มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2796 จุดสูงสุดของชั้น 12
“ฟึ่บ!”
เลือดสีแดงสดสาดกระเด็น ถึงแม้สิงจงจะถอยหลังกลับไปด้วยความเร็วที่รวดเร็วที่สุดแล้ว แต่ก็ถูกแสงกระบี่ของกระบี่ร่องฟ้าตัดจนแขนหลุดไปข้างหนึ่งอยู่ดี
แขนระเบิดแตกเป็นหมอกเลือด ความรู้สึกที่เจ็บปวดรวดร้าวทำให้เส้นเลือดบริเวณขมับของสิงจงนูนขึ้น สีหน้าขาวซีดเล็กน้อย
แต่เขากลับไม่กล้าพูดจาไร้สาระเลยแม้แต่น้อย ถอยหลังหลบหนีไปโดยไม่ลังเลใจ เกรงว่าฝ่ายตรงข้ามจะคว้าโอกาสสังหารเขาที่นี่
เขาไม่ได้คาดหวังอะไรในตัวเฮ่าเฟิงหยางแล้ว เนื่องจากถึงแม้เขาจะร่วมมือกับเฮ่าเฟิงหยาง ก็ไม่มีทางใช้คู่ต่อสู้ของชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำนี่แน่นอน
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้สิงจงรู้สึกอัดอั้นตันใจมากที่สุดคือเขาพ่ายแพ้แล้ว แต่กลับไม่ทราบเลยว่าความเป็นมาของผู้ที่โค่นล้มตนเป็นอย่างไรกันแน่
ขณะที่สิงจงลงมือ เฮ่าเฟิงหยางก็วางแผนที่จะลงมือเช่นกัน ในเมื่อจะแตกหักกันไปข้างหนึ่ง ต้องมีการเข่นฆ่ากันอยู่แล้ว ขอแค่จัดการตัวปัญหาคนนี้ทิ้ง ผู้ใดจะได้ครอบครองต้นยาเซียนทั้งหมดในป่าไม้แห่งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับอำนาจของพวกเขาทั้งสองคนแล้วล่ะ
แต่สิ่งที่เฮ่าเฟิงหยางคิดไม่ถึงคือสิงจงจะพ่ายแพ้ได้ราบคาบขนาดนี้ แค่ประมือกันเพียงกระบวนท่าเดียว สิงจงก็ถูกโค่นล้มไปแล้ว ยิ่งกว่านั้นคือยังหลบหนีออกไปอย่างน่าเวทนาอีก ไม่กล้าพูดจาข่มขู่อะไรเลยแม้แต่คำเดียว
หลัวซิวไม่ได้ไล่ล่าสิงจงแต่อย่างใด แม้นเขาก็ทราบดีเช่นกันว่าคนอย่างสิงจงเป็นคนที่จิตใจคับแคบ ต้องตามกลับมาแก้แค้นแน่นอน แต่เมื่อเปรียบเทียบกับการไปไล่ล่าสิงจงแล้ว สิ่งที่เขาใส่ใจมากกว่ากลับเป็นต้นยาเซียนที่อยู่ที่นี่
มีความรู้สึกผิดหวังจาง ๆ กระพริบผ่านไปในแววตาเฮ่าเฟิงหยาง หากเจ้าผู้เก่งกาจนี่ออกไปไล่ล่าสิงจงละก็ เขาก็จะมีโอกาสเก็บเกี่ยวต้นยาเซียนที่มีระดับขั้นสูงได้บ้างแล้ว
หลัวซิวกวาดตามองเฮ่าเฟิงหยางด้วยสายตาที่เยือกเย็นรอบหนึ่ง แม้นเขาจะไม่ได้พูดอะไรก็ตาม แต่เฮ่าเฟิงหยางกลับสามารถสัมผัสได้ถึงการตักเตือนของฝ่ายตรงข้าม นี่จึงทำให้เฮ่าเฟิงหยางอัดอั้นไฟโกรธอยู่เต็มหัวใจ ในฐานะที่เป็นบุตรผู้ภาคภูมิของสวรรค์แห่งตำหนักเวหา เขาเคยอัดอั้นตันใจเช่นนี้มาก่อนหรือ?
ในส่วนของเรื่องที่ว่าเฮ่าเฟิงหยางจะคิดอย่างไรนั้น หลัวซิวเบื่อที่จะสนใจด้วยซ้ำ เขาทำการเก็บเกี่ยวต้นยาเซียนระดับราชาชั้นเก้าต่อ ขอแค่ไม่ใช่ยาเซียนที่เขาต้องตา เขาก็จะไม่ไปแย่ง ต้นยาเซียนที่ขึ้นอยู่ที่นี่มีเยอะมาก ๆ เขายังไม่ได้โลภถึงขั้นที่จะกลืนกินทุกอย่างคนเดียว
“ยาเซียนระดับราชาชั้นเก้าพรสวรรค์!”
เมื่อมาถึงส่วนที่ลึกที่สุดของป่าไม้แห่งนี้ ในที่สุดหลัวซิวก็เจอของดีที่ตัวเองใฝ่ฝันมาโดยตลอด
ยาเซียนระดับราชาพรสวรรค์มีทั้งหมดสามต้น ภายในยาเซียนทุกต้นล้วนมีออร่าเริงชีวีที่เข้มข้นแฝงซ่อนอยู่ จึงแสดงให้เห็นเลยว่ามันเป็นยาเซียนพิเศษที่กำเนิดจากสภาพแวดล้อมฟ้าดินที่พิเศษในหอคอยนภากาศ
ในละแวกใกล้เคียงของยาเซียนระดับราชาพรสวรรค์ทั้งสามต้นนั้น ผู้คนยังมองเห็นบ้านไม้อีกหนึ่งหลัง มีกลิ่นอายแห่งกาลเวลาตลบฟุ้งออกมาจากบ้านไม้หลังนั้น ซึ่งไม่รู้ว่ามันคงอยู่มานานเท่าไหร่แล้ว
เมื่อนึกถึงค่ายกลพรสวรรค์ต้องห้ามที่อยู่ด้านนอก รูม่านตาของหลัวซิวก็หดลงเล็กน้อย การที่จะเข้าไปบ้านไม้หลังนั้นโดยไม่แตะต้องค่ายกลพรสวรรค์นั้น นอกซะจากการตระหนักรู้และความเข้าใจในวิถีค่ายจะบรรลุถึงแดนที่สูงมาก ๆ แล้ว ผลการฝึกตนของคนคนนั้นก็ต้องสูงถึงขั้นที่ไม่อาจคาดเดาได้เช่นกัน
สถานที่แห่งนี้น่าจะเป็นที่พักของผู้แข็งแกร่งโบราณคนใดคนหนึ่ง มันยากที่จะจินตนาการได้จริง ๆ ว่าจะเคยมีคนพักอยู่อาศัยในสถานที่อย่างหอคอยนภากาศด้วย
มีประวัติศาสตร์มากมายที่ผู้คนไม่ทราบฝังซ่อนอยู่ในกาลเวลาที่เก่าแก่ ช่วงประวัติศาสตร์ที่สลายหายไปจากสายน้ำแห่งประวัติศาสตร์ ก็เคยมีผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินอุบัติขึ้นมาหลายท่านเช่นกัน
หลัวซิวไม่มีความคิดที่จะแบ่งยาเซียนระดับราชาพรสวรรค์สามต้นให้ผู้อื่น คนอื่นที่เหลือก็ทำได้เพียงมองดูเขาเก็บเกี่ยวต้นยาเซียนไปต่อหน้าต่อตา แต่กลับไม่กล้าคัดค้านเลยแม้แต่น้อย มิฉะนั้นจุดจบก็จะเป็นอย่างสิงจง
มีจิตสังหารเปี่ยมล้นไปทั้งหัวใจเฮ่าเฟิงหยาง เขาตัดสินใจแล้วว่าจะทำการสืบทราบให้ได้ว่าความเป็นมาของเจ้าหมอนี่เป็นอย่างไรกันแน่ บังอาจกระตุกหนวดเสือ กูจะทำให้มึงอยู่ไม่สุขในโลกสวรรค์!
ล้มเลิกความคิดที่มีต่อยาเซียนพรสวรรค์ บัดนี้แววตาของทุกคนล้วนผนึกไปที่บ้านไม้หลังนั้น
การที่มีบ้านไม้อยู่ในนี้นั้น ไม่เพียงแค่หลัวซิวคนเดียวเท่านั้นที่คาดเดาได้ว่าเคยมีผู้แข็งแกร่งโบราณฝึกตนอยู่ที่นี่ คนอื่นที่เหลือก็สามารถคาดเดาได้เช่นกัน
มีความเป็นไปได้สูงมากว่าอาจมีการถ่ายทอดสืบสานที่น่าทึ่งของผู้แข็งแกร่งโบราณคงอยู่ในบ้านไม้หลังนั้น
หลัวซิวไม่ได้เดินตรงไปแต่อย่างใด เพียงแวบเดียวเขาก็สัมผัสได้แล้วว่าบริเวณรอบบ้านไม้มีค่ายกลต้องห้ามที่นับไม่ถ้วนจัดวางอยู่ ซึ่งความล้ำลึกของค่ายกลต้องห้ามเหล่านั้นอยู่เหนือขอบเขตความเข้าใจในวิถีค่ายของเขาแล้ว
หากพูดถึงมาตรฐานด้านค่ายกล ปัจจุบันหลัวซิวแค่สามารถจัดวางค่ายกลระดับราชาชั้นเก้า แต่ถ้าเกิดพูดถึงระดับฝีมือด้านค่ายกล หลัวซิวกลับอยู่ในระดับผู้สูงส่งอย่างแท้จริงเลยล่ะ
ทว่าแม้นระดับฝีมือในวิถีค่ายจักเป็นเช่นนี้ เขากลับมองค่ายกลที่อยู่รอบบ้านไม้หลังนี้ไม่ทะลุปรุโปร่งอยู่ดี ซึ่งนี่ก็หมายความว่าค่ายกลต้องห้ามที่อยู่ ณ สถานที่แห่งนี้อยู่เหนือระดับผู้สูงส่งทั่วไป!
หรืออาจจะเป็นค่ายกลระดับผู้สูงส่งที่ลึกซึ้งกว่ามาก และอาจจะเป็นค่ายกลที่อยู่เหนือระดับผู้สูงส่งแล้ว!
สำหรับผลลัพธ์ทั้งสองประเภทที่กล่าวมาข้างต้นนั้น หลัวซิวคิดว่ามันมีแนวโน้มไปทางประเภทที่สองมากกว่า
แผ่ขยายตัวสำนึกออกไป หลัวซิวสัมผัสออร่าของต้นยาเซียนต้นอื่น ๆ ไม่ได้แล้ว เมื่อต้นยาเซียนทั้งหมดทยอยถูกผู้คนจัดสรรเสร็จสรรพ ออร่ายาเซียนของสถานที่แห่งนี้ก็เริ่มค่อย ๆ สลายหายไป
เมื่อคิดเช่นนี้ได้ หลัวซิวก็ไม่มีความคิดที่จะหยุดอยู่ที่นี่ต่อแล้ว ก่อนที่เขาจะกระโดดขึ้นฟ้าแล้วหายไปจากนภา
เพ่งมองแผ่นหลังของหลัวซิวที่จากไป ในขณะที่จิตใจของเฮ่าเฟิงหยางเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตสังหารนั้น เขาก็รู้สึกสงสัยเล็กน้อยเช่นกัน ภายในบ้านไม้มีโอกาสมีการถ่ายทอดสืบสานอันน่าทึ่งของผู้แข็งแกร่งโบราณคงอยู่สูงมาก เหตุใดเจ้าหมอนี่มองเพียงแวบเดียวก็จากไปแล้ว?
หรือว่าภายในเรื่องนี้มีเงื่อนงำอะไรบางอย่าง?
หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง เฮ่าเฟิงหยางก็เข้าใจเรื่องทุกอย่างแล้ว ค่ายกลต้องห้ามที่จัดวางอยู่บริเวณรอบบ้านไม้แข็งแกร่งมากเกินไป เขาและจอมยุทธ์อีกเป็นจำนวนมากร่วมมือกันโจมตีอยู่สามวันสามคืน แต่ก็ไม่สามารถทำให้ค่ายกลต้องห้ามสั่นคลอนได้เลยแม้แต่น้อย
……
ณ เขตพื้นที่ที่เป็นใจกลางในชั้นหนึ่งของหอคอยนภากาศ มียอดเขาลูกหนึ่งที่สูงเสียดอนัตตา และสามารถมองเห็นทางเข้าที่เป็นระลอกคลื่นปริภูมิหนึ่งลูกตรงจุดที่สูงที่สุดของยอดเขาลูกนี้
เมื่อหลัวซิวมาถึงที่นี่ เขาก็เห็นว่ามีคนบินเข้าไปในระลอกคลื่นปริภูมิ ก่อนจะหายวับไป
นี่จึงทำให้เขาเข้าใจว่าระลอกคลื่นปริภูมินั่นน่าจะเป็นทางเข้าที่มุ่งไปสู่ชั้นสองของหอคอยนภากาศ
กระทั่งปัจจุบัน หอคอยนภากาศที่ผู้คนมองเห็นมีเพียง 12 ชั้นเท่านั้น ซึ่งนี่ก็หมายความว่าในหอคอยนภากาศมีเขตพื้นที่ที่สามารถทำกิจกรรมเคลื่อนไหวได้เพียง 12 ชั้น
เมื่อหลัวซิวมาถึงพื้นที่ชั้นสองของหอคอยนภากาศ เขาก็สัมผัสได้แล้วว่าออร่าเกณฑ์พลังเต๋าในฟ้าดินเกิดการเปลี่ยนแปลง สิ่งที่แตกต่างจากชั้นแรกคือเกณฑ์พลังเต๋าของที่นี่คือธรรมเวชอัสนีที่โดดเด่นมากกว่า!
ธรรมเวชอัสนีของที่นี่ไม่ใช่อัสนีที่จอมยุทธ์ส่วนมากฝึกแต่อย่างใด ในวิถีแห่งสายฟ้าก็มีการกำเนิดและดับสลายแฝงซ่อนอยู่เช่นกัน มีกฎเกณฑ์ความล้ำลึกของการรังสรรค์สรรพสิ่งและสรรพสิ่งดับสูญแฝงซ่อนอยู่
วิถีสิงเทียนที่เป็นหนึ่งใน 12 วิถีสวรรค์ ก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมเวชอัสนีนี่แหละ ซึ่งเป็นหลักการเดียวกันกับวิถีชิงเทียนที่เป็นส่วนหนึ่งของเต๋าเริงชีวี
ไม่ว่าจะเป็นเต๋าเริงชีวีในชั้นแรก หรือธรรมเวชอัสนีในชั้นที่สอง ต่างก็เป็นธรรมดั้งเดิมเช่นกัน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของวิถีขั้นสูงสุดในดาราจักรวาลแห่งนี้!
จากการที่ยิ่งอยู่ยิ่งตระหนักรู้ได้มากขึ้น หลัวซิวก็ตรัสรู้ได้ลาง ๆ เช่นกัน เริ่มตั้งแต่เทพมารระดับเจ็ด สิ่งที่ฝึกบนวิถียุทธ์ล้วนเป็นวิถีเกณฑ์ อันที่จริงในวิถีเกณฑ์ไม่มีการแบ่งแข็งแกร่งอ่อนแออะไรตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ถึงแม้จะเป็นเกณฑ์ทอง ไม้ น้ำ ไฟและดินที่ธรรมดามากที่สุด หากสามารถยึดกุมความล้ำลึกที่ลึกซึ้ง ก็สามารถปลดปล่อยพลังที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินออกมาได้เช่นกัน
เพียงแต่จอมยุทธ์ส่วนมากแค่แสวงหาวิถีสวรรค์ วิถีวัฏสงสารรวมไปถึงวิถีการเวียนว่ายตายเกิดและห้วงเวลา ซึ่งไม่ได้ยึดกุมแก่นสารที่แท้จริงของการฝึกยุทธ์แต่อย่างใด
หลังจากได้เริ่มสัมผัสกับความล้ำลึกในเกณฑ์พลังเต๋าตั้งแต่เทพมารระดับเจ็ด จุดประสงค์ในการฝึกยุทธ์ก็คือทำให้เกณฑ์ที่ล้ำลึกแค่เสี้ยวเดียวในตอนแรกสมบูรณ์แบบขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยิ่งเป็นจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งมากเท่าไหร่ วิถีเกณฑ์ที่ยึดกุมก็จะยิ่งลึกซึ้ง ยิ่งสมบูรณ์แบบมากเท่านั้น
ปัจจุบันแดนสูงสุดที่หลัวซิวทราบก็คือแดนแห่งประมุขเต๋า หรือแดนของสวรรค์ทั้ง 12 และจ้าววัฏสงสารทั้งแปดยุคนั่นเอง อดีตเขาก็เคยคิดว่าประมุขเต๋าเป็นสุดขอบปลายทางของวิถียุทธ์แล้ว กระทั่งต่อมาเขาถึงจะเข้าใจว่ามาตรแม้นว่าเป็นประมุขเต๋า ก็ไม่ได้ยึดกุมเกณฑ์ที่สมบูรณ์แบบ ยังคงยึดกุมเกณฑ์ที่สมบูรณ์แบบเพียงส่วนหนึ่งอยู่เช่นเคย
อะไรคือเกณฑ์? เกณฑ์ก็คือข้อกำหนดกฎระเบียบ กำหนดกฎ กำหนดเกณฑ์ นี่ก็คือเกณฑ์ เกณฑ์ที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริงก็คือการที่เจ้าสามารถกำหนดกฎระเบียบทั้งปวงได้ตามอำเภอใจ
แน่นอนอยู่แล้วว่าทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นเพียงการคาดเดาของหลัวซิว ณ ปัจจุบันเท่านั้น เขายังไม่เคยบรรลุถึงแดนระดับนั้น และไม่ทราบเช่นกันว่าหลังจากยึดกุมเกณฑ์ที่สมบูรณ์แบบแล้ว จักแข็งแกร่งถึงระดับใด?
เขาหยุดอยู่ในชั้นสองไม่นานเท่าไหร่ หลังจากพบหินนภาพลังเต๋าที่มีแสงอัสนีเป็นประกายระยิบระยับหลายก้อนแล้ว เขาก็มุ่งหน้าไปยังชั้นสาม
เป้าหมายของเขาก็คือเดินให้ทั่วทั้ง 12 ชั้น เพื่อไปสัมผัสเกณฑ์ดั้งเดิมที่แตกต่างกันในหอคอยนภากาศ
เต๋าดับสิ้น เต๋าเผด็จทลาย เต๋าปริภูมิ เต๋าเพลา เต๋ามายาเต๋าทองแสง……
หลัวซิวได้สัมผัสกับธรรมดั้งเดิมที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นกฎทั้งปวงที่จอมยุทธ์ในโลกหล้าฝึกก็ดี เกณฑ์ก็ช่าง ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของธรรมดั้งเดิม ธรรมดั้งเดิมที่สมบูรณ์แบบก็คือวิถีเกณฑ์ที่สมบูรณ์แบบนั่นเอง
การสัมผัสและตระหนักรู้เป็นคนละเรื่องกันเลย แค่สามารถสัมผัสแต่กลับไม่สามารถตระหนักรู้กฎเกณฑ์ความล้ำลึกที่แฝงซ่อนอยู่ภายใน นี่จึงทำให้หลัวซิวรู้สึกไม่พอใจมาก เขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่าไม่ใช่ความสามารถในการตระหนักรู้ของตัวเองไม่เพียงพอ แต่เป็นเพราะผลการฝึกตนของเขาต่ำเกินไป
แม้นการถูกพันธนาการจากผลการฝึกตนจะทำให้เขาสัมผัสเกณฑ์พลังเต๋าที่เหนือขั้นกว่าไม่ได้ แต่กลับทำให้การอนุมานในวิถีไร้ลักษณ์ของเขาสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น
เพียงชั่วพริบตาเดียว ระยะเวลาที่หลัวซิวเข้ามาในหอคอยนภากาศก็ล่วงเลยไปครึ่งปีกว่าแล้ว วินาทีนี้เขาได้มาถึงยอดเขาที่ตั้งอยู่กลางชั้นที่ 12 ของหอคอยนภากาศ
เขาไม่เห็นระลอกคลื่นปริภูมิที่นี่แต่อย่างใด ไม่มีทางเข้าที่มุ่งไปสู่ชั้น 13
พื้นที่บนยอดเขาลูกนี้ไม่เล็ก ทันใดนั้นเองสายตาของหลัวซิวก็มองไปทางตำแหน่งที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล นั่นคือหินยักษ์สีเขียวก้อนหนึ่งที่ผ่านการชะล้างจากกาลเวลาที่ยาวนาน และมีชายหนุ่มร่างหนึ่งกำลังนั่งท่าขัดสมาธิอยู่บนหินยักษ์ก้อนนั้น
เมื่อเห็นคนดังกล่าว รูม่านตาของหลัวซิวก็หดลงเล็กน้อย ขณะที่มาถึงยอดเขาลูกนี้ ตัวสำนึกของเขาสัมผัสพลังออร่าของคนดังกล่าวไม่ได้ แม้แต่ตัวสำนึกที่ได้รับการปลุกเสกโดยพลังญาณเทวของเขายังสัมผัสไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงแสดงให้เห็นถึงความไม่ธรรมดาของคนดังกล่าว
“เจ้าก็กำลังตามหาทางเข้าของชั้น 13 เช่นกันหรือ?”ชายหนุ่มคนนั้นลืมตาขึ้นมาแล้วมองเห็นหลัวซิว ก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดก่อน
“หอคอยนภากาศมี 13 ชั้นหรือ?”หลัวซิวอดไม่ได้ที่จะถามคำถามหนึ่ง แม้นอดีตชาติเขาจะบรรลุถึงแดนผู้สูงส่ง ทว่าแท้จริงแล้วกาลเวลาที่เขาเพ็ญตนเมื่อชาติปางก่อนไม่ถือว่ายาวนานขนาดนั้น ดังนั้นเขาก็ไม่ค่อยทราบข่าวลับที่น้อยคนในโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดทราบเช่นกัน
“มันเคยคงอยู่เมื่อหลายล้านล้านปีก่อน”ชายหนุ่มตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ลึกซึ้งมาก
ในขณะเดียวกันหลัวซิวก็มองเห็นบุคลิกลักษณะของชายหนุ่มคนนั้นด้วย เขาคือชายหนุ่มที่ดูธรรมดามาก ๆ หน้าตาไม่ถือว่าโดดเด่น ผิวพรรณก็ไม่ได้ขาวมาก จัดอยู่ในคนประเภทที่แม้นจะเดินอยู่บนถนน คนประเภทนี้ก็จะไม่โดดเด่นอะไรเลยด้วยซ้ำ
แต่ทว่าบนตัวคนดังกล่าวกลับมีพลังออร่าพิเศษประเภทหนึ่ง หากจะใช้สำนวนหนึ่งมาอุปมาจริง ๆ นั่นก็คือผ้าขี้ริ้วห่อทอง คนดังกล่าวควบคุมพลังออร่าได้ประณีตสวยวิจิตรมาก ๆ แม้แต่ตัวหลัวซิวเองก็มั่นใจเช่นกันว่าตนเทียบเคียงกับฝ่ายตรงข้ามได้ยากมาก
“ข้าไม่ค่อยเข้าใจคำพูดของผู้เพื่อนยุทธ์”หลัวซิวประสานมือทำท่าคารวะพลางพูด: “รบกวนผู้เพื่อนยุทธ์ช่วยอธิบายด้วย”