มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake – บทที่ 2742 กระจกเทพสะกดวิญญาณ

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2742 กระจกเทพสะกดวิญญาณ

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2742 กระจกเทพสะกดวิญญาณ

แน่นอนว่าพลังของวัฏจักรทั้งสามเส้น ถูกหลัวซิวดูดซับเข้าไปในร่างกาย นี่ทำให้ร่างเนื้อร่างเทวของเขาพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น

จนสูงถึงในระดับร่างเทวระดับแปดช่วงปลาย ประกอบเขาที่เขาดูดกลืนกลั่นแปรพละกำลังของอาวุธเทพระดับเก้าไปหลายชิ้น ทำให้ร่างเนื้อร่างเทวของเขาไม่ด้อยไปกว่าคนทั่วไปที่มีร่างเทวระดับเก้าขั้นปฐมภูมิ

พื้นที่ใจกลางโลกร้างกว้างขวางมาก หลังจากหลัวซิวออกจากการปิดขังฝึกตน ก็เดินทางมายังสถานบรรพบุรุษในสมัยก่อนของตระกูลเทพสงคราม ตามความทรงจำในชาติก่อน

เป้าหมายที่เข้าเดินทางมายังใจกลางของโลกร้าง เดิมทีก็เพื่อตามหาผู้สืบสกุลของตระกูลเทพสงคราม นอกจากนั้นก็เพื่อฝึกฝนตนเอง

ระหว่างทางที่เดินทางมาสถานบรรพบุรุษเทพสงคราม เขาเองก็ไม่ปล่อยให้การฝึกตนของตนเองล่าช้า ส่วนเจ้าหนูลาร์เองก็ฝึกตนอยู่ในตำหนักวัฏสงสารอย่างยากลำบาก ความกดดันที่มีมาอย่างยาวนาน ก็ค่อย ๆ แสดงให้เห็นวี่แววของความผ่อนคลาย

ครั้งน้หลัวซิวมีทรัพยากรสำหรับฝึกตนอยู่ในมืออย่างล้นหลาม เมื่อมีการสะสมทรัพยากรอยู่เป็นจำนวนมาก การที่ผลการฝึกตนของลาร์จะบรรลุถึงแดนเทพมารระดับแปดคงไม่ใช่เรื่องยาก

หลายเดือนต่อมา หลัวซิวก็เดินทางมาถึงสถานบรรพบุรุษของตระกูลเทพสงคราม

ในสมัยโบราณอันไกลโพ้น ตระกูลเทพสงครามรุ่งเรืองเป็นอย่างยิ่ง ถึงขั้นเรียกได้ว่า เป็นเจ้าแห่งโลกร้างโดยไม่ต้องสงสัย สถานบรรพบุรุษแห่งนี้ครอบคลุมพื้นที่รอบข้างนับล้านลี้ เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เคยยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกร้าง

ในยุคนั้น มีผู้แข็งแกร่งเกิดขึ้นในตระกูลเทพสงครามเป็นจำนวนมาก เทพมารระดับเก้าเพียงแค่หนึ่งคน สามารถเทียบได้กับราชาเทพระดับเก้าของแดนศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ ก่อนเกิดศึกสงครามมหาทัณฑ์พรากชีวี เจ้าเผ่าของตระกูลเทพสงคราม สามารถก้าวข้านแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้าได้แล้ว เพียงแต่ในตอนนั้น ยังไม่มีการพูดถึงผู้สูงส่ง เมื่อมีการปราบปรามและควบคุมจากจ้าววัฏจักรสงสาร ผู้ที่สามารถก้าวข้ามระดับนี้ได้ นับว่ามีน้อยนัก !

น่าเสียดายที่ไม่ว่าผู้สืบทอดจะรุ่งเรืองเพียงใดก็ย่อมมีวันตกต่ำ บรรพบุรุษทางสายเลือดของตระกูลเทพสงคราม ไม่พอใจที่โชคชะตาต้องถูกควบคุมโดยสวรรค์และจ้าววัฏสงสาร พวกเขาเคยเข้าร่วมศึกเทพมารท้าดวลสวรรค์ในยุคไท่ชู ดังนั้นจึงได้เปิดศึกสงครามพรากชีวีเพื่อต่อต้านการปกครองสวรรค์และควบคุมโชคชะตาทุกสรรพสิ่งของจ้าววัฏสงสาร !

ผู้แข็งแกร่งของตระกูลเทพสงครามต้องจบชีวิตลงคนแล้วคนเล่าในสงครามครั้งใหญ่อันน่าเศร้าสลดนั้น ผู้แข็งแกร่งที่จงรักภักดีต่อจ้าววัฏสงสารได้บุกเข้าไปในสถานบรรพบุรุษของตระกูลเทพสงคราม เรือรบจำนวนนับไม่ถ้วนและผู้แข็งแกร่งที่มากันอย่างมืดฟ้ามัวดิน ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า

นี่เป็นการต่อสู้นองเลือดอันน่าสลดใจที่ไม่เคยมีมาก่อน สถานบรรพบุรุษของตระกูลเทพสงครามถูกทำลายจนไม่เหลือชิ้นดี รากฐานของสถานบรรพบุรุษที่ควบคุมโชคชะตาของตระกูลเทพสงครามก็ถูกทำลายลงไปด้วย มีชนเผ่าของตระกูลเทพสงครามเพียงไม่กี่คนที่สามารถหนีรอดไปได้ และต้องดิ้นรนเพื่อประคองชีวิตให้รอดไปวัน ๆ

ไท่ซ่างฉิงในตอนนั้น เป็นเพียงผู้น้อยที่ผลการฝึกตนเพิ่งบรรลุถึงเทพมารได้ไม่นานนัก เขาไม่ได้เห็นหายนะครั้งนั้นด้วยตาตนเอง แต่ก็ได้ยินมาว่าน่าเวทนาขนาดไหน

วันเวลาล่วงเลยผ่านไปยาวนาน เวลาชะล้างทุกอย่างให้จางหาย ทำให้คนจำนวนมากลืมเลือนความมั่งคั่งของตระกูลเทพสงครามในวันเก่า รวมไปถึงผลงานชิ้นใหญ่และการเสียสละที่พวกเขาทำเพื่อราษฎรในใต้หล้า

บางครั้งก็มีนักยุทธ์จำนวนหนึ่งเดินทางมาที่นี่ ขุดพื้นที่ทุกแห่งจนกลายเป็นหลุมเป็นบ่อ เพื่อหาว่ามีสมบัติจากศึกครั้งใหญ่ในวันเก่าหลงเหลืออยู่บ้างหรือไม่

มีคนเคยเจออาวุธเทพระดับเก่าที่พังเสียหายอยู่ที่นี่ และมีคนเคยขุดเจอคลังสมบัติหนึ่งหลังที่ตระกูลเทพสงครามรักษาเอาไว้อย่างสมบูรณ์ เพื่อแย่งชิงสมบัติและโอกาส ระยะเวลาเนิ่นนานผ่านมาในภายหลัง ก็ยังมีคนนับไม่ถ้วนที่ตายลงที่นี่

สถานบรรพบุรุษที่ครอบคลุมพื้นที่นับล้านลี้ผืนนี้ แม้กระทั่งดินก็เป็นสีเลือด ถูกเลือดเทพมารฉาบจนดูไร้ซึ่งชีวิตชีวา

ผ่านไปหลายปีขนาดนี้ สมบัติที่พอจะหาได้ในสถานบรรพบุรุษแห่งนี้ ล้วนถูกคนค้นพบทั้งสิ้นแล้ว ดังนั้นสถานที่แห่งนี้จึงกลายเป็นดินแดนรกร้างที่ไม่มีใครสนใจ และโดยปกติแล้วจะไม่มีใครย่างกรายเข้ามาที่นี่

พื่นที่เส้นผ่านศูนย์กลางกว่าล้านลี้เงียบสงัด ทำให้หลัวซิวรู้สึกหดหู่ใจ ในที่สุดหลัวซิวก็มองเห็นเมืองเมืองหนึ่งตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับสถานบรรพบุรุษแห่งนี้

เมืองนี้ไม่ใหญ่นัก มีจำนวนประชากรไม่เกินหนึ่งแสน ส่วนใหญ่เป็นคนแก่และผู้ป่วย ระดับการฝึกตนสูงสุดที่มีก็อยู่เพียงแค่แดนเทพฟ้าเท่านั้น

“หาเจอแล้ว !”

หลัวซิวเหาะลงมาจากอากาศ เขาสัมผัสได้ถึงออร่าสายเลือดของตระกูลเทพสงครามที่ออกมาจากตัวของผู้คนที่อยู่ในเมืองแห่งนี้ เพราะตัวเขาเองก็เคยฝึกตนวิถียุทธสายเลือด ย่อมไม่มีทางมองออร่าสายเลือดเหล่านี้ผิดไปอย่างแน่นอน

แต่ดูเหมือนตระกูลเทพสงครามโลกร้าง จะมีชีวิตที่ยากลำบากยิ่งกว่าตระกูลเทพสงครามในโลกามนุษย์ อย่างไรเสีย ผู้แข็งแกร่งในโลกามนุษย์ก็มีอยู่ไม่มากนัก สภาพแวดล้อมในการดำเนินชีวิตก็ไม่โหดร้ายเช่นนี้ สายเลือดของซิงเฉินยังสามารถครอบครองดาวเคราะห์ดวงหนึ่งได้ และสืบทอดเชื้อสายต่อไป ขอเพียงไม่ล่วงเกินศัตรูที่แข็งแกร่ง ก็ไม่มีทางเกิดภัยพิบัติอย่างการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ขึ้นได้

แต่ในโลกร้างนั้นต่างกัน เทพฟ้าผู้หนึ่งเมื่ออยู่ในโลกร้างเรียกได้ว่าแทบจะไร้ตัวตน ต่อให้คนในเมืองนี้ทั้งเมืองล้วนเป็นเทพฟ้า อาศัยเพียงเทพมารระดับห้าแค่คนเดียวก็สามารถสังหารพวกเขาทั้งหมดได้ด้วยนิ้วเดียว

ด้วยความสามารถระดับนี้ หากที่พวกเขาจะใช้ชีวิตอยู่ในโลกร้างนับว่าเป็นเรื่องยากลำบากจริง ๆ แทบหาทรัพยากรในการฝึกตนใด ๆ ไม่ได้เลย ถึงขั้นว่าอาจถูกผู้อื่นฆ่าตายได้ตลอดเวลา

ตอนที่หลัวซิวมาถึงทางเข้าเมือง ชายหนุ่มรูปร่างกำยำสองสามคนก็รีบจ้องมองมาทางเขาอย่างประหม่า

คนเหล่านี้เป็นผู้ที่มีผลการฝึกตนแข็งแกร่งที่สุดในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ ทั้งหมดล้วนอยู่ในแดนเทพฟ้าขั้นสูง

“ไม่ต้องกังวล ข้าไม่ได้คิดร้ายกับพวกเจ้า”

หลัวซิวค่อย ๆ เอ่ยปากพูดขึ้น จากนั้นจึงยกมือขึ้นเสกม้วนหยกแล้วโยนออกไป

ชายหนุ่มผู้เป็นหัวหน้าที่ยืนอยู่ตรงข้ามแสดงสีหน้าสงสัย จากนั้นจึงคว้าม้วนหยกเอาไว้ด้วยความลังเล แล้วใช้ตัวสำนึกแทรกซึมเข้าไปภายใน

หลังจากนั้น ร่างกายของเขาก็สั่นเทา แววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ

“วิ ! ……วิชาเทพสงคราม ? ท่าน……ท่านคือ……” เพราะตกใจและประหลาดใจเกินไป ทำให้หัวหน้าของตระกูลเทพสงครามผู้นี้ ถึงขั้นพูดจาตะกุกตะกักขึ้นมา

“อะไรนะ ? หัวหน้า ท่านบอกว่าสิ่งที่บันทึกอยู่ในม้วนหยกนี่คือวิชาเทพสงครามอย่างนั้นหรือ ? ไม่ใช่ของปลอมหรอกใช่ไหม ?” เมื่อคนอื่น ๆ ได้ยินดังนั้น ก็ค่อย ๆ ตาลุกวาวขึ้นมา

หลังจากภัยพิบัติเมื่อนานมาแล้ว วิชาเทพสงครามก็สูญหายไป มีเพียงเคล็ดเซียนวิชาจิต ที่เพียงพอสำหรับฝึกตนถึงแดนเทพฟ้าเหลือทิ้งไว้เท่านั้น

ในอดีต หลัวซิวได้รับการถ่ายทอดวิชาเทพสงครามหลังจากผ่านวัฏสงสาร ตอนนี้ถึงแม้เขาไม่จำเป็นต้องผ่านวัฏสงสาร ก็สามารถอาศัยวิถีลักษณ์ของตนเอง สรุปสาระสำคัญของวิชาเทพสงครามได้ !

วิชาเทพสงครามที่สมบูรณ์ ถึงแม้จะไม่ใช่เคล็ดเซียนระดับผู้สูงส่ง แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นรองแค่เพียงวิชาเคล็ดเซียนผู้สูงส่งแล้ว

หลัวซิวอธิบายถึงจุดประสงค์ในการมาของตนเอง และพูดถึงเรื่องเชื้อสายของซิงเฉินสิ่งนี้ทำให้คนของตระกูลเทพสงครามในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ ล้วนตื่นเต้นจนน้ำตาไหลอาบแก้ม

หลายปีมานี้ พวกเขาในแต่ละยุคล้วนจบชีวิตลงไม่รู้เท่าไร แต่กลับทำได้เพียงประคองชีวิตให้อยู่รอดไปวัน ๆ ใกล้ ๆ กับสถานบรรพบุรุษ เกรงว่าผ่านไปอีกเพียงกี่ปี สายเลือดของพวกเขาคงต้องจบสิ้นลงแล้ว

และหลัวซิวก็นำพาความหวังมาให้กับพวกเขา ทำให้พวกเขาเห็นรุ่งอรุณที่ตระกูลเทพสงครามจะเรืองรองขึ้นมาอีกครั้ง !

สถานบรรพบุรุษของตระกูลเทพสงครามถูกทำลายลงแล้ว สายบรรพบุรุษในอดีตก็หายสาบสูญ ถูกคนพรากไป สถานการณ์เช่นนี้ คล้ายคลึงกับที่เส้นทางดาราหวูซินถูกคนพรากลมปราณเซียนพลังจิตไป แต่สายบรรพบุรุษนับเป็นสิ่งที่เหนือชั้นยิ่งกว่าลมปราณเซียนพลังจิต เหมือนกับความแตกต่างระหว่างอาวุธเทพระดับแปดและอาวุธเทพระดับเก้า

เมื่อไม่มีสายบรรพบุรุษ ก็เป็นดินแดนรกร้าง และสถานบรรพบุรุษของตระกูลเทพสงครามก็จะถูกทำลายได้รับความเสียหายหนักขึ้น ไม่เหมือนเส้นทางดาราหวูซิน ที่ถูกพรากลมปราณเซียนไปเท่านั้น แต่ไม่ได้ถูกทำลายอย่างหนัก

“ถึงเวลาที่ควรกลับมาสักครั้งแล้ว”

เมืองเล็กทั้งเมืองถูกหลัวซิวเคลื่นย้ายเข้าไปในตำหนักวัฏสงสาร เขาเหาะขึ้นไป และออกจากดินแดนขนาดใหญ่ที่รกร้างแห่งนี้

ตอนนี้ผลการฝึกตนของเขาบรรลุถึงแดนเทพมารระดับเจ็ดแล้ว และมีกำลังรบเทียบเท่ากับเทพมารระดับเก้า เขาออกมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว จึงคิดที่จะกลับไปยังหุบเขาสยบปีศาจสักครั้ง

“ผ่านไปหลายปีขนาดนี้ ไม่รู้ว่าเยว่เอ๋อร์กับซีโรว่ฝึกตนไปถึงแดนไหนแล้ว”

ในสมองปรากฏภาพใบหน้าของหญิงสาวทั้งสอง ในใจของหลัวซิวไม่เพียงแค่รู้สึกคิดถึงเท่านั้น แต่เป็นเพราะเขาใช้เวลาส่วนมากมหดไปกับการฝึกตนและเก็บเกี่ยวประสบการณ์ จึงรู้สึกผิดในใจต่อหญิงสาวทั้งสองคนไม่น้อย

หุบเขาสยบปีศาจซ่อนอยู่ในส่วนลึกของห้วงดาราที่อยู่ทางอาณาจักรตะวันออกของโลกร้าง ในฐานะที่หลัวซิวเป็นเจ้าของหุบเขาปีศาจ ไม่ว่าจะอยู่ไกลแค่ไหน ก็สัมผัสถึงตำแหน่งของหุบเขาปีศาจได้

ระหว่างทางกลับ เขายังคงฝึกตนอย่างต่อเนื่อง หากต้องการเดินทางจากจุดศูนย์กลางของโลกร้างไปยังอาณาจักรตะวันออก จะต้องข้ามห้วงดารากว้างใหญ่ จึงไม่สามารถกลับไปถึงในระยะเวลาอันสั้นได้

ตอนนี้เขามีทรัพยากรจำนวนมากอยู่ในครอบครอง หลัวซิวคาดว่าใช้เวลาอีกหนึ่งถึงสองปี ผลการฝึกตนของเขาก็จะบรรลุถึงเทพมารระดับเจ็ดได้ และการที่ผลการฝึกตนจะบรรลุถึงเทพมารระดับแปดภายในสิบปี ก็คงไม่ใช่เรื่องยาก

ไม่ทันจะรู้ตัว เวลาก็ผ่านไปหลายเดือนแล้ว บรรดาคนของตระกูลเทพสงครามเหล่านั้น ล้วนทยอยบรรลุการฝึกตนอยู่ในตำหนักวัฏสงสาร มีจำนวนไม่น้อยที่มีผลการฝึกตนถึงแดนราชาเทพแล้ว

ผลการฝึกตนของหลัวซิวเองก็บรรลุถึงเทพมารระดับเจ็ดขั้นปฐมภูมิขั้นสูง นี่ต้องขอบคุณเขากรองแก้วม่วงที่เขาได้รับมา จึงมีกรองแก้วม่วงดั้งเดิมสำหรับใช้ในการฝึกตน ทำให้การฝึกตนของเขารวดเร็วถึงเพียงนี้

ตามที่เขาคาดการณ์เอาไว้ ผ่านไปอีกเพียงไม่กี่เดือน ก็จะฝ่าฟันกฎเกณฑ์ และบรรลุถึงเทพมารระดับเจ็ดช่วงกลางได้

หลัวซิวรู้ดีว่า แดนศักดิ์สิทธิ์ของชนเผ่าเฉว่ซ่าเหล่านั้น ไม่มีวันปล่อยเขาไปง่าย ๆ ดังนั้นเขาจึงไม่จงใจทิ้งร่องรอยของตนเองเอาไว้ แต่ทันใดนั้นเอง ทันทีที่หัวใจของเขาเต้น ก็มีแสงเทวเส้นหนึ่งลอยมาจากที่ไกล ๆ และพุ่งมาถึงศีรษะขอเขาในทันที และปกคลุมเขาเอาไว้ในแสงเทว

แสงเทวเส้นนี้ เป็นแสงสะท้อนเส้นหนึ่ง มีนักยุทธ์สองคน คนหนึ่งชรา อีกคนอายุน้อย ล้วนมีสีหน้าเย็นชา กำลังขี่กระจกเทพบานหนึ่ง และเหาะตรงเข้ามาทางนี้

“กระจกเทพสะกดวิญญาณ !”

หลัวซิวมีสีหน้าเปลี่ยนไป จากนั้นนักยุทธ์แก่หนุ่มทั้งสอง ก็มาถึตรงหน้าของเขาอย่างรวดเร็ว และแสงสะท้อนก็กำหนดเป้าหมายไปที่เขา

“เจ้าคือคนที่นายท่านให้พวกเราตามหา ไปกับพวกเราเสียเถอะ !” ชายชราสวมชุดคลุมยามสีขาว พูดขึ้นด้วยแววตาเย็นชา

“เมิ่งเชียนชางใช้ให้พวกเจ้ามาหรือ ?”

หลัวซิวหรี่ตาลงเล็กน้อย เมื่อครู่ในขณะที่ถูกแสงสะท้อนของกระจกเทพสะกดวิญญาณปกคลุม เขาก็รู้สึกได้ถึงออร่าของเมิ่งเชียนชาง เพราะออร่าวิญญาณของเขา มีเพียงเมิ่งเชียนชางเท่านั้นที่รู้ดีที่สุด

อันที่จริงแล้ว ตั้งแต่ที่วิถีไร้ลักษณ์เปิดออกในแดนมกุฎเทพ หลัวซิวก็สามารถโคจรการเปลี่ยนแปลงวิถีลักษณ์ สำหรับเปลี่ยนแปลงออร่าวิญญาณของตนเองได้

แต่หลายปีมานี้ เขาไม่ได้ทำเช่นนี้ เพราะต้องการรอให้เมิ่งเชียนชางเป็นฝ่ายมาหาถึงที่ในสักวัน

เมิ่งเชียนชางรู้ว่าหลัวซิวก็คือไท่ซ่างฉิง หลังจากที่เขามาถึงโลกร้างก็ไม่ได้ปิดบังชื่อแซ่อีก ชื่อที่เขาใช้ท่องไปทั่วหล้าก็คือชื่อหลัวซิว เขาเชื่อว่าหากเมิ่งเชียนชางได้ยินชื่อนี้ จะต้องมาหาเขาอย่างแน่นอน

“บังอาจ ! กล้าเอ่ยนามอันยิ่งใหญ่ของนายท่านเชียวหรือ !” ชายชราผู้นั้นรู้สึกโกรธจนเดือดดาลในทันที

“เมิ่งเชียนชางไม่มาด้วยตนเอง แต่กลับให้พวกเจ้ามารนหาที่ตายอย่างนั้นหรือ ?”

หลัวซิวหัวเราะร่า จากนั้นจึงฟาดมือใส่ชาราที่อยู่ตรงหน้า

“ใจกล้ายิ่งนัก เป็นแค่เทพมารระดับเจ็ด กล้าลงมือกับข้าอย่างนั้นหรือ ? ยังไม่ยอมให้จับกุมเสียโดยดีอีก จะต้องไม่ต้องหาเรื่องใส่ตัว ?”

ชายชรายิ้มเยาะ ทันทีที่มีคนถูกกระจกเทพสะกดวิญญาณระบุเป้าหมาย ก็จะไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อีก เพราะสิ่งที่แสงสะท้อนระบุเป้าหมายคือวิญญาณดั้งเดิม

ในสถานการณ์เช่นนี้ อีกฝ่ายยังกล้าลงมืออีก ในสายตาของเขาถือเป็นการรนหาที่ตายอย่างเห็นได้ชัด

แต่วินาทีถัดมา ชายชราผู้นี้กลับยิ้มไม่ออกอีก เพียงฝ่ามือเดียว หลัวซิวก็ทำลายแผนการของเขาทั้งหมด ใช้มือบีบไปที่คอของเขาแล้วยกเขาขึ้นมา ผลการฝึกตนแดนเทพมารระดับแปดในตัวเขา ถูกระงับไว้ที่ร่างใน จึงไม่อาจมีเรี่ยงแรงขัดขืนได้

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

None

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท