มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2724 เมืองต้าฮวงโบราณ
“ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ……”
ลาร์ดึงกำลังรบออกมาทั้งหมด มีอัสนีตรีภพลอยวนเป็นเกลียวอยู่รอบกาย ในฐานะที่เป็นยักษ์ที่กำเนิดจากตรีภพ อัสนีที่เขายึมกุม มีธาตุตรีภพแฝงซ่อนอยู่ด้วย ซึ่งแข็งแกร่งกว่าเกณฑ์อัสนีทั่วไปมาก ๆ
“กางค่าย!”
เห็นได้ชัดเจนเลยว่ากองทัพทหารม้านับร้อยที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามก็ทราบเช่นกันว่ายักษ์ตรีภพจัดการไม่ง่าย ภายใต้การออกคำสั่งของหัวหน้าผู้นำ คนนับร้อยก็เริ่มปฏิบัติการอย่างเป็นระเบียบ เรียงรายกันเป็นค่ายกลหนึ่งค่าย ออร่ากระแสสัมผัสของทุกคนเชื่อมต่อกัน จนประกอบเป็นลายค่าย
ค่ายรบที่วิวัฒนาการของมาจากจอมยุทธ์ที่มีผลการฝึกตนเทพมารระดับเจ็ดนับร้อยก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน ระดับขั้นของค่ายกลบรรลุถึงระดับเทพระดับแปดแล้ว ซึ่งเช่นนี้ก็หมายความว่าหลังจากพวกเขาประกอบเป็นค่ายรบแล้ว ก็มีกำลังรบที่สามารถต่อกรกับเทพมารระดับแปดได้อย่างสมบูรณ์!
“ตู้มม!”
ลาร์ฟาดกระบองเหล็กเซียนตรีภพที่อยู่ในมือลงไป พลังแรงที่เกะกะระรานประสานงากับม่านแสงค่ายกล ร่างกายของทหารม้านับร้อยที่กางค่ายแค่สั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นก็กลับมาสงบเหมือนเก่า
เมื่อผู้นำทหารม้าเห็นเช่นนี้ จึงหัวเราะเสียงดังลั่นออกมาทันที “ดูท่าศักยภาพของยักษ์ตรีภพตัวนี้ก็ไม่เท่าไหร่นี่ สหายสู้เขา!”
แต่ทว่าในเวลานี้เอง จู่ ๆ ก็มีมือใหญ่ข้างหนึ่งยื่นออกมาจากหัวไหล่ลาร์ มือใหญ่ข้างนี้แค่กวัดแกว่งในอนัตตาเบา ๆ ค่ายเทพระดับแปดที่ประกอบจากทหารม้านับร้อยก็สลายหายไปภายในพริบตา
“โฮกก!”
ลาร์คว้าโอกาสฟาดกระบองลงไป จึงมีจอมยุทธ์เทพมารระดับเจ็ดสิบกว่าคนถูกทุบจนแตกสลายเป็นฝุ่นผงคาที่ ไม่เหลือแม้แต่ซาก น้ำเลือดสาดกระเด็น
สีหน้าของผู้นำทหารม้าเปลี่ยนไป บัดนี้ถึงจะสังเกตเห็นว่าบนหัวไหล่ของยักษ์อัสนีตรีภพ ยังมีคนที่นั่งอยู่ในท่าขัดสมาธิอีกคนหนึ่ง
ซึ่งเมื่อครู่ก็เกิดจากการลงมือของคนดังกล่าวนี่แหละ ถึงทลายค่ายรบพวกเขาทิ้งอย่างง่ายดาย
“ถอย!”
ผู้นำทหารม้าคนนี้ก็เด็ดเดี่ยวมากเช่นกัน เขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่าผู้ที่สามารถทลายค่ายเทพระดับแปดได้อย่างง่ายดายนั้น ต้องเป็นนักค่ายเทพผู้ทรงพลังคนหนึ่งอย่างแน่นอน เมื่อเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งระดับนี้แล้ว ค่ายรบที่เขาสามารถพึ่งพิงก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลยด้วยซ้ำ
ทหารม้านับร้อยยังไม่ทันได้ถอยกลับ ลาร์ก็พุ่งเข้าไปดั่งเสือที่กระโจนเข้าไปในฝูงแกะ อัสนีทำลายล้างทั่วทุกสารทิศ ปลดปล่อยกระบวนท่าต่าง ๆ ออกมาอย่างยิ่งใหญ่ แค่โจมตีไม่ได้ป้องกัน เมื่ออาศัยร่างตรีภพที่แข็งแกร่ง พลังโจมตีของจอมยุทธ์เทพมารระดับเจ็ดเหล่านี้สร้างภัยคุกคามให้ลาร์ได้ยากมาก
เพียงชั่วพริบตาเดียว ก็มีคนดับสลายสูญสิ้นไปอีกหลายสิบคน นี่จึงทำให้ผู้นำทหารม้าโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ หากกำลังพลที่เป็นเบื้องล่างเขาเสียหายสาหัส หลังจากกลับไปเขาต้องได้รับบทลงโทษที่รุนแรงอย่างแน่นอน
“ฆ่า!”
ผู้นำทหารม้าตะคอกอย่างโกรธเกรี้ยว ออร่าผลการฝึกตนเทพมารระดับเจ็ดขั้นสูงระเบิด เขาเรียกหอกเทวออกมาหนึ่งเล่ม ซึ่งมันคืออาวุธเทพระดับแปดที่โดดเด่นชิ้นหนึ่งนั่นเอง ภายใต้สถานการณ์ที่ค่ายรบไร้ประโยชน์ ก็มีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถต่อกรกับยักษ์ตรีภพตัวนี้ได้
อย่างไรก็ตามเทพมารระดับเจ็ดขั้นสูงและราชาเทพระดับเจ็ดก็ต่างกันมาก ๆ มีรอยยิ้มที่ดุร้ายปรากฏบนใบหน้าลาร์ กระบองเหล็กเซียนพุ่งชนกับหอกเทว ผู้นำทหารม้าจึงกระอักเลือดคาที่ ร่างกายกระเด็นออกไป
ถัดจากนั้นลาร์ก็ยื่นมือใหญ่ออกไป จับร่างผู้นำทหารม้าคนนั้นขึ้นมา โยนเข้าไปในปาก แล้วเคี้ยวจนน้ำเลือดสาดกระเด็น
ภาพเหตุการณ์ที่โหดร้ายทารุณนี้ ทำให้ทหารม้าที่เหลือรู้สึกช็อกไม่เบาจริง ๆ ถึงแม้หลัวซิวจะไม่รู้ว่าทหารม้าเหล่านี้มาจากกองกำลังใด แต่ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีความเป็นมาอย่างไร เขาก็ไม่ได้ห้ามไม่ให้ลาร์เปิดศึกเข่นฆ่าที่นี่
เขามาเขตกลางเป็นครั้งแรก ซึ่งต้องการศึกสงครามที่ยิ่งใหญ่และเลือดสดมาตักเตือนผู้คนที่มีเจตนาร้ายพอดี
หลัวซิวก็ไม่ได้ลงมือต่อเช่นกัน พวกเทพมารระดับเจ็ดทั่วไปหนีการไล่ล่าของลาร์ไม่พ้นเลยด้วยซ้ำ ไม่นานนัก ทหารม้านับร้อยก็วอดวายทั้งกองทัพ
“แหะ ๆ สะใจจริง ๆ!”
การเข่นฆ่าครั้งหนึ่งทำให้ลาร์รู้สึกตื่นเต้นดีใจมาก ยักษ์ที่ถูกหล่อเลี้ยงออกมาจากตรีภพมีอุปนิสัยที่โหดเหี้ยมชอบต่อสู้ ช่วงนี้ติดตามอยู่ข้างกายหลัวซิวมาโดยตลอด ลาร์ระงับสันดานเดิมมาโดยตลอด อัดอั้นจนรู้สึกทรมาน
“อย่าเพิ่งดีใจเร็วเกินไป”
หลัวซิวก็หัวเราะเช่นกัน ทว่าภายในใจกลับเข้าใจดีมากว่ากองกำลังที่สามารถบ่มเพาะกองทัพทหารม้าที่ประกอบจากเทพมารระดับเจ็ดออกมาได้นั้น ไม่ใช่สิ่งที่กองกำลังทั่วไปสามารถทำได้แน่นอน
ครั้งนี้ลาร์ได้สังหารทหารม้านับร้อยนาย เช่นนั้นกองกำลังที่อยู่เบื้องหลังทหารม้านับร้อยนี่ ต้องส่งผู้ที่แข็งแกร่งกว่ามาแน่นอน
และมันก็เป็นอย่างที่หลัวซิวคาดการณ์เอาไว้จริง ๆ ด้วย ระยะเวลาหนึ่งวันยังไม่ผ่านพ้นไป เขาก็สัมผัสได้ว่ามีคลื่นออร่าที่แข็งแกร่งส่งตรงมาจากขอบฟ้าที่อยู่ห่างไกลออกไป ภายในนี้ยิ่งมีผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับแปดปนอยู่ด้วย
ไม่ว่ายังไงร่างกายที่สูงหลายพันเมตรของลาร์ก็โดดเด่นมาก ๆ การที่ฝ่ายตรงข้ามสามารถตามสะกดรอยมาได้อย่างง่ายดายนั้น ทั้งหมดก็อยู่ในการคาดหมายของหลัวซิวเช่นกัน
หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง ก็มีเงาดำหลายร่างปรากฏกลางท้องฟ้าที่อยู่ห่างไกลออกไป ในขณะที่หลัวซิวเห็นฝ่ายตรงข้าม กองทัพของฝ่ายตรงข้ามย่อมต้องเห็นเขาและลาร์อยู่แล้ว
“โครม!”
จู่ ๆ ก็มีเขาเซียนลูกหนึ่งกระแทกลงมาจากท้องฟ้าที่ว่างเปล่า อนัตตาถูกทุบจนแตกสลาย กลุ่มภูเขาล้มลง พลานุภาพมโหฬารพันลึก
ครั้งนี้ ผู้แข็งแกร่งที่ฝ่ายตรงข้ามส่งมามีค่อนข้างมาก หลัวซิวก็ไม่มีทางปล่อยให้ลาร์ไปรับมือคนเดียวอยู่แล้ว เห็นเพียงเงาร่างของเขาที่อยู่บนไหล่ลาร์ค่อย ๆ ลุกขึ้น แล้ววอร์มร่างกายครู่หนึ่ง
ตั้งแต่ที่นำพลังฉีกชั้นฟ้ากลั่นแปรหลอมรวมเข้าไปในร่างเนื้อ จนบรรลุถึงร่างเทวระดับแปดเป็นต้นมา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาออกรบ!
“ตู้มม!”
เขาปล่อยหมัดออกไปจนเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น มีพลังเต๋าที่ย้อนสังหารสวรรค์ ฉีกกระชากบดขยี้ทุกสรรพสิ่งแฝงซ่อนอยู่ด้วย ทำให้เขาเซียนที่กดอัดลงมาระเบิดแตกเป็นชิ้น ๆ ภายในพริบตา พังทลายอยู่กลางนภา
“ชัวะ!”
หลัวซิวสะบัดมือครั้งหนึ่ง ก็มีจิตสังหารที่ไร้ขอบเขตผนึกรวมกันบนหอกยุทธ์สีแดงเลือดหนึ่งเล่ม แล้วแทงทะลวงอนัตตา
เสียงกรีดร้องที่น่าเวทนาดังมาจากท้องฟ้าที่อยู่ห่างไกลออกไป ผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเจ็ดขั้นสูงคนหนึ่ง ก็ถูกสังหารคาที่จนสลายหายไปพร้อมกับสมบัติบนตัว
“ผู้ใดบังอาจเป็นศัตรูกับสำนักเสว่หยูของกู!”
เสียงตะคอกที่โกรธเกรี้ยวสะท้อนมา ก่อนจะมีชายผู้น่าเกรงขามที่อยู่ในชุดเกราะสงครามสีเลือดหกระเหินเดินฟ้าเดินออกมา สายตารวดเร็วและเฉียบคม เขาโบกมือครั้งหนึ่ง เปลวไฟสีแดงเลือดที่ไร้ขอบเขตก็ครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ ม้วนซัดมาทางลาร์และหลัวซิว
ไม่ต้องให้หลัวซิวออกคำสั่ง ลาร์ก็คำรามพลางพุ่งฆ่าเข้าไปแล้ว ในส่วนของผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับแปดที่อยู่ในชุดเกราะสงครามสีเลือดนั้น ย่อมต้องปล่อยให้หลัวซิวเป็นผู้จัดการอยู่แล้ว
“สรรพวิถีล้วนว้าง!”
หลัวซิวยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกไป ทุกตำแหน่งที่นิ้วมือเคลื่อนผ่าน เปลวไฟสีเลือดก็ล้วนสลายหายไป เพียงชั่วพริบตาเดียว ฝ่ามือข้างนี้ก็ย่างกรายมาถึงเหนือศีรษะของชายผู้น่าเกรงขามนั่นแล้ว ก่อนจะกดอัดลงมา
“ตู้มม!”
เพียงฝ่ามือเดียว ก็มีความลึกซึ้งของสรรพวิถีล้วนว้างแห่งวิถีไร้ลักษณ์ผนึกรวมอยู่ ผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับแปดคนหนึ่งก็ถูกหลัวซิวสังหารคาที่แล้ว!
ชุดคลุมยาวดำดังฟึบฟับอยู่กลางสายลม เขาย่างเท้าเดินอยู่กลางอากาศที่ว่างเปล่า เงาร่างปานสายฟ้า พุ่งสังหารไปทางผู้คนในสำนักเสว่หยูโดยตรง ฝากผู้คนที่มีผลการฝึกตนอยู่ต่ำกว่าเทพมารระดับแปดให้ลาร์จัดการ ส่วนเขาก็มุ่งเป้าไปที่พวกเทพมารระดับแปดโดยเฉพาะ ขณะที่ฆ่าคน วิชากลั่นร่างกลืนเศษณ์ก็โคจรไปพร้อม ๆ กันด้วย เพื่อกลั่นแปรพละกำลังที่แฝงซ่อนอยู่ในศัสตราวุธของขลังต่าง ๆ
ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น ทุกครั้งที่สังหารหนึ่งคน เขาก็จะได้รับช่องจิตระดับแปดหนึ่งดวง หลังจากดูดกลืนกลั่นแปรช่องจิตแล้ว พลังญาณเทวของเขาก็จะเพิ่มขึ้น ซึ่งระดับความเร็วในการเพิ่มขึ้นนี้ อยู่เหนือการตบะในก่อนหน้านี้ของเขามาก ๆ
นี่จึงทำให้แววตาของหลัวซิวเป็นประกายขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ พลังญาณเทวเป็นหนึ่งในที่พึ่งพิงที่ทรงพลังที่สุดของเขาตลอดมา เนื่องจากระดับวิญญาณของญาณเทวอยู่เหนือช่องจิต!
“พลังญาณเทวยิ่งแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ พลังตัวสำนึกวิญญาณของข้าก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะสามารถอนุมานความลึกซึ้งของวิถีไร้ลักษณ์ได้ง่ายขึ้น มีเพียงการเข่นฆ่าถึงจะทำให้ข้าพัฒนาได้รวดเร็วมากขึ้นจริง ๆ ด้วย!”
วันนี้เป็นวันที่อนาถที่สุดในประวัติศาสตร์ของสำนักเสว่หยูอย่างแน่นอน ในเขตกลางแห่งโลกร้าง สำนักเสว่หยูไม่ใช่พรรคที่แข็งแกร่งมากเท่าไหร่นัก เดิมทีผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับแปดก็มีไม่มากอยู่แล้ว แต่กลับถูกชายหนุ่มที่อยู่ในชุดคลุมยาวดำคนหนึ่งสังหารคาที่ ท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมาย แล้วดูดกลืนช่องจิต
ร่างเนื้อเหล่าผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับแปดที่มีคุณธรรมสูงส่งในสำนักเสว่หยูก็ต่างพากันแตกสลาย ถูกดูดกลืนช่องจิต ไม่มีคนใดที่มีชีวิตรอดกลับไปได้
ตั้งแต่เริ่มต้นกระทั่งบัดนี้ หลัวซิวไม่ได้ลงมือต่อจอมยุทธ์ที่อยู่ต่ำกว่าเทพมารระดับแปดเลย เป้าหมายของเขาแค่ผนึกไปที่พลังออร่าของเหล่าเทพมารระดับแปดเท่านั้น ถึงแม้จะมีบางคนที่ตกตะลึงจนอกสั่นขวัญหายอยากหลบหนี แต่เมื่อเปรียบเทียบกับเขาที่ควบคุมเกณฑ์ปริภูมิและความเร็วพร้อมกันแล้ว ความเร็วของพวกเขาก็ต่างจากเขาไม่น้อยเลย
หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง เงาร่างของหลัวซิวหยุดอยู่กลางนภา ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้เขตพื้นที่ที่เขาอยู่เลย สายตาของจอมยุทธ์ทุกคนในสำนักเสว่หยูล้วนจับจ้องมาทางเขา ภายในแววตาล้วนเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวาดหวั่นที่ไร้ขอบเขต
เทพมารระดับแปด 14 คน ไม่มีคนใดที่รอดชีวิตเลย ล้วนถูกสังหาร!
ในส่วนของเหล่าจอมยุทธ์ที่อยู่ต่ำกว่าเทพมารระดับแปดนั้น หลัวซิวก็เบื่อที่จะลงมือสังหารเช่นกัน ส่วนมากล้วนถูกลาร์สังหาร แต่ก็มีบางส่วนที่หลบหนีไปได้
“ดูดกลืนช่องจิตเทพมารระดับแปดไป 14 ดวง การพัฒนาของพลังญาณเทวเท่ากับการตบะสิบปี!”
ข้อดีของการที่พลังญาณเทวได้รับการยกระดับนั้นมีเยอะมาก ซึ่งสิ่งที่ชัดเจนที่สุดก็คือตัวสำนึกแข็งแกร่งขึ้น นอกเหนือจากนี้แล้วระดับความเร็วในการฝึกตนก็มีผลเช่นกัน เพราะตัวสำนึกยิ่งแข็งแกร่ง ความเร็วในการฝึกตนก็ยิ่งเร็ว
……
ณ เขตกลางแห่งโลกร้าง ที่นี่มีคูเมืองที่โอ่อ่ายิ่งใหญ่ตั้งอยู่หนึ่งแห่ง กำแพงเมืองของคูเมืองแห่งนี้สูงโดดเด่นอย่างยิ่ง สูงเสียดเมฆ เขตพื้นที่ที่ครอบคลุมยิ่งกว้างเกือบหมื่นไมล์ กว้างใหญ่มากจนเหลือเชื่อ
และสิ่งที่เหลือเชื่อยิ่งกว่านั้นคือคูเมืองแห่งนี้ยังเป็นของขลังที่มีพลานุภาพเป็นหนึ่งอีกด้วย ซึ่งองค์ประกอบของของขลังชิ้นนี้ซับซ้อนอย่างยิ่ง ลายค่ายที่สลักจารึกอยู่ก็มีมากจนนับไม่ถ้วน สิ่งปลูกสร้างทั้งหลายในเมืองก็เหมือนดั่งชิ้นส่วนที่นับไม่ถ้วน ประกอบเป็นคูเมืองของขลังแห่งนี้
ซึ่งคูเมืองแห่งนี้ก็คือเมืองต้าฮวงโบราณนั่นเอง!
ภายในตำหนักแห่งหนึ่งในเมืองต้าฮวงโบราณ มีชายที่มีโฉมหน้างดงามยั่วเย้าคนหนึ่งยืนใช้มือทั้งสองข้างไขว้ไว้ด้านหลัง ส่วนด้านล่างของเขามีผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์สิบกว่าคนยืนเรียงกันอย่างเคารพนอบน้อม
“ยักษ์อัสนีที่กำเนิดจากตรีภพ? น่าสนใจดีแฮะ……”ชายหนุ่มแสยะยิ้มมุมปาก
“ท่านชายหวูจี๋ ข้าน้อยอยากได้ยินมาอีกด้วยว่าเหมือนยักษ์อัสนีนั่นจักมีเจ้าของอยู่ขอรับ เทพมารระดับแปดทั้ง 14 คนของสำนักเสว่หยูล้วนเขาคนดังกล่าวสังหาร จึงแสดงให้เห็นเลยว่าเขาไม่ใช่บุคคลที่มีจิตใจดีงาม!”
“ใช่ขอรับ หากท่านชายต้องการยักษ์อัสนีตัวนั้นมาเป็นสัตว์ที่ใช้ขี่ อัญเชิญผู้อาวุโสคนหนึ่งลงมือจักดีกว่านะขอรับ ซึ่งต้องทำสำเร็จได้อย่างง่ายดายแน่นอน!”
และชายหนุ่มคนนี้ก็คือเจ้าเมืองน้อยแห่งเมืองต้าฮวงโบราณ มีนามว่าฮวงหวูจี๋อายุยังน้อยแต่ก็เป็นผู้แข็งแกร่งแดนเทพมารระดับแปดแล้ว!
เขาไม่ได้เข้าร่วมการคัดเลือกอัจฉริยะของตระกูลเทียนฮวง เป็นเพราะเขารู้ตัวดีอยู่ว่าแม้นจักเข้าร่วมการคัดเลือกอัจฉริยะประเภทนั้น มันก็ไม่มีความหมายอะไรต่อเขา อีกทั้งจากตัวตนของเขา ก็ไม่สามารถเข้าร่วมตระกูลเทียนฮวงได้เช่นกัน
เมื่อฮวงหวูจี๋ได้ฟังข้อเสนอของเบื้องล่างที่ปรึกษา จึงส่ายหน้าอย่างไม่ใส่ใจ “เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ไยต้องรบกวนผู้อาวุโสด้วยเล่า? แต่ได้ยินมาว่านายท่านยักษ์อัสนีนั่น ก็เป็นคนหนุ่มคนหนึ่งเช่นกัน ท่านชายอย่างข้าก็อยากพบเห็นรู้จักอยู่”
หลัวซิวนั่งท่าขัดสมาธิอยู่บนหัวไหล่ลาร์ พลังวิญญาณที่แฝงซ่อนอยู่ในช่องจิตระดับแปดทั้ง 14 ดวงถูกเขากลั่นแปรโดยสิ้นเชิงแล้ว พลังญาณเทวมีการยกระดับอย่างสังเกตเห็นได้ชัด และยิ่งทลายประตูแห่งกฎเกณฑ์ บรรลุถึงเทพมารระดับเจ็ดขั้นปฐมภูมิ
แม้นจักเป็นเพียงเทพมารระดับเจ็ดขั้นปฐมภูมิ ทว่าเมื่ออาศัยความพิเศษของพลังญาณเทว ตัวสำนึกของเขาก็ไม่ด้อยกว่าเทพมารระดับแปดขั้นปฐมภูมิเลย
ปัจจุบัน ตัวสำนึกและร่างเนื้อต่างยกระดับขึ้นไปถึงเทพมารระดับแปดแล้ว ทว่ามีเพียงผลการฝึกตนของเขาเท่านั้นที่ยังหยุดอยู่ในระดับหกขั้นสูง นี่ก็เป็นเรื่องที่ทำให้หลัวซิวกลัดกลุ้มใจมาโดยตลอดเช่นกัน
หากเขาอยากทำให้ผลการฝึกตนมีการบรรลุ ก็จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากมาสั่งสม ถึงแม้กรองแก้วมรกตดั้งเดิมที่เขาได้รับมาจากแดนเทียนฮวงยังเหลือไม่น้อย แต่ถ้าเกิดอยากทลายการพันธนาการในแดนใหญ่ ก็ยังขาดอีกเล็กน้อยอยู่ดี
และในเวลานี้เอง เขาก็ลืมตาขึ้นมากะทันหัน จิตสัมผัสอะไรบางอย่างได้ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมอง พบว่ามีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเย้ายวนที่อยู่ในชุดแพรอันหรูหราหกระเหินเดินมาจากขอบฟ้าที่อยู่ห่างไกลออกไป