไม่มีอารมณ์ไปทลายภาพมายาทีละภาพแล้ว ซึ่งตัวธรรมของเขาก็ไม่ต้องการบททดสอบและการฝึกฝนประเภทนี้อีกแล้ว

“แผะ!”

เมื่อไม่มีภาพมายาใด ๆ ปรากฏอีก หลัวซิวพบว่าตัวเองได้เดินลงมาจากสะพานวัฏสงสารแล้ว ส่วนสะพานวัฏสงสารและสมุทรทุกขังที่อยู่ด้านหลังเขากลับสลายหายไปปานเมฆหมอก

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

None

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท