มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2799 ค่ายเทพนภาเต๋า
“ท่านชาย ท่านจักแย่งหินนภาพลังเต๋าที่มากมายเช่นนี้ไปทำอะไรหรือ?”
เมื่อเห็นหลัวซิวเที่ยวไปแก่งแย่งหินนภาพลังเต๋ามาโดยตลอด ฮู๋ชิงชิงก็รู้สึกสงสัยเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้เช่นกัน
แม้นประสิทธิผลการฝึกตนของหินนภาพลังเต๋าจะดีกว่ากรองแก้วโลหิตเล็กน้อย แต่กลับเทียบเคียงกับหินบรรพไท่ชูไม่ได้ เมื่อพูดตามหลักแล้วหลัวซิวยังไม่ถึงขั้นต้องบ้าคลั่งถึงขั้นนี้ เพียงเพราะหินนภาพลังเต๋าไม่กี่ก้อน
“เพราะมีคนบอกข้าว่าหินนภาพลังเต๋าสามารถกลั่นเป็นยาเซียนนภาเต๋า ซึ่งเป็นของดีที่สามารถยกระดับแดนเกณฑ์”หลัวซิวยิ้มพลางตอบกลับ
“ยาเซียนนภาเต๋า?”ฮู๋ชิงชิงส่ายหน้า เห็นได้ชัดเจนเลยว่านางก็ไม่เคยได้ยินยาเซียนประเภทนี้มาก่อนเช่นกัน แต่ประสิทธิผลในการยกระดับแดนเกณฑ์กลับทำให้นางรู้สึกช็อกเป็นอย่างมาก
อย่างที่ทุกคนทราบกัน โดยส่วนใหญ่แล้วประสิทธิผลของยาจะเป็นการยกระดับผลการฝึกตน ตัวสำนึก ร่างเนื้อหรือฟื้นฟูสภาพอาการบาดเจ็บ ไม่ก็ยกระดับศักยภาพต่าง ๆ เป็นต้น
แต่ของที่ใช้ในการยกระดับแดนเกณฑ์ที่จอมยุทธ์ตระหนักรู้ได้นั้น กลับเป็นสิ่งที่ดูดีแค่เปลือกนอก นี่ก็เป็นครั้งแรกเช่นกันที่นางได้ยินว่ามียาที่สามารถยกระดับแดนเกณฑ์ได้ด้วย
อันที่จริงยาเซียนนภาเต๋าที่ลู่ยู่จื่อกล่าวถึงคงอยู่หรือไม่นั้น หลัวซิวก็ไม่แน่ชัดเช่นกัน ทว่าความเป็นมาของหอคอยนภากาศลึกลับอย่างยิ่ง ในเมื่อที่นี่สามารถหล่อเลี้ยงหินนภาพลังเต๋าออกมาได้ เช่นนั้นเขาคิดว่าประโยชน์ของหินนภาพลังเต๋าต้องไม่ได้มีแค่สิ่งที่มองเห็นเพียงภายนอกอย่างเดียวแน่นอน
มิหนำซ้ำวังนภาสิบสองก็กำลังรวบรวมหินนภาพลังเต๋าเช่นกัน หินนภาพลังเต๋า 20 ก้อนก็สามารถแลกกับโควต้าในการเข้าไปในสถานแหล่งเต๋าได้แล้ว จึงแสดงให้เห็นเลยว่าหินนภาพลังเต๋าต้องไม่ใช่ของธรรมดาทั่วไปแน่นอน แต่คนส่วนใหญ่แค่ไม่ทราบประโยชน์ยิบย่อยของมัน
นอกเหนือจากนี้แล้ว หลัวซิวก็ได้บอกเล่าเรื่องราวที่เขาประสบพบเจอลู่ยู่จื่อให้ฮู๋ชิงชิงฟังเช่นกัน หลังจากที่เขารวบรวมหินนภาพลังเต๋าได้เพียงพอแล้ว เขาไม่มีแผนการที่จะพาฮู๋ชิงชิงไปพร้อมกัน เนื่องจากทันทีที่เกิดอุบัติเหตุอะไรละก็ เขาอาจจะไม่มีเวลาไปสนใจนาง
แม้นฮู๋ชิงชิงจักไม่อยากให้หลัวซิวไปเสี่ยงคนเดียว แต่ก็เข้าใจเช่นกันว่าบางทีศักยภาพของนางอาจช่วยเหลืออะไรไม่ได้ด้วยซ้ำ แม้นนางจะเป็นผู้แข็งแกร่งผู้สูงส่งกลับชาติมาเกิด ทว่าไม่ว่าจะเปรียบเทียบกับหลัวซิวหรือลู่ยู่จื่อแล้ว ก็แตกต่างจากพวกเขาไม่น้อยเลย
หลังจากที่นางมาถึงชั้น 12 ของหอคอยนภากาศแล้ว ก็ได้เดินทางไปบนยอดเขาที่สูงที่สุดนั่นเช่นกัน และได้พบกับลู่ยู่จื่อด้วย แต่ทว่าเมื่อนั้นนางไม่ทราบตัวตนของฝ่ายตรงข้าม อีกทั้งนางก็ไม่ได้รับความสนในจากลู่ยู่จื่อด้วย มิเช่นนั้นละก็นางคงถูกลู่ยู่จื่อเชื้อเชิญให้ร่วมมือกันตั้งนานแล้ว
เพียงพริบตาเดียว เวลาก็ล่วงเลยไปอีกสองเดือนกว่า จู่ ๆ หลัวซิวก็ได้รับข่าวคราวที่ส่งมาจากลู่ยู่จื่อ
เขาหยิบไข่มุกสื่อสารออกมา แผ่ตัวสำนึกเข้าไปด้านใน จากนั้นก็มีเสียงของลู่ยู่จื่อสะท้อนเข้ามาในหู “ผู้เพื่อนยุทธ์ยังรวบรวมหินนภาพลังเต๋าไม่ครบหรือ? ข้ารวบรวมครบแล้ว ข้าจักรอเจ้าที่สถานที่แห่งนั้น”
“ข้ากำลังจะเดินทางไปแล้ว”หลัวซิวเก็บไข่มุกสื่อสารกลับเข้าที่ ก่อนจะพูดกับฮู๋ชิงชิงว่า “ตัวเจ้าเองก็ระมัดระวังหน่อย เจ้ารับธงค่ายและผังค่ายเหล่านี้ไว้ก่อน”
หลัวซิวหยิบธงค่ายและผังค่ายบางส่วนที่ตัวเองกลั่นได้ออกมา อีกทั้งถ่ายทอดวิกลในการควบคุมพวกมันให้แก่ฮู๋ชิงชิง เมื่อมีค่ายกลเป็นอุบายช่วยเหลือสนับสนุน เช่นนั้นต่อให้ประสบพบเจอกับการรุมโจมตีไล่ล่าอีก ฮู๋ชิงชิงก็ไม่ถึงขั้นจนตรอกอย่างครั้งก่อน
“ข้าจักระมัดระวังเอง ท่านเก็บของเหล่านี้ไว้ใช้เองเถอะ”ฮู๋ชิงชิงบ่ายเบี่ยงอย่างแน่วแน่มาก ๆ เนื่องจากนางทราบอยู่ว่าหลัวซิวจะไปคบค้าสมาคมกับลู่ยู่จื่อ ฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้สูงส่งยุคแรกแห่งโลกเสวียน ภูมิหลังยิ่งใหญ่มาก นางกังวลว่าหลัวซิวจะเสียเปรียบเมื่อถูกฝ่ายตรงข้ามวางแผนลอบทำร้าย
“ข้ากลั่นไว้เยอะมาก ยังเหลือไม่น้อย เจ้าเก็บไว้เถอะ”หลัวซิวยัดแหวนเก็บของที่มีธงค่ายและผังค่ายเข้าไปในมือฮู๋ชิงชิง
“ท่านชาย โปรดระวังตัวให้มาก ๆ ด้วยนะเจ้าคะ……”ฮู๋ชิงชิงไม่ได้ปฏิเสธต่อ ดวงตาที่ใสแจ๋วคู่นั้นจ้องมองหลัวซิวด้วยความรู้สึกที่อ่อนโยน
“วางใจเถิด ต่อให้ลู่ยู่จื่อนั่นจักแข็งแกร่งมากเพียงใด ก็ทำอะไรข้าไม่ได้”หลัวซิวยิ้มอ่อน ก่อนจะกระโดดขึ้นฟ้าทีหนึ่ง แล้วหายไปจากท้องฟ้า
อันที่จริงหลัวซิวรวบรวมหินนภาพลังเต๋าครบร้อยก้อนตั้งนานแล้ว สาเหตุที่เขาไม่ได้เป็นฝ่ายติดต่อหาลู่ยู่จื่อก่อนนั้น ด้านหนึ่งเป็นเพราะเขาอยากรวบรวมรวมหินนภาพลังเต๋าให้มากกว่านี้ ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นเพราะเขารู้อยู่ว่าลู่ยู่จื่อต้องเป็นฝ่ายติดต่อหาตัวเองก่อนแน่นอน
ในแหวนเก็บของของเขามีรวมหินนภาพลังเต๋าได้เกือบสองร้อยก้อนแล้ว เขาคาดคะเนว่าจำนวนที่ลู่ยู่จื่อรวบรวมได้ต้องไม่น้อยกว่าเขาแน่นอน ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าการกวาดล้างในชั้นที่ 12 ของหอคอยนภากาศของพวกเขาจะทำให้มีคนพลาดโอกาสที่จะได้เข้าไปในสถานแหล่งเต๋ากี่คน
……
เมื่อมาถึงจุดที่สูงที่สุดของยอดเขาในชั้นที่ 12 ของหอคอยนภากาศ หลัวซิวก็พบว่าลู่ยู่จื่อมารอคอยเขาอยู่ที่นี่จริง ๆ
“ผู้เพื่อนยุทธ์ เจ้ามาสายไปหน่อยนะ”สายตาของลู่ยู่จื่อร่วงลงบนตัวหลัวซิว แล้วพูดอย่างเรียบนิ่ง
“ปริมาณหินนภาพลังเต๋าน้อยเกินไปแล้ว ข้าก็ไปแก่งแย่งกับคนหลายคนเช่นกัน ถึงจะรวบรวมมาได้หนึ่งร้อยก้อนอย่างยากลำบาก”หลัวซิวตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกผิดเล็กน้อย
“ผู้เพื่อนยุทธ์ส่งหินนภาพลังเต๋าออกมาเถิด”ลู่ยู่จื่อไม่ได้หยุดอยู่กับประเด็นนี้นานเท่าไหร่นัก
หลังจากสิ้นเสียง ทั้งสองก็นำหินนภาพลังเต๋าออกมาจากแหวนเก็บของหนึ่งร้อยก้อน หินนภาพลังเต๋าสองร้อนก้อนที่มีสีสันรัศมีแตกต่างกันกองอยู่ด้วยกัน แล้วมีรัศมีเทวอันน่าหลงใหลที่ตระการตาแย้มบาน
เริ่มตั้งแต่ชั้นแรกของหอคอยนภากาศกระทั่งชั้นที่ 12 ล้วนมีหินนภาพลังเต๋าถูกหล่อเลี้ยงออกมา และแต่ละชั้นก็เป็นสัญลักษณ์ของเกณฑ์พลังเต๋าประเภทหนึ่งที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงสามารถตามหาหินนภาพลังเต๋าที่นี่ได้ 12 ประเภท
ลู่ยู่จื่อไม่พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว สีหน้าอารมณ์ที่เรียบนิ่งก็ตึงเครียดขึ้นมาตามกัน เห็นเพียงเขายกมือโบกทีหนึ่ง หินนภาพลังเต๋าทั้งหลายก็ร่วงลงบนตำแหน่งที่แตกต่างกัน แล้วเกิดเป็นเสียงก้องที่มหัศจรรย์
สายตาของหลัวซิวก็กำลังสังเกตดูทุกกิริยาท่าทางของลู่ยู่จื่ออย่างละเอียด แต่กลับมองไม่เห็นเงื่อนงำอะไรจากหินนภาพลังเต๋าเหล่านี้ที่เรียงรายกัน ดูจากกิริยาท่าทางแล้วเหมือนค่ายกลมาก แต่กลับไม่มีร่องรอยของค่ายกลเลยแม้แต่น้อย
หลัวซิวเชี่ยวชาญในวิถีค่ายมาก ๆ จึงย่อมต้องเข้าใจอย่างลึกซึ้งดีอยู่แล้วว่าค่ายกลทั้งปวงล้วนต้องมีลวดลายร่องรอย หากเป็นค่ายกลที่แม้แต่เขายังมองร่องรอยไม่ออกเลยละก็ เช่นนั้นก็แสดงว่าระดับขั้นของค่ายกลดังกล่าวสูงส่งมาก ๆ ซึ่งอยู่สูงกว่าขอบข่ายที่เขายึดกุม
“ผู้เพื่อนยุทธ์ นี่คือค่ายกลหรือ?”หลัวซิวถามคำถามในใจออกมา
ลู่ยู่จื่อพยักหน้า ก่อนจะยิ้มแล้วตอบกลับ “ผู้เพื่อนยุทธ์ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์เป็นหนึ่ง เป็นอัจฉริยะไร้เทียมทานเพียงหนึ่งเดียวตลอดกาล สายตาคมกริบดังเทพจริง ๆ ด้วย นี่คือค่ายกลหนึ่งค่ายจริง ๆ มีนามว่าค่ายเทพนภาเต๋า ซึ่งเป็นค่ายกลที่คนโบราณใช้ทลายเกราะกำบังของหอคอยนภากาศโดยเฉพาะ”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง”มีรอยยิ้มอ่อน ๆ ปรากฏบนใบหน้าหลัวซิว ทว่าในใจกลับรู้สึกหวาดหวั่นอย่างควบคุมไม่ได้
เมื่อนึกโยงเข้ากับคำพูดที่ลู่ยู่จื่อบอกกับเขาในก่อนหน้านี้ หลัวซิวก็สามารถคาดคะเนได้แล้วว่าเมื่อชาติปางก่อนหรือชาติปัจจุบัน ลู่ยู่จื่อต้องเคยเจอโบราณสถานที่เก่าแก่กว่ายุคไท่ชูอย่างแน่นอน อีกทั้งเขาได้รับโอกาสที่ไม่ธรรมดาในโบราณสถานแห่งนั้น ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลที่บันทึกในพระราชสาส์นหรือค่ายเทพนภาเต๋านี่ ต่างเป็นสิ่งของที่ยอดเยี่ยมมาก
“ผู้เพื่อนยุทธ์หลัว เวลาของเจ้าและข้าเหลือไม่มากแล้ว ระยะเวลาทุกครั้งที่หอคอยนภากาศเปิดออกจะอยู่ที่สามปี ทันทีที่เวลาล่วงเลยไปสามปี เจ้าและข้าก็จะถูกส่งออกไป”
ลู่ยู่จื่อพลางพูดพลางโยนม้วนหยกชิ้นหนึ่งไปทางหลัวซิว
หลัวซิวยื่นมือออกไปคว้าม้วนหยกเอาไว้ ยังไม่ทันได้สำรวจ ลู่ยู่จื่อก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดก่อนว่า “ระดับขั้นของค่ายเทพนภาเต๋าสูงเกินไป ข้าไม่สามารถกระตุ้นได้ด้วยกำลังแรงของข้าเพียงคนเดียว เพราะฉะนั้นจึงต้องให้ผู้เพื่อนยุทธ์ร่วมมือกับข้า ข้าได้สลักวิกลที่ใช้กระตุ้นค่ายเทพนภาเต๋าลงในม้วนหยกชิ้นนี้”
เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว หลัวซิวก็เหมือนได้รับสิ่งล้ำค่า สำหรับนักค่ายเทพคนหนึ่งแล้ว การที่ได้รับค่ายกลวิกลที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนนั้น ล้วนเป็นทรัพย์สินที่ไม่อาจประมาณค่าได้
บางทีเขาอาจจะสามารถใช้วิกลชุดนี้ ตระหนักรู้อนุมานกฎเกณฑ์วิกลที่ลึกซึ้งมากกว่าออกมาได้ แล้วทำให้ระดับฝีมือในวิถีค่ายของเขาก้าวเข้าสู่ระดับขั้นที่สูงกว่า
อัจฉริยะผู้เป็นหนึ่งเดียวตลอดกาลไม่ได้ได้มาอย่างไม่มีมูล แม้วิกลจะซับซ้อนมาก ๆ แต่หลัวซิวกลับใช้เวลาเพียงสิบกว่าลมหายใจก็ควบคุมมันได้แล้ว
ผลลัพธ์นี้ทำให้ลู่ยู่จื่อรู้สึกตะลึงเล็กน้อย เขาจำได้ดีมาก ๆ ว่าครั้นเมื่อเขาฝึกวิกลชุดนี้ของค่ายเทพนภาเต๋าใหม่ ๆ เขาใช้เวลาไปเกือบครึ่งปีเชียวนะ
ช่วงระยะความต่างระหว่างสิบกว่าลมหายใจกับครึ่งปี อยู่เหนือขอบเขตที่สามารถอธิบายได้ด้วยหลักการทั่วไปแล้ว
“ช่างเป็นพรสวรรค์ที่น่ากลัวยิ่งนัก”
ความรู้สึกบนใบหน้าลู่ยู่จื่อไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ แต่ภายในใจกลับชื่นชมความสามารถในการเรียนรู้ของหลัวซิวมาก ๆ
อย่างไรก็ตามเขากลับไม่ทราบว่าสาเหตุที่หลัวซิวสามารถเรียนรู้พลังอมตะต่าง ๆ ได้รวดเร็วเช่นนี้นั้น พรสวรรค์และความสามารถในการตระหนักรู้อันน่ากลัวนั่นของเขาเป็นเพียงสาเหตุส่วนหนึ่งเท่านั้น วิถีไร้ลักษณ์ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ขาดไม่ได้เช่นกัน เนื่องจากความสามารถที่วิถีไร้ลักษณ์เชี่ยวชาญมากที่สุดก็คือการอนุมานและตระหนักรู้
แม้จะยึดกุมวิกล แต่ไม่ได้หมายความว่าหลัวซิวยึดกุมความล้ำลึกของค่ายเทพนภาเต๋าแล้ว เนื่องจากสิ่งที่สำคัญที่สุดของค่ายเทพค่ายหนึ่งก็คือผังค่าย การที่อาศัยเพียงวิกลอย่างเดียว แม้นจะใช้ความสามารถในการอนุมานของวิถีไร้ลักษณ์ ก็อย่าคิดว่าจะสามารถอนุมานค่ายเทพนภาเต๋าที่สมบูรณ์แบบออกมาได้
ลู่ยู่จื่อย่อมไม่มีทางแบ่งปันผังค่ายให้หลัวซิวอยู่แล้ว ทั้งสองต่างอยู่ในตำแหน่งที่แตกต่างกัน แล้วปลดปล่อยวิกลที่ซับซ้อนออกมา พลังเวทย์รอบกายสั่นกระเพื่อม
“เวิ่ง!”
มีรัศมีเทวที่แวววาวมากกว่าเดิมแย้มบานออกมาจากหินนภาพลังเต๋าทั้งสองร้อยก้อนพร้อมกัน รัศมีเทวทั้งหลายผนึกรวมกันในอนัตตา จากนั้นอนัตตาก็ค่อย ๆ ฉีกแยกออกด้วยความเร็วที่ช้ามาก ๆ
“ช้าขนาดนี้เลยหรือ?”
เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์ดังกล่าว หลัวซิวก็ขมวดคิ้วลงอย่างอดไม่ได้ หากอิงจากความเร็วระดับนี้ละก็ การที่จะฉีกกระชากช่องทางที่สามารถทำให้มนุษย์ทะลุข้ามผ่านไปได้นั้น อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาเกือบปีเลย
เขานำสายตาจับจ้องไปทางลู่ยู่จื่อ ยังไม่รอให้เขาได้เอ่ยปากถาม ลู่ยู่จื่อก็เป็นฝ่ายพูดก่อนแล้วว่า “นี่เป็นวิธีการเพียงหนึ่งเดียวแล้ว เพราะศักยภาพของเจ้าและข้าไม่เพียงพอ ดังนั้นจึงสามารถกระตุ้นพลานุภาพของค่ายเทพนภาเต๋าได้แค่นี้แหละ”
เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว จากความรู้ความสามารถของหลัวซิว ย่อมทราบอยู่แล้วว่าลู่ยู่จื่อไม่ได้ปิดบังความสามารถ แค่ใช้วิกลก็สามารถดูออกแล้วว่าระดับขั้นของค่ายเทพนภาเต๋าสูงมาก และปัจจุบันผลการฝึกตนของลู่ยู่จื่อเป็นเพียงเทพมารระดับแปดขั้นสูง การที่ไม่สามารถจัดวางค่ายเทพนภาเต๋าที่มีพลานุภาพสูงกว่านี้ออกมาได้นั้น ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอยู่
เวลาล่วงเลยไปไม่รู้เนื้อรู้ตัว หากทุกอย่างเหมือนอย่างที่ลู่ยู่จื่อกล่าวมาจริง ๆ เช่นนั้นระยะเวลาของทั้งสองคนก็เหลือไม่มากแล้ว ยิ่งอยู่ยิ่งเข้าใกล้ระยะเวลาสามปีที่กำหนด
การที่ต้องโคจรค่ายเทพนภาเต๋าอย่างต่อเนื่องนาน ๆ ทำให้ไม่ว่าจะเป็นหลัวซิวหรือลู่ยู่จื่อ ต่างก็สูญเสียผลการฝึกตนจำนวนมาก ในช่วงเวลาหนึ่งปีนี้ ทั้งสองต่างจะหยิบเม็ดยาเซียนที่ใช้ฟื้นฟูผลการฝึกตนออกมากินอยู่เป็นระยะ
ในส่วนของยอดเขาที่พวกเขาอยู่นั้น ก็ถูกค่ายเทพนภาเต๋าผนึกไปแล้ว มาตรแม้นว่ามีคนมาถึงที่นี่ ก็อย่าคิดว่าจะสามารถบุกเข้ามาทำลายแผนการของพวกเขาได้
ในที่สุด หลังจากใช้เวลาไปหนึ่งปี อนัตตาก็แยกออกเป็นเส้นทางที่สามารถทำให้มนุษย์คนหนึ่งข้ามผ่านเข้าไปได้สักที
“ค่ายเทพนภาเต๋า ผนึก!”
จู่ ๆ ลู่ยู่จื่อก็ตะคอกเสียงดังลั่น ความเร็วที่มือทั้งสองข้างประสานอินยิ่งอยู่ยิ่งเร็วขึ้น ทำให้ร่องรอยของอนัตตาที่ถูกฉีกกระชากมั่นคง
เมื่อหลัวซิวเห็นอุบายที่เขาใช้ก็รู้แล้วว่าวิกลที่ลู่ยู่จื่อถ่ายทอดให้ตัวเอง ก็ไม่ใช่วิกลที่สมบูรณ์แบบของค่ายเทพนภาเต๋าเช่นกัน ทั้งสองดูเหมือนอยู่ในความสัมพันธ์ที่ให้ความร่วมมือกันดีมาก ๆ แท้จริงแล้วต่างฝ่ายต่างก็แอบระแวงและระมัดระวังซึ่งกันและกันอยู่