มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2743 ทำลายกฎเกณฑ์
เมื่อถูกหลัวซิวจับไว้และระงับการฝึกตนในทันที ทำให้ชายชราหน้าถอดสี เหงื่อกาฬไหลพราก พลางตะโกนขึ้นด้วยเสียงแหบพร่า : “เจ้าคิดจะทำอะไร ! หากเจ้าอาจหาญกล้าทำร้ายข้าละก็ นายท่านไม่มีทางปล่อยเจ้าไปเป็นอันขาด !”
“อย่างนั้นหรือ ?”
หลัวซิวเผยรอยยิ้มเย็นชาออกมา ตัวสำนึกที่แข็งแกร่ง พุ่งตรงเข้าไปในตัวหยั่งรู้ของอีกฝ่ายทันที ภายใต้การโจมตีของตัวสำนึกที่แข็งแกร่งนี้ ถึงแม้ชายชราผู้นี้จะมีผลการฝึกตนถึงเทพมารระดับแปด ทำให้สูญเสียตัวธรรม จิตใจล่มสลายในทันที ช่องจิตวิญญาณถูกปราบปราม ความทรงจำที่เก็บอยู่ในตัวหยั่งรู้ ถูกหลัวซิวอ่านอย่างง่ายดาย
น้อยครั้งนักที่หลัวซิวจะขโมยความทรงจำของผู้อื่น แต่เมื่อเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเมิ่งเชียนชาง ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะไม่ใหความสำคัญ
“เป็นเช่นนี้นี่เอง !”
ความทรงจำของชายชราผู้นี้ ถูกหลัวซิวอ่านจนหมดจดในชั่วพริบตา เขาได้รับข่าวสารที่ต้องการจากความทรงจำของอีกฝ่าย
“เมิ่งเชียนชางตายยากจริง ๆ ด้วย คิดไม่ถึงเลยว่าเขาเองก็มาถึงโลกร้างแล้ว !”
จามความทรงจำที่ได้รับจากตัวหยั่งรู้องชายชราผู้นี้ เดิมทีเมิ่งเชียนชางอยู่ในโลกจักรภพ ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ เพิ่งจะพาคนกลุ่มหนึ่งเดินทางมาโลกร้าง อีกทั้งยังก่อพรรคตั้งสำนักขึ้นในโลกร้างอีกด้วย แต่พรรคที่เมิ่งเชียนชางสร้างขึ้นในโลกร้านนั้นไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังนัก
หลัวซิวรู้ดีว่า ที่เมิ่งเชียนชางท่องไปมาในโลกร้างก็เพื่อตามหาตนเอง เพราะเมิ่งเชียนชางรู้ดีว่า หากหลัวซิวฝึกตนถึงระดับหนึ่งและเดินทางออกจากมหาโลกาพันสาม สถานที่แรกที่จะต้องมาก็คือโลกร้าง
“เมิ่งเชียนชาง เจ้ายังคงหยิ่งยโสไม่เปลี่ยน คิดว่าส่งแค่เทพมารระดับแปดตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งมา ก็จะจับข้ากลับไปได้อย่างนั้นหรือ ?”
หลัวซิวหัวเราะเยาะ จากนั้นก็กดมือลงไป ชายชราเทพมารระดับแปดผู้นี้ ก็ถูกบดขยี้จนกลายเป็นผุยผง และมลายหายไปในทันที ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาถูกกดทับเอาไว้จนไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะตอบโต้
ส่วนเด็กหนุ่มที่เดินทางมาพร้อมกับชายชรา กลับตกใจจนอ้าปากค้างไปนานแล้ว ร่างกายของเขาสั่นเทา ถูกอำนาจของหลัวซิวเข้าครอบงำจนไม่กล้าแม้แต่จะคิดหลบหนี
แต่นับว่าหลัวซิวยังโชคดี ยังดีที่เมิ่งเชียนชางดูถูกเขา จึงส่งมาเพียงเทพมารระดับแปดคนหนึ่งเท่านั้น หากเมิ่งเชียนชางเดินทางมาด้วยตนเองแล้วละก็ ตอนนี้เขาอายยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเมิ่งเชียนชาง
จากความทรงจำของชายชรา ดูเหมือนผลการฝึกตนของเมิ่งชิงชางจะบรรลุถึงเทพมารระดับเก้าแล้ว แต่เมิ่งเชียนชางไม่ใช่แค่เทพมารระดับเก้าธรรมดา ๆ แต่สิ่งที่เขาฝึกตนคือเคล็ดเซียนวัฏสงสารสูงสุด !
ศึกก่อนยุคแห่งความโกลาหล ชาติก่อนของเขาไท่ซ่างฉิงเป็นผู้สูงส่ง ส่วนเมิ่งเชียนชางยังเป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์ อาศัยเคล็ดเซียนวัฏสงสารสูงสุดประกอบกับกงล้อวัฏจักธรรม หากต่อสู้กันคงต้องบาดเจ็บสูญเสียด้วยกันทั้งสองฝ่าย
ตั้งแต่ที่ความทรงจำอันเลวร้ายที่เหลืออยู่ของเมิ่งเชียนชาง ถูกเขาบดขยี้ในลูกแก้วความเป็นตาย จนถึงตอนนี้ก็เพิ่งผ่านมาไม่ถึงหนึ่งพันปี เมิ่งเชียนชางเองคงคิดไม่ถึงว่าการฝึกตนของเขาจะพัฒนาไปเร็วขนาดนี้ ดังนั้นจึงได้ส่งเทพมารระดับแปดคนหนึ่งมา
“ศัตรูคู่อาฆาตหรือ ?”
หลัวซิวหลับตาลง หลังจากผ่านยุคแห่งความโกลาหลมาช้านาน สุดท้ายแล้ว เขาและเมิ่งเชียนชางยังมีการต่อสู้ที่ต้องตัดสินแพ้ชนะกันอีก ถึงแม้เมิ่งเชีนงชางเพิ่งจะบรรลุถึงเทพมารระดับเก้าได้เพียงไม่นาน แต่ด้วยพรสวรรค์ของเขา เกรงว่าในแดนเดียวกันคงไม่มีใครเทียบได้ !
ถึงขั้นสามารถพูดได้อย่างไม่ต้องลังเลว่า ผู้แข็งแกร่งราชาเทพระดับเก้าจำนวนไม่น้อย ล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา !
“เปรี้ยง !”
เวทย์รวมตัวเป็นมือขนาดใหญ่ และสังหารชายหนุ่มที่เมิ่งเชียนชางส่งมาในทันที หลัวซิวแปลงกายเป็นแสงกลเส้นหนึ่ง แล้วหายวับไปในห้วงดารา
สองคนนี้ตายด้วยน้ำมือของเขา เขาเชื่อว่าเมิ่งเชียนชางจะต้องรับรู้ในทันทีอย่างแน่นอน แต่ด้วยความสามารถของเขาในตอนนี้ ยังไม่เพียงพอที่จะประมือกับเมิ่งเชียนชางได้ ดังนั้นสิ่งแรกที่หลัวซิวต้องทำในตอนนี้ก็คือ ยกระดับการฝึกตนของตนเอง
เดิมทีหลัวซิววงแผนที่จะกลับไปยังหุบเขาปีศาจ แต่ไม่รู้ข่าวของเมิ่งเชียนชางเข้าโดยไม่คาดคิด ทำให้เขาล้มเลิกความคิดที่จะกลับไปเป็นการชั่วคราว และหาสถานที่ที่เหมาะแก่การปิดขังฝึกตนเป็นอันดับแรก และนำทรัพยากรต่าง ๆ จำนวนมากสำหรับการฝึกตนออกมา กองกันไว้จนเป็นภูเขา
วิชาโคจร เปลี่ยนแปลงไร้ลักษณ์ ร่างกายของเขากลายเป็นหลุมดำ พลังงานหมุนเวียนมาบรรจบกันเข้าสู่ร่างใน ราวกับกระแสน้ำอันเชี่ยวกรากในแม่น้ำสายยาว
เมื่อมีทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์คอยสนับสนุน การฝึกตนของหลัวซิวก็เริ่มพัฒนาขึ้นในอัตราก้าวกระโดด ทุกหนึ่งชั่วยาม ผลการฝึกตนของเขาก็จะพัฒนาขึ้นอย่างยิ่ง ผลการฝึกตนในหนึ่งชั่วยาม ผลลัพธ์สามารถเทียบได้กับที่นักยุทธ์ทั่วไปปิดขังฝึกตนถึงสิบปี หรืออาจถึงร้อยปีก็เป็นได้ !
ผ่านไปเพียงแปดชั่วยาม ผลการฝึกตนของหลัวซิวก็บรรลุถึงเทพมารระดับเจ็ดช่วงกลางขั้นสูง ตามที่เขาประมาณการเอาไว้แต่เดิม อย่างน้อยต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งปีจึงจะพัฒนามาถึงระดับนี้ได้
ตามแผนเดิมทีเขาวางไว้ ต้องใช้เวลาสิบปีในการบรรลุแดนเทพมารระดับแปด แต่การปรากฏตัวของเมิ่งเชียนชาง ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงอันตราย ดังนั้เขาจึงต้องยกระดับผลการฝึกตนและกำลังรบของเขาให้สำเร็จภายในระยะเวลาอันสั้น
เวทย์อันปั่นป่วนคุกรุ่นอยู่ที่ร่างใน หลัวซิวไม่คิที่จะหยุดเลยแม้แต่น้อย กฎเกณฑ์การฝึกตนของแดนเล็ก ถูกเวทย์อันทรงพลานุภาพทำลายลงในชั่วพริบตา การฝึกตนของเขาบรรลุถึงเทพมารระดับเจ็ดช่วงปลายในทันที !
“เปรี้ยง !”
วินาที่ที่ฝ่าฝันกฎเกณฑ์การฝึกตนได้ ทัณฑ์สายฟ้าพิโรธก็มาถึง หลัวซิวค่อย ๆ ลืมตาทั้งสองข้างขึ้น แล้วเงยหน้ามองท้องฟ้าที่อยู่เหนือศีรษะ จากนั้นก็หรี่ตาลงเล็กน้อย
การฝึกตนที่พัฒนาอย่างรวดเร็วเกินไป จะทำให้แดนและรากฐานไม่มั่นคงได้ แต่ทัณฑ์สายฟ้าพิโรธกลับช่วยให้เขาอาศัยพลังนอกในการช่วยหล่อหลอมตนเองได้ ทำให้แดนและรากฐานที่ไม่มั่นคงเพราะการบรรลุที่ก้าวกระโดดมั่นคงขึ้นมาได้
นักยุทธ์ธรรมดา ๆ หากบรรลุแดนเล็กจะไม่เกิดทัณฑ์สายฟ้าพิโรธขึ้น และเป็นเพราะอาศัยจุดนี้ หลัวซิวจึงกล้าฝืนข้อห้ามในการฝึกตน และยกระดับการฝึกตนอย่างบ้าคลั่ง
พลังแห่งสวรรค์อันเจิดจรัสรวมตัวกันอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่การฝึกตนของเขาแข็งแกร่งขึ้น พลังของทัณฑ์สายฟ้าพิโรธเองก็แข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน มีงูสีเต้นเลื้อยไปมาอย่างบ้าคลั่งท่ามกลางฟ้าร้อง สายฟ้าทุกสายดูราวกับหล่อมาจากทองคำ เมื่อฟาดลงมากลางอากาศ ก็เหมือนกับหอกเทวทองคำที่ลอยอยู่กลางท้องฟ้า
เพราะเป็นการฝืนฝ่าฟันกฎเกณฑ์การฝึกตน ดังนั้นแดนของหลัวซิวจึงไม่มั่นคง ด้วยเหตุนี้ ทัณฑ์สายฟ้าครั้งนี้จึงยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรเสียเขาก็บำเพ็ญปรปักษ์ และทัณฑ์สายฟ้าของการบำเพ็ญปกปักษ์ ก็เพื่อกำจัดบำเพ็ญปรปักษ์ให้หมดสิ้น ไม่ยินยอมให้มีการบำเพ็ญปรปักษ์อยู่ในโลกนี้
ทัณฑ์สายฟ้าประเภทนี้ เรียกว่าคือทัณฑ์ของการบำเพ็ญปรปักษ์ อยู่ในจักรวาลมาจนกระทั่งทุกวันนี้ เรียกได้ว่าเป็นภัยพิบัติที่น่ากลัวที่สุดในโลก !
อัสนีเทวจำนวนนับไม่ถ้วนฟาดลงมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ปล่อยให้ผู้ที่ข้ามผ่านทัณฑ์ มีโอกาสได้หายใจเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ร่างเนื้อของหลัวซิว จะแข็งแกร่งเทียบเท่ากับอาวุธเทพระดับเก้าแล้ว ก็ยังคงถูกฟาดจนแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ถึงขั้นที่ว่า โลหิตในร่างกายของเขาถูกเผาผลาญไปจนสิ้นและชีวิตแทบจะดับสูญลง จึงจะฝืนเอาชีวิตรอดมาได้โดยที่ร่างกายบาดเจ็บสาหัส
ร่างเนื้อของหลัวซิวใช้วิถีไร้ลักษณ์เปลี่ยนแปลงเกณฑ์นิรันดร์ของชีวิต และจารึกรูปแบบของกฎลงไปในเลือดเนื้อนานแล้ว ด้วยเหตุนี้ ต่อให้เขาจะเผาผลาญโลหิตทั้งหมดไป ขอเพียงมีโอสถทิพย์ยาเซียน โลหิตที่สูญเสียไปก็สามารถฟื้นฟูกลับมาได้ อีกทั้งยังไม่ส่งผลกระทบต่อรากฐานของชีวิตอีกด้วย
ตั้งแต่ปิดขังฝึกตนจนกระทั่งบรรลุ ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งวัน แต่ข้ามผ่านทัณฑ์กลับใช้เวลาติดต่อกันสามวันสามคืน ส่วนการฟื้นฟูโลหิตที่ได้รับความเสียหายและสูญเสียไปนั้น ต้องใช้เวลาถึงครึ่งเดือน !
ผลการฝึกตนเทพมารระดับเจ็ดช่วงปลาย หลัวซิวยังไม่รู้สึกพอใจนัก เขายังคงปิดขังฝึกตนต่อไป และยกระดับผลการฝึกตนขึ้นสู่เทพมารระดับเจ็ดขั้นสูงในคราวเดียว !
การฝ่าฟันกฎเกณฑ์สองแดนเล็กโดยไม่สนใจผลที่จะตามมา มาถึงขีดจำกัดแล้ว ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ หลัวซิวก็รู้ดีว่า อาศัยผลการฝึกตนเพียงเท่านี้ ยังไม่เพียงพอที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเมิ่งเชียนชาง แต่หากมีผลการฝึกตนเทพมารระดับเจ็ดขั้นสูง อย่างน้อยเขาก็มีความสามารถที่จะปกป้องตนเองได้
บรรลุการฝึกตน ทัณฑ์สายฟ้าพิโรธมาถึงอีกครั้ง ก่อนหน้านี้ ทุกครั้งที่เขาข้ามผ่านทัณฑ์ล้วนอาศัยร่างเนื้อและความแข็งแกร่ง ไม่เคยต้องใช้พลังนอกอย่างเช่นสมบัติศัสตราวุธมาก่อน
แต่ครั้งนี้ สุดท้ายเขาใช้แม้กระทั่งเตากลั่นนภาจื่อเซียว มิเช่นนั้นเขาแทบต้องจบชีวิตลงในทัณฑ์สายฟ้าแล้ว
และครั้งนี้ ระยะเวลาในการฟื้นฟูของเขายิ่งนายขึ้น โดยใช้เวลาเกือบสี่เดือนถึงจะฟื้นฟูกลับมาได้
ถึงแม้กระบวนการจะยากลำบาก แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็ทำให้หลัวซิวรู้สึกพอใจ ด้วยแดนเทพมารระดับเจ็ดขั้นสูง ทำให้การฝึกตนของเขาเทียบได้กับเทพมารระดับเก้าธรรมดาแล้ว ภายใต้การหล่อหลอมของทัณฑ์สายฟ้าพิโรธที่น่ากลัว ทำให้ร่างเนื้อร่างเทวของเขาก็เกิดการบรรลุถึงร่างเทวระดับแปดขั้นสูง ! ซึ่งเทียบได้กับร่างเทวระดับเก้า !
ตอนนี้ หลัวซิวรู้สึกว่าการฝึกตนของตนเองนั้น สว่างไสวเหมือนทะเลดวงดาว แต่เขาก็รู้ดีว่า เป็นเพราะผลการฝึกตนมีการพัฒนาที่เร็วเกินไป ทำให้เกิดภาพลวงตาอย่างหนึ่งขึ้นมา ถึงขั้นว่า เพราะการฝึกตนที่พัฒนาอย่างรวดเร็วเกินไป ทำให้ตัวธรรมได้รับผลกระทบเล็กน้อย
“ฟึบ !”
ในขณะที่โบกมือ ค่ายกลที่อยู่รอบด้านก็ค่อย ๆ สลายไป ธงค่ายแต่ละริ้วกลยเป็นลำแสง และลอยเข้าสู่แหวนเก็บของ
ทันทีที่ใช้ความคิด ตำหนักวัฏสงสารก็ลอยออกมาจากห้วงจักร ลาร์และชนเผ่าเก่าแก่ของตระกูลเทพสงครามต่างค่อย ๆ ปรากฏตัวออกมา
“ลาร์ ข้ามีเรื่องบางอย่างต้องไปทำ เจ้าจงรับผิดชอบพาชนเผ่าเก่าแก่ของตระกูลเทพสงครามเหล่านี้ เดินทางยังไปที่ตั้งของหุบเขาสยบปีศาจ”
หลัวซิวเรียลาร์เข้ามาหา แล้วหยิบป้ายบัญชาการแผ่นหนึ่งออกมายื่นให้เขา และพูดว่า : “มือถือป้ายบัญชาการแผ่นนี้เอาไว้ ก็จะรับรู้ถึงที่ตั้งของหุบเขาสยบปีศาจได้ จงเจ้าไว้ว่าต้องเดินทางอย่างระมัดระวัง ห้ามก่อเรื่องเด็ดขาด !”
ตอนนี้ผลการฝึกตนของลาร์ก็บรรลุถึงเทพมารระดับแปดแล้ว นอกเสียจากจะประจันหน้ากับผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเก้า มิเช่นนั้น อาศัยความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ ก็นับว่าไม่ต้องเกรงกลัวผู้ใดในห้วงดาราอีก ด้วยเหตุนี้ หลัวซิวจึงได้ฝากฝังเรื่องนี้ให้เขาทำให้สำเร็จ
“ขอรับ นายท่าน !”
ลาร์รับป้ายบัญชาการมาอย่างนอบน้อม แววตาแสดงความสงสัยออกมา “นายท่านจะไปไหนขอรับ ?”
“ไปพบกับศัตรูตัวฉกาจของข้าคนหนึ่งเสียหน่อย” หลัวซิวพูดขึ้นเบา ๆ และไม่ได้อธิบายให้มากความ
“หลังจากเจ้ากลับถึงหุบเขาสยบปีศาจแล้ว หากนายหญิงทั้งสองของเจ้าเอ่ยถามขึ้นมา เจ้าจงบอกไปว่าข้าจัดการธุระบางอย่างอยู่ ไม่นานก็จะกลับไป เข้าใจไหม ?” หลัวซิวกำชับขึ้นอีกหนึ่งประโยค เขาไม่ต้องการให้เหยียนเยว่เอ๋อร์และเหยียนซีโรว่ต้องเป็นกังวลเรื่องความปลอดภัยของตนเอง
หลังจากกำชับเสร็จ หลัวซิวก็กวาดสายตามองทุกคน เขาขยับตัวและกลายร่างเป็นแสงกล หายวับไปตรงขอบฟ้าของห้วงดาราที่อยู่ไกลออกไป
“เมิ่งเชียนชาง……ให้ข้าดูหน่อยซิว่าความสามารถของเจ้าพัฒนาไปถึงขั้นไหนแล้ว !”
หลัวซิวเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เพราะมีกฎของโซนและความเร็วคอยสนับสนุน เรียกได้ว่าเป็นความเร็วระดับเทียนเต้า นักยุทธ์บางคนที่พเนจรฝึกตนอยู่ในห้องดารา เพิ่งจะเห็นแสงกลของเขาลอยมา ในวินาทีถัดไปแสงกลกลับหายวับไปในส่วนลึกของห้วงดาราเสียแล้ว
“เปรี้ยง !”
ดาวเคราะห์รกร้างที่ขวางทางอยู่ ถูกเขาพุ่งทะลุผ่านไป ตอนนี้ร่างเนื้อของเขเทียบเท่ากับอาวุธเทพระดับเก้าแล้ว หลังจากฝ่าฟันกฎเกณฑ์ของแดนเล็กสองแดนอย่างต่อเนื่อง และศักยภาพของวิถีไร้ลักษณ์ที่เขามี เรียกได้ว่าความสามารถของเขานั้นพัฒนาขึ้นจากหน้ามือเป็นหลังมือ
ความแข็งแกร่งพัฒนาขึ้นอย่างยิ่ง แต่กลับไม่ทำให้หลัวซิวสูญเสียสติสัมปชัญญะ เขารู้ดีว่าเมิ่งเชียนชางซึ่งอยู่ในแดนเทพมารระดับเก้า มีความแข็งแกร่งที่สูงเกือบเท่ากับราชาเทพระดับเก้า ส่วนตัวเขาในตอนนี้ แม้จะใช้ไพ่มากตายและความสามารถทั้งหมดที่มี อย่างมากก็เทียบได้กับเทพมารระดับเก้าเท่านั้น
หากต้องพบกับเมิ่งเชียนชางอย่างซึ่งหน้าในตอนนี้ หลัวซิวคาดว่าโอกาสในการเอาชนะของตนเองคงมีไม่ถึงหนึ่งในสิบ น้อยเสียจนน่าสงสาร
“การประลองกับเมิ่งเชียนชางในครั้งนี้ ต้องหาคนอีกหนึ่งคนมาคอยช่วยข้าถึงจะดี”
ในชั่วพริบตา กระบี่เหล็กสามัญที่ตู่กูเจี้ยนเฉินมอบให้เขาหลังจากตื่นขึ้นมาในตอนนั้น ก็ปรากฏขึ้นในมือของหลัวซิว