มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake – บทที่ 2760 ภพชาติก่อนและภพชาตินี้

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2760 ภพชาติก่อนและภพชาตินี้

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2760 ภพชาติก่อนและภพชาตินี้

“ชีชี เราสองคนมีความแค้นต่อกันหรือ?”หลัวซิวหลุดหัวเราะออกมา เขาสามารถสัมผัสได้อยู่ว่าจิตสังหารของชีชีไม่ใช่ของปลอม นางจะฆ่าเขาจริง ๆ

เห็นเพียงจิตสังหารที่อยู่ในสายตาชีชีแทบจะผนึกรวมกันเป็นแก่นแท้แล้ว พูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น: “เจ้าอย่ามาแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ต่อหน้าข้า เจ้าทำให้อาจารย์ข้าผิดหวัง ชาตินี้ข้าจักฆ่าเจ้าแน่นอน ใช้เลือดของเจ้ามาเซ่นไหว้บูชาดวงวิญญาณของอาจารย์ที่อยู่บนสวรรค์!”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ แววตาของหลัวซิวก็ดูอืดอาด จู่ ๆ เหมือนเขาจะเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา แต่ก็ไม่ค่อยมั่นใจเช่นกัน

“อาจารย์เจ้าคือผู้ใด?”หลัวซิวลองถามหยั่งเชิง

เมื่อพูดถึงอาจารย์ของตัวเอง จิตสังหารในดวงตาที่งดงามของชีชีก็เข้มข้นมากขึ้น “ไอ้คนทรยศหัวใจ เจ้าลืมไปหมดแล้วหรือ? อาจารย์ข้าก็คือฉินหยูเวย!”

“หยูเวย?”

มีบุคลิกลักษณะของสตรีที่นุ่มนวลและงดงามคนหนึ่งปรากฏในหัวหลัวซิว ครั้นเมื่อเจอชีชีครั้งแรก เขาก็มองเห็นเงาของหยูเวยจากตัวชีชีแล้ว

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหน้าตาของหยูเวยและชีชีคล้ายคลึงมากจริง ๆ บางทีสาเหตุที่หยูเวยรับชีชีเป็นศิษย์นั้น ก็น่าจะเป็นเพราะหน้าตานางเหมือนตนเองกระมัง?

“ท้ายที่สุดแล้วนางก็เกลียดข้าอยู่ดี”

หลัวซิวยิ้มอย่างขมขื่นพลางส่ายหน้า เขาก็อธิบายไม่ถูกเช่นกันว่าความรู้สึกในใจตัวเองนั้นมันเป็นอย่างไรกันแน่ ชั่วชีวิตของไท่ซ่างฉิงเมื่อชาติปางก่อน จิตใจแสวงหาแต่วิถีธรรม ตัดขาดอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดทิ้ง ทำให้สตรีจำนวนมากที่อยู่รอบกายผิดหวัง

มาตรแม้นว่าเป็นเช่นนี้ เทียนหย่งก็ไม่รู้สึกโกรธเกลียดและเสียดายใด ๆ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าสตรีทุกนางจะเหมือนดั่งเทียนหย่ง ยกตัวอย่างเช่นหยูเวย ก็เปลี่ยนจากรักเขาเป็นเกลียดเขาเช่นกัน ยิ่งกว่านั้นคือความเกลียดแค้นนี้ยังได้ตกทอดมาถึงศิษย์ของนางด้วย หรือบนตัวชีชีนั่นเอง

“ผู้สืบทอดของหยูเวยอย่างนั้นหรือ? ลักษณะท่าทีก็ค่อนข้างคล้ายคลึงกับนางอยู่”เมิ่งเชียนชางเอ่ยปากพูดอย่างเรียบนิ่ง เขากับไท่ซ่างฉิงและฉินหยูเวยเป็นคนที่อยู่ในยุคสมัยเดียวกัน

ชีชีทำเสียงหึอย่างเยือกเย็นทีหนึ่ง นางไม่ได้ลงมือโจมตีต่อหลัวซิวโดยตรง อย่างไรเสียก็มีศัตรูตัวฉกาจโอบล้อมอยู่รอบ ๆ ต่างฝ่ายต่างผูกมัดซึ่งกันและกัน ดึงเส้นผมเส้นเดียวก็จะสะเทือนไปทั่วทั้งร่างกาย เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ไม่มีผู้ใดกล้าทำอะไรผลีผลามเลย

หลัวซิวสลัดความคิดในหัวทิ้ง แววตามองข้ามผ่านเมิ่งเชียนชาง หงบูชีชี แล้วร่วงลงบนตัวชายหนุ่มที่ร่างกายกำยำคนหนึ่ง

ซึ่งคนดังกล่าวก็คือผู้ที่เคยต่อสู้กับเขา และดูเหมือนจะเป็นยอดฝีมือไร้เทียมทานที่ผู้สูงส่งกลับชาติมาเกิด!

ขณะที่หลัวซิวเพ่งเล็งความสนใจไปบนตัวฝ่ายตรงข้าม สายตาของฝ่ายตรงข้ามก็ร่วงลงบนตัวเขาเช่นกัน แต่ทว่าเขายังคงเงียบสงบอยู่เช่นเคย ไม่นานนักก็ดึงสายตากลับมาจากหลัวซิว ก่อนจะนั่งท่าขัดสมาธิลงบนก็เห็นก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง

จากนั้นหลัวซิวก็เห็นผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งที่มาจากโลกใต้ดิน ใบหน้าของสตรีนางนี้สดใสงดงาม อวัยวะบนใบหน้าสมบูรณ์แบบ ทั้งร่างกายถูกปกคลุมอยู่ในรัศมีที่มีสีสันงดงามลาง ๆ ราวกับเทพธิดาที่จุดติดลงมายังโลกมนุษย์

หลัวซิวมองเห็นกงล้อเทพหนึ่งวงจากด้านหลังสตรีนางนั้น เห็นได้ชัดเจนเลยว่าผลการฝึกตนของสตรีนางนั้นคือเทพมารระดับแปดช่วงปลาย การที่ผนึกรวมกงล้อเทพออกมาได้ในระดับผลการฝึกตนระดับนี้นั้น มันดูน่ากลัวกว่ายอดฝีมือที่เหมือนเป็นผู้สูงส่งกลับชาติมาเกิดคนนั้นเสียอีก!

ฮวงหวูจี๋และหยุนยี่เทียนต่างกำเนิดจากกองกำลังใหญ่ จึงพอจะรู้จักเหล่าอัจฉริยะผู้แข็งแกร่งที่เข้าร่วมการแข่งขันชิงโควต้าหอคอยฮวงอยู่บ้าง เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ที่พบเห็นจนชิน หลัวซิวก็ทราบอยู่บ้างเช่นกัน

สตรีนางนี้มีนามว่าเยว่หานชวงซึ่งมาจากโลกสวรรค์ที่ลึกลับที่สุดในบรรดาโลกมหาศักดิ์ทั้งแปด กำเนิดจากหนึ่งในวังนภาสิบสอง ตำหนักเยว่เทียน!

เยว่หานชวงเป็นเทพธิดาของตำหนักเยว่เทียน ตัวนางเองต้องได้รับการถ่ายทอดสืบสานของชางเทียนเยว่แน่นอน วรยุทธ์ที่ฝึกคือระดับประมุขเต๋า

หลัวซิวรู้ตัวเองดีอยู่ว่าถึงแม้เขาจะนำเคล็ดเซียนมหาศักดิ์ทั้งสองหลอมรวมเข้ากับวิถีไร้ลักษณ์ หากได้ปะทะกับเทพธิดาเยว่เทียนคนนี้ละก็ อัตราชนะก็มีไม่ถึงห้าส่วนแน่นอน

โลกสวรรค์ถูกจัดอยู่ในอันดับหนึ่งของโลกมหาศักดิ์ทั้งแปด และเป็นโลกที่แข็งแกร่งที่สุดเช่นกัน สวรรค์ทั้ง 12 ล้วนทิ้งการถ่ายทอดสืบสานของตัวเองไว้ในโลกสวรรค์ ยกตัวอย่างเช่นเคล็ดเซียนมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้าที่อยู่ในโลกสวรรค์ไม่โดดเด่นอะไรเลยด้วยซ้ำ สิ่งที่อัจฉริยะจำนวนมากที่กำเนิดจากแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นสุดยอดฝึกล้วนเป็นเคล็ดเซียนมหาศักดิ์ ตลอดจนระดับเคล็ดเซียนประมุขเต๋า!

“แค่เทพธิดาคนหนึ่งในตำหนักเยว่เทียนก็แข็งแกร่งเช่นนี้แล้ว ยังมีวังนภาอีก 11 วัง ภูมิฐานของโลกสวรรค์น่าสยดสยองมากเกินไปแล้ว”

หลัวซิวพูดพึมพำในใจ อิงจากการคาดเดาของเขา หากโลกมหาศักดิ์อีกเจ็ดโลกที่เหลือไม่ได้ปิดบังศักยภาพ เกรงว่าเมื่อรวมเข้าด้วยกันแล้ว ก็ยังเทียบเคียงกับโลกสวรรค์ไม่ได้เลย

“เจ้าหนูแซ่หลัว ได้ยินมาว่ามึงเป็นร่างที่ไท่ซ่างฉิงกลับชาติมาเกิดอย่างนั้นหรือ?”

ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงหัวเราะที่เยือกเย็นสะท้อนมา “ได้ยินมาว่าพรสวรรค์ของมึงปราดเปรื่องไร้ผู้เทียบเคียง เป็นหนึ่งเดียวตลอดกาล แต่หลงรุ่ยกูกลับไม่นึกเช่นนั้น เนื่องจากผู้แข็งแกร่งในยุคสมัยที่มึงคงอยู่โรยรา อัจฉริยะมีน้อย หากกูก็กำเนิดในยุคสมัยนั้นละก็ ไท่ซ่างฉิงมึงก็ต้องชิดซ้ายเท่านั้น!”

เมื่อพูดคำพูดที่จองหองเช่นนี้ออกมา แม้แต่ตัวหลัวซิวเองก็รู้สึกสงสัยในตัวคนดังกล่าวอย่างอดไม่ได้ เขามองไปทางต้นตอของเสียง แล้วพบว่ามีชายหนุ่มที่ใบหน้ายโสโอหังคนหนึ่งกำลังหกระเหินเดินฟ้ามา คนดังกล่าวเรียกตนเองว่าหลงรุ่ย บนตัวมีพลังออร่าของมังกรแท้ด้วย ซึ่งเขาก็คืออัจฉริยะเผ่าพันธุ์มังกรอย่างไม่ต้องสงสัยแล้วล่ะ

ศักยภาพของเผ่าพันธุ์มังกรแท้แข็งแกร่งมาก ๆ เล่ากันว่าเผ่าพันธุ์นี้ของพวกเขาได้รับการสืบสายเลือดของเทพอสูรกลืนกินโบราณดารากาย จากการที่กาลเวลาอันยาวนานค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไป ผู้แข็งแกร่งแต่ละยุคของเผ่าพันธุ์มังกรก็วิวัฒนาการอย่างต่อเนื่อง สายเลือดก็หลุดพ้นออกมาจากสายเลือดของดูดจิตเช่นกัน ประกอบเป็นพลังสายเลือดที่มีเอกลักษณ์

สายเลือดของเผ่าพันธุ์มังกรแทบจะคงอยู่ในโลกมหาศักดิ์ทั้งแปด ตลอดจนมหาโลกาพันสาม รวมไปถึงสรรพโลกอื่น ๆ อีกมากมาย ทว่าหากพูดถึงเผ่าพันธุ์ที่มีสายเลือดบริสุทธิ์ที่สุดละก็ มันอยู่ที่สถานบรรพบุรุษเผ่าพันธุ์มังกรแห่งโลกใต้ดิน!

สถานบรรพบุรุษเผ่าพันธุ์มังกรก็ถูกเรียกว่าภูเขาบรรพมังกรเช่นกัน บรรพบุรุษมังกรในตำนานคือผู้แข็งแกร่งผู้แกร่งเลิศที่อยู่ห่างจากแดนประมุขเต๋าเพียงก้าวเดียวเท่านั้น

“เผ่าพันธุ์มังกรหรือ? มึงปากดีไม่เบาเลยนี่ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าศักยภาพของมึงจะเก่งเหมือนปากมึงหรือไม่”

ถึงแม้หลัวซิวจะโต้เถียงกับผู้อื่นน้อยมาก ๆ ทว่าเมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ถูกโอบล้อมไปด้วยศัตรูตัวฉกาจแล้วถูกผู้อื่นยั่วยุ หากเขาไม่ตอบโต้ละก็ ผู้อื่นก็จะคิดว่าเขากดขี่รังแกง่าย ทันทีที่เกิดการตะลุมบอน จะมีคนจำนวนมากลงมือต่อเขา

เพราะฉะนั้นจึงพูดได้แค่ว่าหลงรุ่ยนี่ดวงซวย หลัวซิววางแผนที่จะเอาเขามาสร้างความน่าเกรงขามพอดี ข่มขวัญคนอื่นที่เหลือ

ชัวะ!

เพียงชั่วพริบตาเดียว เงาร่างหลัวซิวก็หายวับไปกับที่ วินาทีต่อไปก็ปรากฏตรงหน้าหลงรุ่ย

หลงรุ่ยเป็นอัจฉริยะผู้แข็งแกร่งที่กำเนิดจากภูเขาบรรพมังกร ปฏิกิริยาตอบสนองของเขาก็รวดเร็วมากเช่นกัน แสยะยิ้มอย่างเยือกเย็นพลางพูด: “จะต่อสู้ในระยะประชิดกับกูอย่างนั้นหรือ? มึงไม่รู้หรือว่าร่างเนื้อของเผ่าพันธุ์มังกรแท้กูแข็งแกร่งกว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างพวกมึงหลายเท่าตัว?”

“ตู้มม!”

หลัวซิวเบื่อที่จะพูดจาไร้สาระ เขาตบฝ่ามือหนึ่งออกไป วิถีไร้ลักษณ์วิวัฒนาการเป็นพลังแห่งสิงเทียน มีอัสนีเทวทัณฑ์สวรรค์ผนึกรวมกันอยู่กลางฝ่ามือ วิชาตราประทับหนึ่งจึงร่วงลงเหนือศีรษะหลงรุ่ยจนเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น

มีแสงทองระเบิดออกมาจากตัวหลงรุ่ย มีเขามังกรสองเขางอกออกมาจากหัว มือทั้งสองข้างก็กลายเป็นกรงเล็บมังกรเช่นกัน

แต่เขาประเมินระยะความต่างของศักยภาพของพวกเขาทั้งสองคนผิดพลาด กรงเล็บทั้งสองข้างของเขาระเบิดแตกเป็นหมอกเลือดภายในพริบตา เมื่อเผชิญหน้ากับพลังโจมตีที่ไม่ปราณีของหลัวซิว จึงถูกวิชาตราประทับหนึ่งโจมตีจนร่างกายเหลวแหลก

“พลังเทวสิงเทียน!”

“หรือว่ามันเป็นผู้สืบทอดของวังสิงเทียน”

“……”

มีรัศมีกระพริบระยิบระยับอยู่ในดวงตาของผู้แข็งแกร่งจำนวนมากที่หลบซ่อนอยู่ในอนัตตารอบ ๆ ในบรรดาพลังเทวสวรรค์ทั้ง 12 ประเภท พลังโจมตีของอัสนีเทวทัณฑ์สวรรค์ที่ชางเทียนสิงยึดกุม แข็งแกร่งกว่าพลังแห่งเวหาและพลังฉีกชั้นฟ้าที่เฉียบคมอย่างยิ่งมาก ๆ

สีหน้าของเมิ่งเชียนชางก็หม่นหมองลงไปเช่นกัน เมื่อหลายล้านปีก่อน เขาก็อาศัยผลการฝึกตนมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้าเช่นกัน ถึงจะสามารถต่อกรกับไท่ซ่างฉิงที่อยู่ในแดนผู้สูงส่งได้ อีกทั้งสุดท้ายทั้งสองก็ตายไปพร้อมกัน ซึ่งสิ่งที่เขาอาศัยก็คือพลังเทววัฏสงสารที่แข็งแกร่งนี่แหละ

แต่ปัจจุบันนึกไม่ถึงเลยว่าไท่ซ่างฉิงในภพชาตินี้จะยึดกุมพลังเทวสิงเทียน อีกทั้งบนตัวยังมีอัญสมบัติสวรรค์ด้วย หากทั้งสองคนอยู่ในแดนเดียวกัน ข้อได้เปรียบของเขาก็จะหายไปเลย

และในเวลานี้เอง เมิ่งเชียนชางก็สัมผัสได้ว่าสายตาของหลัวซิวจับจ้องมาทางตนเอง ต่อมาก็ได้ยินหลัวซิวเอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา: “เมิ่งเชียนชาง หากเจ้าไม่ได้ตัดผลการฝึกตนของตัวเองทิ้ง หากข้ายังบรรลุไม่ถึงแดนเทพมารระดับเก้า ข้าต้องไม่มีทางใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าแน่นอน แต่เจ้ากลับตัดผลการฝึกตนราชาเทพระดับเก้าของตัวเองทิ้ง แล้วร่วงหล่นลงมาในแดนเทพมารระดับแปด วันนี้ก็มาสะสางบุญคุณความแค้นระหว่างเจ้าและข้าเถอะ!”

“จักสู้กับข้า?”

มีจิตสังหารปรากฏบนใบหน้าเมิ่งเชียนชาง “ไท่ซ่างฉิง เจ้าถือดีมากเกินไปแล้ว เมื่อปีนั้นข้าอาศัยผลการฝึกตนมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้าก็สามารถปะทะกับเจ้าที่เป็นผู้สูงส่งได้แล้ว ปัจจุบันผลการฝึกตนของข้าสูงกว่าเจ้าสามแดน การที่เจ้าจักต่อสู้กับข้านั้น มันเป็นการรนหาที่ตายอยู่ชัด ๆ!”

ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น กงล้อเทพที่อยู่ด้านหลังเมิ่งเชียนชางก็สั่นเทิ้มจนเสียงดังหึ่ง ๆ มีรังสีแห่งวัฏสงสารสาดส่องไหลเวียน ราวกับธรรมหมื่นจักรวาลล้วนอยู่ในกำมือเขา

“เจ้ารนหาที่ตาย เช่นนั้นข้าก็จะทำให้เจ้าได้สมความปรารถนาเอง!”

เมิ่งเชียนชางเดินอยู่บนอากาศที่ว่างเปล่าแล้วเดินไปทางหลัวซิว ขณะที่เขาก้าวก้าวที่สาม กงล้อเทพก็หลอมรวมเข้ากับร่างกายเขา พลังออร่าของเขาค่อย ๆ เพิ่มขึ้นตามจังหวะ แค่การกดอัดของพลังออร่า ก็แทบจะใกล้เคียงกับผู้แข็งแกร่งราชาเทพระดับเก้าคนหนึ่งแล้ว

“คนดังกล่าวแข็งแกร่งจริง ๆ หรือว่าเขาก็คือผู้ที่ถูกเรียกขานว่าเป็นศัตรูเก่าของไท่ซ่างฉิงในยุคโบราณ ผู้สืบทอดของจ้าววัฏสงสารยุคที่เก้า?”

“ตำนานเล่ากันว่าเขาดับสลายสูญสิ้นไปพร้อมกับไท่ซ่างฉิง ด้วยเหตุนี้กงล้อวัฏจักรธรรมก็แตกสลายไปพร้อมกันด้วย ดูท่าพวกเขาทั้งสองคนต่างกลับชาติมาเกิดสำเร็จ สามารถพูดได้เลยว่าศึกการต่อสู้ในครั้งนี้เป็นศึกแห่งโชคชะตา!”

“ผู้สืบทอดของจ้าววัฏสงสาร!”

มีจิตสังหารตลบฟุ้งอยู่ในสายตาของฮู๋ชิงชิง ในฐานะที่เป็นผู้บำเพ็ญปรปักษ์ ได้ถูกลิขิตไว้แล้วว่าเป็นคู่อาฆาตกับผู้ฝึกวิถีสวรรค์และวิถีวัฏสงสาร!

“เมิ่งเชียนชางเอ๊ยเมิ่งเชียนชาง เจ้าทำให้ข้ารู้สึกผิดหวังมาก ๆ เจ้าทราบหรือไม่?”

หลัวซิวไม่ได้นำพลังออร่าที่เพิ่มขึ้นตามจังหวะของเมิ่งเชียนชางมาใส่ใจเลยแม้แต่น้อย แต่เป็นการพูดอย่างเย็นชา “ไม่ว่าจะเป็นภพชาติก่อนหรือชาตินี้ เส้นทางแห่งวัฏสงสารที่เจ้าภูมิใจนักภูมิใจหนา ก็เป็นเพียงวิถียุทธ์ที่จ้าววัฏสงสารรุ่นแรกริเริ่มขึ้นมาเท่านั้นเอง สิ่งที่เจ้าฝึกคือวรยุทธ์ของคนรุ่นก่อน ไม่ว่าเจ้าจะฝึกวิถียุทธ์ของคนรุ่นก่อนถึงแดนที่สูงเพียงใด ก็ไม่มีวันบรรลุถึงขีดสูงสุด”

“แต่ข้าแตกต่างจากเจ้า ข้าพยายามลองริเริ่มวิถียุทธ์ของตนเองตั้งแต่ชาติปางก่อน ส่วนชาตินี้วิถียุทธ์ของข้าก็มีแนวโน้มที่จะสมบูรณ์แบบแล้ว ชาติก่อนเจ้าสามารถข้ามขั้นปะทะกับข้า แต่ชาตินี้ข้าจักเป็นผู้ข้ามขั้นปะทะกับเจ้าเอง!”

ยังไม่ทันสิ้นเสียง หลัวซิวก็ก้าวขาออกไปหนึ่งก้าว ก่อนจะมาถึงตรงหน้าเมิ่งเชียนชางทันที มีรัศมีเทวที่ไม่มีสีสันใด ๆ แย้มบานออกมาจากตัวเขา พลังเต๋าที่แฝงซ่อนอยู่ในรัศมีเทวประเภทนี้ราวกับความว่างเปล่า และภายในความว่างเปล่านี้ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอมตะที่ไร้ขอบเขต ลึกลับและมหัศจรรย์เป็นหนึ่ง!

“กระบวนท่านี้เป็นวิชาตราประทับที่ข้าริเริ่มโดยการอ้างอิงจากวิถียุทธ์ของข้า ตราสรรพสิทธิ์!”

หลัวซิวระเบิดพลังความสามารถทั้งหมดออกมา กำลังรบทั้งหมดถูกระเบิดออกมาในวินาทีนี้ ไม่มีการออมมือใด ๆ ตราสรรพสิทธิ์พุ่งออกไปจนเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น ฟ้าดินมืดมัว!

“ตราวัฏสงสารล้ำเลิศ!”

เมิ่งเชียนชางตะคอกเสียงดังลั่น พลังเทววัฏสงสารผนึกรวมกันอยู่ในมือทั้งสองข้างของเขา แสยะยิ้มอย่างเยือกเย็นแล้วพูดว่า: “เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นผู้ใด? วิถียุทธ์ที่เจ้าริเริ่มสามารถเทียบเคียงกับวิถีวัฏสงสารได้หรือ?”

ตั้งแต่โบราณกาลมา บำเพ็ญปรปักษ์ที่หมายถึงนั้นก็คือจอมยุทธ์ที่ริเริ่มวิถีแห่งตน วิถียุทธ์ที่พวกเขาริเริ่มไม่ได้อยู่ในขอบข่ายของวิถีทั้งปวงในฟ้าดิน มีเอกลักษณ์ของตนเอง เป็นการเลือกเดินบนเส้นทางเล็ก ๆ อีกเส้นทางหนึ่ง

แต่มันไม่ได้หมายความว่าวิถียุทธ์ที่ผู้บำเพ็ญปรปักษ์ทุกคนริเริ่มจะแข็งแกร่งหมด ส่วนวิถีสวรรค์และวิถีวัฏสงสารกลับเป็นตัวแทนของขีดสูงสุดบนวิถียุทธ์ จึงเป็นสิ่งที่แทบจะไม่มีสิ่งใดสามารถเอาชนะได้

“ตู้มม!”

ฟ้าดินสนั่นหวั่นไหว เมิ่งเชียนชางตะลึงจนสีหน้าเปลี่ยนไป ร้องเฮือกทีหนึ่ง มือทั้งสองข้างของเขาที่กำลังรองตราวัฏสงสารระเบิดแตกกะทันหัน เสียงปั้งดังขึ้นจนร่างกายกระเด็นออกไปไกลนับพันไมล์!

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

None

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท