มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2794 อสุราแปดแขน
เนื่องจากกลิ่นอายของยาเซียนได้เล็ดลอดออกมา นอกจากสิบกว่าคนที่อยู่ตรงนี้แล้ว ยังมีคนอื่น ๆ ที่กำลังลอยเข้ามาแต่ไกล ผู้คนมารวมตัวกันที่ตรงนี้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
คำถามที่เฮ่าเฟิงหยางได้เอ่ยถาม ทำให้สิงจงที่เอ่ยขึ้นเป็นคนแรกขมวดคิ้วขึ้นมาเหมือนกัน หากทุกคนแบ่งโดยเท่า ๆ กัน คนยิ่งเยอะ ของที่ทุกคนได้จากส่วนแบ่งนั้นก็จะยิ่งน้อยลง
แต่ว่า ในโลกที่ผู้แข็งแกร่งเป็นใหญ่ จะมีความยุติธรรมอย่างว่าได้อย่างไร?
ด้วยเหตุนี้สิงจงจึงโบกมือกล่าวขึ้นมาอย่างไม่ลังเล “ทันทีที่ค่อยกลต้องห้ามถูกทำลาย ทุกคนย่อมต้องอาศัยความสามารถของตนเอง ใครแย่งมาได้ก็เป็นของคนนั้น!”
แน่นอนว่าคำแนะเช่นนี้ไม่มีผู้ใดคัดค้าน ความจริงแล้วที่สิงจงกล้าพูดเช่นนี้ ย่อมเป็นเพราะมีความเชื่อมั่นในฝีมือของตนเอง ตราบใดที่คนอื่น ๆ มีสมองพอ ถึงตอนนั้นก็คงไม่มีใครไปแย่งชิงสมบัติที่เข้าตาเขา
“ข้าเห็นด้วยกับคำแนะนำของสหายสิง แต่ข้าขอเสริมอย่างหนึ่ง ผู้ใดที่ไม่ได้ร่วมทำลายค่ายกลต้องห้ามพรสวรรค์ ห้ามเข้ามาแย่งชิงยาเซียนอย่างเด็ดขาด หากพบเข้าละก็ ทุกคนร่วมมือกันล้อมโจมตี!”
เทียบกับความง่ายและตรงไปตรงมาของสิงจง เฮ่าเฟิงหยางนั้นมีความละเอียดรอบคอบมากกว่า เมื่อข้อเสนอแนะนี้ได้ถูกกล่าวออกมา ก็ได้ป้องกันพวกคนที่ไม่ลงมือทำลายค่ายต้องห้าม ได้แต่รักษากำลังเอาไว้เพื่อแย่งชิงสมบัติในตอนที่ตัวต้องห้ามถูกทำลาย
สำหรับข้อเสนอแนะทั้งข้อนี้ หลัวซิวย่อมไม่คัดค้านใด ๆ อยู่แล้ว สิงจงกับเฮ่าเฟิงหยางเชื่อมั่นในความสามารถของตนเอง แล้วทำไมหลัวซิวจะไม่เหมือนกันเล่า?
“ดี! ในเมื่อทุกคนไม่มีความเห็นต่าง ข้านับหนึ่งสองสาม ทุกคนก็ลงมือพร้อมกัน”
หลังจากสิงจงได้ตะโกนขึ้น ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างพากันขับเคลื่อนผลการฝึกตน เตรียมพร้อมที่จะลงมือ
อัจฉริยะผู้แข็งแกร่งที่มีความสามารถทัดเทียมได้กับเทพมารระดับเก้าสี่สิบกว่าคนลงมือพร้อมกัน ต่อให้ค่ายกลนี้เป็นค่ายกลเทพพรสวรรค์ขั้นเก้า ก็ต้านเอาไว้ได้ไม่นานนัก แล้วสลายไปอย่างสิ้นเชิง
ตามมาด้วยเสียงดังสนั่นสะท้านหู ค่ายกลได้แตกสลายลง กลิ่นอายของยาวิเศษที่เข้มข้นยิ่งขึ้นโถมเข้ามากระทบใบหน้า ทำให้ใบหน้าของทุกคนต่างปรากฏแววยินดีขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
ในค่อยกลต้องห้ามพรสวรรค์ คือป่าเขียวขจีผืนหนึ่ง แต่กลับมีรูปปั้นสององค์ที่ไม่รู้ว่าทำจากสิ่งใดอยู่ ตั้งตระหง่านอยู่ตรงทางเข้าป่าที่เต็มไปด้วยยาเซียน
“พรึบ!”
วินาทีที่ค่ายกลถูกทำลายลงนั่นเอง ลำแสงสีแดงสองสายก็สาดส่องออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างของรูปปั้น จากนั้นรูปปั้นก็ได้ฟื้นคืนชีพ แผ่ซ่านไปด้วยกระแสพลังอันดุร้ายที่เก่าแก่ยาวนาน
รูปปั้นทั้งสององค์นี้ แต่ละองค์ต่างสูงนับร้อยจั้ง มีแขนแปดแขนงอกออกมาจากรักแร้ แต่ละแขนนั้นต่างจับอาวุธที่ไม่เหมือนกัน มีกระบี่เทพ ดาบรบ หอกยาว ง้าวยักษ์ สายโซ่ ตราขลัง ระฆังทองแดง เตาใหญ่
บนไหล่ของรูปปั้น มีทั้งหมดสี่เศียร แต่ละเศียรนั้นสอดคล้องกับทั้งสี่ทิศ ตาทั้งแปดดวงส่องแสงสีแดงน่าหวาดผวา กวาดมองไปทั่วทุกสารทิศ มองได้ทะลุปรุโปร่ง เห็นได้ทั้ง 360องศา!
“โฮกกก!”
ยอดฝีมือจำนวนมากจากวังนภาสิบสองยังไม่ทันมีการเคลื่อนไหวใด ๆ รูปปั้นทั้งสองก็ฟื้นคืนชีพกลายเป็นคนยักษ์ คำรามขึ้นมาด้วยความโมโห มือทั้งสิบหกกางออกพร้อมกัน โจมตีเข้าใส่ทุกคน
กระแสพลังกดขี่เข้ามาเป็นระลอก ปริภูมิโดยรอบถูกพันธนาการกดทับเอาไว้ ในมือของรูปปั้นคนยักษ์ทั้งสองมีอาวุธทั้งหมดสิบหกชิ้น แต่ละชิ้นล้วนทัดเทียมได้กับภัณฑ์ราชาเทพขั้นเก้า!
หลัวซิวแอบร้องแย่แล้วอยู่ในใจ ร่างเนื้ออสุราปะทุขึ้นมา สลัดหลุดจากการกดทับและพันธนาการของปริภูมิ ร่างขยับถอยหลังไปด้วยความเร็วที่สุด
คนอื่น ๆ เองก็ตอบสนองอย่างรวดเร็ว ต่างก็เซ่นอาวุธเทพพลังอมตะออกมารับมือ เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวลอยมาไม่หยุด
ในขณะเดียวกัน ร่างทุลักทุเลสายแล้วสายเล่าได้ถอยหลังออกมาอย่างรวดเร็ว และมีคนที่ตายสิ้นชีพลงตรงนั้น หรือไม่ก็ได้รับบาดเจ็บหนัก
“นี่ก็คืออสุราแปดแขนในตำนานหรือ!?” เฮ่าเฟิงหยางสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย กล่าวออกมาด้วยความตะลึง
วังนภาสิบสองสืบทอดกันมายาวนาน ในคัมภีร์โบราณที่เก็บรวบรวมเอาไว้มีประวัติศาสตร์เก่าแก่ที่ถูกเก็บเป็นความลับบันทึกเอาไว้มากมาย ส่วนเป็นอสุราแปดแขนอสูรจิตที่แข็งแกร่งชนิดหนึ่งที่ได้สูญสิ้นไปนานแล้ว สามารถย้อนตามหาไปในกาลเวลาที่เก่าแก่กว่ายุคไท่ชู
ส่วนคนอื่น ๆ ที่ไม่รู้ถึงความร้ายกาจของอสุราแปดแขน ได้ให้ความสนใจไปที่ความสามารถของอสุราแปดแขนทั้งสององค์ ในมือทั้งแปดของอสุราแปดแขนแต่ละองค์ต่างถือภัณฑ์ราชาเทพขั้นเก้าเอาไว้แปดชิ้น ร่างกายอันสูงใหญ่แฝงไปด้วยพลังที่ดุร้ายรุนแรง และความสามารถของมันต้องบรรลุถึงระดับราชาเทพขั้นเก้าอย่างแน่นอน
แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ก็ไม่มีใครเลือกหลบหนีไป เพราะที่ด้านหลังของอสุราแปดแขนทั้งสองนั้น เป็นป่าที่มีกลิ่นอายยาเซียนอันเข้มข้นบริสุทธิ์แห่งหนึ่ง จากกลิ่นอายของยาเซียนก็สามารถมั่นใจได้แล้วว่า ในป่าแห่งนี้มียาเซียนชั้นดีอยู่จำนวนมาก โชคชะตาโอกาสที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ใครจะยอมละทิ้งกันเล่า?
หลัวซิวเพ่งสายตามองไปดู ที่บริเวณหน้าอกของอสุราแปดแขนทั้งสอง เขามองเห็นผนึกตราสายหนึ่ง ผนึกตราสายนี้แฝงไว้ด้วยค่ายกลอันลึกซึ้งที่แม้แต่เขาก็ไม่อาจแก้ได้ เห็นได้ว่ามีผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานที่ชำนาญด้านค่ายกล ใช้วิชาค่ายกลอันแข็งแกร่งผนึกอสุราแปดแขนทั้งสององค์นี้เอาไว้ เพื่อคอยอารักขาสถานที่ก่อกำเนิดยาเซียนแห่งนี้
“ทุกท่าน!”
ในตอนนี้เองเฮ่าเฟิงหยางพลันเอ่ยขึ้นอย่างช้า ๆ ได้ดึงดูดสายตาของผู้คนภายในชั่วพริบตา พูดถึงฝีมือ เขากับสิงจงพอ ๆ กัน แต่หากพูดถึงสติปัญญาและการวางแผน สมองของเฮ่าเฟิงหยางนั่นว่องไวกว่ามากนัก
“อสุราแปดแขนมีสององค์ ทุกคนแยกกันรับมือคนละองค์”
ระหว่างที่พูดอยู่นั้น เฮ่าเฟิงหยางก็ได้เริ่มเรียกรายชื่อแล้ว ไม่นานคนกว่าครึ่งก็ได้มารวมตัวกันที่ข้างกายเขา แต่ละคนต่างค่อนข้างมีชื่อเสียงในบรรดาคนทั้งหมด และมีฝีมือค่อนข้างแข็งแกร่ง
หลัวซิวไม่ได้ถูกเลือก เพราะเขาได้ปลอมแปลงรูปลักษณ์ คลื่นผลการฝึกตนที่รายล้อมก็เป็นเพียงเทพมาระดับแปดช่วงปลายเท่านั้น เป็นธรรมดาที่จะไม่ดึงดูดความสนใจอะไรมากนัก
“ท่านชายเฮ่า เจ้าแบ่งไม่ถูกต้องกระมัง? ตามหลักแล้วเจ้ากับท่านชายสิงควรนำคนละทีม แบบนี้ความสามารถถึงจะเฉลี่ยเท่าเทียมกัน ทุกคนก็จะมีโอกาสรอดสูงขึ้นมาหน่อย เจ้าแบ่งเช่นนี้ พวกเราที่เหลืออยู่ จะไปสู้กับอสุราแปดแขนได้อย่างไร?” ใครบางคนได้กล่าวขึ้น
“หึ ถ้าฝีมือเฉลี่ยกันก็คงไม่สามารถสังหารอสุราแปดแขนโดยเร็วได้ ยิ่งยื้อเวลานานไปก็ยิ่งไม่เป็ยผลดี ค่ายกลต้องห้ามถูกทำลายลงแล้ว ต้องมีคนสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของยาเซียนและมาที่นี่อย่างแน่นอน ดังนั้นพวกเราจึงจำเป็นต้องรีบจัดการโดยเร็ว!”
เฮ่าเฟิงหยางได้เตรียมคำพูดเอาไว้ก่อนแล้ว กล่าวอย่างเรียบ ๆ ผู้คนทางฝั่งข้ากับสหายสิงมีฝีมือแข็งแกร่งที่สุด ก็จะสามารถสังหารอสุราแปดแขนองค์หนึ่งในเวลาอันสั่นได้ ส่วนพวกเจ้าเพียงแค่รั้งอสุราแปดแขนอีกตนเอาไว้ ถึงตอนนั้นทางข้ากับสหายสิง ย่อมต้องมาช่วยอยู่แล้ว แบบนี้ก็จะสังหารอสุราแปดแขนทั้งสองตนได้!
“ท่านชายเฮ่าเพียบพร้อมทั้งปัญญาและความสามารถ ข้อเสนอเช่นนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว!”
“นั่นสิ ท่านชายเฮ่าพูดมีเหตุผล มีเพียงรวบรวมคนที่ฝีมือแข็งแกร่งไว้ด้วยกันถึงจะสามารถแสดงพลังการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาได้”
พวกคนที่ถูกเฮ่าเฟิงหยางเลือกต่างพากันพูดสนับสนุน ทำให้คนอื่น ๆ ไม่อาจโต้เถียงได้
ทุกคนที่อยู่ตรงนี้สามารถฝึกตนมาจนถึงแดนอย่างทุกวันนี้ได้ แต่ละคนต่างผ่านการต่อสู้และฝึกฝนมามากมาย ย่อมต้องไม่เชื่อว่าที่เฮ่าเฟิงหยางพูดนั้นเป็นความจริงอยู่แล้ว
ผลลัพธ์ที่แท้จริงนั้น มีความเป็นไปได้สูงมากว่าพวกเขารั้งอสุราแปดแขนองค์หนึ่งเอาไว้ ถึงตอนนั้นเมื่อพวกเฮ่าเฟิงหยางสังหารอีกตนได้แล้วก็จะบุกเข้าไปในป่าเพื่อค้นหายาเซียน โดยไม่สนใจความเป็นตายของคนอื่นเลยสักนิด
แต่คนอื่น ๆ ก็ไม่สามารถคิดวิธีแก้ปัญหาที่ดีกว่านี้ได้ เผชิญหน้ากับแรงดึงดูดของยาเซียนพรสวรรค์ ไม่ว่าใครก็ไม่ยอมถอย เช่นนั้นจึงได้แต่ยอมรับวิธีการเช่นนี้
“ใครยังพูดมากอีกก็ไสหัวไปเสีย ไม่เช่นนั้นข้าจะไม่เกรงใจแล้วนะ!” สิงจงยิ่งตรงไปตรงมา ในน้ำเสียงแฝงไปด้วยไอสังหาร
“โฮกกก!”
ในตอนนี้เอง อสุราแปดแขนทั้งสองได้เป็นฝ่ายบุกเข้าโจมตี เฮ่าเฟิงหยางกับสิงจงทั้งสองคนได้นำหน้า พุ่งเข้าไปหาหนึ่งในอสุราแปดแขน ตวาดขึ้นเสียงดัง: “คนอื่น ๆ ขวางอสุราแปดแขนเอาไว้!”
ฝีมือของสิงจงกับเฮ่าเฟิงหยางแข็งแกร่งมากจริง อาวุธเทพที่พวกเขาเซ่นออกมาอย่างน้อยก็เป็นภัณฑ์มกุฎเทพขั้นเก้า อาศัยการป้องกันของภัณฑ์มกุฎเทพขั้นเก้า ไม่นานก็ต้านทานการโจมตีอันต่อเนื่องอย่างบ้าคลั่งดั่งห่าฝนของอสุราแปดแขนเอาไว้ได้
ส่วนอสุราแปดแขนอีกองค์นั้น ได้พุ่งเข้ามาหาพวกหลัวซิว มีบางคนที่กลั้นความหวาดหวั่นเกรงกลัวภายในใจเอาไว้ไม่ได้ จึงหันหลังแล้วหนีไป
เช่นนี้ ทางพวกหลัวซิวที่เดิมทีฝีมือก็ไม่สูงส่งอยู่แล้ว ก็ยิ่งอ่อนแอลงไปกว่าเดิม
“พลัวะ!” “พลัวะ!”
เพียงแค่เผชิญหน้า ม่านโลหิตสองกลุ่มก็ได้ระเบิดขึ้น ยอดฝีมือซึ่งมีผลการฝึกตนในขั้นเทพมารระดับแปดสองคนตายคาที่ สูญสิ้นชีวิตอย่างอนาถา
“ตึงงง!”
ระฆังทองแดงใบหนึ่งลอยออกมาจากมือของอสุราแปดแขน ระฆังทองแดงกลายเป็นขนาดเท่าภูเขา ปิดกั้นปริภูมิ กักขังฟ้าดิน ทำให้คนที่คิดจะหนีไป ไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะหนีเลยด้วยซ้ำ
“หากทุกท่านยังละเลยไม่ยอมลงมือ เช่นนั้นทุกคนคงต้องตายอยู่ที่นี่เป็นแน่ เพราะฉะนั้นทุกคนลงมืออย่างเต็มที่เถิด หากไม่สู้สุดชีวิต ก็คงต้องรอความตาย!”
หลัวซิวเห็นคนที่อยู่ข้าง ๆ ต่างพากันถดถอย ก็รู้สึกทนดูต่อไปไม่ไหว ดังนั้นจึงได้กล่าวเตือนขึ้นมาเสียงดัง
เมื่อถูกเขาตักเตือนเช่นนี้ คนไม่น้อยต่างพากันตื่นตัวขึ้นมา แววความเด็ดเดี่ยวปรากฏขึ้นมาในดวงตา พลันได้ลงมือ ระเบิดพลังโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา
“ตราสรรพสิทธิ์!”
หลัวซิวก้าวเท้าเดินออกไปด้านหน้า ยกมือร่ายพลังอมตะแขนงหนึ่งออกมา วิถีไร้ลักษณ์แปลงนานาสรรพสิ่ง เพียงชั่วพริบตาวิชาอมตะมากมาย ๆ ได้ถูกกระตุ้นออกมา
พบเพียงว่าพลังอมตะมากมายได้ปกคลุมอสุราแปดแขนเอาไว้ เทพทมิฬภายใต้การโจมตีอันมืดฟ้ามัวดินของพลังอมตะ เทพทมิฬตนนี้ก็ได้แต่ต้านรับอย่างอ่อนแรงเท่านั้น โบกแขนทั้งแปดเพื่อสกัดกั้นพลังอมตะสายแล้วสายเล่าเอาไว้
ยันต์ค่ายความเร็วสามสิบสามสายได้ส่องสว่างขึ้นมาบนร่างของหลัวซิว เขาขับเคลื่อนปลุกเสกเบิกเนตรเกณฑ์ปริภูมิกับความเร็ว เงาร่างกลายเป็นสายฟ้าเส้นหนึ่ง มาถึงใบหน้าด้านหนึ่งของอสุราแปดแขน
“ตราต้าฮวง!”
เขาต่อยออกไปหนึ่งหมัด อานุภาพของร่างเทวร่างเนื้อปะทุออกมารอบด้าน ร่างของเขาทัดเทียมได้กับภัณฑ์ราชาเทพขั้นเก้า บวกกับการปลุกเสกเบิกเนตรของธรรมเวชกาลร้าง หมัดของเขาเหมือนดั่งกลายเป็นหอคอยฮวง ต้องการทับอสุราแปดแขนให้ตายอยู่ตรงนี้
“อ้ากกก!”
อสุราแปดแขนร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าด้านหนึ่งของมันได้ระเบิดม่านโลหิตและเศษเนื้อออกมา เศียรหนึ่งของมันได้อันตรธานสลายไป เลือดไหลอาบ ฝนโลหิตที่เห็นคาวลอยคละคลุ้ง
ทว่าการโจมตีของหลัวซิวกลับไม่ได้หยุดลงเพียงเท่านี้ ตอนที่เขาแสดงตราสรรพสิทธิ์กับตราต้าฮวงออกมานั้น ในขณะเดียวกันเขาก็ได้ขับเคลื่อนพลังอมตะโจมตีวิญญาณ เล็งเป้าหมายไปที่ตัวหยั่งรู้ที่ซ่อนอยู่ตรงกลางระหว่างคิ้วในอีกหนึ่งเศียรของมัน
คลื่นตัวสำนึกที่โหดเหี้ยมทารุณกลุ่มหนึ่งแผ่ซ่านออกมาจากตัวหยั่งรู้ของอสุราแปดแขน การโจมตีทางวิญญาณของหลัวซิวยังไม่ทันสร้างได้สำเร็จ แต่ก็ทำให้วิญญาณดั้งเดิมของอสุราแปดแขนได้ถูกกระแทก ส่งเสียงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดกว่าเดิม
ทั้งหมดนี้ดูเหมือนเชื่องช้า แต่ความจริงแล้วเกิดขึ้นในเวลาอันสั้นเท่านั้น เห็นใบหน้าด้านหนึ่งของอสุราแปดแขนได้รับบาดเจ็บหนัก ถึงวินาทีนี้ใครยังจะไม่เข้าใจอีกว่ามียอดฝีมือที่ร้ายกาจแฝงตัวอยู่ในหมู่พวกเขา ชั่วขณะนั้นความมั่นใจของทุกคนเพิ่มขึ้นมาทันที และได้ลงมืออย่างดุเดือดยิ่งขึ้น
ข้อได้เปรียบของอสุราแปดแขนคือมีสี่เศียรแปดแขนไร้ซึ่งมุมอับ นอกจากนี้แขนทั้งแปดต่างได้ถืออาวุธเทพเอาไว้ การโจมตีต่อเนื่องไม่ขาดสาย
แต่ข้อได้เปรียบพวกนี้ของอสุราแปดแขนเมื่ออยู่ต่อหน้าหลัวซิวล้วนไม่ใช่ปัญหา เจ้ามีแปดแขนสามารถโจมตีได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนเคล็ดวิชาตราสรรพสิทธิ์ของหลัวซิวสามารถปลุกพลังอมตะนับพันนับหมื่น ต่อให้เจ้ามีเป็นร้อยแขนก็ทำได้เพียงรับมืออย่างทุลักทุเล
และหากพูดถึงพลัง ร่างเทวร่างเนื้อของหลัวซิวได้บรรลุถึงขั้นร่างราชาเทพระดับเก้าขั้นสูงสุด บวกกับการปลุกเสกเบิกเนตรของวิถีไร้ลักษณ์แปลงธรรมเวชกาลร้าง อสุราแปดแขนก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลัวซิว
บวกกับฝีมือที่ไร่ขีดจำกัดของหลัวซิว การเคลื่อนไหวก็รวดเร็วเหมือนดั่งสายฟ้าภูตผี และยังมีคนอื่นคอยช่วยดึงดูดความสนใจกับการโจมตีของอสุราแปดแขน ตั้งแต่เริ่มต้น จุดจบของศึกครั้งนี้ได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว