มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2770 ข่าวคราวของลู่เมิ่งเหยา
“เจ้า……เจ้าถึงกับ……”
ร่างกายของหงบูกระแทกลงพื้น ภายในแววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความเหลือเชื่อ แม้แต่น้ำเสียงยังสั่นคลอนไปด้วย
อัคคีเต๋าอหังการกลั่นแปรทุกสรรพสิ่ง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็นึกไม่ถึงเลยว่าหลัวซิวไม่เพียงไม่ถูกอัคคีเต๋าเผาตาย ในทางตรงกันข้ามภายใต้การเผาชุบจากอัคคีเต๋า ดูเหมือนเขาจะแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นด้วย
“มันจบแล้ว”
หลัวซิวพูดอย่างเรียบนิ่ง มีเปลวไฟสีทองปรากฏในดวงตาทั้งสองข้างของเขา ซึ่งมีความล้ำลึกชองธรรมเวชกาลร้างและอัคคีเต๋าอหังการแฝงซ่อนอยู่ภายใน
สีหน้าของหงบูและนักพรตชิงชานต่างเปลี่ยนเป็นหนักมาก พวกเขาทั้งสองคนหนึ่งบาดเจ็บสาหัส คนหนึ่งเสื่อมทรุดจนเป็นม้าตีนปลาย บัดนี้หากหลัวซิวมีจิตที่จะสังหาร พวกเขาจะหนีไม่รอดแม้แต่คนเดียว
แต่ทว่าในเวลานี้เอง จู่ ๆ ก็มีแสงสีทองทำการปกคลุมพื้นที่ในชั้นห้าของหอคอยฮวงเอาไว้ วินาทีถัดไป ก็มีพลังหนึ่งที่ไม่อาจต่อต้านได้ม้วนพาพวกเขาทั้งสามคน หายไปภายในพริบตา
โลกาภายนอกผ่านไปสิบปี ทว่าภายในหอคอยฮวงกลับผ่านไปหลายแสนปีแล้ว เสี้ยววินาทีที่พวกหลัวซิวถูกส่งออกไป อัจฉริยะผู้แข็งแกร่งคนอื่น ๆ ที่อยู่ภายในหอคอยฮวงก็ต่างถูกส่งออกไปเช่นกัน
ณ ใจกลางสนามจัตุรัสแห่งเมืองต้าฮวงโบราณ มีเงาร่างทั้งหลายกระพริบปรากฏอย่างต่อเนื่อง และดึงดูดสายตาของคนจำนวนมาก
หลัวซิวกวาดตามองดูรอบ ๆ เห็นเพียงจากอัจฉริยะผู้แข็งแกร่งหนึ่งพันคนที่ถูกส่งเข้าไปในหอคอยฮวงตอนแรก ถูกส่งออกมาทั้งหมดห้าร้อยกว่าคน ซึ่งนี่ก็หมายความว่ามีอัจฉริยะผู้แข็งแกร่งเกือบครึ่งล้วนดับสลายสูญสิ้นอยู่ในชั้นแรกของหอคอยฮวง
เริ่มตั้งแต่ชั้นที่สองของหอคอยฮวงจักไม่มีภยันตรายใด ๆ คงอยู่ ทว่าชั้นแรกของหอคอยฮวงมีสมบัติล้ำค่าดลจิตที่นับไม่ถ้วน พวกอัจฉริยะที่ศักยภาพไม่เพียบพร้อมยังไม่ทันได้มุ่งไปสู่ชั้นสอง ก็ดับสลายสูญสิ้นไปแล้ว
ในขณะเดียวกัน หลัวซิวก็สังเกตเห็นหงบูและนักพรตชิงชานด้วย หลังจากทั้งสองคนนั้นถูกส่งออกมาแล้ว ก็ได้รับความสนใจจากผู้แข็งแกร่งในตระกูลหงและวังชิงเทียนทันที ทำการปกป้องพวกเขาทั้งสองคนเอาไว้อย่างเข้มงวด
“จากศึกการต่อสู้ในชั้นห้าแห่งหอคอยฮวง สองคนนั้นต้องเกรงกลัวข้ามาก ๆ อย่างแน่นอน ทันทีที่มีโอกาส พวกมันก็ต้องลงมือสังหารข้าแน่นอน”
หลัวซิวพูดในใจ เขารู้สึกเสียดายมากที่ไม่สามารถสังหารคู่ต่อสู้แข็งแกร่งทั้งสองคนนั้นในชั้นห้าของหอคอยฮวง ในบรรดาวัยรุ่นผู้แข็งแกร่งจำนวนมาก ก็มีเพียงสองคนนี้เท่านั้นที่มีความสามารถในการตระหนักรู้น่าทึ่ง สามารถขึ้นไปชั้นห้าของหอคอยฮวง แม้แต่พวกเมิ่งเชียนชางและสวีเซิ่งเจี๋ยยังทำไม่ได้
“ท่านชาย!”
“สหายหลัว!”
หลัวซิวเจอเงาร่างที่คุ้นเคยอีกห้าหกร่าง ยกตัวอย่างเช่นฮู๋ชิงชิง ฮวงหวูจี๋ ไป๋เฟยชิงแล้วก็พวกหนิงหานหลิง แต่กลับไม่เห็นหยุนยี่เทียน
“สหายหยุนดับสลายสูญสิ้นไปแล้ว”
สีหน้าอารมณ์ของฮวงหวูจี๋ดูหม่นหนองเล็กน้อย เขาและหยุนยี่เทียนเป็นเพื่อนสนิทกัน ครั้นเมื่ออยู่ชั้นแรกของหอคอยฮวง เขาและหยุนยี่เทียนถูกสมบัติล้ำค่าดลจิตสิบกว่าชิ้นรุมโจมตี ศักยภาพของหยุนยี่เทียนอ่อนกว่าเล็กน้อย จึงดับสลายสูญสิ้นไปแล้ว
ฮวงหวูจี๋นำสิ่งของที่หยุนยี่เทียนทิ้งไว้มอบให้เมืองหยุนหลง นี่จึงทำให้เหล่าอาวุโสจำนวนมากแห่งเมืองหยุนหลงเจ็บใจอย่างยิ่ง
การบ่มเพาะอัจฉริยะคนหนึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย การดับสลายสูญสิ้นของหยุนยี่เทียนหมายความว่าอีกนับพันปีในอนาคต เมืองหยุนหลงจะมีบุคคลที่เป็นความหวังของกองกำลังบังเกิดขึ้นมาอีกยากมาก
ทันใดนั้นเอง ก็มีตัวสำนึกที่กว้างใหญ่ครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ เงาร่างของฮวงจวินปรากฏบนนภาสูง
“ลำดับแรกต้องขอแสดงความยินดีกับทุกท่านด้วยที่มีชีวิตรอดออกมาจากการฝึกฝนในหอคอยฮวง คาดว่าพวกเจ้าทุกคนล้วนต้องได้รับดอกผลในหอคอยฮวงสินะ อนาคตทุกคนถูกลิขิตไว้แล้วว่าต้องกลายเป็นอัจฉริยะผู้มีความเป็นเลิศที่สง่างาม ยิ่งกว่านั้นคือเจ้าของหอคอยฮวงในอนาคตก็อาจอุบัติขึ้นมาจากพวกเจ้าก็เป็นได้!”
น้ำเสียงของฮวงจวินเต็มเปี่ยมไปด้วยความน่าเกรงขาม นี่จึงทำให้เหล่าอัจฉริยะจำนวนมากที่อยู่บนสนามมองหน้าซึ่งกันและกัน เนื่องจากไม่มีผู้ใดทราบเลยว่าหอคอยฮวงจักเลือกผู้ใดเป็นนาย
ซึ่งมีเพียงหงบูและนักพรตชิงชานเท่านั้นที่รู้อยู่แก่ใจ แม้นพวกเขาทั้งสองจะไปถึงชั้นที่ห้าของหอคอยฮวง แต่ถ้าเกิดพูดถึงการตระหนักรู้และยึดกุมในธรรมเวชกาลร้างแล้ว พวกเขาต่างเทียบเคียงกับหลัวซิวไม่ได้ หากหอคอยฮวงจะเลือกนาย เช่นนั้นก็ต้องเลือกหลัวซิวแน่นอน ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่ไร้ข้อกังขา
ทว่าหงบูและนักพรตชิงชานกลับไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ ต่างรู้อยู่แก่ใจโดยไม่ต้องอธิบายอะไร เนื่องจากขอแค่กำจัดหลัวซิวทิ้ง เช่นนั้นหอคอยฮวงก็จะเลือกนายจากหนึ่งในพวกเขาทั้งสอง!
เรื่องราวของหอคอยฮวงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ๆ หากบอกเรื่องประเภทนี้ออกมาโดยตรงละก็ ต้องได้รับความสนใจจากผู้แข็งแกร่งที่นับไม่ถ้วนแน่นอน ซึ่งนี่มันไม่ใช่เรื่องดีต่อหงบูและนักพรตชิงชานที่ศักยภาพยังไม่เติบใหญ่
ในส่วนของหลัวซิวนั้น วินาทีนี้จิตใจของเขากลับจมดิ่งอยู่ในตัวหยั่งรู้ของตัวเอง เนื่องจากขณะที่เขาถูกส่งออกมาจากหอคอยฮวง ก็มีหอคอยสีทองเล็ก ๆ หนึ่งหลังปรากฏในตัวหยั่งรู้ของเขาแล้ว
หอคอยจิ๋วหลังนี้แนบเนียนเหมือนจริง เหมือนดั่งหอคอยฮวงที่ถูกย่อให้เล็กลง มีออร่าสุนทรีเทวของธรรมเวชกาลร้างไหลเวียนออกมา
อีกทั้งหลัวซิวยังค้นพบว่าสิ่งที่แฝงซ่อนอยู่ในหอคอยฮวงที่อยู่ในตัวหยั่งรู้ ก็คือธรรมพลังเต๋าในชั้นที่ห้าของหอคอยฮวงนั่นเอง มีสิ่งเดียวที่แตกต่างคือหอคอยจิ๋วที่อยู่ในตัวหยั่งรู้ของเขาเป็นแก่นแท้ ส่วนหอคอยฮวงในชั้นห้าคือเงาสะท้อน
เมื่อตัวสำนึกสัมผัสกับหอคอยฮวงหลังนี้ ก็มีข้อมูลหนึ่งถูกถ่ายทอดเข้าไปในห้วงความคิดหลัวซิวภายในพริบตา ทำให้เขาเข้าใจเรื่องทุกอย่างว่าเป็นอะไรยังไงกันแน่
หอคอยฮวงจิ๋วที่อยู่ในตัวหยั่งรู้ของเขาถือเป็นการยอมรับของหอคอยฮวงที่มีต่อเขา ทุกครั้งที่หอคอยฮวงเปิดออก เหล่าอัจฉริยะผู้แข็งแกร่งจำนวนมากที่เข้าไปในหอคอยฮวงจะได้รับการยอมรับเพียงคนเดียวเท่านั้น ทว่าการยอมรับประเภทนี้กลับไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะกลายเป็นเจ้าของหอคอยฮวงที่แท้จริง การที่จะเป็นเจ้าแห่งหอคอยฮวงได้นั้น ตัวจอมยุทธ์เองยังต้องมีผลการฝึกตนที่แข็งแกร่งมาก ๆ ด้วย
หลัวซิวมีเพียงตระหนักรู้ยึดกุมความล้ำลึกของพลังเต๋าที่แฝงซ่อนอยู่ในหอคอยฮวงในตัวหยั่งรู้ได้โดยสิ้นเชิงแล้ว เขาถึงจะได้รับการยอมรับจากหอคอยฮวงอีกขั้นหนึ่ง
ตราบใดที่เขายังไม่ได้รับการยอมรับจากหอคอยฮวงโดยสมบูรณ์ หอคอยฮวงก็ยังคงถูกยึดกุมอยู่ในมือผู้สูงส่งโลกร้างเช่นเคย
กาลเวลาผ่านมาอย่างยาวนาน หอคอยฮวงถูกเปิดออกไม่รู้ตั้งกี่หนแล้ว เหล่าแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นสุดยอดล้วนทราบความลึกลับและมหัศจรรย์ที่แฝงอยู่ภายใน ซึ่งแผนการของหงบูและนักพรตชิงชานก็คือหาโอกาสกำจัดหลัวซิวทิ้ง แล้วแก่งแย่งหอคอยฮวงที่อยู่ในตัวหยั่งรู้ของเขาไป ผู้ใดสามารถตระหนักรู้หอคอยฮวงหลังนี้ได้โดยสิ้นเชิง ก็ล้วนสามารถได้รับการยอมรับจากหอคอยฮวง
ฮวงจวินก็ไม่ได้พูดอะไรมากเช่นกัน แค่พูดตามพิธีหนึ่งประโยค ก่อนจะกวาดตามองเหล่าอัจฉริยะผู้แข็งแกร่งจำนวนมากด้วยแววตาที่ลึกซึ้ง อันที่จริงเขาก็อยากรู้มาก ๆ เหมือนกันว่าหอคอยฮวงที่เปิดออกในครั้งนี้ ตกลงผู้ใดได้รับการยอมรับจากหอคอยฮวง อย่างไรก็ตามเรื่องประเภทนี้นอกเสียจากว่าคู่กรณีเป็นผู้พูดออกมาด้วยตนเอง มิเช่นนั้นคนนอกก็ไม่มีทางทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหอคอยฮวงได้เลยด้วยซ้ำ
หลังจากสิ้นสุดการฝึกฝนในหอคอยฮวง กองกำลังใหญ่ทั้งหลายก็ต่างระแวงซึ่งกันและกัน อย่างไรเสียเจ้าแห่งหอคอยฮวงก็ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เรื่องเร่งด่วนที่ต้องรีบจัดการให้เสร็จก็คือสืบสาวให้ชัดเจนก่อนว่าผู้ใดได้รับการยอมรับจากหอคอยฮวง
ภายในเวลาชั่วขณะ ทั้งโลกร้างก็ดูเหมือนจะมีแนวโน้มไปในทิศทางเดียวกัน
ฮวงหวูจี๋เชื้อเชิญให้หลัวซิวพักอยู่ในเมืองต้าฮวงโบราณต่อสักสามสี่วัน ทว่าหลัวซิวกลับปฏิเสธอย่างนิ่มนวล ถึงแม้เขาจะรู้อยู่ว่าทันทีที่ออกจากเมืองต้าฮวงโบราณ ก็มีโอกาสถูกผู้แข็งแกร่งแห่งตระกูลหงและวังชิงเทียนลอบสังหารสูงมาก ๆ แต่เขาไม่มีทางอยู่ในเมืองต้าฮวงโบราณตลอดชีวิตแน่นอน
เดิมทีหลัวซิววางแผนที่จะกลับหุบเขาสยบปีศาจเลย หลังจากออกมาจากเมืองต้าฮวงโบราณ จู่ ๆ ฮู๋ชิงชิงกลับรั้งเขาไว้
“ท่านชาย ท่านยังจำเมิ่งเหยาได้หรือไม่?”ฮู๋ชิงชิงยืนอยู่ตรงหน้าเขา ก่อนจะถามคำถามดังกล่าวกะทันหัน
“เมิ่งเหยา?”
เมื่อได้ยินชื่อดังกล่าว หัวใจหลัวซิวก็หวั่นไหวขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ เขามองฮู๋ชิงชิงด้วยสายตาที่แปลกใจรอบหนึ่ง “ไยเจ้าถึงต้องเอ่ยถึงนางด้วย?”
ภพชาตินี้เขาคือหลัวซิว ส่วนในใจหลัวซิวกลับมีที่ว่างว่างให้ลู่เมิ่งเหยามาโดยตลอด แม้จะมีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นระหว่างทั้งสองคน จนส่งผลให้รู้สึกเสียดายที่ยังมีเรื่องราวอีกหลายอย่างที่ไม่ได้ทำร่วมกัน แต่ความรู้สึกที่บริสุทธิ์และซื่อตรงเมื่อครั้นนั้น ไม่มีทางเป็นเรื่องเท็จแน่นอน
“เมิ่งเหยาหายตัวไปแล้ว……”
ฮู๋ชิงชิงก้มหน้าพลางพูด “เมื่อปีนั้น ครั้นเมื่อข้ายังไม่ปลุกตื่นความทรงจำของชาติปางก่อน ข้าวางแผนที่จะเริ่มต้นจากโลกแสงดาว แสวงหาเส้นทางที่ท่านเคยเดิน เมื่อนั้นเมิ่งเหยาก็เลือกที่จะออกเดินทางพร้อมข้าเช่นกัน”
ฮู๋ชิงชิงพูดถึงเรื่องราวในอดีต นางเดินทางจากโลกแสงดาวมายังโลกเสวียนเทียน อีกทั้งได้ยินข่าวลือของผู้ที่มีนามว่าหลัวซิวในโลกเสวียนเทียน
ซึ่งฮู๋ชิงชิงก็ปลุกตื่นความทรงจำของชาติปางก่อนเมื่อนั้นนั่นเอง จากนั้นก็ฉีกกระชากอนัตตา ก้าวข้ามผ่านพื้นโลกปริภูมิ พาลู่เมิ่งเหยามายังโลกร้างพร้อมกัน
ทันทีที่มาถึงโลกร้าง ฮู๋ชิงชิงก็ไม่ทราบเช่นกันว่ามีแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจคงอยู่ด้วย ยุคไท่ชูที่นางอยู่เมื่อชาติปางก่อนห่างไกลจากปัจจุบันมาก ๆ จึงส่งผลให้สถานภาพฟ้าดินเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่ นางก็จำเป็นต้องใช้เวลาค่อย ๆ ไปทำความคุ้นเคยเช่นกัน
ขณะที่ค้นหาในโบราณสถานแห่งหนึ่ง นางและลู่เมิ่งเหยาค้นพบค่ายวาร์ปหนึ่ง เนื่องจากฮู๋ชิงชิงก็ไม่เข้าใจเรื่องค่ายกลเช่นกัน ดังนั้นภายใต้สถานการณ์ที่นางไม่ทันได้ระวัง ลู่เมิ่งเหยาจึงเผลอกระตุ้นค่ายกลดังกล่าว ก่อนจะถูกส่งออกไปภายในพริบตา
เดิมทีฮู๋ชิงชิงก็อยากไล่ตามไปเช่นกัน ทว่าค่ายวาร์ปดังกล่าวเป็นค่ายที่ใช้ได้เพียงหนเดียว ซึ่งนางก็พลัดพรากกับลู่เมิ่งเหยาเช่นนี้แหละ
ในส่วนของเรื่องที่ว่าสาเหตุที่นางไม่พูดถึงเรื่องนี้ครั้นเมื่อพบหน้าหลัวซิวครั้งแรก เป็นเพราะนางกังวลมาก ๆ ว่าหลังจากตัวเองพูดเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับลู่เมิ่งเหยาออกมาแล้ว หลัวซิวอาจจะไม่สนใจ
เพราะนางก็เคยได้ยินลู่เมิ่งเหยาพูดถึงเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเขาและลู่เมิ่งเหยาเช่นกัน และหลังจากผ่านการอยู่ร่วมกับลู่เมิ่งเหยา นางก็มองว่าลู่เมิ่งเหยาเป็นน้องสาวของตนแล้ว
ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ นางส่งคนออกไปตามหาร่องรอยของลู่เมิ่งเหยามาโดยตลอด แต่กลับไม่ได้รับข่าวคราวอะไรเลย ครั้งนี้นางก็มาด้วยสภาพจิตใจที่อยากลองดูเช่นกัน ดังนั้นถึงแจ้งให้หลัวซิวทราบ
“เหตุใดเจ้าจึงไม่รีบบอกข้าให้เร็วกว่านี้?”หลัวซิวขมวดคิ้วลง
“ข้า……ข้าเกรงว่าท่านจะไม่สนใจใยดีน้องเมิ่งเหยาแล้วน่ะเจ้าค่ะ”ฮู๋ชิงชิงก้มหน้าพลางตอบกลับอย่างเศร้าสลด
“เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว”หลัวซิวถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เรื่องอารมณ์ความรู้สึกเป็นเรื่องที่ล้ำลึกมาก ๆ พูดตามตรงเลยว่าแม้แต่ตัวเขาเอง ก็บอกไม่ได้เช่นกันว่าเมื่อได้พบหน้าลู่เมิ่งเหยา เขาจะรู้สึกอย่างไร
แต่เมื่อลองถามใจตัวเองดู หลังจากเขาทราบข่าวที่ลู่เมิ่งเหยาหายตัวไปแล้ว เขาก็เป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของลู่เมิ่งเหยามาก ๆ อย่างไรเสียช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ ก็ไม่มีข่าวคราวที่เกี่ยวข้องกับนางเลย
“พาข้าไปโบราณสถานที่พวกเจ้าเคยไปที”
หลัวซิวรีบพูด พลางใช้มือประสานอิน ส่งข่าวคราวหนึ่งออกไป แจ้งให้เหยียนเยว่เอ๋อร์และเหยียนซีโรว่ที่อยู่ในหุบเขาสยบปีศาจว่าเขามีธุระที่ต้องออกไปจัดการด้านนอก ยังกลับบัดนี้ไม่ได้
หุบเขาสยบปีศาจในปัจจุบันล้วนดำเนินการไปอย่างเป็นแถวเป็นระเบียบ ภายในหุบเขาสยบปีศาจมีฟ้าดินที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ และมีทรัพยากรการฝึกตนที่อุดมสมบูรณ์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทุกคนในตระกูลเทพสงคราม เผ่าจี้ รวมไปถึงภูเขาว่านเริ่นล้วนตั้งใจฝึกตนอยู่ภายใน สั่งสมศักยภาพ รอคอยวันที่บังเกิดในฟ้าดิน ทำสงครามปราบปรามในห้วงดาราอีกครั้ง!
ในหุบเขาสยบปีศาจมีค่ายกลหนึ่งค่าย มาตรแม้นว่าอยู่ห่างกันไกลมาก ๆ ก็สามารถใช้วิกลพิเศษส่งข่าวคราวไป ดังนั้นหากหลัวซิวมีการจัดแจงอะไรละก็ ฝั่งหุบเขาสยบปีศาจก็จะทราบข่าวเป็นเวลาแรก ซึ่งค่ายกลดังกล่าวก็เป็นค่ายที่หลัวซิวจัดวางขึ้นมาโดยเฉพาะขณะออกมาเมื่อครั้งก่อน
“ท่านสวามีมีข่าวคราวส่งกลับมาหรือ?”
จู่ ๆ เหยียนซีโรว่ที่ฝึกตนปิดขังอยู่ในหุบเขาสยบปีศาจก็ตื่นตกใจ ก่อนจะเดินออกมาจากถ้ำอย่างรวดเร็ว มาถึงสถานที่ที่จัดวางค่ายกลส่งข้อความ
“น้องซีโรว่ ท่านสวามีว่าอย่างไรบ้าง?”เหยียนเยว่เอ๋อร์ก็มาถึงที่นี่เช่นกัน เห็นได้ชัดเจนเลยว่านางก็สัมผัสคลื่นที่แผ่กระจายออกมาจากค่ายกลส่งข้อความได้เช่นกัน
“ท่านพี่เหยียน ท่านสวามีบอกให้เราวางใจฝึกตนอยู่ในหุบเขาสยบปีศาจ ท่านมีธุระบางอย่างที่ต้องออกไปจัดการด้านนอก คอยทำธุระทุกอย่างเสร็จก็จะกลับมาเจ้าค่ะ”เหยียนซีโรว่ยิ้มพลางตอบกลับ
“ในที่สุดท่านสวามีก็จะกลับมาแล้ว……”เหยียนเยว่เอ๋อร์ก็มีความสุขมากเช่นกัน ในหุบเขาสยบปีศาจ นอกจากฝึกตนทุกวันแล้ว นางก็ทำได้เพียงรำพึงหาบุรุษในใจอย่างเดียว