มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake – บทที่ 2765 เส้นสายของหลัวซิว

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2765 เส้นสายของหลัวซิว

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2765 เส้นสายของหลัวซิว

เพียงชั่วพริบตาเดียว จากการเข้าร่วมของศิษย์ตำหนักเวหาและวังชิงเทียน คนกลุ่มหนึ่งจึงเพ่งเล็งความสนใจมาบนตัวหลัวซิวอย่างรวดเร็ว แล้วทำการโอบล้อมเขาไว้ตรงกลาง

“วิชายิ่งเลิศของเผ่าฟ้ากูไม่อาจแพร่งพรายสู่โลกาภายนอก ไม่ว่ามึงจักเรียนรู้วิธีการใช้พลังแห่งสวรรค์อย่างไร วันนี้มึงก็จำเป็นต้องให้คำอธิบายที่สมเหตุสมผล!”สตรีนางหนึ่งที่รอบกายปกคลุมด้วยชี่เสวียนพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

การถ่ายทอดสืบสานของเผ่าฟ้าแห่งวังนภาสิบสอง แม้นต่างฝ่ายต่างจะไม่สามัคคีกัน แต่กลับไม่ยอมปล่อยให้คนนอกคนหนึ่งได้ครอบครองการถ่ายทอดสืบสานของเผ่าฟ้า

“ถูกต้อง เผ่าฟ้าของเรายึดกุมเคล็ดเต๋าสวรรค์ 12 ประเภท มึงเป็นคนนอกคนหนึ่งแต่ไม่นึกเลยว่าจะมีพลังเทวชิงเทียน หากมึงไม่ให้คำอธิบายที่สมเหตุสมผลละก็ ไม่ว่ามึงจะเป็นร่างที่ผู้ใดกลับชาติมาเกิดก็ตาม วันนี้ก็ต้องตายอยู่ที่นี่”มีศิษย์ที่มาจากตำหนักเลี่ยเทียนอีกคนหนึ่งก้าวเดินออกมา ด้านหลังมีดาบเทพเลี่ยเทียนลอยอยู่หนึ่งเล่ม มีห้วงแท้พลังเต๋าที่ฉีกกระชากทุกสรรพสิ่งแผ่กระจายออกมา

“หากมึงอยากมีชีวิตรอดต่อไปก็ได้เช่นกัน ขอแค่มึงทำลายวรยุทธ์ที่ฝึกพลังเทวชิงเทียนทิ้ง จากนั้นค่อยยกมือยอมแพ้ รอกูจับกุมตัวมึงกลับไปยังวังนภา หลังจากให้เจ้าศักดิ์สิทธิ์วังอัมพรสอบปากคำด้วยตนเองแล้ว คอยชี้ขาดความเป็นความตายของมึงอีกที!”

ศิษย์แห่งวังชิงเทียนเป็นผู้เอ่ยปากพูดอย่างเย็นชา วังชิงเทียนเป็นผู้นำของวังนภาสิบสอง ในเมื่อเขาเอ่ยปากพูด จึงแทบจะเป็นตัวแทนปณิธานของวังนภาสิบสองแล้ว

เพียงชั่วพริบตาเดียว อัจฉริยะผู้แข็งแกร่งจำนวนมากที่มาจากวังนภาสิบสองก็ปลดปล่อยพลังออร่าของตัวเองออกมา พลังเทวสวรรค์ทั้ง 12 ประเภทเชื่อมประสานกันลาง ๆ ทำให้หลัวซิวสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่มากล้น

“ดูเหมือนวิถีสวรรค์ทั้ง 12 จักมีต้นกำเนิดมาจากที่เดียวกัน!”

หลัวซิวหรี่ตาลงเล็กน้อย วิถีสวรรค์ทั้ง 12 ดูเหมือนจะไม่มีความสัมพันธ์อะไรต่อกัน ธาตุพลังเต๋าที่แฝงซ่อนอยู่ภายในก็ล้วนแตกต่างกันเช่นกัน แต่นึกไม่ถึงเลยว่าระหว่างวิถีสวรรค์ทั้ง 12 จักเชื่อมประสานกันได้ด้วย นี่จึงทำให้หลัวซิวยึดกุมคำถามที่เป็นกุญแจสำคัญหนึ่งคำถาม

หากวิถีสวรรค์ทั้ง 12 มีต้นกำเนิดมาจากที่เดียวกัน แล้ว‘ที่เดียวกัน’นั่นมันคืออะไรกันแน่?

ความคิดเหล่านี้กระพริบผ่านไปในหัวหลัวซิว เนื่องจากเขา ณ วินาทีนี้ไม่มีเวลาไปคิดอะไรมากเลยด้วยซ้ำ ตอนนี้วังนภาสิบสองกำลังจ้องเขาตาเป็นมัน เขาจำเป็นต้องรับมือกับสถานการณ์นี้ให้รอดไปได้ก่อน

“ให้กูทำลายผลการฝึกตนของข้าทิ้ง แล้วยกมือยอมแพ้? มึงคงไม่ได้ป่วยหรอกกระมัง?”หลัวซิวกวาดตามองเหล่าอัจฉริยะผู้แข็งแกร่งแห่งวังนภาสิบสอง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

“เช่นนั้นก็หมายความว่ามึงรนหาที่ตายสินะ?”

มีจิตสังหารทะลุออกมาจากแววตาของสตรีที่รอบกายถูกปกคลุมด้วยชี่เสวียน ชี่เสวียนที่อยู่บนตัวนางกลายมาจากพลังเทพเสวียนเทียน ธรรมที่กล่าวถึงนั้นลึกซึ้งมากถึงมากที่สุด ลักษณะพิเศษของพลังเทพเสวียนเทียนก็แปลกประหลาดมากเช่นกัน

“แม่นาง กูว่าอาการมึงหนักไม่เบาเลยนะ”หลัวซิวยิ้มอ่อนพลางพูด

“ใกล้จะตายแล้วยังบังอาจจองหองอีกรึ?”แววตาของศิษย์แห่งวังชิงเทียนเป็นประกาย อัจฉริยะผู้แข็งแกร่งจากวังนภาสิบสองคนอื่น ๆ ก็ต่างปลดปล่อยจิตสังหารออกมาจากร่างกายเช่นกัน

“หึ! เผ่าฟ้าแล้วเจ๋งมากเลยหรือ? คนเยอะขนาดนี้แต่กลับรุมคนคนเดียว ช่างทำให้เผ่าฟ้าอับอายขายขี้หน้าเสียจริง”

และในเวลานี้เอง ก็มีเสียงที่หยาบกระด้างดังขึ้นมากะทันหัน ดาบเทพที่อยู่ด้านหลังศิษย์ตำหนักเลี่ยเทียนนั่นสั่นเทิ้ม กวาดตามองไปทางทิศทางที่เสียงดังกล่าวสะท้อนมาด้วยแววตาที่เยือกเย็น “ผู้ใดช่างกล้าหาญเยี่ยงนี้ บังอาจตำหนิเผ่าฟ้าของเราอย่างนั้นหรือ?”

บนตัวเขามีพลังเต๋าของพลังเทวฉีกชั้นฟ้าลอยวนเป็นเกลียวขึ้นไป ดาบเทพเล่มหนึ่งอยู่ในมือ ราวกับในโลกหล้านี้ไม่มีสิ่งใดสามารถต้านทานเขาได้ เมื่ออยู่ต่อหน้าดาบเทพ ทุกสรรพสิ่งล้วนจะถูกฉีกกระชากเป็นชิ้น ๆ ยับเยินหมดสิ้น

“ลูกพี่หงมึงเป็นผู้พูดเอง มึงมีปัญหาหรือ?”

มีเงาร่างที่กำยำร่างหนึ่งเดินออกมา ซึ่งเขาก็คือหงบูที่มาจากตระกูลหงแห่งโลกท่วมท้นนั่นเอง เห็นเพียงเขาก้าวเดินมาข้างกายหลัวซิว แล้วกวาดตามองผู้สืบทอดวังนภาสิบสองอย่างไม่หวาดหวั่น “กูไม่ชอบขี้หน้าที่จองหองพองขนของเผ่าฟ้าอย่างพวกมึงมากที่สุดแล้ว!”

“ยุคของสวรรค์ได้สิ้นสุดไปแล้ว ก็แค่มีการถ่ายทอดสืบสานสืบต่อกันมาเพียงเล็กน้อย พึ่งพาอำนาจบารมีของผู้อื่น คิดจริง ๆ หรือว่าพวกมึงเป็นผู้ไร้เทียมทานในโลกหล้า?”

ชายหนุ่มที่ร่างกายปกคลุมอยู่ในรัศมีเทวก็เดินออกมาเช่นกัน เดินมาข้างกายหลัวซิว “สวรรค์แข็งแกร่งมากเลยรึ? ท่านชายกูก็อยากรู้เหมือนกันว่าเมื่อเปรียบเทียบกับวิถีเต๋าไร้มลทินของกูแล้ว ฝ่ายใดจักแข็งแกร่งยิ่งกว่า!”

“สหายหลัวเป็นมิตรรักของข้า ฮวงหวูจี๋ข้าย่อมนิ่งดูดายไม่ได้อยู่แล้ว!”เวลานี้เจ้าเมืองน้อยแห่งเมืองต้าฮวงโบราณก็ไม่ได้หลบหนีเช่นกัน

หยุนยี่เทียนรู้สึกลังเลใจเล็กน้อย อย่างไรเสียเมืองหยุนหลงที่เขากำเนิดนั้น รุกรานกองกำลังอย่างวังนภาสิบสองไม่ได้เป็นอันขาด

“ข้าจักร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่กับท่านชาย!”ฮู๋ชิงชิงไม่มีความลังเลใจใด ๆ แล้ว ในฐานะที่บำเพ็ญปรปักษ์ แดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจก็เป็นศัตรูคู่อาฆาตกับวังนภาสิบสองตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

“ไท่ซ่างฉิงต้องตายอยู่ในเงื้อมมือข้าแต่เพียงผู้เดียว”

สิ่งที่ทำให้หลัวซิวคิดไม่ถึงคือ เวลานี้ชีชีก็ก้าวออกมาเช่นกัน กอดขิมโบราณอาดูรเอาไว้ในอก

“เอ่อคือ……ข้าก็ขอประสมโรงด้วยคนก็แล้วกัน”

มีเงาดำร่างหนึ่งเบียดเข้ามากลางหมู่คน ซึ่งเขาก็คือเจ้าลิ่งฮู๋จื่อเซวียนนั่นเอง กำลังยืนยิ้มแป้นอยู่ข้างชีชี

“ท่านชายหลัว เราพบหน้ากันอีกแล้วนะ ท่านเคยช่วยชีวิตข้า”

มีสตรีอีกนานหนึ่งเดินออกมา หลัวซิวมองไปทางต้นตอของเสียง ก่อนจะประสานมือทำท่าคารวะ “ขอบพระคุณแม่นางหนิงอย่างยิ่ง”

ซึ่งสตรีนางนี้ก็คือหนิงหานหลิงนั่นเอง อดีตครั้นเมื่ออยู่ในมหาโลกาพันสาม นางเป็นเพื่อนสนิทของเหยียนซีโรว่ เมื่อนั้นหลัวซิวก็ทราบแล้วว่านางน่าจะกำเนิดจากกองกำลังใหญ่กองกำลังหนึ่งแห่งโลกมหาศักดิ์ทั้งแปด

เวลาล่วงเลยไปนานเช่นนี้แล้ว เมื่อได้พบหนิงหานหลิงอีกครั้ง ผลการฝึกตนของนางก็บรรลุถึงแดนเทพมารระดับแปดช่วงปลายแล้วเช่นกัน

จากการที่มีอัจฉริยะผู้แข็งแกร่งเดินมายืนข้างกายหลัวซิวอย่างต่อเนื่อง สีหน้าของผู้คนฝั่งวังนภาสิบสองก็ดูย่ำแย่ลง

เผ่าฟ้ายึดกุมโลกสวรรค์ ซึ่งเป็นกองกำลังอันดับหนึ่งในโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดอย่างไร้ข้อกังขามาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว หากเผ่าฟ้าของพวกเขาต้องการฆ่าคน จักไม่มีผู้ใดกล้ายื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยว ทว่าวินาทีนี้กลับมีคนเดินออกมามากขนาดนี้ ทุกคนล้วนมีศักยภาพที่เกะกะระราน ซึ่งไม่ด้อยกว่าศิษย์วังนภาสิบสองเลย

“หึ!”

มีเสียงหึเบา ๆ สะท้อนมาอีกครั้ง จากนั้นก็มีสตรีที่งดงามแห่งยุคปรากฏ ด้านหลังนางมีปลอกดาบหนึ่งเล่ม ใบหน้าเย็นชา ดวงตาสดใสดั่งดารา

เมื่อหลัวซิวเห็นแผ่นหลังของนาง ก็งุนงงไปกะทันหัน เนื่องจากความรู้สึกประเภทนี้มันเหมือนเคยรู้จักกันมาก่อน แต่ก็รู้สึกแปลกหน้าเล็กน้อย ความรู้สึกที่ทั้งคุ้นเคยและแปลกหน้านี้ ทำให้จิตใจเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยคำถาม

ไป๋เฟยชิง!

และสตรีที่ทำให้หลัวซิวรู้สึกเหมือนเคยรู้จักนี้ ก็คือสตรีที่เคยฝึกปรือร่วมกับเขาในเขาผีเก้าและนิรยะเพชฌฆาตนั่นเอง

พูดตามตรงเลยว่าแม้แต่ตัวหลัวซิวเองก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าจะมีคนยื่นมือมาช่วยเหลือตนมากเช่นนี้ ภพชาตินี้เขาได้ค่อย ๆ ก้าวพัฒนามาจากโลกแสงดาว ประสบพบเจอกับศัตรูตัวฉกาจมามากจนนับไม่ถ้วน ทว่าข้างกายก็มีมิตรสหายที่คุ้มแก่การเชื่อใจผุดขึ้นมาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวไม่น้อยเช่นกัน

“พวกอีกาจับกลุ่ม!”

แววตาของศิษย์แห่งวังชิงเทียนนั่นหม่นหมองลง หากมีเพียงหลัวซิวคนเดียว เมื่ออาศัยผู้คนจากเผ่าฟ้าก็สามารถจัดการได้อย่างง่ายดายแล้ว แต่คู่ต่อสู้มีเยอะขนาดนี้ ต่อให้สู้กันแล้วเป็นฝ่ายชนะจริง ๆ ฝั่งพวกเขาเองก็จะเสียหายสาหัสมากเช่นกัน ซึ่งได้ไม่คุ้มเสีย

เขาใช้ตัวสำนึกสื่อสารกับผู้สืบทอดคนอื่น ๆ ของวังนภา สุดท้ายผู้คนก็ตัดสินใจล้มเลิกความคิดนี้ชั่วคราว อย่างไรเสียก็มีคนนับร้อยรวมตัวกันอยู่ที่นี่ หากเกิดการปะทะกันที่นี่แล้วได้รับความเสียหาย ผู้อื่นที่ไม่มีความเกี่ยวข้องก็จะได้เปรียบเอา

หลัวซิวไม่ได้พูดอะไร เขาไม่มีจุดประสงค์ที่จะเป็นฝ่ายที่ลงมือก่อน แม้นเขาจะไม่ใส่ใจ แต่ต้องคำนึงถึงคนที่อยู่รอบกาย จะปล่อยให้สหายของตนได้รับบาดเจ็บ หรือดับสลายสูญสิ้นไปเพราะตัวเองไม่ได้

ความขัดแย้งนี้ไม่ได้บานปลายไปมากกว่าเดิม เพราะฉะนั้นสายตาของทุกคนจึงผนึกรวมไปที่ประตูหินบานนั้นอีกครั้ง

ประตูหินบานนี้อยู่บนชั้นที่สองของหอคอยฮวง ไม่มีผู้ใดทราบเลยว่าด้านหลังของประตูจะเชื่อมไปสู่สถานที่ใด

“ทุกคนลงมือพร้อมกัน เปิดประตูหินบานนี้ซะ!”

ผู้สืบทอดแห่งวังชิงเทียนค่อย ๆ เอ่ยปากพูด คนดังกล่าวมีนามว่าชิงชาน เนื่องจากสภาพการแต่งกายดูเหมือนนักพรต ดังนั้นเขาจึงถูกเรียกว่านักพรตชิงชาน

วังชิงเทียนเป็นผู้นำของวังนภาสิบสอง และเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าฟ้า ในฐานะที่นักพรตชิงชานเป็นผู้สืบทอดที่โดดเด่นที่สุดในยุคนี้ ผลการฝึกตนของเขาก็ลึกซึ้งจนไม่อาจคาดเดาได้เช่นกัน

ด้วยเหตุนี้ทันทีที่เขาเอ่ยปากพูด ก็ได้รับการยอมรับจากคนจำนวนมาก สาเหตุส่วนหนึ่งเป็นเพราะตำแหน่งตัวตนของเขา และสาเหตุอีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะศักยภาพของตัวเขาเอง ทำให้ผู้คนต่างเชื่อมั่นในตัวเขา

เวลานี้ไม่มีผู้ใดเอ่ยปากโต้แย้งข้อเสนอของนักพรตชิงชาน เพราะจากอัจฉริยะผู้แข็งแกร่งจำนวนมากที่อยู่ในที่เกิดเหตุ ไม่มีคนใดอยากเป็นคนแรกที่เข้าไปในประตูหินก่อน หากผู้ใดจะไปเปิดประตูหินโดยพลการ ต้องถูกคนอื่นที่เหลือรุมโจมตีแน่นอน ดังนั้นการที่ทุกคนลงมือเปิดประตูหินพร้อมกัน จึงเป็นวิธีการที่ดีที่สุด

ในส่วนของเรื่องที่ว่าผู้ใดจะเป็นผู้ที่พุ่งเข้าไปก่อนนั้น หลังจากประตูหินถูกเปิดออกแล้ว ก็ต้องดูอุบายส่วนบุคคลอีกทีแล้วล่ะ

“เวิ่ง! เวิ่ง! เวิ่ง!……”

พลานุภาพที่เป็นหนึ่งไม่เป็นรองของศัสตราวุธของขลังทุกชิ้นแย้มบานออกมา อัจฉริยะผู้แข็งแกร่งจำนวนมากในที่เกิดเหตุลงมือพร้อมกัน ต่างปลดปล่อยพลังอมตะของตัวเองออกมา รังสีที่นับไม่ถ้วนพุ่งโจมตีไปทางประตูหิน

โครมคราม……

ภายใต้การร่วมมือโจมตีของผู้คน ประตูหินก็ค่อย ๆ เปิดออกท่ามกลางเสียงที่ดังสะเทือนเลื่อนลั่น เสี้ยววินาทีที่ประตูหินแง้มออกเล็กน้อยจนสามารถทำให้ผู้คนมองเห็นภายใน สภาพจิตใจของทุกคนก็ตื่นเต้นและประหม่าขึ้นมา

ชัวะ!

แสงกลดวงหนึ่งกระพริบผ่านไป ระดับความเร็วเร็วมากจนทำให้ผู้คนยากที่จะตอบสนองตาม และนักพรตชิงชานก็เป็นคนแรกที่พุ่งนำเข้าไปก่อน เงาร่างกระพริบทีหนึ่งก่อนจะทะลุผ่านเข้าไปในซอกประตูหิน

เพียงพริบตาเดียว คนอื่นที่เหลือก็ต่างอดใจรอไม่ไหว ทุกคนล้วนแย่งชิงกันพุ่งเข้าไป กลัวว่าจะล้าหลังผู้อื่น

หลังจากที่หลัวซิวก็เดินเข้าไปในประตูหินแล้ว เขากลับไม่พบเงาร่างของคนอื่น ๆ เลย ตัวเขาเองกำลังอยู่ในพื้นที่ที่ว่างเปล่าขาวโพลน มองไม่เห็นอะไรเลย

“เกิดอะไรขึ้น? คนอื่นล่ะ?”

หลัวซิวขมวดคิ้วลง จิตใจไม่ได้ลนลานแต่อย่างใด เนื่องจากเขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่าตัวเองอยู่ภายในหอคอยฮวง ซึ่งจากความเป็นมาของหอคอยฮวง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในนี้จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร

บางทีประตูหินอาจจะเป็นประตูที่มหัศจรรย์ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ทุกคนที่เดินเข้ามาในประตูหินล้วนจะถูกส่งไปยังเขตพื้นที่นิรนาม ทุกคนล้วนจะถูกแยกออกจากกัน!

“โครมคราม!”

ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นสะท้อนมาจากข้างหน้า ต่อมาหลัวซิวก็มองเห็นหอคอยเทวสีทองหนึ่งหลังปรากฏในปริภูมิที่ขาวโพลนนี้

และหอคอยเทวสีทองหลังนี้ก็คือหอคอยฮวงนั่นเอง ด้านบนมีออร่าของธรรมเวชกาลร้างไหลเวียน ออร่าเหล่านี้ได้วิวัฒนาการปรากฏการณ์แปลกประหลาดต่าง ๆ ออกมารอบหอคอยเทวสีทอง บางครั้งก็ประกอบเป็นลายค่าย บางครั้งก็ประกอบเป็นลายเส้น บางครั้งก็กลายเป็นสัตว์ปีกสัตว์ป่า ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่แปลกพิสดารอย่างยิ่ง

ทุกครั้งที่ออร่าของธรรมเวชกาลร้างวิวัฒนาการหนึ่งครั้ง หลัวซิวก็ล้วนสัมผัสได้ถึงความลึกซึ้งอันน่าทึ่งที่แฝงซ่อนอยู่ภายใน ราวกับทุกครั้งที่วิวัฒนาการ เป็นตัวแทนสัญลักษณ์ของวรยุทธ์วิชาหนึ่ง พลังอมตะประเภทหนึ่ง!

นี่จึงทำให้แววตาหลัวซิวเป็นประกายขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ หรือว่าเริ่มตั้งแต่ชั้นที่สองของหอคอยฮวงเป็นต้นไป จะมีโอกาสตระหนักรู้ธรรมเวชกาลร้าง?

จากโลกทัศน์และประสบการณ์ของหลัวซิว ย่อมสัมผัสได้อยู่แล้วว่าหอคอยฮวงที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่ใช่หอคอยฮวงที่แท้จริง แต่เป็นเงาสะท้อนของหอคอยฮวง ไม่ได้มีเป็นรูปเป็นร่าง ห้วงแท้พลังเต๋าของธรรมเวชกาลร้างที่แฝงซ่อนอยู่ภายในก็ไม่ลึกซึ้งแต่อย่างใด เหมือนจะเป็นเวทย์ศาสตร์ที่ตื้นเขินที่สุดของธรรมเวชกาลร้าง

การฝึกและตระหนักรู้ในธรรมใด ๆ ล้วนเริ่มจากตื้นไปสู่ลึก ค่อย ๆ ก้าวหน้าไปตามลำดับ

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

None

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท