มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2740 มหาค่ายสยบฟ้า (ค่ายสยบฟ้า)
วัฏสงสารขนาดใหญ่กำลังใกล้สายตาของหลัวซิวเข้ามาเรื่อย ๆ บริเวณรอบ ๆ วัฏสงสาร มีเสาหินหนาสีดำทองต้นแล้วต้นเล่า บนเสาหินแต่ละต้นต่างสลักเอาไว้ด้วยลายเส้นที่ซับซ้อน ลายเส้นเหล่านี้รวมกันเป็นสัญลักษณ์นับไม่ถ้วน เปล่งประกายระยิบระยับเหมือนดั่งดวงดาว
หลัวซิวได้หยุดลง จับจ้องมองไป ที่สลักอยู่บนเสาหินนั้นคือลายค่าย แถมยังเป็นลายค่ายชั้นสูง ลายค่ายที่อยู่บนเสาหินแต่ละต้นต่างก็มีความสอดคล้องกัน กลายเป็นค่ายกล พันธนาการวัฏสงสารขนาดใหญ่วงนี้เอาไว้ที่นี่
“มหาค่ายสยบฟ้าในตำนานหรือ?”
หลัวซิวสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ไม่ว่าจะเป็นชาติก่อนหรือชาตินี้เขาก็ไม่เคยได้เห็นมหาค่ายสยบฟ้าที่แท้จริงมาก่อน เพียงเคยได้ยินจากตำนานโบราณเท่านั้น ว่ากันว่าค่ายกลชนิดนี้เป็นค่ายกลที่เกิดขึ้นจากการที่ยอดผู้แข็งแกร่งบำเพ็ญปรปักษ์ในยุคไท่ชูได้ตระหนักรู้จากฎีกาค่ายและสร้างมันขึ้นมา เพื่อใช้สยบสวรรค์โดยเฉพาะ
จ้าววัฏสงสารกับสวรรค์เป็นการดำรงอยู่ในระดับเดียวกัน ดังนั้นหลัวซิวจึงได้คาดเดาว่า มีเพียงมหาค่ายสยบฟ้า ถึงมีคุณสมบัติพอที่จะใช้กับจ้าววัฏสงสาร
หลัวซิวก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า เมื่อเขาเดินไปถึงหน้าเสาหินต้นหนึ่ง แรงกดดันมหาศาลไร้ขีดจำกัดกลุ่มหนึ่งพลันทับถมเข้ามา แรงกดดันกลุ่มนี้ไม่เหมือนกับพลังวัฏสงสาร แต่เป็นเพียงแรงสยบอย่างหนึ่ง เหมือนดั่งฝ่ามือของผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานผู้หนึ่งกดทับลงมาบนร่าง ทำให้เจ้ายากที่จะขัดขืน
“กร๊อบแกร๊บ!”
ทันทีทันใด หลัวซิวรู้สึกว่ากระดูกขาทั้งสองข้างของตัวเองเป็นสิ่งแรกที่ไม่สามารถต้านทานแรงกดดันก้อนนี้ได้ กระดูกขาถูกบดขยี้ภายใต้เสียงแกหัก จากนั้นร่างของเขา ก็ได้คุกเข่าลงไปกับพื้น เหงื่อไหลท่วมหัว
“เตากลั่นนภาจื่อเซียว!”
หลัวซิวขับเคลื่อนห้วงความคิด ตรงกลางระหว่างคิ้วเปิดออก เตากลั่นนภาจื่อเซียวลอยต้านลมออกมา เตาเซียนลอยอยู่เหนือศีรษะ สะเทือนดังกระหึ่ม ใช้มันเพื่อต่อต้านแรงกดดันจากมหาค่ายสยบฟ้า
ทว่ามหาค่ายสยบฟ้าเป็นค่ายกลระดับตำนาน ด้วยความสามารถในตอนนี้ของเขาไม่อาจต้านทานได้เลย เสียงแตกหักดังขึ้น ศีรษะของเขาก็ได้หลุบลงไป กระดูกต้นคอถูกทับจนหัก
“ศิลาเทวชิงเทียน!”
หลัวซิวตวาดเสียงดัง วิถีไร้ลักษณ์แสดงพลังแห่งชิงเทียนออกมา ศิลาเทวอันเก่าแก่ลอยออกมาจากร่างของเขา เพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ
“พรึบ!”
ระลอกคลื่นซัดสาดสายแล้วสายเล่า หลัวซิวรู้สึกว่าร่างกายผ่อนคลายลงไปมาก ศิลาเทวชิงเทียนสมกับที่เป็นสิ่งล้ำค่าที่ภูตสวรรค์อันดับหนึ่งทิ้งเอาไว้จริง ๆ หลังจากได้เซ่นมันออกมา ในที่สุดก็ต้านทานแรงกดดันของมหาค่ายสยบฟ้าเอาไว้ได้
แต่ถึงแม้ว่าศิลาเทวชิงเทียนจะสามารถต้านทานแรงกดดันเอาไส้ได้เกินกว่าครึ่ง ตัวหลัวซิวเองก็ไม่ได้สยบสักเท่าไรนัก เขาลอยตัวขึ้นมาทันที กระโดดเข้าไปในเตากลั่นนภาจื่อเซียว จากนั้นศิลาเทวชิงเทียนก็ได้ประทับอยู่บนฝาของเตาเซียน อาศัยของล้ำค่าทั้งสองชิ้นนี้ ต่อต้านอานุภาพของมหาค่ายสยบฟ้าขั้นแล้วขั้นเล่า
มหาค่ายสยบฟ้าในตำนาน ว่ากันว่าสามารถสยบได้แม้แต่สวรรค์ ทว่าหลัวซิวกลับได้พบจุดอ่อนของค่ายกลนี้เข้าแล้ว นั่นก็คืออานุภาพของมหาค่ายสยบฟ้า มันเปลี่ยนแปลงไปตามบุคคล
นั่นก็หมายความว่า หากเป็นผู้แข็งแกร่งในระดับสวรรค์หรือไม่ก็จ้าววัฏสงสาร เช่นนั้นมหาค่ายสยบฟ้าก็จะระเบิดอานุภาพทั้งหมดออกมา ส่วนหลัวซิวนั้นเป็นเพียงเทพมารระดับเจ็ด ดังนั้นอานุภาพของมหาค่ายสยบฟ้าจึงได้อ่อนแอลงไปหลายต่อหลายเท่า
ซึ่งนี่ก็หมายความว่า อยู่ในมหาค่ายสยบฟ้า ฝีมือผลการฝึกตนของเจ้ายิ่งแข็งแกร่ง พลังที่สยบเจ้าก็จะยิ่งร้ายกาจ
โชคดีที่หลัวซิวไม่ใช้เทพมารระดับเจ็ดธรรมดาทั่วไป ความสามารถที่แท้จริงนั้นแทบจะทัดเทียมได้กับเทพมารระดับเก้าแล้ว เกรงว่าต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานที่สร้างมหาค่ายสยบฟ้าขึ้นมาก็คงคิดไม่ถึงว่าจะมีคนสามารถทำถึงขั้นนี้ได้
กล่าวอย่างไม่ถ่อมตัว ก็คงมีเพียงหลัวซิวเท่านั้น หากเปลี่ยนเป็นเทพมารระดับเจ็ดคนอื่น ๆ เกรงว่าคงฝืนทนได้ไม่นานนัก ก็ต้องถูกพลังแห่งการสยบกดทับจนร่างแหลกสลาย
ภายในเตาเซียน หลัวซิวได้สร้างพลังชีวีนิรันกาลขึ้นมาโดยใช้วิถีไร้ลักษณ์เพื่อฟื้นฟูอาการบาดเจ็บของร่างกาย ส่วนตัวสำนึกนั้นได้กระจายออกไป พบว่าบริเวณรอบ ๆ วัฏสงสารขนาดใหญ่วงนั้น มีเสาหินมหาค่ายสยบฟ้าอยู่มากมายนับหมื่น พูดได้ว่าค่ายกลนี้ใหญ่จนคาดไม่ถึง แค่วัสดุที่ต้องสูญเสียไปจากการสร้างเสาหินนับหมื่นต้น ก็เป็นทรัพย์สินที่น่าสะพรึงกลัวอย่างสุดขีดแล้ว สุดยอดดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งยังไม่สามารถรับภาระเช่นนี้ได้
ในขณะเดียวกันนั้นหลัวซิวยังพบอีกว่าในวัฏสงสารขนาดใหญ่วงนั้น มีโลงศพเทวสีดำโลงหนึ่งลอยอยู่ด้านใน มองเห็นได้อย่างเลือนราง
“โลงศพเทวฝังสวรรค์ !”
หลัวซิวตะลึงหน้าถอดสี เขาคิดไม่ถึงว่าจะได้พบโลงศพเทวฝังสวรรค์อีกครั้งอยู่ที่นี่ หากไม่ใช่เพราะที่นี่มีพลังวัฏสงสารกระจายอยู่ เขาเกือบจะคิดว่าโลงศพเทวที่สยบปรโลกอยู่ที่มหาโลกาพันสามได้ลอยมาที่นี่เสียแล้ว
“ฝีมือร้ายกาจจริง ๆ!” หลัวซิวอดไม่ได้ที่จะกล่าวยกยอ ไม่เพียงใช้ค่ายกลในตำนานอย่างมหาค่ายสยบฟ้า แถมยังได้ใช้โลงศพเทวฝังสวรรค์ เห็นได้ชัดว่าต้องการสยบตายจ้าววัฏสงสารยุคที่แปดเอาไว้ ทำให้เขาพลิกสถานการณ์ได้ไปตลอด
ทันใดนั้นเอง หลัวซิวก็สัมผัสได้ว่ามีรัศมีพลังอันแรงกล้าอยู่ที่ด้านหลัง เขาหันกลับไปดู ก็เห็นว่าบรรดาเทพมารระดับเก้าจากแดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ กำลังร่วมมือกันขับเคลื่อนต้นเทวหลากสีต้นหนึ่ง และได้มาถึงห้วงดาราแห่งนี้เช่นเดียวกัน
“พวกเขาเข้ามาได้อย่างไร?” หลัวซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาเปิดประตูหินโดยอาศัยสิ่งล้ำค่าเทพสงครามทั้งสาม หากไม่มีราชาเทพขั้นเก้าขึ้นไปลงมือ อาศัยความสามารถของเทพมารระดับเก้าพวกนั้นไม่มีทางที่จะเปิดประตูหินได้ถึงจะถูก
แต่ตอนที่สายตาของหลัวซิวตกลงบนต้นเทวเจ็ดสีต้นนั้น ก็ได้เข้าใจขึ้นมาทันที ต้นเทวเจ็ดสีต้นนี้ เป็นของเลียนแบบสิ่งล้ำค่าสูงสุดชิ้นหนึ่งนั่นเอง แม้ว่าจะเป็นของเลียนแบบ แต่ก็มีอานุภาพไม่ธรรมดา บรรลุสูงถึงขั้นภัณฑ์ราชาเทพขั้นเก้า
บรรดาเทพมารระดับเก้าร่วมมือกันขับเคลื่อนภัณฑ์ราชาเทพ ก็ถือว่าสามารถแสดงอานุภาพที่ทัดเทียมกับราชาเทพระดับเก้าออกมาได้ ฝืนเปิดประตู ก็มีความเป็นไปได้อยู่
“สวรรค์ ดินแดนแห่งวัฏสงสาร!”
“นี่ก็คือสถานที่ผนึกจ้าววัฏสงสารยุคที่แปดในตำนานอย่างนั้นหรือ? เสาหินพวกนี้ล้วนสร้างขึ้นมาจากสุดยอดสมบัติแห่งยุคทั้งนั้น วัสดุที่ใช้ล้วนเป็นภัณฑ์เซียนที่สามารถสร้างภัณฑ์จักรพรรดิได้!”
แม้ว่าบรรดาเทพมารระดับเก้าต่างก็มีประสบการณ์มากมาย ตอนที่พวกเขามาถึงสถานที่แห่งนี้ ต่างก็พากันตกตะลึงอย่างสุดขีด
มหาทัณฑ์พรากชีวีในตำนานโบราณ เป็นธรรมดาที่พวกเขาต่างก็เคยฟังมาก่อน เล่าขานกันว่าผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานมากมายได้สละตัวเองเพื่อสยบผนึกจ้าววัฏสงสารยุคที่แปด เพียงแต่ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วสยบเอาไว้ที่ไหนเท่านั้นเอง
เทพมารระดับเก้าผู้หนึ่งเกิดความโลภขึ้นมา กระโดดลอยตัวขึ้น ยกมือแล้วคว้าเข้าไปที่เสาหินต้นหนึ่งของมหาค่ายสยบฟ้า เห็นได้ชัดว่าต้องการเอาเสาหินที่ทำจากยอดสมบัติแห่งยุคต้นนี้มาครอบครอง
ทว่าร่างของเขายังไม่ทันเข้าใกล้เสาหิน แรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวอย่างไรขอบเขตก้อนหนึ่งพลันกดทับเข้ามา เทพมารระดับเก้าผู้นั้นยังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบสนองใด ๆ ร่างของเขาก็ถูกทับจนแหลกละเอียดไปในชั่วพริบตา เลือดไหลสาด น่าเวทนาสิ้นดี!
“ทุกคนระวัง! เป็นมหาค่ายสยบฟ้าในตำนาน!”
ชายชราผู้หนึ่งกล่าวขึ้นด้วยความตกใจ ทุกคนรู้ถึงความร้ายกาจทันที ไม่ก็เดินออกมาด้านหน้าโดยพลการ
“เป็นค่ายกลที่ร้ายกาจยิ่งนัก แม้แต่เทพมารระดับเก้ายังต้านทานไม่ได้ เหตุใดเจ้าหนุ่มนั่นถึงยังอยู่ในค่ายกลได้อย่างปลอดภัยเล่า?” เทียนซ่าเเจินจวินสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นก็สังเกตเห็นหลัวซิวที่อยู่ในมหาค่ายสยบฟ้าซึ่งอยู่ไกล ๆ และได้ยื่นมือชี้ไป
“ตามที่อานุภาพของมหาค่ายสยบฟ้าได้เปลี่ยนแปลงไปตามบุคคล ผลการฝึกตนยิ่งต่ำ พลังของการสยบก็จะยิ่งอ่อนแอ ผลการฝึกตนยิ่งสูง พลังของการสยบก็จะยิ่งแข็งแกร่ง” ชายชราผู้ดูเหมือนจะเข้าใจค่ายกลอยู่บ้างผู้นั้นกล่าวอธิบาย
เช่นนี้ก็ไม่เท่ากับว่า ผู้ที่ยิ่งมีผลการฝึกตนต่ำเข้ามาด้านใน ก็จะยิ่งได้เปรียบหรอกหรือ?” เทียนซ่าเเจินจวินมีสีหน้าดูไม่ค่อยดีนัก เทพมารระดับเก้าที่ถูกมหาค่ายสยบฟ้าทับตายไปในเมื่อสักครู่ มีฝีมือที่พอ ๆ กันกับเขา เช่นนั้นหากเขาเข้าไป ก็มีเพียงต้องตายสถานเดียว
“ก็ไม่แน่หรอก!”
ตามที่เทียนซ่าเเจินจวินได้กล่าวมา ยู่ช่าโหมวจวินกลับส่ายศีรษะ กล่าว: “ต่อให้เป็นผู้มีผลการฝึกตนต่ำเข้าไป พลังการสยบที่ต้องต้านรับก็น่ากลัวเป็นพิเศษ อยู่เหนือขีดจำกัดที่แดนของตนเองจะสามารถต้านรับได้มากนัก”
พูดมาถึงตรงนี้ สายตาของยู่ช่าโหมวจวินก็มองไปทางหลัวซิวที่อยู่ในค่ายกล “เจ้าหนุ่มคนนั้นอยู่ในมหาค่ายสยบฟ้าโดยไม่เป็นอะไรได้ เป็นที่ประจักษ์ว่าความสามารถของเขาอยู่เหนือขีดจำกัดแดนผลการฝึกตนในตอนนี้ของเขาอีกมากนัก!”
“ชิงชิง เจ้าสายตาไม่เลวเลย!”
ยู่ช่าโหมวจวินยิ้มออกมา ดูเยือกเย็นสูงส่ง การแสดงออกของหลัวซิวยิ่งโดดเด่น นางก็ยิ่งพอใจ เพราะอย่างไรเสียฮู๋ชิงชิงก็เป็นศิษย์ที่นางเอ็นดูที่สุด
แน่นอนว่าสายตาของฮู๋ชิงชิงได้จับจ้องอยู่บนร่างของหลัวซิวมาตั้งแต่แรกแล้ว นางเป็นร่างกลับชาติมาเกิดของผู้บำเพ็ญปรปักษ์ในยุคไท่ชู แม้ว่าผลการฝึกตนในชาติก่อนจะด้อยกว่าการดำรงอยู่อย่างจ้าววัฏสงสารและสวรรค์มากมาย แต่รับรองได้ว่านางเป็นบุคคลที่ไม่ด้อยไปกว่าผู้แข็งแกร่งมหาศักดิ์ในปัจจุบันอย่างแน่นอน
อาศัยความทรงจำและประสบการณ์ของชาติก่อน นักยุทธ์ที่เกิดในโลกาดาราในพิภพที่ต่ำที่สุดคนหนึ่ง ต่อให้มีของวิเศษที่แปลงมาจากสิ้นส่วนกงล้อวัฏจักรธรรมอยู่ในครอบครอง ก็ไม่มีทางที่จะเดินมาถึงจุดนี้ได้ภายในระยะเวลาสั้น ๆ แค่พันปีอย่างแน่นอน
“บนร่างของเขาต้องมีความลับอย่างอื่นอยู่อีกเป็นแน่” นี่คือการคาดเดาของฮู๋ชิงชิง กระทั่งที่ว่าสามารถมั่นใจได้
ขีดจำกัดของแดนใดแดนหนึ่ง พูดขึ้นมานั้นมันง่าย แต่มีคนน้อยมากที่จะรู้ว่าสามารถทำถึงขั้นนั้นได้มันยากแค่ไหน ต่อให้เป็นฮู๋ชิงชิงตอนเป็นพรายสาวสวรรค์ในชาติก่อน นางก็รู้ตัวเองดีว่าไม่สามารถบรรลุถึงขีดจำกัดของแดนยุทธ์ในแดนใดแดนหนึ่งได้!
แต่หลัวซิวกลับไม่ใช่แค่เพียงบรรลุขีดจำกัด เขาถึงขั้นเหนือกว่าขีดจำกัดด้วยซ้ำ!
จุดที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดของมหาค่ายสยบฟ้า ก็คือขีดจำกัดที่ว่า ไม่ว่าเจ้าจะเป็นนักยุทธ์ในแดนใดก็ตาม ตราบใดที่ได้เข้าสู่บริเวณของมหาค่ายสยบฟ้า ก็จะต้องต้านรับพลังสยบที่ทัดเทียมกับขีดจำกัดของแดนนั้น ๆ
ต่อให้เป็นสวรรค์หรือจ้าววัฏสงสารในตำนาน อย่างมากก็แค่ทำได้ถึงขีดจำกัด ไม่สามารถเหนือกว่าขีดจำกัดไปได้เลย ไม่อย่างนั้นมหาค่ายสยบฟ้าก็คงสยบพวกเขาเอาไว้ไม่ได้
ด้วยเหตุนี้จึงเห็นได้ว่า ผู้ที่สามารถเดินไปมาตามอำเภอใจในมหาค่ายสยบฟ้าได้นั่น เป็นที่น่าสะพรึงกลัวถึงเพียงใด
แม้ว่าในใจของฮู๋ชิงชิงจะคิดเช่นนี้ ทว่าเทพมารระดับเก้าคนอื่น ๆ ที่อยู่ตรงนั้นกลับไม่ได้มีสายตาอันยาวไกลและความรู้ที่กว้างขวางเช่นนี้ จึงคิดไม่ถึงตรงจุดนี้เลยสักนิด
หลัวซิวไม่ได้สนใจคนพวกนี้ และเขาก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่ตนเองจะเดินกลับไปทางเดิม ยกเว้นยู่ช่าโหมวจวินแล้ว เกรงว่าบรรดาเทพมารระดับเก้าคนอื่น ๆ คงไม่ปล่อยตนเองไปง่าย ๆ อย่างแน่นอน
คิดมาถึงตรงนี้ เข้าก็เดินมุ่งหน้าไปยังวัฏสงสารต่อไป ปกติแล้วสถานที่เช่นนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะมีทางออกเพียงทางเดียว น่าจะมีทางอื่นอยู่อีก
“หากที่ที่มีสมบัติวิเศษอยู่ จะไม่ล้วนตกอยู่ในมือของเจ้าหมอนั่นหรอกหรือ? พวกเรามีภัณฑ์ราชาเทพขั้นเก้าอย่างต้นเทวเจ็ดสีอยู่ในมือ ภายใต้การร่วมมือขับเคลื่อน บางทีอาจสามารถต้านทานแรงสยบของมหาค่ายสยบฟ้าเอาไว้ได้ก็ได้” เทียนซ่าเเจินจวินเห็นหลัวซิวเดินหน้าต่อไป จึงอดไม่ได้ที่จะแสดงความคิดเห็นออกมา
ความคิดเห็นนี้ของเขา ได้รับความเห็นด้วยจากบรรดาเทพมารระดับเก้าคนอื่น ๆ ทันที
“ข้าไม่เห็นด้วย พวกเจ้าไม่รู้ถึงความร้ายกาจของมหาค่ายสยบฟ้า อย่างไรเสียข้าก็จะไม่ไปเสี่ยงอันตรายกับพวกเจ้าอย่างแน่นอน”
ทว่าในตอนนี้เองยู่ช่าโหมวจวินกลับได้แสดงความเห็นต่างขึ้นมา นางมาจากแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีมาร และแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีมารนั้นเป็นสำนักที่สร้างขึ้นโดยผู้บำเพ็ญปรปักษ์ ส่วนมหาค่ายสยบฟ้าก็ถูกสร้างขึ้นโดยผู้บำเพ็ญปรปักษ์เช่นเดียวกัน นางเคยอ่านพบคำอธิบายของมหาค่ายสยบฟ้าในคัมภีร์ของแดนศักดิ์สิทธิ์มาก่อน
“ยู่ช่าโหมวจวิน เจ้าหมายความว่าอย่างไร? ทุกคนร่วมมือกันมาจนถึงจุดนี้แล้ว หรือว่าเจ้าคิดถอยอย่างนั้นหรือ?” เทียนซ่าเเจินจวินกล่าวด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร