มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2723 โลงร้างเขตกลาง
เดินออกมาจากเขาผีเก้า ก่อนที่หลัวซิวจะเดินทางไปนิรยะเพชฌฆาตต่อ ทว่าเมื่อมาถึงนิรยะเพชฌฆาต กลับพบว่านิรยะเพชฌฆาตหายไปแล้ว
อดีตเคยมีปลิวไฟที่ไร้ขอบเขตแผ่คลุมอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้ แต่วินาทีนี้มันกลับรกร้างว่างเปล่า ในฟ้าดินเหลือแค่เพียงออร่าเพลิงอัคคีเสี้ยวหนึ่ง
ซึ่งออร่าเพลิงอัคคีประเภทนี้ไม่ใช่พลังเต๋าอัคคีทั่วไปในหมื่นจักรวาลแต่อย่างใด แต่เป็นพลังเต๋าอัคคีประเภทหนึ่งที่อยู่เหนือหมื่นจักรวาล
โดยส่วนใหญ่หลัวซิวสามารถยืนยันได้แล้วว่า การหายไปของนิรยะเพชฌฆาตต้องมีความเกี่ยวข้องกับหลงอวี้อย่างแน่นอน บางทีหลงอวี้ก็คือร่างผู้แข็งแกร่งแห่งยุคที่ดับสลายสูญสิ้นไปพร้อมกับชางเทียนเลี่ยกลับชาติมาเกิด หรือบางทีหลงอวี้อาจจะมาถึงที่นี่ก่อนเขา และโชคโอกาสทุกอย่างที่อยู่ในนิรยะเพชฌฆาตก็ถูกเขาเอาไปแล้วด้วย
ออกมาจากดาราเมฆาทมิฬ หลัวซิวมาถึงห้วงดาราแห่งหนึ่งที่ว่างเปล่า เขาโบกมือกลางอากาศที่ว่างเปล่ารอบหนึ่ง ปริภูมิก็ถูกฉีกกระชากลงมาแถบหนึ่ง ก่อนที่เขาจะพาลาร์ย่างกรายเข้าไป
สิ่งที่เขาฉีกกระชากลงมาไม่ใช่พื้นโลกปริภูมิระหว่างมหาโลกาพันสามและโลกร้าง แต่เขาได้เดินทางมาถึงแดนเทวนิรันกาล แล้วมาถึงตำหนักไท่ซ่างเทียนหย่งนั่น
ศพของเทียนหย่งยังคงนอนอยู่ในโลงศพเทวผนึกน้ำแข็งอยู่เช่นเคย
หลัวซิวนั่งเงียบ ๆ อยู่ที่นี่นานมาก ก่อนจะพูดพึมพำคนเดียว: “เทียนหย่งเอ๊ย หากเจ้ายังมีชีวิตอยู่ละก็ เมื่อเห็นข้าอยู่เคียงข้างเจ้าที่นี่ เจ้าคงจะรู้สึกมีความสุขมากเลยสินะ?”
ในยุคสมัยอันไกลโพ้น เขาไม่มีวันลืมเลยว่าเทียนหย่งเป็นลูกสาวของมหาจักรพรรดิยุทธ์โจ้เทียน เป็นองค์หญิงผู้ภาคภูมิของสวรรค์ที่คนนับหมื่นล้านในโลกจักรภพต่างโปรดปราน ทว่าท้ายที่สุดแล้วแม้นต้องตายนางก็เลือกที่จะติดตามอยู่ข้างกายตน เพราะฉะนั้นหลัวซิวจึงรู้สึกมาโดยตลอดเลยว่าตัวเองเมื่อพบชาติก่อนได้ทำให้นางรู้สึกผิดหวัง
เรียกเตากลั่นนภาจื่อเซียวออกมา หลัวซิวดีดนิ้วทีหนึ่ง ฝาเตาเปิดออก จากนั้นก็มีพลังฉีกชั้นฟ้าบินออกมาเสี้ยวหนึ่ง
พลังฉีกชั้นฟ้าดังกล่าวก็เหมือนดังหอกยุทธ์กระบี่คมสีดำทอง แต่หลัวซิวกลับไม่มีความคิดที่จะฝึกเซ่นให้มันกลายเป็นศัสตราวุธของขลัง เนื่องจากสำหรับเขาแล้ว ร่างกายของเขาก็คือศัสตราวุธที่แข็งแกร่ง
“มาเถอะ!”
เห็นเพียงหลัวซิวอ้าปากแล้วดูดลมเข้าไปเฮือกหนึ่ง พลังฉีกชั้นฟ้าเสี้ยวนั้นจึงถูกเขากลืนลงท้องโดยตรง การกระทำเช่นนี้ก็เหมือนชาวบ้านธรรมดาทั่วไปในโลกกลืนกินกระบี่เศษณ์หนึ่งเล่ม!
เพียงชั่วพริบตาเดียว ก็มีบาดแผลที่ถูกฉีกกระชากปรากฏบนผิวหนังของหลัวซิว เลือดเนื้อของเขา เอ็นกระดูกของเขา มากไปกว่านั้นคืออวัยวะภายในของเขาล้วนแตกร้าว!
“สมบัติแห่งสังสารวัฏปลุกเสกร่างข้า!”
หลัวซิวตะคอกเสียงดังลั่น พลานุภาพของตำหนักวัฏสงสารและลูกแก้วความเป็นตายจึงแย้มบานออกมาพร้อมกัน หลังศีรษะมีเงาลวงวัฏจักรปรากฏหนึ่งวง ทำให้ร่างเนื้อของเขามั่นคงขึ้น ทำให้ร่างกายเขาไม่พังทลายลงไปต่อ
ในขณะเดียวกัน ยันต์ค่ายทั้ง 99 ยันต์ก็ปรากฏบนร่างกายเช่นกัน ทว่าพลังฉีกชั้นฟ้าแข็งแกร่งมากเกินไป ยันต์ค่ายทั้ง 99 ยันต์บนร่างกายก็เริ่มมีรอยร้าวปรากฏเช่นกัน
อย่างไรก็ตามหลัวซิวกลับไม่สนใจอะไรเลย เขากัดฟันแน่น โคจรวิชาก่อเกิดกายและวิชากลั่นร่างกลืนเศษณ์ ขอแค่ร่างกายของเขาสามารถยืนหยัดต่อไปได้และไม่พังทลาย เช่นนั้นเขาก็จะสามารถกลั่นแปรพลังฉีกชั้นฟ้าที่กลืนกินลงไปได้!
แม้นขั้นตอนดังกล่าวจะทรมานเจ็บป่วยอย่างยิ่ง แต่หลัวซิวกลับรู้สึกว่าไม่มีความเจ็บปวดใดที่เขาไม่สามารถอดทนได้
เวลาล่วงเลยไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เพียงชั่วพริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปสามเดือนกว่าแล้ว พลังฉีกชั้นฟ้าก้อนเล็ก ๆ ที่ถูกผนึกอยู่ในเตากลั่นนภาจื่อเซียวล้วนถูกหลัวซิวกลั่นแปรหมดแล้ว
เมื่อลองสำรวจร่างกายภายใน พบว่ามีรัศมีเทวสีดำทองเปล่งประกายตามกระดูกของเขา อย่างไรเสียพลังฉีกชั้นฟ้าที่เขากลั่นแปรนั้นก็มีน้อยมาก ๆ ซึ่งยังไม่เพียงพอต่อการทำให้เขานำมาชุบทั้งร่างกายตัวเองอีกรอบ
มาตรแม้นว่าเป็นเช่นนี้ ร่างกายของเขาก็น่าสยดสยองยิ่งกว่าเดิมเช่นกัน เนื่องจากเขากลั่นแปรพลังฉีกชั้นฟ้า เช่นนั้นภายในร่างกายของเขาจึงมีพลังเต๋าของพลังฉีกชั้นฟ้าที่สามารถฉีกกระชากบดขยี้ทุกสรรพสิ่งแฝงซ่อนอยู่ด้วย!
ถึงแม้ร่างเนื้อของเขาจะยังเป็นร่างเทวระดับแปดสำเร็จแรกอยู่เช่นเคย แต่ก็สามารถทำลายอาวุธเทพระดับแปดชิ้นหนึ่งให้กลายเป็นฝุ่นผงได้อย่างง่ายดายแน่นอน
“เทียนหย่ง ข้าจักลาแล้ว เจ้าคอยข้านะ สักวันข้าจะบุกเข้าไปในวัฏสงสาร แล้วฟื้นคืนชีพเจ้ากลับคืนมาอย่างแน่นอน”
สุดท้ายหลัวซิวมองเงาร่างของโฉมงามที่นอนอยู่ในโลงศพเทวรอบหนึ่ง ก่อนที่เขาจะหันหลังจากไปโดยที่ไม่หันหน้ากลับมามองอีกเลย
……
ณ ห้วงดาราแห่งหนึ่งในมหาโลกายอดอัมพร มีศพของผู้แข็งแกร่งที่นับไม่ถ้วนลอยเกลื่อนกลาดอยู่ที่นี่ สภาพน่าเวทนามากจนไม่อาจทนดูได้
“พวกมดตัวจ้อย ก็บังอาจมาแย่งสมบัติกูอย่างนั้นรึ?”
หากหลัวซิวอยู่ที่นี่ด้วย เขาต้องรู้จักคนดังกล่าวแน่นอน เพราะสตรีดังกล่าวไม่ใช่ผู้อื่นใด นางก็คือซูเสว่หลันนั่นเอง
ครั้นเมื่ออยู่นอกแดนเทพโบราณ ซูเสว่หลันยุยงให้ถูโยวหมิงจากไปพร้อมกับนาง ทว่าวินาทีนี้กลับไม่เห็นเงาร่างของถูโยวหมิงปรากฏข้างกายนางเลย
ซูเสว่หลันลูบไล้ไฟเทวที่อยู่ในมือ แล้วมีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าที่เยือกเย็น “ช่างเป็นสมบัติที่ทรงพลังเสียจริง โดยเฉพาะภายในไฟเทวดวงนี้ยังมีวรยุทธ์แฝงซ่อนอยู่หนึ่งวิชาด้วย ก็คงโทษได้แค่เพียงเจ้าถูโยวหมิงนั่นโฉดเขลาเป็นอย่างยิ่ง สุดท้ายแล้วก็ไม่ค้นพบความล้ำลึกที่แท้จริงของไฟเทวดวงนี้”
“แต่ทว่าการสังหารพวกมดตัวจ้อยนอกคอกในสถานกันดารก็น่าเบื่อเช่นกัน อนาคตหากกูประสบความสำเร็จในด้านการฝึกตน การก่อตั้งตระกูลซูขึ้นมาใหม่นั้นจักไม่มีปัญหาใด ๆ ถึงครานั้นกูจักทำให้พวกสำนักสรรพอสูรได้ชดใช้ด้วยเลือดแน่นอน!”
มีความเกลียดชังทะลุออกมาจากแววตาซูเสว่หลัน หลังจากที่นางออกมาจากแดนเทพโบราณพร้อมกับถูโยวหมิงแล้ว ก็ทราบข่าวที่ตระกูลซูถูกสำนักสรรพอสูรล้มล้าง นาง ณ ปัจจุบันไร้บ้านให้กลับไปพักพิงอาศัยแล้ว
นางจดจำความแค้นนี้เอาไว้ในใจ นางได้รับไฟเทวมา อีกทั้งยังได้รับเคล็ดเซียนยอดเยี่ยมมาอีกหนึ่งวิชาด้วย นางเชื่อว่าขอแค่ตัวเองขยันฝึกตน อนาคตมีโอกาสบรรลุเป็นเทพมารระดับเก้าสูงมาก
ในส่วนของถูโยวหมิงนั้น ถูกนางทอดทิ้งอีกครั้งไม่ว่า ยังถูกนางผลักเข้าไปในสถานมรณะแห่งหนึ่งด้วยมือตนเองด้วย!
“เวิ่งง!”
มีแสงสีเขียวดวงหนึ่งแย้มบานออกมาจากไฟเทว แสงเขียวดั่งเพลิง เสียงฉึกดังขึ้น ทำการแผดเผาอนัตตาจนทรุดตัวลงไป เมื่ออาศัยพลานุภาพของไฟเทวชิงเทียน ซูเสว่หลันจึงทำลายพื้นโลกปริภูมิทิ้งอย่างง่าย ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังโลกร้าง
……
ยักษ์ตัวหนึ่งที่มีอัสนีตรีภพลอยวนเป็นเกลียวอยู่รอบกายเดินอยู่ในห้วงดารา ทุกครั้งที่เขาก้าวออกไปหนึ่งก้าว ก็จะก้าวข้ามระยะทางหมื่นไมล์ภายในพริบตา ร่างกายสูงโดดเด่นเกือบสี่พันเมตร
และมีชายหนุ่มที่อยู่ในชุดคลุมยาวดำกำลังนั่งท่าขัดสมาธิอยู่บนหัวไหล่ของยักษ์อัสนีตัวนี้
เมื่อลองคำนวณดู เขาในภพชาตินี้ก็ฝึกตนมานับพันปีแล้ว ระยะเวลานี้ดูเหมือนจะยาวนาน ทว่าสำหรับผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์ที่มีอายุไขนับร้อยล้านปีแล้ว ยังถือว่าหนุ่มมาก ๆ
สามารถพูดได้เลยว่าระยะเวลาหนึ่งพันปีนั้น นอกจากพวกอัจฉริยะไร้เทียมทาน หรือผู้แข็งแกร่งที่กลับชาติมาเกิดผ่านวัฏสงสารอย่างเขาแล้ว การที่สามารถฝึกตนถึงแดนเทพมารระดับหกได้ ก็ถือว่าหาพบได้ยากมาก ๆ แล้ว แม้นเหล่าวัยรุ่นยุคใหม่ในแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นสุดยอดก็มีเทพมารระดับเจ็ดเช่นกัน ยิ่งกว่านั้นคือมีเทพมารระดับแปดด้วย แต่ทว่าระยะเวลาที่คนเหล่านั้นฝึกตนมานั้น สูงถึงหลักหมื่นปีแล้ว หรืออาจจะนานกว่านั้นด้วยซ้ำ
ผู้ที่ฝึกตนไม่เกินหนึ่งล้านปี ล้วนสามารถนับได้ว่าเป็นวัยรุ่นยุคใหม่
แต่ทว่าเมื่อลองคำนวณดูดี ๆ ศักยภาพของหลัวซิวไม่ใช่เทพมารระดับหกขั้นสูงเท่านั้น ศักยภาพที่แท้จริงของเขาสามารถเทียบทัดเทพมารระดับแปด ยิ่งกว่านั้นคือเทพมารระดับแปดทั่วไปก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเช่นกัน
ในโลกร้างมีอาณาจักรดาราทั้งหมดห้าแห่ง หลัวซิวเคยเดินทางไปอาณาจักรเหนือและอาณาจักรตะวันออกแล้ว ส่วนครั้งนี้ที่ที่เขามาถึงคือเขตกลาง
โลกมหาศักดิ์ทั้งแปดแบ่งออกเป็นสวรรค์ ใต้ดิน เสวียน เหลือง จักรวาล จักรภพ ท่วมท้นและร้าง ซึ่งชื่อของทุกโลกล้วนตั้งจากหนึ่งในแปดที่กล่าวมาข้างต้น
ครั้นเมื่อเขาเป็นไท่ซ่างฉิงเมื่อชาติปางก่อน นอกจากโลกสวรรค์ที่ไม่เคยไปแล้ว โลกมหาศักดิ์อีกเจ็ดโลกที่เหลือล้วนมีร่องรอยที่เขาเคยไปเยือน ซึ่งโลกที่เขาเดินทางไปบ่อยมากที่สุดก็คือโลกร้างและโลกจักรภพ
ในโลกร้างมีความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับเขาหลงเหลืออยู่เยอะมาก อดีตเขาบุกเบิกหุบเขาสยบปีศาจ ทำสงครามปราบปรามในโลกหล้า ข้างกายก็มีผู้แข็งแกร่งติดตามอยู่ไม่น้อย
อดีตเขตกลางแห่งโลกร้างเคยเป็นสถานบรรพบุรุษของตระกูลเทพสงคราม ก่อนที่ยังไม่เริ่มยุคมหาศักดิ์ ตระกูลเทพสงครามก็เป็นเจ้าแห่งวงการที่สมคำเลื่องลือในโลกร้างเช่นกัน
แต่ทว่าจวบจนปัจจุบัน นอกจากเหล่าผู้แข็งแกร่งที่ตั้งตระหง่านอยู่บนจุดสูงสุดแล้ว มีน้อยคนมากที่จำตระกูลเทพสงครามได้
ครั้นเมื่อตระกูลเทพสงครามยกตระกูลอพยพออกไปจากโลกร้าง อ้างอิงจากคำพูดที่ซิงเฉินกล่าวมา ยังมีคนในตระกูลอีกส่วนหนึ่งที่ไม่ได้อพยพออกมาพร้อมกับกองทัพใหญ่ ขณะที่ออกจากหุบเขาสยบปีศาจ หลัวซิวก็เคยตกลงกับซิงเฉินเช่นกันว่า จะมาตามหาในเขตกลางแห่งโลกร้าง ดูว่ายังมีคนรุ่นหลังของตระกูลเทพสงครามที่มีชีวิตหลงเหลืออยู่หรือไม่
เมื่อหลัวซิวมาถึงเขตกลาง ลาร์ยักษ์อัสนีที่สูงหลายพันเมตรเป็นสิ่งที่ดึงดูดสายตาผู้คนมากที่สุดอย่างไร้ข้อสงสัยเลย ถึงแม้การทำเช่นนี้อาจจะทำให้มีปัญหาตามมาเล็กน้อย ทว่าหลัวซิวก็ไม่ได้ใส่ใจเช่นกัน อย่างไรเสียท้ายที่สุดแล้วศักยภาพของลาร์ก็ไม่สูง เป็นเพียงเทพมารระดับเจ็ด ซึ่งเหล่าผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเก้าเป็นต้นไปยังไม่ถึงขั้นต้องตาเขา
อีกทั้งในวันทั่วไปลาร์ก็ชอบหลุดพ้นจากการพันธนาการของร่างดั้งเดิม มักจะย่อร่างกายให้เล็กลงอยู่เสมอ จึงทำให้เขารู้สึกทรมานมาก
ผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเก้าเป็นต้นไปไม่สนใจในตัวเขา ทว่าทั่วห้วงดาราแห่งโลกร้างจะมีเทพมารระดับเก้ากี่คนล่ะ? สำหรับจอมยุทธ์ส่วนมากแล้ว ยักษ์ตรีภพที่อยู่ในระดับเทพมารระดับเจ็ดตัวหนึ่ง เป็นทรัพย์สินก้อนหนึ่งที่ใหญ่โตมหึมามาก!
ยักษ์ตรีภพนั้นเป็นสิ่งที่หาพบได้ยากมาก ๆ หากมียักษ์ประเภทนี้เป็นสัตว์ที่ใช้ขี่ เช่นนั้นมันก็จะสง่างามมากเลยมิใช่หรือ?
ซึ่งในโลกร้างก็มีผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิเทพระดับเก้าคนสองคนเช่นกัน ที่มียักษ์ตรีภพเป็นสัตว์ที่ใช้ขี่ ซึ่งทุกครั้งที่พวกเขาออกปฏิบัติการ ล้วนจักเป็นที่ดึงดูดสายตาของผู้คนจำนวนมาก
“โครมคราม……”
มีทหารม้ากลุ่มหนึ่งปรากฏด้านหน้า เรียงกันเป็นแถวยาว เหมือนดั่งสันเขาสีแดง ขวางอยู่ตรงหน้า
พลังออร่าของจอมยุทธ์กลุ่มนี้เข้มแข็งเกรียงไกร จิตสังหารเดือดพล่าน ส่วนสัตว์ที่ใช้ขี่ของพวกเขาก็ล้วนเป็นอสูรพิลึกที่มีสายเลือดมังกรแท้เช่นกัน ร่างกายเต็มเปี่ยมไปด้วยเกล็ดมังกร ท่าทีน่าเกรงขาม
“ฮ่าฮ่า ไม่นึกเลยว่าในโลกใบนี้จะมียักษ์ตรีภพด้วย อีกทั้งยังเป็นยักษ์อัสนีที่หาพบได้น้อย ทุกคนฟังคำสั่งข้า กำราบยักษ์ตัวนั้นซะ!”
ผู้ที่เป็นผู้นำของทหารม้าออกคำสั่ง กองทัพทหารม้านับร้อยจึงพุ่งเบียดเสียดกันเข้ามา ซึ่งทุกคนล้วนอยู่ในแดนเทพมารระดับเจ็ด หัวหน้าทหารม้าที่เป็นผู้นำนั่นยิ่งเป็นเทพมารระดับเจ็ดขั้นสูง การที่กองกำลังทหารประเภทนี้จะกำราบยักษ์ตรีภพที่เป็นเทพมารระดับเจ็ดเหมือนกันนั้น ย่อมไม่ใช่ปัญหาอะไรอยู่แล้ว
ถึงแม้ลาร์จะมีกำลังรบที่เทียบเท่าราชาเทพระดับเจ็ด แต่กองทัพทหารม้าเทพมารระดับเจ็ดนับร้อยนี้ล้วนเคยผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ยิ่งกว่านั้นคือพวกเขารู้จักการใช้ค่ายกลมาวิวัฒนาการค่ายรบออกมาอีกด้วย
“โฮกก!”
ลาร์คำรามอย่างโกรธเกรี้ยว เปิดเผยด้านที่โหดเหี้ยมของยักษ์ตรีภพออกมาได้อย่างถึงอกถึงใจ กระบองเหล็กเซียนตรีภพปรากฏในมือเขา ราวกับเสาเทพที่ค้ำจุนแผ่นฟ้า คำรามเสียงดังพลางพุ่งฆ่าไปทางกองทัพทหารม้านับร้อยนั่น
ร่างสูงหลายพันเมตร กองทัพทหารม้านับร้อยที่อยู่ในชุดเกราะสงครามสีแดงฉานก็เหมือนดังมดตัวจ้อย
สีหน้าของหลัวซิวที่ยืนอยู่บนหัวไหล่ลาร์ดูเย็นชา เดิมทีการที่เขาให้ลาร์เปิดเผยร่างแท้สู่สายตาสาธารณชนนั้น มันก็เป็นการดึงอารมณ์โกรธแค้นอย่างหนึ่งเช่นกัน
และจุดประสงค์ที่เขาทำเช่นนี้นั้น ก็เพื่อเป็นการฝึกฝนด้วย เนื่องจากการเจริญรุ่งเรืองของเขาในภพชาตินี้ จักขาดแคลนการเข่นฆ่าไม่ได้เด็ดขาด!
ซึ่งเป็นเฉกเช่นเดียวกับครั้นเมื่อเขายังอยู่ในโลกแสงดาว และเขาก็ใช้ชื่อซิวหลัวค่อย ๆ เจริญเติบโตขึ้นมาจากการเข่นฆ่า
หากมีคู่ต่อสู้ที่ลาร์จัดการไม่ได้ปรากฏ เช่นนั้นหลัวซิวก็จะลงมือด้วยตนเอง ในส่วนของเรื่องที่ว่าหากมีเทพมารระดับเก้าที่ไร้ยางอายลงมือละก็ หลัวซิวก็มีอุบายที่สามารถหนีเอาชีวิตรอดได้เช่นกัน