มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2764 ดาราปฐววีสามสิบหก
แสงกระบี่ดวงนี้เปล่งแสงแพรวพรายดั่งเสา มีอำนาจสวรรค์แฝงซ่อนอยู่ และมีออร่าที่เฉียบคมมากจนไม่อาจต้านทานได้แผ่กระจายออกมา ราวกับเกราะป้องกันทั้งปวงที่อยู่ต่อหน้าแสงกระบี่ดวงนี้คือของไร้ประโยชน์ เปราะบางจนไม่อาจทนแรงกระทบ!
“พลังเทวเวหา!?”
หัวใจหลัวซิวสั่นไหวขึ้นมา เขาไม่ได้ไม่คุ้นเคยต่อพลังแห่งเวหา ครั้นเมื่ออยู่ในมหาโลกาพันสาม เขาก็เคยประสบพบเจอกับศิษย์ที่มาจากตำหนักเวหาเช่นกัน ซึ่งเขาก็ใช้วิถีไร้ลักษณ์บันทึกออร่าพลังเต๋าของพลังแห่งเวหาตอนนั้นนั่นแหละ ต่อมาถึงจะสามารถวิวัฒนาการปลดปล่อยพลังแห่งเวหาออกมาได้
“มึงก็มีความรู้อยู่บ้างนี่ ไม่นึกเลยว่าแค่อาศัยออร่าพลังเต๋า ก็มองออกแล้วว่าเป็นพลังเทวเวหา”
ชายหนุ่มคนหนึ่งปรากฏบนยอดเขาลูกหนึ่งที่อยู่ห่างจากหลัวซิวไม่ไกล ในมือเขาถือกระบี่เทพเล่มหนึ่งที่มีแสงทองสว่างแพรวพราย ซึ่งมันก็คืออาวุธเลียนแบบกระบี่เทพเวหานั่นเอง
แววตาที่ร้อนผ่าวของชายหนุ่มคนนั้นเขม็งมองมาทางหลัวซิว “มึงสามารถดูดกลืนพละกำลังของศัสตราวุธของขลังเพื่อชุบร่างเนื้อ ดูท่ามึงคงจะยึดกุมวิชากลั่นร่างที่ประณีตสวยวิจิตรอย่างยิ่ง ส่งวิชากลั่นร่างออกมา แล้วกูจะไว้ชีวิตมึง!”
“เตี๊ยง!”
เตากลั่นนภาจื่อเซียวปรากฏเหนือศีรษะ อัคคีเทพที่ปวงก็ลุกลามลงมาต้านทานปราณกระบี่เอาไว้ แม้นพลังเทวเวหาจะเฉียบคมมากจนไม่อาจต้านทาน แข็งแรงยากที่จะทลาย แต่ผลการฝึกตนของฝ่ายตรงข้ามกลับไม่ได้แข็งแกร่งถึงขั้นนั้น จึงย่อมไม่สามารถทำลายเกราะป้องกันของเตากลั่นนภาจื่อเซียวได้อยู่แล้ว
เตากลั่นนภาจื่อเซียวคืออาวุธเทพพรสวรรค์ระดับเก้า แทบจะใกล้เคียงกับระดับอาวุธเทพมหาศักดิ์ การที่จะอาศัยพลังเทวเวหาทำลายมันนั้น ถึงแม้หลัวซิวจะไม่สามารถกระตุ้นพลานุภาพของตาเซียนให้ถึงขีด อย่างน้อยก็จำเป็นต้องเป็นพลังเทวเวหาของเทพมารระดับเก้าถึงจะสามารถทลายได้
“ไสหัวไป!”
สำหรับอัจฉริยะผู้แข็งแกร่งแห่งตำหนักเวหาคนนี้ หลัวซิวแค่ตอบกลับเขาประโยคเดียวเท่านั้น
“ช่างเป็นคนที่จองหองยิ่งนัก!”
สีหน้าของชายหนุ่มคนนั้นหม่นหมองลง สายตาเขม็งมองหลัวซิว ราวกับมองกราดมดตัวจ้อยตัวหนึ่งพลางพูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น: “ในเมื่อมึงไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง เช่นนั้นก็ไปตายซะเถอะ!”
กระบี่เทพที่อยู่ในมือเขาสั่นเทิ้ม ฟาดฟันปราณกระบี่เวหาออกมา ปราณกระบี่ทุกเล่มล้วนมีคุณสมบัติพิเศษที่เฉียบคมจนไม่อาจต้านทาน แข็งแรงจนไม่อาจมลายแฝงซ่อนอยู่ หลัวซิวใช้เตาเซียนต้านทานพลังโจมตีเหล่านี้เอาไว้ ผลการฝึกตนของตัวเขาเองก็สูญเสียไปไม่น้อยเช่นกัน
เมื่อเผชิญหน้ากับพลังโจมตีของปราณกระบี่เวหา ยิ่งป้องกันก็จะยิ่งเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบ ซึ่งหลัวซิวเข้าใจหลักการนี้ดีมาก ๆ ดังนั้นเขาจึงรีบหยุดยั้งการกลั่นแปรเตาเทพที่สยบได้ในเมื่อครู่นี้อย่างเด็ดเดี่ยว เงาร่างกระพริบทีหนึ่ง หายวับไปกับที่
“ตราสรรพสิทธิ์!”
ภายใต้การปลุกเสกจากปริภูมิและความเร็ว หลัวซิวปรากฏตรงหน้าชายหนุ่มคนนั้นโดยตรง วิชาตราประทับหนึ่งได้ผนึกรวมกันกลางฝ่ามือเขา สรรพวิชาบังเกิด ฟ้าจะถล่มแผ่นดินจะทลาย
“นี่คือพลังอมตะอะไร?”
ชายหนุ่มก็รู้สึกตะลึงต่อพลังอมตะตราสรรพสิทธิ์ของหลัวซิวเช่นกัน ในฐานะที่เป็นผู้สืบทอดของวังนภาหนึ่ง เขายังไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าภายในพลังอมตะของคนคนหนึ่ง จะมีความล้ำลึกของธรรมทั้งปวงในฟ้าดินแฝงซ่อนอยู่
พลังอมตะวิชาหนึ่งก็ครอบจักรวาลแล้ว นี่คือสิ่งที่เทพมารระดับแปดคนหนึ่งสามารถทำได้หรือ?
ทว่าเขาก็ใจเย็นลงอย่างรวดเร็ว ยิ้มเยาะพลางพูด “ต่อให้พลังอมตะของมึงจะประณีตสวยวิจิตรมากเพียงใด เมื่ออยู่ต่อหน้าปราณกระบี่เวหาของกู ก็ล้วนจะถูกมลาย!”
“ฟึ่บ!”
กระบี่เทพแทงทะลวงตราสรรพสิทธิ์ พลังอมตะทั้งหลายที่วิวัฒนาการออกมาจากตราสรรพสิทธิ์ก็พังทลายไปภายในพริบตา รอยยิ้มเยาะเย้ยบนใบหน้าของชายหนุ่มก็ค่อย ๆ เข้มข้นขึ้น
“อย่าเพิ่งได้ใจเร็วไปหน่อยเลย”
หลัวซิวพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา ถัดจากนั้นพลังอมตะที่ถูกปราณกระบี่เวหาทลายก็ค่อย ๆ ปรากฏอีกครั้ง เมื่อถูกทลายก็จะกลับมาผนึกรวมกันใหม่อีกครั้ง ดั่งการเวียนว่ายตายเกิด!
“นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?”สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนไปภายในพริบตา “ธาตุการเวียนว่ายตายเกิด หรือจะเป็นพลังเทวชิงเทียน?”
“ยินดีด้วย มึงตอบถูกแล้ว แต่น่าเสียดายที่ไม่มีของรางวัล!”
เสี้ยววินาทีที่ชายหนุ่มสติหลุด หมัดข้างหนึ่งที่อยู่ในตราสรรพสิทธิ์ของหลัวซิวก็ทะลวงเกราะป้องกันทั้งปวง เสียงตู้มดังลั่นขึ้นมา ชกลงบนใบหน้าของชายหนุ่มอย่างรุนแรง
ร่างกายของชายหนุ่มหมุนกระเด็นออกไปปานลูกข่าง จิตสังหารที่อยู่ในดวงตาหลัวซิวเข้มข้น ฟาดฟันกระบี่ร่องฟ้าออกไปหนึ่งครั้ง เตรียมพร้อมที่จะสังหารฝ่ายตรงข้ามอยู่ ณ ที่แห่งนี้
“ฟึ่บ!”
ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย ชายหนุ่มได้หลบเลี่ยงอวัยวะส่วนสำคัญ แขนข้างหนึ่งถูกตัดและมีเลือดสาดกระเด็น
“กูไม่จบกับมึงแน่!”
ชายหนุ่มทิ้งท้ายด้วยคำข่มขู่ที่ดุดัน ก่อนจะปลดปล่อยเคล็ดวิชาบางอย่างกะทันหัน ผันร่างเป็นแสงทองรุ้งยาวดวงหนึ่งภายในพริบตาแล้วบินหนีไป ซึ่งเร็วกว่าหลัวซิวที่ได้รับการปลุกเสกโดยเกณฑ์ปริภูมิและความเร็วเสียอีก
หลัวซิวก็ไม่ได้ไล่ตามไปเช่นกัน อัจฉริยะที่กำเนิดจากแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงสุดในทำนองนี้ ส่วนมากล้วนมีอุบายที่ใช้ในการรักษาชีวิต นอกเสียจากเขาจัดวางมหาค่ายผนึกฟ้าดินไว้บริเวณสนามรบล่วงหน้า มิเช่นนั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยหากคิดที่จะสังหารคู่ต่อสู้
เขาง้างมือขยำครั้งหนึ่ง กระบี่เทพสีทองเล่มหนึ่งก็ร่วงลงมาในมือเขา ซึ่งกระบี่เทพเล่มนี้ก็คือศัสตราวุธของชายหนุ่มคนเมื่อครู่นั่นเอง แขนข้างที่เขาถือกระบี่เทพถูกหลัวซิวตัดลงมา กระบี่เทพเล่มนี้จึงต้องเปลี่ยนเจ้าของอยู่แล้ว
แม้นหลัวซิวก็สามารถอาศัยวิถีไร้ลักษณ์วิวัฒนาการพลังเทวเวหาออกมาได้เช่นกัน ทว่าพลังเทวเวหาที่เขาวิวัฒนาการออกมาคล้ายกับว่าเป็นของจริง แต่ก็ไม่ใช่ของจริง อย่างไรเสียพลังแห่งเวหาที่เขาเคยพบเห็นรู้จัก ก็จำกัดอยู่แค่ระดับเทพมารระดับห้า
แต่กระบี่เทพที่เขาได้รับ ณ วินาทีนี้ มีความล้ำลึกของพลังเทวเวหาที่มากกว่าแฝงซ่อนอยู่ ภายใต้การศึกษาและเรียนรู้ของหลัวซิว จึงตระหนักรู้ในเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างถ่องแท้
สำหรับการวิวัฒนาการของวิถีไร้ลักษณ์ หากต้องการวิวัฒนาการพลังบางอย่างออกมา ลำดับแรกคือเขาต้องยึดกุมความลึกลับและมหัศจรรย์ของพลังนั้นนั้นก่อน ยิ่งมีการตระหนักรู้มาก พลานุภาพที่วิวัฒนาการออกมาก็จะยิ่งมาก
เมื่อเปรียบเทียบกับสรรพวิชาที่วิวัฒนาการออกมาจากวิถีไร้ลักษณ์แล้ว หลัวซิวรู้สึกว่าสิ่งที่แข็งแกร่งที่สุดในวิถีไร้ลักษณ์ของตนเอง ก็ยังเป็นมหาอิทธิฤทธิ์อย่างสรรพวิถีล้วนว้างอยู่เช่นเคย
พลังอมตะนี้สามารถทลายสรรพวิชา และยิ่งสามารถทลายวิถีสวรรค์และวิถีวัฏสงสารด้วย อนาคตหากเขาก็สามารถฝึกถึงแดนประมุขเต๋า เช่นนั้นเมื่ออาศัยพลังอมตะนี้แล้ว ประมุขเต๋าสวรรค์และประมุขเต๋าวัฏสงสารไม่มีทางใช่คู่ต่อสู้ของเขาแน่นอน เนื่องจากพลังโจมตีและอุบายทั้งพวงของพวกเขา ล้วนจะถูกสรรพวิถีล้วนว้างปราบปราม
“ตู้มม!”
หลังจากผ่านไปหลายวัน ก็มีพลังออร่าที่น่าทึ่งระเบิดออกมาจากตัวหลัวซิว เขาทำการสยบกลั่นแปรสมบัติล้ำค่าดลจิตอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดร่างเนื้อร่างเทวก็ทลายขีดจำกัดของพันธนาการ บรรลุถึงร่างราชาเทพระดับเก้า
“ในเมื่อหอคอยฮวงเป็นหอคอย เช่นนั้นมันไม่มีทางมีพื้นที่เพียงหนึ่งชั้นแน่นอน ร่างเนื้อร่างเทวของข้าบรรลุถึงร่างราชาเทพระดับเก้าแล้ว ก็พอจะสามารถไปสำรวจในสถานที่ที่ลึกกว่าของหอคอยฮวงได้แล้ว”
หลัวซิวลอยตัวขึ้นฟ้าผันร่างเป็นแสงกลดวงหนึ่ง แล้วบินไปยังส่วนที่ลึกที่สุดของหอคอยฮวง ก่อนจะมองเห็นขั้นบันไดที่มุ่งไปสู่อนัตตาจากที่ไกล ๆ
ทั้งอนัตตามืดสลัว มองไม่ชัดเจนเลยว่าสุดเขตปลายทางเป็นอย่างไร ขั้นบันไดเรียงต่อกันอย่างไร้ปลายทาง
“มุ่งไปสู่ชั้นสองของหอคอยฮวงหรือ?”
หลัวซิวไม่ได้ลังเลใจมากนัก ก่อนจะย่างเท้าเดินขึ้นไปบนขั้นบันได จากนั้นเงาหลังของเขาก็หายไปจากที่สูงของขั้นบันไดอย่างรวดเร็ว หายเข้าไปในอนัตตา
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่ ขั้นบันไดที่อยู่ใต้เท้าก็หายไปแล้ว หลัวซิวมาถึงชั้นที่สองของหอคอยฮวง เขาสัมผัสธรรมเวชกาลร้างได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นเมื่ออยู่ที่นี่ ธรรมประเภทนี้มีความมีความเร้นลับขั้นสุดท้ายของการกลั่นร่างเนื้อแฝงซ่อนอยู่ ทำให้หลัวซิวอดไม่ได้ที่จะหลับตาลง เพื่อสัมผัสกับความลึกลับและมหัศจรรย์ที่แฝงซ่อนอยู่ภายในอย่างละเอียด
“หอคอยฮวงเปิดออก ธรรมเวชกาลร้าง ความเร้นลับขั้นสุดท้ายของวิถีกลั่นร่าง นี่ต่างหากที่เป็นโชคใหญ่ โอกาสใหญ่ที่แท้จริงในหอคอยฮวง!”
เหมือนหลัวซิวจะมีการตระหนักรู้ จิตใจตื่นเต้นดีใจเล็กน้อย เขาพบว่าวิชากลั่นร่างที่ตัวเองตระหนักรู้ได้จากหนังสือยุทธภัณฑ์ เหมือนจะเป็นวิชากลั่นร่างประเภทหนึ่งที่ถือกำเนิดจากธรรมเวชกาลร้าง
นี่จึงทำให้มีภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ปรากฏขึ้นมาในหัวเขาอย่างควบคุมไม่ได้ เมื่อหลายแสนล้านปีก่อน ผู้แข็งแกร่งบรรพศักดิ์สิทธิ์ที่ริเริ่มหนังสือยุทธภัณฑ์ ก็เคยเข้ามาในหอคอยฮวงเช่นกัน เขาตระหนักรู้แก่นสารบางอย่างของธรรมเวชกาลร้างได้ในหอคอยฮวง แล้วนำมันมาริเริ่มเป็นหนังสือยุทธภัณฑ์ จนกำเนิดเป็นเส้นทางวิถียุทธ์ของการชุบร่างเทวสูงสุด!
ที่นี่คือพื้นที่สีทองหนึ่งแห่ง ด้านหน้ามีประตูหินปรากฏหนึ่งบาน หลัวซิวมองเห็นเงาร่างที่คุ้นเคยหลายร่างกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดอยู่หน้าประตูหิน เข่นฆ่ากันอย่างโหดเหี้ยม
ทุกคนที่สามารถขึ้นมายังชั้นที่สองของหอคอยฮวงล้วนเป็นผู้แข็งแกร่ง คนเหล่านี้ต่างได้รับดอกผลที่ไม่ธรรมดาในชั้นแรก ศักยภาพมีการก้าวกระโดด
หลัวซิวมองเห็นเทพธิดาเยว่เทียน นางกำลังต่อสู้กับอัจฉริยะผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งจากตำหนักฉิงเทียนอย่างดุเดือด ในบรรดาวังนภาสิบสอง ต่างได้รับการถ่ายทอดสืบสานจากเผ่าฟ้า ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้ง 12 วังนภาที่แตกต่างกันกลับไม่ได้สามัคคีกันมากเท่าไหร่นัก
ซึ่งระหว่างตำหนักเยว่เทียนและตำหนักฉิงเทียนก็เป็นคู่อาฆาตกัน ทันทีที่พบหน้ากัน ก็แทบจะสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายเลย
ฉะนั้นการประมือของทั้งสองจึงก่อให้เกิดภาพฉากที่อันตรายอย่างต่อเนื่อง ทุกกระบวนท่าล้วนเป็นกระบวนสังหารที่ทุ่มสุดชีวิต
สายตาของหลัวซิวมองไปยังทิศทางอื่น ก่อนเห็นฮวงหวูจี๋ หยุนยี่เทียน ฮู๋ชิงชิงทั้งสามคนร่วมมือกัน กำลังต่อสู้กับหวงฟางเทียนและผู้แข็งแกร่งอีกคนหนึ่งที่กำเนิดจากวังสิงเทียน เข่นฆ่ากันอย่างดุเดือดโหดเหี้ยม
ยังมีเมิ่งเชียนชาง หงบูรวมไปถึงผู้แข็งแกร่งจากแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นสุดยอดแห่งโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดอื่น ๆ ต่างปะทะต่อสู้กันอย่างดุเดือด ต่างอยากโค่นล้มฝ่ายตรงข้าม ทำให้ผู้อื่นตกรอบ แล้วเป็นคนแรกที่เข้าไปในประตูหินบานนั้น
นอกเหนือจากนี้แล้วยังมีคนอีกส่วนหนึ่งที่ยังคงอยู่ในชั้นแรกอยู่เช่นเคย รวมไปถึงคนอีกส่วนน้อยที่ดับสลายสูญสิ้นไป ในละแวกใกล้เคียงของประตูหินบานนี้ ก็มีคนรวมตัวกันนับร้อยคนแล้ว ซึ่งทุกคนล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งในหมู่ผู้แข็งแกร่ง ศักยภาพน่าทึ่ง คนจำนวนไม่น้อยยิ่งผนึกรวมกงล้อเทพออกมาได้ล่วงหน้า
“โครมคราม!”
ทันทีที่หลัวซิวปรากฏที่นี่ จากนั้นก็มีดารา 36 ดวงที่ใหญ่โตมโหฬารอย่างยิ่งกดอัดมาทางเขา ดาราทั้ง 36 ดวงนี้จัดเรียงกันเป็นค่าย ซึ่งลึกลับและมหัศจรรย์อย่างยิ่ง
“ดาราปฐววีสามสิบหก!”
เพียงแวบเดียวหลัวซิวก็ดูออกแล้ว นี่คืออาวุธเลียนแบบอัญสมบัติโลกใต้ดินหนึ่งชุด แม้นจะเป็นของเลียนแบบ แต่ก็บรรลุถึงภัณฑ์ราชาเทพระดับเก้าเช่นกัน มีออร่าพลังเต๋าของธรรมเวชแห่งดินแฝงซ่อนอยู่ภายใน พลานุภาพเป็นหนึ่งไม่เป็นรอง
“ร่างรบหนึ่งหล้า!”
เป็นเพียงหลัวซิวตะคอกเสียงดังลั่น กำลังรบของร่างราชาเทพระดับเก้าถูกระเบิดออกมาอย่างหมดเปลือก ราวกับเทพผู้สูงส่ง รบจนท้องฟ้าผืนดินสนั่นหวั่นไหว!
ตู้มม!
เสียงที่ดังกระหน่ำดังก้องอยู่ในอนัตตา ดาราปฐววีสามสิบหกระเบิดแตกอย่างต่อเนื่อง ดาราทุกดวงล้วนหนักอึ้งมาก และยิ่งหนักกว่าดาราแท้ ๆ หลายเท่าตัวด้วย
ในขณะเดียวกัน หลัวซิวก็สัมผัสออร่าพลังเต๋าของธรรมเวชแห่งดินได้เช่นกัน ซึ่งพลังเต๋าประเภทนี้หนักอึ้งอย่างยิ่ง ราวกับเป็นสัญลักษณ์ที่มีน้ำหนักมากที่สุดในจักรวาลฟ้าดินยังไงอย่างนั้น เหมือนดั่งแผ่นดินใหญ่ที่กว้างสุดลูกหูลูกตากดอัดคู่ต่อสู้ทั้งปวง
น้ำหนักที่หน้าอึ้งก็สามารถผันเป็นพลังโจมตีได้เช่นกัน ดาราปฐววีสามสิบหกระเบิดแตกอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้หลัวซิวจะฝึกถึงร่างราชาเทพระดับเก้าแล้ว แต่ก็ถูกโจมตีจนถอยหลังกลับไปรัว ๆ แขนทั้งสองข้างชาไปหมด
“ดารา 36 ดวงอย่างนั้นหรือ? กูมีเพียงดวงเดียว ทว่ากลับสามารถโค่นล้ม 36 ดวงของมึงได้!”
หลัวซิวยกนิ้วขึ้นมาวางไว้ตรงหว่างคิ้ว ราวกับแคะลูกแก้วลูกหนึ่งออกมาจากหว่างคิ้ว ซึ่งมันก็คือลูกแก้วความเป็นตายนั่นเอง
ในภพชาตินี้ สามารถพูดได้เลยว่าลูกแก้วความเป็นตายเป็นสมบัติที่อยู่เคียงข้างเขามานานที่สุด อีกทั้งสมบัติชิ้นนี้ได้หลอมรวมเข้ากับวิญญาณดั้งเดิมของเขาจนเป็นอันหนึ่งเดียวกันแล้ว สิ่งหนึ่งเป็นอย่างไร สิ่งนั้นก็จะเป็นเช่นนั้น
ตลอดช่วงเวลาอันยาวนานที่ผ่านมา ภายใต้การบ่มเพาะจากพลังญาณเทว แม้เมิ่งเชียนชางจะเชี่ยวชาญเส้นทางแห่งวัฏสงสาร แต่ก็ไม่สามารถอาศัยพลังอมตะใช้อำนาจแก่งแย่งลูกแก้วความเป็นตายไป มีเพียงสังหารเขา ถึงจะได้ครอบครองลูกแก้วความเป็นตาย
เวิ่ง!
ลูกแก้วความเป็นตายถูกหลัวซิวง้างมือเขวี้ยงออกไป ก่อนจะกลายเป็นดาราลูกหนึ่งที่มีสีเขียวและสีดำพันอยู่รอบ ๆ เสียงตู้มดังขึ้น ทำให้ค่ายกลที่ประกอบมาจากดาราปฐวีทั้ง 36 ดวงถูกพุ่งชนจนพังทลาย
“ตราสรรพสิทธิ์!”
หลัวซิวปลดปล่อยพลังอมตะ วิชาตราประทับหนึ่งได้วิวัฒนาการพลังอมตะนับหมื่นออกมา ภายใต้การรุมโจมตีจากพลังอมตะที่ล้นฟ้า อัจฉริยะผู้แข็งแกร่งที่มาจากโลกใต้ดินนั่นก็ยืนหยัดต่อสู้อย่างทรหดทันที ราวกับมีเทพมารระดับเก้าจำนวนมากกำลังปลดปล่อยพลังอมตะรุมโจมตีตัวเองยังไงอย่างนั้น
ซึ่งนี่ก็คือความแข็งแกร่งของตราสรรพสิทธิ์ หนึ่งวิชาตราประทับวิวัฒนาการพลังอมตะนับหมื่น!
“มึงคือหลัวซิวหรือ? ได้ยินมาว่ามึงเป็นร่างที่ไท่ซ่างฉิงกลับชาติมาเกิด ทว่าเหตุใดมึงจึงทราบวิชายิ่งเลิศในวังชิงเทียนของกู?”
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงเสียงหนึ่งสะท้อนมา ถัดจากนั้นก็มีชายที่อยู่ในชุดเขียวบินตรงมา หลัวซิวมองเห็นศิษย์ตำหนักเวหาที่ถูกเขาตัดแขนแย่งกระบี่เทพในก่อนหน้านี้ปรากฏข้างกายเขาด้วย
เห็นได้ชัดเจนเลยว่าศิษย์ตำหนักเวหานั่น ได้บอกเล่าเรื่องราวที่หลัวซิวปลดปล่อยพลังเทวชิงเทียนให้คนในวังชิงเทียนฟัง เพราะฉะนั้นยอดฝีมือแห่งวังชิงเทียนนี่จึงตามมาถึงที่