มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2753 ข่าวลับสุดทึ่ง
“โครม!”
มือใหญ่ที่มีพลานุภาพไร้ขอบเขต กางฝ่ามือตบลงบนเตากลั่นนภาจื่อเซียว ทำให้เตาเทพเตานี้ถูกตบจนกระเด็นออกไป ยิงทะลวงอนัตตา แล้วหายไปจากขอบฟ้าที่อยู่ห่างไกลออกไปภายในพริบตา
หลัวซิวกินยาเซียนที่ฟื้นฟูผลการฝึกตนลงไปหนึ่งเม็ด เขาไม่ได้ถ่ายเทพลังวิญญาณเข้าไปในเตาเทพเลยแม้แต่น้อย จากพลังของผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎเทพระดับเก้า เขาไม่จำเป็นต้องหลบหนีเอง ก็จะถูกตบจนกระเด็นออกไปไกลตั้งเท่าไหร่ไม่รู้แล้ว
เตากลั่นนภาจื่อเซียวคือภัณฑ์เซียนพรสวรรค์ระดับเก้า ซึ่งเทียบเท่ากับอาวุธจักรพรรดิชั้นฟ้า เกือบจะใกล้เคียงกับอาวุธเทพมหาศักดิ์แล้ว
แค่อาศัยความแข็งแกร่งของตัวเตาเทพ ก็จะไม่ได้รับความเสียหายจากพลังของมกุฎเทพระดับเก้า แต่ทว่าก็ยังมีพลังที่แข็งแกร่งเสี้ยวหนึ่งทะลุผ่านตัวเตาเทพส่งตรงเข้ามาอยู่ดี ทำให้หลัวซิวและสวีเซิ่งเจี๋ยต่างกระอักเลือด สีหน้าขาวซีด
สวีเซิ่งเจี๋ยก็รีบหยิบยาเซียนออกมาหนึ่งเม็ดแล้วกลืนลงท้องเช่นกัน เนื่องจากอายุขัยไหลหายไปทำให้บุคลิกลักษณะเป็นชายวัยกลางคน ทว่าเขาก็ฟื้นฟูกลับคืนสู่สภาพวัยรุ่นอย่างรวดเร็ว
“สหายหลัว ของล้ำค่าของเจ้านี่มีไม่น้อยจริง ๆ”
หลังจากฟื้นฟูกลับคืนสู่สภาพปกติ สวีเซิ่งเจี๋ยก็ทำใจให้สงบ สำรวจดูบริเวณรอบ ๆ ยิ่งอยู่ยิ่งค้นพบว่าเตาเทพเตานี้เต็มเปี่ยมไปด้วยความลึกลับและมหัศจรรย์สุดล้ำลึก
ไม่ว่าจะเป็นศิลาเทวที่กดอัดมือใหญ่มกุฎเทพในก่อนหน้านี้ หรือเตาเทพเตานี้ ต่างไม่ใช่ดาบกระบี่ราชาเทพระดับเก้าของเขาสามารถเทียบเคียงได้
ไม่มีลาดเลาอื่น ๆ ส่งมาจากนอกเตาเทพอีก แต่สวีเซิ่งเจี๋ยและหลัวซิวกลับไม่ได้ออกไปอย่างบุ่มบ่าม มีแต่สวรรค์เท่านั้นแหละที่ทราบว่าบนแดนสุขาวดีนี้ยังมีภยันตรายอื่น ๆ รอตัวเองอยู่ด้านนอกหรือไม่
หลังจากผ่านไปหลายวัน ภาวะของทั้งสองก็ฟื้นฟูกลับคืนสู่สภาพปกติ อายุขัยที่ไหลหายไปในหุบเขากาลเวลาก็ฟื้นฟูกลับสู่สภาพเดิมโดยการกลั่นแปรยาเซียน พลังเวทย์ผลการฝึกตนก็กลับมาถึงขีดสูงสุด บรรลุถึงสภาวะที่แข็งแกร่งที่สุด
เมื่อหลัวซิวและสวีเซิ่งเจี๋ยออกมาจากเตาเทพ สิ่งที่ปรากฏในสายตากลับเป็นใบหน้าที่กำลังยิ้มแย้ม
“เด็กผู้หญิงจากที่ใดเนี่ย? น้องหนู ที่นี่อันตรายมากเลยนะ พ่อแม่ของเจ้าล่ะ?”
สวีเซิ่งเจี๋ยเห็นเด็กผู้หญิงที่ลักษณะเหมือนเด็กอายุห้าหกขวบปรากฏตรงหน้า เขาสัมผัสออร่าอันตรายจากตัวเด็กผู้หญิงไม่ได้ ดังนั้นจึงเดินขึ้นไปถาม
ส่วนเสี้ยววินาทีที่หลัวซิวเห็นเด็กผู้หญิงคนนี้ สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปทันที เนื่องจากเด็กผู้หญิงที่ปรากฏตรงหน้านี้ ก็คือเด็กผู้หญิงคนเดียวกันกับคนที่นอนอยู่ในโลงผลึกหินในวิมานเทวอัสนีชิงเสวียน
เขาอยากเอ่ยปากเตือนสวีเซิ่งเจี๋ย ทว่ากลับสายไปแล้ว ไม่เห็นเด็กผู้หญิงคนนั้นมีการเคลื่อนไหวอะไรเลย จู่ ๆ สวีเซิ่งเจี๋ยก็กรีดร้องเสียงดัง ร่างกายบินกระเด็นออกไป กลายเป็นจุดสีดำอยู่บนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว บินออกไปไกลหลายสิบไมล์
ตั้งแต่เริ่มต้นกระทั่งบัดนี้ สายตาของเด็กผู้หญิงคนนั้นล้วนจับจ้องมาทางหลัวซิวโดยตลอด ราวกับสวีเซิ่งเจี๋ยที่มีร่างเทวไร้มลทินเป็นเพียงแมลงวันที่น่ารำคาญในสายตานาง
เด็กผู้หญิงย่างเท้าเดินตรงมา พลางมองหลัวซิวตั้งแต่หัวจรดเท้า จับคางเล็ก ๆ ของตัวเองพลางพูดอย่างรู้สึกสงสัย: “ศิลาเทวชิงเทียนก็อยู่ในมือเจ้าเช่นกัน แต่สิ่งที่เจ้าฝึกก็ไม่ใช่พลังแห่งชิงเทียนอีก ไยเจ้าจึงต้องรวบรวมภัณฑ์เซียนชิงเทียน?”
“อีกทั้งบนตัวเจ้ายังมีออร่าพลังเต๋าที่พิเศษมาก ๆ ไหลเวียนอยู่ด้วย แม้นจะอ่อนมาก ๆ ทว่ากลับมีศักยภาพที่น่าทึ่งแฝงซ่อนอยู่”
เด็กผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนไม่โต แต่คำพูดคำจากลับดูอาวุโสมาก เหมือนดั่งเฒ่าประหลาดที่คงอยู่มายาวนานอย่างไม่รู้จบ
“ท่านผู้อาวุโสคือ?”หลัวซิวลองเอ่ยปากสอบถาม
นึกไม่ถึงเลยว่าทันทีที่เขาเอ่ยปากถาม สีหน้าของเด็กผู้หญิงก็เปลี่ยนไปภายในพริบตา “ผู้ใดเป็นท่านผู้อาวุโสของเจ้า? แม่นางข้าดูแก่มากเลยรึ? เจ้าดูไม่ออกเลยหรือไงว่าปีนี้แม่นางข้าเพิ่งอายุ 60?”
น้ำเสียงของนางเปี่ยมล้นไปด้วยความอ่อนเยาว์ ทำให้หลัวซิวรู้สึกหมดคำจะพูดมาก ๆ
เขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่าจะตัดสินเด็กผู้หญิงคนนี้จากลักษณะภายนอกไม่ได้ เพราะภายในร่างกายนางมีพลังที่มากมายมหาศาลและน่าสยดสยองแฝงซ่อนอยู่
ฉะนั้นเมื่อเห็นว่าสีหน้านางเปลี่ยนไป หลัวซิวจึงทำได้เพียงอดกลั้นเอาไว้ ไม่ได้ถามต่อ แต่เป็นการพลิกมือหยิบหยกเทวชิงเทียนออกมาแล้วพูด: “ท่าน……แม่นางจักเอามันกลับไปหรือไม่?”
เศษหยกทั้งห้าชิ้นของหยกเทวชิงเทียนบูรณะตนเองตามธรรมชาติ แต่ยังไม่ฟื้นฟูกลับคืนสู่สภาพเดิมโดยสิ้นเชิง ยังคงสามารถมองเห็นร่องรอยบนหยกลาง ๆ
“หยกเทวชิงเทียนประกอบกันสมบูรณ์แบบแล้ว หากข้าเอาเศษหยกไปหนึ้งชิ้น หยกเทวชิ้นนี้ก็จะไม่มีวันฟื้นฟูกลับคืนสู่สภาพเดิมได้อีก มิหนำซ้ำข้าก็ไม่ได้จะมาเอาของของเจ้าเช่นกัน แค่บังเอิญเจอเจ้าที่นี่เท่านั้นแหละ”เด็กผู้หญิงเบ้ปากพลางพูด
เมื่อได้ยินว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ได้มาขอของจากตน หลัวซิวจึงรีบเก็บหยกเทวชิงเทียนแล้วพูด: “หากไม่มีเรื่องอื่นใดแล้ว ข้าขอตัวก่อนนะขอรับ”
ความหมายของหลัวซิวชัดเจนมาก ๆ แล้ว ในเมื่อเจ้าไม่ได้มาเอาหยกเทวชิงเทียน เช่นนั้นข้าก็ไปได้แล้วสินะ?
“ช้าก่อน”
เงาร่างของเด็กผู้หญิงกระพริบทีหนึ่ง แล้วมาขวางทางหลัวซิวเอาไว้ ใช้มือทั้งสองข้างเท้าเอว มีความโกรธปนอยู่บนริมฝีปากสีชมพูอ่อนเล็กน้อย “แม่นางข้าน่ากลัวมากเลยรึ? ถึงทำให้เจ้ารีบร้อนที่จะหลบหนีไป?”
“เปล่าขอรับ ข้าแค่มีเรื่องด่วนนิดหน่อยน่ะ”หลัวซิวอธิบาย
“เจ้าจักมีเรื่องด่วนอะไรได้? เจ้าจะไปสำรวจส่วนที่ลึกที่สุดของที่นี่หรือ? ข้าจักบอกเจ้าก็ได้ ด้านในมีเพียงโลงศพหนึ่งใบ อีกทั้งยังเป็นโลงเปล่าด้วย”เด็กผู้หญิงตอบกลับอย่างไม่ยี่หระ
“โลงเปล่า?”เมื่อได้ยินข่าวคราวนี้ สีหน้าของหลัวซิวก็ปรวนแปรไม่แน่นอน
หากสถานที่แห่งนี้เป็นสถานฌาปนของจ้าววัฏสงสารยุคที่สอง เหตุใดจึงมีโลงศพเปล่าหนึ่งใบ? และไม่นึกเลยว่าเด็กผู้หญิงคนนี้จะทราบเรื่องนี้ด้วย หรือว่านางเคยไปส่วนที่ลึกที่สุดมาก่อน และยิ่งเปิดโลงศพเทวใบนั้นด้วย?
เพียงพริบตาเดียวเขาก็นึกเรื่องราวต่าง ๆ ขึ้นมาได้เยอะมาก หากโลงศพเทวของที่นี่เป็นโลงเปล่า เช่นนั้นโลงศพเทวที่อยู่ภายในสถานฌาปนของจ้าววัฏสงสารยุคแปด ก็เป็นโลงเปล่าเหมือนกันใช่หรือไม่?
“นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหรอก เริ่มตั้งแต่จ้าววัฏสงสารยุคสองตลอดจนยุคเก้า หลังจากพวกเขาดับสลายสูญสิ้นแล้ว ล้วนจะกลายเป็นสิ่งบำรุงของจ้าววัฏสงสารรุ่นแรก”
เด็กผู้หญิงพูดอย่างเรียบนิ่ง “ผู้สืบทอดจ้าววัฏสงสารยุคเก้าได้บังเกิดขึ้นมาแล้ว แต่น่าเสียดายที่ศักยภาพในภพชาตินี้ของข้ายังไม่ฟื้นฟูกลับคืนสู่สภาพเดิม ปล่อยให้เจ้าหมอนั่นหนีรอดไปได้ มิเช่นนั้นขอแค่บีบมันให้ตาย เุคล็ดนพวัฏสงสารของยุคแรกก็อย่าคิดว่าจะบรรลุผลเลย”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เด็กหญิงก็เบ้ปาก ราวกับรู้สึกไม่พอใจต่อร่างกาย ณ ปัจจุบันมาก ๆ
“ไม่คุยกับเจ้าละ ข้ายังต้องไล่ล่าเจ้าหมอนั่นต่อ”
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น ร่างกายของเด็กหญิงก็หายวับไปภายในพริบตา ไปมาดั่งสายลม พฤติกรรมกิริยาท่าทางทำให้ผู้คนยากที่จะเข้าใจ
“นางคือคนแบบใดกันแน่? แล้วยุคที่สองกระทั่งยุคที่เก้าล้วนเป็นสิ่งบำรุงที่ทำให้เุคล็ดนพวัฏสงสารของยุคแรกบรรลุผล มันหมายความว่าอะไรอีก?”
หลัวซิวรู้สึกเหมือนตัวเองค้นพบข่าวลับหนึ่งที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน หากข่าวคราวประเภทนี้แพร่งพรายออกไป เกรงว่าคงต้องทำให้ทั้งโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดสั่นสะเทือนแน่นอน
แผ่ขยายตัวสำนึกออกไป หลัวซิวไม่พบพลังออร่าของสวีเซิ่งเจี๋ย เขาสันนิษฐานว่าเจ้าหมอนั่นน่าจะตกใจกลัวเด็กผู้หญิงที่น่าสยดสยองและลึกลับนั่น ดังนั้นถึงไม่กล้าปรากฏตัว
หลัวซิวก็ไม่ได้ใส่ใจเช่นกัน เขารู้สึกว่าเด็กผู้หญิงไม่มีความจำเป็นต้องเอาคำพูดประเภทนี้มาหลอกตัวเอง บางทีโลงศพเทวของจ้าววัฏสงสารยุคที่สองที่อยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของแดนสุขาวดี อาจจะเป็นโลงเปล่าก็เป็นได้
“เห้ออ……”
หลัวซิวถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เขาฝ่าฟันมาตลอดทางก็เพื่อสืบเสาะความลับของจ้าววัฏสงสารบนดินแดนแห่งนี้ แต่นึกอย่างไรก็นึกไม่ถึงว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นเช่นนี้
ในขณะเดียวกันเขายิ่งรู้สึกว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นลึกลับอย่างยิ่ง แม้นศักยภาพของนางดูเหมือนจะเป็นราชาเทพระดับเก้า ทว่าความเป็นมาของนางต้องน่ากลัวและน่าทึ่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้แน่นอน
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ความเป็นมาของไท่ซ่างฉิงเมื่องชาติปางก่อนของเขา กลับดูไม่มีค่าอะไรเลย อย่างไรเสียภพชาติก่อนของเขาก็อยู่เพียงแดนผู้สูงส่งขั้นปฐมภูมิ ตั้งแต่โบราณกาลมา คนที่แข็งแกร่งกว่าเขามีเยอะจนนับไม่ถ้วนเลย
เดินทางออกจากแดนสุขาวดีโดยย้อนกลับไปตามเส้นทางเดิม หลัวซิวไม่มีการหยุดพักใด ๆ กลับมาถึงหุบเขาสยบปีศาจ
การกลับมาของเขาทำให้เหยียนซีโรว่และเหยียนเยว่เอ๋อร์ต่างดีใจจนน้ำตาไหล ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ พวกนางขยันฝึกตนมาก ๆ หวังแค่ว่าจะบรรลุถึงแดนเทพมารระดับเจ็ดเร็ว ๆ ถึงครานั้นก็จะสามารถออกจากหุบเขาสยบปีศาจ สามารถไปตามหาร่องรอยของเขานอกหุบเขาได้แล้ว
ปัจจุบัน หลัวซิวพบว่าผลการฝึกตนของเหยียนเยว่เอ๋อร์และเหยียนซีโรว่ต่างบรรลุถึงเทพมารระดับหกขั้นสูงแล้ว หากเขากลับมาช้าอีกไม่กี่ปี พวกนางก็จะทลายประตูแห่งกฎเกณฑ์ของเทพมารระดับเจ็ด ไม่แน่คอยเขากลับมา พวกนางก็อาจจะออกตามหาเขาแล้ว
หลัวซิวก็เจอลาร์ที่นี่เช่นกัน ผู้คนในตระกูลเทพสงครามที่ตกหล่นก็เข้าร่วมตระกูลเทพสงครามที่ซิงเฉินนำพา ซึ่งพัฒนาได้เจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่ง
เจ้าดูดจิตนั่นก็ไม่ได้อู้ ผลการฝึกตนก็พัฒนาเร็วมาก บรรลุถึงแดนเทพมารระดับเจ็ดตั้งนานแล้ว
ตลาดช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ มีทรัพยากรที่เพียบพร้อมของหุบเขาสยบปีศาจเป็นกำลังสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง การพัฒนาของเผ่าจี้ ตระกูลเทพสงครามรวมไปถึงภูเขาว่านเริ่นล้วนเข้าสู่ลู่ทางที่ถูกต้อง
ปัจจุบันนอกจากหลัวซิวแล้ว ผู้ที่มีผลการฝึกตนแข็งแกร่งที่สุดก็คือลวี่โหลว ผลการฝึกตนของนางบรรลุถึงแดนเทพมารระดับแปดขั้นสูง มากไปกว่านั้นคือขาดอีกเพียงเสี้ยวเดียว ก็สามารถบรรลุสู่กึ่งระดับเก้าแล้ว
หงเหยียนก็ฝึกถึงแดนเทพมารระดับแปดเช่นกัน ในฐานะที่เป็นเทพธิดาของภูเขาว่านเริ่น น้องสาวของลวี่โหลว พรสวรรค์ของนางก็น่าทึ่งมากเช่นกัน
“ท่านชาย……”
เสิ่นปิงหยูเดินมาข้างกายเขา แววตาใสแจ๋ว หลัวซิวก็สังเกตเห็นผลการฝึกตนของนางเช่นกัน ซึ่งบรรลุถึงเทพมารระดับเจ็ดขั้นปฐมภูมิแล้ว
ข้างกายเขามีโฉมงามโอมล้อม ช่าจื่อเยียนพาเสี่ยวเจียงหมิง มองมาทางเขาด้วยแววตาที่อมยิ้มอยู่ห่าง ๆ
ฉียู่หรงก็ใช้แววตาที่ซับซ้อนจับจ้องมาทางเขาเช่นกัน
หลัวซิวจักไม่ทราบความในใจของสตรีทั้งหลายได้อย่างไรเล่า เขาไม่อยากทำให้ทุกคนที่อยู่ข้างกายผิดหวัง ไม่อยากซ้ำรอยเหมือนเมิ่งเสี้ย เทียนหย่งและหวูซวงอย่างชาติปางก่อนอีกแล้ว
แต่ทว่าบัดนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดคุยเรื่องความรักระหว่างหนุ่มสาวจริง ๆ เนื่องจากเขาสามารถสัมผัสได้แล้วว่ามีคลื่นใต้น้ำที่น่าทึ่งแฝงซ่อนทั่วโลกมหาศักดิ์ทั้งแปด จักรวาลฟ้าดินแห่งนี้ถูกลิขิตไว้แล้วว่าไม่มีทางสงบชั่วนิรันดร์
บางทีมหันตภัยแห่งยุคมหาศักดิ์ใกล้จะมาเยือนแล้ว
ทันใดนั้นเองเขาก็นึกถึงฮู๋ชิงชิงและลู่เมิ่งเหยา เดิมทีเขาคิดว่าเมื่อมาถึงโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดแล้ว บ่วงกรรมในมหาโลกาพันสามก็จะไม่คงอยู่อีกต่อไป แต่กลับไม่นึกเลยว่าจะเจอฮู๋ชิงชิงในโลกร้าง
เขาไม่ทราบแต่อย่างใดว่าเมื่อปีนั้นฮู๋ชิงชิงก็พาลู่เมิ่งเหยาจากมาเช่นกัน ส่วนฮู๋ชิงชิงก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องของลู่เมิ่งเหยาต่อหน้าเขาด้วย เพราะฉะนั้นกระทั่งบัดนี้ หลัวซิวก็ยังคิดว่าลู่เมิ่งเหยายังอยู่ในโลกแสงดาวมาโดยตลอด
ถึงแม้จะมีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นระหว่างเขาและลู่เมิ่งเหยา ทว่าแท้จริงแล้วในใจเขาเหลือที่ว่างให้ลู่เมิ่งเหยามาโดยตลอด ไม่ว่าอย่างไรความรักแรกอันอ่อนเยาว์ในช่วงเป็นหนุ่มของเขาในภพชาตินี้ ก็ไม่ใช่สิ่งที่ลืมได้ง่าย ๆ
เสี่ยวเจียงหมิงเติบโตแล้ว อดีตท่านพี่เป็นผู้ดูแลเขา ปัจจุบันเขากลายเป็นลูกผู้ชายแล้ว จึงเป็นฝ่ายที่เขาดูแลท่านพี่แทน
“หากมหันตภัยแห่งยุคมหาศักดิ์มาเยือน หุบเขาสยบปีศาจก็จะเป็นรากฐานของข้า คือที่หลบภัยของข้า ขอแค่หุบเขาสยบปีศาจคงอยู่ ญาติมิตรสหายที่อยู่ข้างกายข้าก็จะไม่ได้รับผลกระทบจากมหันตภัย ไม่ได้รับความเจ็บปวดใด ๆ!”
ภายในวังซิวหลัวที่ตั้งอยู่บนจุดสูงสุดของหุบเขาสยบปีศาจ หลัวซิวอยู่ในชุดคลุมยาวสีดำล้วน นั่งท่าขัดสมาธิพลางพูดพึมพำคนเดียว
และในเวลานี้เอง ก็มีข่าวคราวหนึ่งแพร่งพรายออกไปทั่วโลกมหาศักดิ์ทั้งแปด หอคอยฮวงจะเปิดแล้ว!
โลกมหาศักดิ์ทั้งแปดสอดคล้องกับสวรรค์ ใต้ดิน เสวียน เหลือง จักรวาล จักรภพ ท่วมท้นและร้าง ตำนานเล่ากันว่าในยุคสมัยที่เก่าแก่ที่สุด ทั้งแปดคำนี้ได้วิวัฒนาการเป็นสมบัติสามชิ้น ซึ่งร้างที่อยู่ภายในได้วิวัฒนาการเป็นหอคอยหลังหนึ่ง ซึ่งมีนามว่าหอคอยฮวง
สามารถพูดได้เลยว่าหอคอยฮวงคืออัญสมบัติเลิศล้ำของโลกร้าง ในอดีตมีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกร้างเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ยึดกุมมัน
ในยุคสมัยอันไกลโพ้น ในฐานะที่ตระกูลเทพสงครามเป็นเจ้าแห่งวงการในโลกร้าง บรรพบุรุษของตระกูลเทพสงครามก็เคยยึดกุมหอคอยฮวงมาก่อนเช่นกัน และเป็นผู้ไร้เทียมทานในโลกร้าง
ตำนานเล่ากันว่าภายในอัญสมบัติอัษฎทิศมีความล้ำลึกที่อยู่เหนือเทียนเต้าแฝงซ่อนอยู่ ทุก ๆ หนึ่งยุคตรีภพหอคอยฮวงถึงจะเปิดออกหนึ่งครั้ง
มาตรแม้นว่าเป็นผู้สูงส่งก็ไม่สามารถมีชีวิตยืนยาวได้นานหนึ่งยุคตรีภพ ซึ่งนี่ก็หมายความว่า การเปิดของหอคอยฮวงไม่ได้ถูกควบคุมโดยมนุษย์ แต่หอคอยฮวงจะเปิดออกเองโดยธรรมชาติในทุก ๆ หนึ่งยุคตรีภพ!