มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2757 พรสวรรค์เป็นหนึ่ง
ผู้ที่จู่โจมหลัวซิวจากด้านหลังก็เป็นอัจฉริยะผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับแปดช่วงกลางคนหนึ่งเช่นกัน การที่หนึ่งฝ่ามือของตนสามารถสังหารฝ่ายตรงข้าม ทำให้มีรอยยิ้มที่พึงพอใจปรากฏบนใบหน้าหลัวซิว
“ดีมาก แข็งแกร่งมาก! นี่คือกำลังรบเทพมารระดับแปดหรือ?”
หลัวซิวอมยิ้มแล้วมองไปทางทั้งสามคนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม “พวกมึงถอยตอนนี้ยังทันนะ กูบรรลุถึงแดนเทพมารระดับแปดแล้ว พวกมึงล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของกู!”
“คุยโวอย่างหน้าไม่อาย มึงก็แค่เพิ่งบรรลุถึงแดนเทพมารระดับแปดขั้นปฐมภูมิเท่านั้นแหละ และยิ่งเพิ่งข้ามผ่านทัณฑ์สำเร็จ ผลการฝึกตนยังไม่มั่นคง!”
ชายหนุ่มร่างเข้มแข็งนั่นทำเสียงหึอยากเยือกเย็นทีหนึ่ง “มิหนำซ้ำต่อให้กำลังรบของมึงจะน่าทึ่ง ทว่าหากอยากต่อสู้กับพวกกูทั้งสามคนที่ร่วมมือกันแล้ว มึงก็ไม่มีโอกาสชนะเลยแม้แต่น้อย!”
“ซ่างกวงหงพูดถูก แม้นการร่วมมือต่อสู้กับศัตรูจักเป็นการทำลายกฎในยุทธจักร แต่มึงเป็นร่างที่ผู้สูงส่งกลับชาติมาเกิด เมื่อเราทั้งสามร่วมมือกัน ก็ไม่ถือเป็นการทำให้มึงเสียศักดิ์ศรีเช่นกัน!”
ชายหนุ่มร่างเข้มแข็งนั่นมีนามว่าซ่างกวงหง ในส่วนของสตรีที่มือถือแส้นั้นมีนามว่าหานหรูถง ส่วนชายที่มีร่างยิ่งศักดิ์ทองมีนามว่าบูอิงสง
ทั้งสามต่างมาจากโลกเสวียน เมื่อเห็นว่าหลัวซิวสังหารวัยรุ่นผู้มีความฉลาดเป็นเลิศคนหนึ่งภายในฝ่ามือเดียว ภายใต้การสื่อสารผ่านสายตา ก่อนที่พวกเขาจะตัดสินใจร่วมมือกัน
แม้แต่ตัวหลัวซิวเองก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าหากทั้งสามคนนี้ร่วมมือกัน ศักยภาพต้องไม่ง่อยแน่นอน
เนื่องจากคนเหล่านี้ล้วนเป็นอัจฉริยะที่มาจากกองกำลังใหญ่ขั้นสุดยอด อย่างน้อยบนตัวทุกคนก็มีสมบัติอย่างอาวุธเทพระดับเก้าติดตัว บวกกับโอกาสที่พวกเขาแต่ละคนได้รับไม่ธรรมดา หากร่วมมือกันละก็ มาตรแม้นว่าเป็นผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเก้าก็ยังต้องปวดกบาล
แน่นอนอยู่แล้วว่าแม้นจะได้เปรียบเรื่องจำนวนคน แต่ก็ต้องดูก่อนว่าคู่ต่อสู้คือผู้ใด ภายใต้สถานการณ์ที่ศักยภาพต่างกันไม่มากนัก คนยิ่งเยอะพลังย่อมต้องยิ่งเยอะอยู่แล้ว แต่ถ้าเกิดศักยภาพต่างกันค่อนข้างมากละก็ เช่นนั้นต่อให้เป็นไข่ไก่ที่เยอะมากเพียงใด ก็ทุบหินก้อนหนึ่งไม่แตก
“ไปตายซะเถอะ!”
ศักยภาพของบูอิงสงแข็งแกร่งที่สุด ดังนั้นเขาจึงตะคอกอย่างโกรธเกรี้ยวก่อน มีแสงสีทองลอยวนเป็นเกลียวอยู่รอบกาย พุ่งสังหารเข้ามาทางหลัวซิว ในมือเขามีฟางเทียนจี๋ปรากฏหนึ่งเล่ม และมีพลานุภาพแห่งราชาเทพระดับเก้าตลบฟุ้งออกมาจากฟางเทียนจี๋!
ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น บนตัวบูอิงสงยังมีเกราะเทพปรากฏหนึ่งชุดด้วย ซึ่งมันก็คือภัณฑ์ราชาเทพระดับเก้านั่นเอง จากฐานร่างร่างยิ่งศักดิ์ทอง บวกกับภัณฑ์ราชาเทพระดับเก้าสองชิ้น ตัวเขาดูน่าเกรงขามมาก ทุกครั้งที่เคลื่อนไหว แผ่นดินก็จะสนั่นหวั่นไหวไปด้วย
ในขณะเดียวกัน หานหรูถงก็ลงมือเช่นกัน สะบัดแส้ยาวที่อยู่ในมือครั้งหนึ่ง มันก็พันธนาการไปทางหลัวซิวปานมังกรโบยบินตัวหนึ่ง ทันทีที่ถูกพันธนาการละก็ มาตรแม้นว่าเป็นผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเก้าก็อย่าคิดว่าจะสามารถหลุดพ้นออกไปได้ ยิ่งกว่านั้นคือผลการฝึกตนพลังเวทย์ก็จะถูกคุมขังไปด้วย ทำได้เพียงรอความตายมาเยือน ปล่อยให้ผู้อื่นกดขี่เต็มที่
ทันทีที่เข้ามาซ่างกวงหงก็ปลดปล่อยพลังโจมตีที่รวดเร็วและดุดันเช่นกัน กระตุ้นอาวุธเทพระดับเก้าหนึ่งชิ้น ร่วมมือกันรุมโจมตีหลัวซิว
เพียงชั่วพริบตาเดียว ทางหนีทีไล่รอบกายหลัวซิวก็ถูกปิดตายไปหมด บนล่างซ้ายขวา ทุกสารทิศล้วนถูกออร่าเกณฑ์พลังเต๋าปกคลุม
“มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่อายุยังน้อยแต่ก็ฝึกถึงแดนระดับนี้แล้ว แต่น่าเสียดายที่พวกมึงรนหาที่ตาย กูจึงทำได้เพียงส่งพวกมึงไปลงนรกแล้วล่ะ”
น้ำเสียงที่เยือกเย็นของหลัวซิวดังขึ้น มียันต์ค่าย 99 ยันต์กระพริบอยู่บนร่างกายเขา จากการที่ผลการฝึกตนของเขาบรรลุถึงแดนเทพมารระดับแปด ยันต์ค่ายเหล่านี้ก็ล้วนได้รับการยกระดับด้วย ภายใต้การปลุกเสก ทำให้ร่างเนื้อของเขาแทบจะใกล้เคียงกับร่างราชาเทพระดับเก้า!
กระบี่ร่องฟ้าปรากฏในมือเขา เสียงเตี๊ยงดังขึ้น ทำการต้านทานฟางเทียนจี๋ของบูอิงสงเอาไว้ได้ ทว่าเสียงตู้มก็ดังลั่นขึ้นมา กะโหลกของเขาถูกเตาเทพที่ซ่างกวงหงเรียกออกมาโจมตี
ถึงแม้เตาเทพเตานี้จะไม่ใช่ภัณฑ์ราชาเทพระดับเก้า แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เช่นกัน ซึ่งเป็นอาวุธเทพระดับเก้า ทว่าเมื่อเผชิญกับร่างเนื้อร่างเทวที่แทบจะใกล้เคียงกับร่างราชาเทพระดับเก้า พลานุภาพที่รุนแรงนี้ของเตานี้กลับสร้างความเสียหายให้เขาไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
ยิ่งกว่านั้นคือพลังสะท้อนที่รุนแรงทำให้เตาเทพดีดขึ้นฟ้า ภายใต้การสั่นสะเทือนที่รุนแรง ทำให้ลมปราณที่อยู่ในร่างกายซ่างกวงหงถูกฉุดดึงจนไม่เป็นระเบียบ แทบจะกระอักเลือด
“ช่างเป็นร่างเนื้อที่แข็งแกร่งยิ่งนัก ร่างกายของเจ้าหมอนี่คือภัณฑ์ราชาเทพระดับเก้าหรือ?”ซ่างกวงหงตกใจจนหน้าถอดสี
และในเวลานี้เอง แส้ยาวดังมังกรก็พันธนาการเข้ามา หลัวซิวโคจรเกณฑ์ปริภูมิและความเร็ว หายวับไปกับที่ภายในพริบตา
วินาทีต่อไปเขาก็ปรากฏตรงหน้าซ่างกวงหง ก่อนจะง้างมือปล่อยตราประทับปรปักษ์สวรรค์โจมตีใส่หน้าอกเขาจนเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น
“ตู้มม!”
ซ่างกวงหงไม่สามารถต่อต้านเลยด้วยซ้ำ ร่างกายกระเด็นออกไป มีเสียงกระดูกแตกหักดังออกมาจากร่างกาย กระเด็นลอยออกไปพลางกระอักเลือดอย่างบ้าคลั่ง
“ไปตายซะเถอะ!”ฟางเทียนจี๋พุ่งสับเข้ามาอีกครั้ง ทำให้หลัวซิวไม่มีเวลาไปไล่ฆ่าซ่างกวงหง ทำได้เพียงยกกระบี่ร่องฟ้าขึ้นมา ต้านทานการโจมตีของบูอิงสงอีกครั้ง
“สหายบู แม่นางหาน ข้าได้เข้าร่วมศึกการต่อสู้ในครั้งนี้แล้ว พวกเจ้าสนุกกันต่อเลยนะ!”
ถึงแม้ซ่างกวงหงจะรู้สึกหวาดหวั่นต่อศักยภาพที่หลัวซิวปลดปล่อยออกมา เขาก็เข้าใจดีมาก ๆ ว่าขืนเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ชีวิตอันน้อยนี้ของตัวเองต้องได้จบเห่แน่นอน ด้วยเหตุนี้เขาจึงตะโกนเสียงดังลั่นประโยคหนึ่ง ก่อนจะผันร่างเป็นแสงกล หายไปจากขอบฟ้าที่อยู่ห่างไกลออกไป
“ไอ้สารเลว!”บูอิงสงตะคอกอย่างโกรธเกรี้ยว เมื่อขาดซ่างกวงหง ก็จะสูญเสียอุบายโจมตีอย่างตรีเอกภาพ ซึ่งไม่สามารถทำการโจมตีหลัวซิวได้อย่างต่อเนื่อง
“ไอ้กระจอก!”หานหรูถงก็หัวเสียไม่เบาเช่นกัน การหลบหนีในช่วงเวลาแห่งการต่อสู้ประเภทนี้ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ มันก็เป็นเรื่องที่ทำให้ผู้คนรู้สึกเหยียดหยาม
หลัวซิวไม่ได้ไล่ฆ่าซ่างกวงหงที่หลบหนีไปแต่อย่างใด แต่เป็นการยิ้มพลางพูดว่า: “พวกมึงคิดผิดกันหมดแล้ว การกระทำของซ่างกวงหงเรียกว่าผู้รู้สถานการณ์เป็นอัจฉริยะชนต่างหาก ในทางตรงกันข้ามพวกมึงสอนคนกลับดื้อดึงไม่เข้าเรื่อง รนหาที่ตาย!”
“มึงคิดว่าร่างยิ่งศักดิ์ทองของตัวเองแข็งแกร่งมากเลยหรือ? เดี๋ยวกูจะทำให้พวกมึงได้รู้เองว่าอะไรคือร่างยิ่งศักดิ์ทองที่แท้จริง!”
หลัวซิวโคจรวิถีไร้ลักษณ์ เพียงชั่วพริบตาเดียวก็มีแสงสีทองเปล่งปลั่งอยู่บนร่างกายเขา รัศมีเทวลอยวนเป็นเกลียวขึ้นไป มีออร่าพลังเต๋าที่เป็นเฉกเช่นเดียวกับบูอิงสงแพร่กระจายออกมา
ไม่นึกเลยว่าวิถีไร้ลักษณ์ของเขาจะวิวัฒนาการร่างยิ่งศักดิ์ทองของบูอิงสงออกมาได้!
“นี่มันเป็นไปไม่ได้! หรือว่ามึงก็เป็นร่างยิ่งศักดิ์ทองเช่นกัน?”บูอิงสงตกตะลึงมากจนหน้าถอดสี
“ตู้มม!”
ร่างกายของบูอิงสงกระเด็นออกไป ต่างเป็นร่างยิ่งศักดิ์ทองเหมือนกัน แต่พลังของหลัวซิวกลับแข็งแกร่งกว่าบูอิงสงหลายเท่าตัวมาก!
สีหน้าบนใบหน้าที่เรียวบางของหานหรูถงเปลี่ยนแปลงไป แส้ยาวดังมังกรพุ่งเข้าไปพันธนาการ และนางก็ไม่สนใจเช่นกันว่าจะได้ผลหรือไม่ ก่อนจะหันหลังแล้วผันร่างเป็นแสงกลบินหนีไป
เมื่อครู่นางยังด่าว่าซ่างกวงหงเป็นตัวกระจอกอยู่เลย เพียงพริบตาเดียวนางก็สูญเสียความมั่นใจ เป็นคนที่สองที่หลบหนีไป
“เพิ่งรู้ตัวว่าต้องหนีเวลานี้ มันสายไปแล้ว!”
เงาร่างของหลัวซิวกระพริบทีหนึ่ง เร่งความเร็วให้ถึงขีดสุด ก่อนจะปรากฏตรงหน้าหานหรูถงภายในพริบตา ทำการสกัดแสงกลของนางเอาไว้
“ตราสรรพสิทธิ์!”
หลัวซิวปลดปล่อยวิชาตราประทับออกไป ภายในมีพลังอมตะสรรพวิชาที่ไร้ขอบเขตแฝงซ่อนอยู่ หานหรูถงสัมผัสได้ลาง ๆ ว่าเหมือนมีพลังอมตะนับพันประเภทพุ่งมาอย่างโหดเหี้ยม ทำการปกคลุมตัวเองเอาไว้
“ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ……”
กระบวนท่าป้องกันทั้งหมดของนางถูกตราสรรพสิทธิ์ทลายอย่างต่อเนื่อง ตราประทับทั้งหลายยิงทะลวงร่างกายนาง เสียงตู้มดังลั่นขึ้นมา มีร่องฝ่ามือที่ชัดเจนมาก ๆ ปรากฏบนแผ่นดินที่อยู่ด้านหลังนาง!
สตรีผู้ภาคภูมิของสวรรค์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นสุดยอด เพิ่งเข้ามาในโลกาจ่างจงได้ไม่นาน ก็เหมือนดอกไม้ที่โรยรา เหมือนหยกงามที่แตกสลาย ดับสลายสูญสิ้นไปแล้ว!
หลัวซิวไม่รู้สึกเห็นอกเห็นใจต่อเหตุการณ์นี้เลยแม้แต่น้อย เมื่อรวมภพชาติก่อนและภพชาติปัจจุบันเข้าด้วยกัน เขาเคยพบเห็นรู้จักสตรีผู้ภาคภูมิของสวรรค์มามากจนนับไม่ถ้วน หากไม่เป็นศัตรูกับตัวเองก็แล้วไป หากเป็นศัตรูกับเขา ไม่ว่าเจ้าจะเป็นโฉมงามที่ล้ำเลิศมากเพียงใด สุดท้ายก็มีเพียงทางตายทางเดียวเท่านั้น!
“ไอ้สารเลว! กูจะฆ่ามึง!”
บูอิงสงตะคอกอย่างโกรธเกรี้ยว มีแสงสีทองที่แวววาวจับตาพรั่งพรูออกมา แล้วประกอบเป็นรูปร่างสูงใหญ่สีทองอยู่ด้านหลังเขา เขาออกแรงเหวี่ยง ฟางเทียนจี๋ก็กลายเป็นลำแสงหนึ่งดวง ฉีกกระชากอนัตตา พุ่งสังหารเข้ามาทางหลัวซิว
“กูลืมบอกมึง กูไม่ได้มีเพียงร่างยิ่งศักดิ์ทองเท่านั้น แต่ยังมีร่างเทวไร้มลทินด้วย!”
มีรอยยิ้มที่เยาะเย้ยปรากฏบนใบหน้าหลัวซิว ออร่าพลังเต๋าที่อยู่รอบกายเริ่มไหลเวียนกะทันหัน แสงทองที่อยู่บนร่างกายหายไป และสิ่งที่เข้ามาทดแทนก็คือแสงเทวไร้มลทินที่มากมายมหาศาล
“เวิ่งง!”
ฟางเทียนจี๋พุ่งสังหารมาถึงตรงหน้า และถูกแสงเทวไร้มลทินต้านทานเอาไว้ เกณฑ์ออร่าพลังเต๋าที่แฝงซ่อนอยู่ในง้าวยักษ์ถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง ร่างเทวไร้มลทินที่หลัวซิววิวัฒนาการออกมาแข็งแกร่งกว่าสวีเซิ่งเจี๋ยมาก ๆ ซึ่งเป็นแสงเทวไร้มลทินที่ถูกวิวัฒนาการออกมาโดยพลังอมตะของสรรพวิถีล้วนว้าง นอกเสียจากเป็นผู้แข็งแกร่งที่ผลการฝึกตนศักยภาพอยู่เหนือหลัวซิวมาก ๆ มิเช่นนั้นพลังอมตะพลังโจมตีทั้งปวงในโลกหล้า มีน้อยมากที่สามารถประชิดใกล้ร่างเขาได้
“เพี๊ยะ!”
หลัวซิวยื่นมือออกไปคว้าทีหนึ่ง ก็ทำการกำฟางเทียนจี๋ที่พลานุภาพลดฮวบเอาไว้ได้แล้ว พลังญาณเทวที่มากมายมหาศาลปลุกเสกตัวสำนึก แล้วพุ่งเข้าไปในง้าวยักษ์ทำการลบล้างตราประทับของบูอิงสงทิ้ง
“ร่างเทวสองประเภท? นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?”
บูอิงสงตกตะลึงมากจนหน้าถอดสี จิตสังหารที่ผนึกรวมอยู่รอบกายราวกับถูกน้ำเย็นสาดกะทันหัน เรื่องราวที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนได้เกิดขึ้นบนตัวหลัวซิว ทำให้แนวคิดความรู้ทั่วไปบนวิถียุทธ์ของเขาถูกทำลายทิ้งโดยสิ้นเชิง
“ไอ้แซ่หลัว บูอิงสงกูไม่มีวันปล่อยมึงไปแน่!”
บูอิงสงสูญเสียความกล้าและความมั่นใจในการต่อสู้กับหลัวซิวโดยสิ้นเชิง ทิ้งท้ายด้วยคำพูดที่ดุดัน ก่อนจะหันหลังแล้วบินหนีไป
“โครม!”
แสงกระบี่ดวงหนึ่งเฉือนสับมาจากด้านหลัง บูอิงสงเรียกระฆังใหญ่ออกมาหนึ่งลูก เพื่อต้านทานปราณกระบี่ ก่อนจะตะคอกอย่างเยือกเย็น: “ถึงแม้กูจะไม่ใช่คู่ต่อสู้มึง หากกูจะไป มึงก็หยุดยั้งกูไม่ได้!”
นี่เป็นภัณฑ์ราชาเทพระดับเก้าชิ้นที่สามที่บูอิงสงเรียกออกมาแล้ว จึงทำให้หลัวซิวอดไม่ได้ที่จะปลงอนิจจังต่อความมั่งคั่งของเจ้าหมอนี่ หากแก่งแย่งภัณฑ์ราชาเทพระดับเก้าทั้งสามชิ้นนั้นมา แล้วดูดกลืนพละกำลังที่อยู่ภายในเพื่อกลั่นแปรร่างเนื้อ ถึงแม้จะไม่สามารถทำให้เขาบรรลุถึงระดับขั้นของร่างเทวระดับเก้า แต่ก็สามารถทำให้ร่างยุทธ์ร่างเนื้อของเขาแข็งแกร่งมากกว่าเดิมแน่นอน
“กูก็อยากรู้เหมือนกันว่ามึงจะหนีไปจากเงื้อมมือกูได้อย่างไร”
หลัวซิวเสียงหึอย่างเยือกเย็นทีหนึ่ง แล้วเร่งความเร็วให้ถึงขีดสุด ไล่ตามขึ้นไปภายในพริบตา เพียงโบกมือครั้งเดียวก็มีพลังอมตะที่นับไม่ถ้วนพุ่งออกมา
บูอิงสงยิ่งสู้ยิ่งรู้สึกช็อก เนื่องจากพลังโจมตีของหลัวซิวทรงพลังมากเกินไปจริง ๆ อาศัยร่างเทวร่างเนื้อที่เกะกะระราน พลังอมตะทั่วไปที่เขาปลดปล่อยออกมาอย่างสบายมือก็มีพลานุภาพที่ไร้ขอบเขตแล้ว เนื่องจากร่างเทวของเขาแทบจะสามารถเทียบทัดภัณฑ์ราชาเทพระดับเก้าแล้ว ซึ่งเท่ากับกระตุ้นพลานุภาพของภัณฑ์ราชาเทพระดับเก้าอยู่ตลอดเวลา
เพียงชั่วพริบตาเดียว บูอิงสงก็ต้านทานอีกครั้งไม่ไหวแล้ว ถูกหมัดหนึ่งของหลัวซิวโจมตีลงกลางหัวใจ วิชาตราประทับหนึ่งทะลวงหน้าอก ทำให้หัวใจเขาแตกสลาย
แต่สำหรับผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในแดนอย่างบูอิงสงแล้ว หัวใจไม่ใช่จุดสำคัญของชีวิตแต่อย่างใด กินยาเซียนลงไปหนึ่งเม็ด ภายใต้การโคจรวรยุทธ์ รูบริเวณหน้าอกที่ถูกทะลวงก็ฟื้นฟูกลับคืนสู่สภาพเดิมอย่างรวดเร็ว
“ความเร็วของมันเร็วเกินไป กูไม่สามารถอาศัยวรยุทธ์หลบหนีได้เลยด้วยซ้ำ ดูท่าคงทำได้เพียงใช้ฮู้แล้วล่ะ”
บูอิงสงพลิกมือหยิบฮู้ที่มีคลื่นปริภูมิแพร่กระจายออกมาหนึ่งชิ้น ฮู้ชิ้นนี้คือสมบัติที่นักค่ายเทพระดับเก้าฝึกเซ่น ทันทีที่กระตุ้นก็สามารถฉีกกระชากอนัตตา แล้วถูกส่งออกไปในตำแหน่งที่ห่างไกลออกไปหลายหมื่นไมล์ภายในชั่วพริบตาเดียว
“แค่ฮู้ระดับเก้ากระจอก ๆ มึงหนีไม่รอดหรอก”
หลัวซิวไม่เก็บมาใส่ใจ ง้างมือสะบัดครั้งหนึ่ง ก็มีลำแสงหลายดวงบินออกมาจากแหวนเก็บของของเขา แล้วหายเข้าไปในอนัตตา ก่อนจะทำการผนึกฟ้าดินเอาไว้ภายในพริบตา
แคว็ก!
บูอิงสงบีบฮู้ให้แตก ทันทีที่แสงเงินที่แวววาวจับตาปกคลุมร่างเขา ปริภูมิที่อยู่รอบกายก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง แต่ก็ไม่สามารถฉีกกระชากอนัตตาหลบหนีไปได้อยู่ดี
เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้ บูอิงสงก็ลุกลนขึ้นมาทันที ก่อนจะพลิกมือหยิบฮู้ที่ระดับขั้นสูงกว่าออกมาอีกหนึ่งชิ้น ซึ่งเป็นยันต์คุ้มทะลุฟ้าที่ราชันย์ค่ายระดับเก้ากลั่นออกมา
“ฮู้ราชันย์ระดับเก้าก็ไม่มีประโยชน์!”
หลัวซิวยกมือขึ้นมาประสานวิกล อนัตตาของฟ้าดินแห่งนี้ก็ถูกผนึกอย่างแน่นหนา บูอิงสงบีบฮู้จนแตก แต่ก็แค่สามารถทำให้ปริภูมิที่อยู่รอบกายสั่นเทิ้มเหมือนเคย ไม่ถูกส่งออกไปจากที่นี่
“มึง……มึงคือนักค่ายเทพระดับเก้า!”
ในที่สุดบูอิงสงก็ตอบสนองกลับมาได้สักที จู่ ๆ เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองมองข้ามปัญหาที่สำคัญมาก ๆ หลัวซิวนี่เป็นร่างที่ไท่ซ่างฉิงกลับชาติมาเกิด ซึ่งไท่ซ่างฉิงถูกขนานนามว่าเป็นอัจฉริยะไร้เทียมทานที่มีพรสวรรค์เป็นหนึ่งตลอดกาล!
เล่ากันว่าไท่ซ่างฉิงมีความรู้ความสามารถรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นวิถีค่าย วิถียา วิถีภัวิณฑ์ตลอดจนด้านวิถีกลั่นร่างและกลั่นวิญญาณ ล้วนมีระดับความรู้ฝีมือสูงมาก เรียกได้เลยว่าเป็นอัจฉริยะรอบด้านที่หาพบได้ยาก!
แม้แต่บรรพอาจารย์ตระกูลมหายุทธ์ของพวกเขาก็เคยพูดอย่างทอดถอนใจเช่นกันว่า หากไท่ซ่างฉิงไม่ดับสลายสูญสิ้น แม้นจักไม่สามารถบรรลุเป็นผู้แข็งแกร่งอย่างสวรรค์และจ้าววัฏสงสาร แต่ก็ต้องเป็นผู้ไร้เทียมทานอย่างแน่นอน