มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2807 เสน่ห์ของเทพธิดาทั้งสาม
เมื่อเห็นฝักดาบหวูชวน หลัวซิวก็จะนึกถึงจี้หวูชวง แม้นชาติปางก่อนจะตัดอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดทิ้ง แต่เขาก็ไม่มีวันลืมสตรีที่งดงามปราดเปรื่องนั่นได้
“หวูชวน เจ้าก็กลับชาติมาเกิดแล้วหรือ?”
หลัวซิวพูดพึมพำในใจอย่างอดไม่ได้ ในภพชาตินี้ ผู้แข็งแกร่งยุคโบราณต่างพากันกลับชาติมาเกิดสำเร็จแล้ว ร่างของผู้แข็งแกร่งจำนวนมากที่กลับชาติมาเกิดล้วนรวมตัวกันอยู่ในยุคสมัยเดียวกัน ซึ่งต้องมีมหันตภัยเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอน
อย่างไรเสียไม่ว่าจะเป็นประมุขเต๋าในชาติปางก่อนก็ดี ผู้สูงส่งก็ช่าง หลังจากกลับชาติมาเกิดแล้วทุกอย่างล้วนกลับมาเป็นศูนย์ ผลการฝึกตนทั้งปวงล้วนต้องเริ่มต้นใหม่ ในยุคปัจจุบันที่ยังไม่มีประมุขเต๋าบังเกิด จุดประสงค์แรกของพวกเขาต้องเป็นการบรรลุเป็นประมุขเต๋าแน่นอน ยิ่งกว่านั้นคืออยากพัฒนาอีกขั้นบรรลุสู่แดนบรรพเทพและเซียนในตำนาน
ผู้แข็งแกร่งเหล่านี้แข็งแกร่งทุกคน ผู้ใดจะสามารถกลายเป็นประมุขเต๋าได้นั้น ก็จะสามารถยึดกุมสิทธิ์และอำนาจในการแข่งขันของยุคสมัยนี้ เหล่าผู้แข็งแกร่งต่างแข่งขันซึ่งกันและกัน แก่งแย่งโอกาส จึงส่งผลให้ทั้งดาราจักรวาลสั่นสะเทือน
มกุฎศักดิ์สิทธิ์บรรพอัคคี บรรพยักษ์ตรีภพ เด็กหญิงที่อยู่ในโลงแก้ว แล้วก็อาจารย์เมื่อชาติปางก่อนของเขา……
สำหรับหลัวซิว ณ ปัจจุบันแล้ว การคงอยู่ของบุคคลทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นล้วนลึกซึ้งจนไม่อาจคาดเดาได้ เขาในตอนนี้ยังแข็งแกร่งไม่มากพอ แต่ว่าอนาคตคอยหลังจากผลการฝึกตนของเขาบรรลุถึงแดนที่แน่นอนแล้ว เช่นนั้นคู่ต่อสู้ของเขาก็ต้องเป็นกลุ่มคนประเภทเดียวกันแน่นอน!
สูดหายใจเข้าลึก ๆ เฮือกหนึ่ง หลัวซิวสลัดความคิดซับซ้อนทั้งหมดในหัวทิ้ง ก่อนที่สายตาจะร่วงลงบนฝักดาบหวูชวนที่มีสนิมเกาะเล็กน้อย
ฝักดาบที่จี้หวูชวงหลอมสร้างขึ้นมาเพื่อดาบเทพไร้เทียมทาน ย่อมไม่มีทางเกิดสนิมได้อยู่แล้ว บางทีผู้อื่นอาจจะมองความลี้ลับนี้ไม่ออก ทว่าหลัวซิวกลับสามารถมองทะลุตั้งแต่แวบแรกที่เห็น สาเหตุที่ฝักดาบขึ้นสนิมนั้น เป็นเพราะมันไม่เจอเจ้าของของตัวเอง จึงเข้าสู่สภาวะผนึกตน
หลัวซิวมองชายหนุ่มแห่งหอมกุฎดาบที่อยู่ตรงหน้านี้หนึ่งรอบ หอมกุฎดาบคือแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นสุดยอดที่เน้นฝึกวิถีดาบเป็นหลัก การถ่ายทอดสืบสานในสายของพวกเขามีความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนต่อวัตถุบนวิถีดาบสูงมาก บางทีเขาอาจจะสัมผัสได้ถึงความไม่ธรรมดาของฝักดาบเล่มนี้ ดังนั้นถึงได้รู้สึกหวั่นไหว
แต่หลัวซิวก็สามารถยืนยันได้เช่นกันว่าศิษย์แห่งหอมกุฎดาบนี่ไม่ทราบมูลค่าที่แท้จริงและความล้ำค่าของฝักดาบหวูชวนด้วยซ้ำ มิเช่นนั้นละก็เขาคงไม่มาต่อรองราคากับเจ้าของแผงอยู่ที่นี่แล้วล่ะ
“ข้าจักซื้อฝักดาบนั่นเอง”
หลัวซิวย่างเท้าเดินเข้าไป ก่อนจะโยนแหวนเก็บของวงหนึ่งให้ฝ่ายตรงข้าม
ชายวัยกลางคนยื่นมือออกไปรับแหวนเก็บของด้วยสีหน้าที่เรียบนิ่ง ก่อนจะใช้ตัวสำนึกแผ่สำรวจภายใน
“ฝักดาบนี่เป็นของเจ้าแล้ว”
ชายวัยกลางคนตอบกลับได้เด็ดเดี่ยวและตรงไปตรงมามาก โบกมือแล้วเก็บแหวนเก็บของเข้าที่ ไม่สนใจศิษย์แห่งหอมกุฎดาบนั่นอีก
กิริยาท่าทางของหลัวซิวไม่ชักช้ายืดยาดเลยแม้แต่น้อย นี่จึงทำให้ศิษย์แห่งหอมกุฎดาบคนนี้มึนงงเล็กน้อย ก่อนจะยกแขนขึ้นมาขวางทางหลัวซิวที่กำลังจะจากไป
“เจ้ามีเรื่องอันใดรึ?”หลัวซิวมองฝ่ายตรงข้ามด้วยสายตาที่เย็นชารอบหนึ่ง
“ส่งฝักดาบนั่นมา จวินจือเตาข้าจักให้ราคาเจ้าเพิ่มเป็นทวีคูณ!”ชายหนุ่มจากหอมกุฎดาบพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก
จวินจือเตาต้องมองเห็นความไม่ธรรมดาของฝักดาบอยู่แล้ว มิเช่นนั้นเขาก็คงไม่เสียเวลามาปะทะฝีปากกับเจ้าของแผงอยู่ที่นี่หรอก
แต่ทว่าราคาฝักดาบที่ชายวัยกลางคนเจ้าของแผงขายคือกรองแก้วโลหิตสิบล้านก้อน แม้นเขาจะเป็นศิษย์แห่งหอมกุฎดาบ แต่ก็ตัดใจควักออกมาง่าย ๆ ไม่ได้
แน่นอนอยู่แล้วว่าเขามีปัญญาควักกรองแก้วโลหิตสิบล้านก้อนออกมาอยู่ แต่แค่คิดว่าอย่างน้อยประหยัดได้นิดหนึ่งก็นิดหนึ่ง ดังนั้นถึงได้ต่อรองราคากับเจ้าของแผง
แต่เมื่อเขาเห็นผู้อื่นซื้อฝักดาบไป เขาก็เข้าใจขึ้นมาทันทีว่าตัวเองประมาทไปหน่อย ในเมื่อคนดังกล่าวทำการซื้อฝักดาบไปอย่างไม่ลังเลใจ แสดงว่าฝักดาบดังกล่าวต้องไม่ธรรมดาแน่นอน แล้วเขาจะมีทางปล่อยให้หลุดมือไปได้อย่างไรเล่า?
ในส่วนของการเพิ่มราคาให้ทวีคูณนั้น จวินจือเตาไม่ได้นำมาใส่ใจเลย ต่อให้เขาเอากรองแก้วโลหิตออกมา 20 ล้านก้อน เจ้าหมอนี่กล้ารับไว้หรือ?
บุคลิกลักษณะของหลัวซิวดูหนุ่มมาก ๆ บนชุดคลุมยาวดำก็ไม่มีสัญลักษณ์พิเศษของแดนศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ ด้วย โดยทั่วไปแล้วจอมยุทธ์ประเภทนี้ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญตนอิสระ ไม่มีสำนักใด ๆ หากเป็นเพียงจอมยุทธ์หนุ่มที่บำเพ็ญโตอิสระคนหนึ่งละก็ เช่นนั้นฝ่ายตรงข้ามก็ไม่สามารถเทียบเคียงตัวตนกับจวินจือเตาเขาได้ด้วยซ้ำ
และเป็นเพราะเหตุนี้นี่เอง จวินจือเตาจึงคิดว่าฝ่ายตรงข้ามต้องยอมประนีประนอมอยู่ภายใต้ความแข็งกร้าวของตัวเองแน่นอน ไม่แน่เขาอาจจะไม่ต้องเอากรองแก้วโลหิตสิบล้านก้อนออกมาเลยด้วยซ้ำ ก็ได้ครอบครองฝักดาบนั่นแล้ว
แต่ว่าจวินจือเตาสำคัญตัวเองมากเกินไป ในขณะที่เขาพูดคำพูดเหล่านี้ หลัวซิวไม่ได้ชายตาลงไปมองเขาเลยด้วยซ้ำ แค่พูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา: “หากเจ้าเสนอราคาเพิ่มอีกร้อยเท่า บางทีข้าอาจนำไปพิจารณาได้”
เมื่อจวินจือเตาได้ยินคำพูดดังกล่าว สีหน้าก็เขียวช้ำลงไปทันที หากไม่ใช่เพราะที่นี่คือเมืองศักดิ์สิทธิ์ชิงเทียน เขาคงชักดาบออกมาสังหารคนดังกล่าวอย่างไม่ลังเลใจแน่นอน
“อย่าทำตัวไม้อ่อนไม่ชอบ ชอบไม้แข็งเลย มึงอย่าลืมผลลัพธ์ของการเป็นศัตรูกับหอมกุฎดาบของกูเชียวนะ”จวินจือเตาพูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น
“มึงใหญ่โตมาจากที่ใด? ศิษย์ที่มีผลการฝึกตนเทพมารระดับเก้ากระจอก ๆ อย่างมึง ก็สามารถเป็นตัวแทนของหอมกุฎดาบได้รึ?”
สามารถพูดได้เลยว่าน้ำเสียงของหลัวซิวไม่มีความปราณีเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งเขาก็ไม่ได้ปิดบังเสียงของตัวเองเช่นกัน นี่จึงทำให้คนอื่น ๆ ที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงล้วนได้ยินลาดเลาฝั่งนี้ จึงมีคนจำนวนไม่น้อยรุมล้อมเข้ามาอย่างรวดเร็ว
นี่จึงทำให้จิตสังหารในใจจวินจือเตาเข้มข้นมากยิ่งขึ้น มากกว่านั้นคือเขายังรู้สึกเคียดแค้นต่อชายวัยกำลังคนเจ้าของแผงนั่นเล็กน้อยด้วย กวาดตามองไปด้วยแววตาที่เยือกเย็น แต่กลับเห็นชายวัยกลายคนเจ้าของแผงนั่นหยีตา ไม่ได้นำการข่มขู่ของเขามาไว้ในสายตาเลยด้วยซ้ำ
“ศิษย์น้องจวิน เจ้าทำอะไรน่ะ?”
และในเวลานี้เอง ก็มีเสียงสตรีที่ไพเราะสะท้อนมา ถัดจากนั้นเงาร่างสามร่างที่อยู่ในชุดกระโปรงขาวก็เดินออกมาจากกลุ่มคน ซึ่งลู่เมิ่งเหยาก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย
และสตรีทั้งสามนางนี้ก็คือเทพธิดาในยุคปัจจุบันของหอมกุฎดาบนั่นเอง และเป็นศิษย์สตรีเพียงสามคนในหมู่วัยรุ่นยุคใหม่ของหอมกุฎดาบ
สตรีสองในสามต่างใส่ผ้าคลุมหน้า คนหนึ่งชื่อยี่หนิงจู อีกคนหนึ่งชื่อยู่หานเซียง ส่วนลู่เมิ่งเหยาไม่ได้ใส่ผ้าคลุมหน้า แต่ว่าสีหน้าอารมณ์เย็นชา ราวกับโฉมงามภูเขาน้ำแข็ง
ผู้พูดคือยี่หนิงจู และเป็นศิษย์พี่ใหญ่ในสามเทพธิดาเช่นกัน
“ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รอง ศิษย์น้อง……”
จวินจือเตาประสานมือทำท่าคารวะแล้วอธิบาย: “ข้าพบฝักดาบเล่มหนึ่งที่นี่ ฝักดาบนั่นดูธรรมดาแต่กลับมีจุดที่ไม่ธรรมดาเล็กน้อย ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถทำให้จิตดาบข้าสั่นไหว เดิมทีข้าวางแผนที่จะซื้อมันมาแล้วมอบให้ศิษย์น้องน่ะขอรับ”
“สามารถทำให้จิตดาบเจ้าสั่นไหว?”
เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว นอกจากสีหน้าของลู่เมิ่งเหยาที่ไม่มีความแปลกใจแม้แต่น้อยแล้ว สีหน้าของยี่หนิงจูและยู่หานเซียงต่างเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย
วิชาจิตที่หอมกุฎดาบนั้นฝึกพิเศษมาก ๆ ซึ่งเป็นวรยุทธ์ที่ควบคู่กับวิถีดาบ แล้วจะผนึกรวมจิตดาบออกมาในจุดตันเถียน และจิตดาบสามารถสร้างพลังพิเศษประเภทหนึ่งออกมา ภายใต้การปลุกเสกจากพลังประเภทนี้ สามารถทำให้ศิษย์ในหอมกุฎดาบปลดปล่อยพลังโจมตีที่แข็งแกร่งมากกว่าเดิมออกมาได้ แล้วยกระดับอานุภาพของวิถีดาบให้ขึ้นไปถึงขีดสูงสุด
และสิ่งที่สามารถทำให้จิตดาบสั่นไหวได้นั้น ก็มีเพียงสมบัติที่มีแรงดึงดูดต่อจอมยุทธ์วิถีดาบสูงมาก ๆ ถึงจะสามารถทำได้
หลัวซิวที่ได้ยินเช่นนี้ก็ถือว่าเข้าใจแล้วเหมือนกัน ที่แท้สาเหตุที่จวินจือเตานี่อยากซื้อฝักดาบนั้นก็เพื่อเอาใจลู่เมิ่งเหยา แม้นข้อผูกมัดของความรู้สึกรักระหว่างหนุ่มสาวของเขาและลู่เมิ่งเหยาจะเจือจางมาก ๆ แล้ว แต่หลัวซิวก็ยังรู้สึกว่าตนตัดสินใจซื้อฝักดาบนี่ได้ถูกต้องจริง ๆ
นี่จึงทำให้เขาเข้าใจว่าอันที่จริงจิตใจเขาปล่อยวางลู่เมิ่งเหยาไม่ได้ตลอดมา ไม่ว่านางจะเคยตัดสินใจทำอะไรที่ผิดต่อตนเอง แต่ความรู้สึกนั้นเป็นความรู้สึกที่น้ำใสใจจริง ในส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจตัวเองมีตำแหน่งที่ว่างของนางมาโดยตลอด
“เจ้าเองหรือ?”
ในขณะเดียวกัน ยี่หนิงจูก็สังเกตเห็นหลัวซิวแล้ว นางจำได้ดีมาก ๆ ว่าเมื่อนั้นเจ้าหมอนี่แจ้นมาพูดคำพูดแปลกประหลาดต่อหน้าศิษย์น้อง จากนั้นก็ถูกผู้คุมกฎอาจารย์อาไล่ไป
“เจ้าเป็นศิษย์ของตำหนักปีศาจนภามิใช่หรือ?”ยี่หนิงจูขมวดคิ้วลงเล็กน้อย นางจำได้ว่าก่อนหน้านี้เจ้าหมอนี่สวมใส่เครื่องแต่งกายของตำหนักปีศาจนภา ทว่าบัดนี้กลับไม่ได้ใส่
“ข้าเคยบอกตั้งแต่เมื่อใดว่าข้าเป็นศิษย์ของตำหนักปีศาจนภา? ครั้นเมื่อเข้าไปในหอคอยนภากาศ ข้าแค่เข้าไปในนามตัวตนของตำหนักปีศาจนภาเท่านั้น”หลัวซิวพูดอย่างเย็นชา
เรื่องประเภทนี้ไม่ใช่ความลับแต่อย่างใด เนื่องจากก่อนหอคอยนภากาศจะเปิดออก วังนภาสิบสองก็ได้รับสมัครจอมยุทธ์ผู้บำเพ็ญตนอิสระและศิษย์จากกองกำลังอื่นเป็นจำนวนมาก
“ความเป็นมาของเจ้าเป็นอย่างไรไม่สำคัญ!”
ยี่หนิงจูโบกมือตัดบทหลัวซิวไปอย่างเย็นเยือก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เมินเฉยมาก ๆ “นำฝักดาบนั่นที่เจ้าซื้อไปออกมาให้ข้าดูหน่อย”
น้ำเสียงของยี่หนิงจูทำให้หลัวซิวรู้สึกไม่พอใจมาก เนื่องจากน้ำเสียงประเภทนี้มีความเฉยเมยและท่าทีของการออกคำสั่งปนอยู่ด้วย ราวกับยี่หนิงจูนางเป็นเทพธิดาผู้สูงส่งใสหอมกุฎดาบ ส่วนเขาเป็นเพียงมดตัวจ้อยที่ต้องพึ่งพาตำหนักปีศาจนภาถึงจะสามารถเข้าไปในหอคอยนภากาศได้ ดังนั้นจึงต้องคุกเข่าเลียแข้งเลียขาต่อหน้านาง
“ของเป็นของข้า ไยจึงต้องเอาออกมาให้เจ้าดูด้วย?”สีหน้าของหลัวซิวก็เยือกเย็นลงเช่นกัน “ก็ใช่ว่าจะดูไม่ได้เสมอไป ส่งกรองแก้วโลหิตมาสิบล้านก้อน แล้วข้าจะให้เจ้าดูแวบหนึ่ง”
“มึงช่างกล้าหาญยิ่งนัก! ……”
จวินจือเตาที่อยู่ข้าง ๆ ชักสีหน้าแสดงอารมณ์โกรธขึ้นมาอย่างฉับพลัน ในขณะที่เขากำลังจะลงมือต่อหลัวซิวอย่างกลั้นใจไม่ไหวอยู่นั้น กลับถูกยี่หนิงจูโบกมือหยุดยั้งไว้ก่อน
ยี่หนิงจูสวมใส่ผ้าคลุมหน้า ดวงตาที่ใสแจ๋วคู่นั้นเพ่งมองหลัวซิวด้วยความเย็นเยือกเล็กน้อย “ศิษย์น้องจวินพูดถูก เจ้าเป็นผู้ที่กล้าหาญมากจริง ๆ ข้ารู้ว่าเจ้าลงทะเบียนเข้าร่วมการประลองยุทธ์แล้ว ดูท่าเจ้าก็อยากได้โควต้าในการเข้าไปในสถานแหล่งเต๋าเช่นกัน แต่หวังว่าเจ้าจะสามารถมีชีวิตรอดไปจนถึงช่วงสุดท้ายได้นะ”
การที่ยี่หนิงจูพูดคำพูดประเภทนี้ออกมานั้น เห็นได้ชัดเจนเลยว่าเป็นการข่มขู่แล้ว ทว่าหลัวซิวกลับเบื่อที่จะสนใจนางด้วยซ้ำ หันหลังแล้วเดินจากไปโดยตรง
ในยุคสมัยที่ประมุขเต๋ายังไม่อุบัติขึ้นมา แดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นสุดยอดที่มีการถ่ายทอดสืบสานยาวนานแข็งแกร่งจะกดอัดควบคุมศิษย์ที่กำเนิดจากแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นสุดยอดและกองกำลังทั่วไป ปกติทำตัวยโสโอหังถูกผู้อื่นเยินยอจนเคยตัว คิดจริง ๆ ว่าผู้อื่นล้วนต้องทำตัวอ่อนน้อมต่อหน้าพวกเขา
“ศิษย์พี่ใหญ่ เราจักปล่อยคนประเภทนี้ไปได้อย่างไรขอรับ?”จวินจือเตาพูดด้วยอารมณ์ที่โกรธเกรี้ยวอย่างยิ่ง
“วางใจเถิด มันมีชีวิตรอดได้ไม่นานหรอก”ในน้ำเสียงที่เรียบนิ่งของยี่หนิงจูมีความเย็นชาปนอยู่เล็กน้อย จากตัวตนเทพธิดาของพวกนางทั้งสามคน มีเด็กรุ่นใหม่บังอาจรุกรานพวกนางต่อหน้าสาธารณชน จะมียอดฝีมือจำนวนมากในหมู่เด็กรุ่นใหม่ยินดีไปฆ่าเขา เพื่อที่จะได้มีโอกาสได้รับความรู้สึกดี ๆ จากพวกนางเทพธิดาทั้งสาม
หลัวซิวกลับไม่ได้คิดมากขนาดนั้น หลังจากเขากลับไปถึงห้องลับฝึกตนที่เช่ามาแล้ว เรื่องราวที่เขาขัดแย้งกับเทพธิดาทั้งสามแห่งหอมกุฎดาบก็แพร่งพรายออกไปไปในเมืองศักดิ์สิทธิ์ชิงเทียนอย่างรวดเร็ว
ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น นี่ยังส่งผลให้เหล่าวัยรุ่นยอดฝีมือที่ไม่มีความคิดที่จะเข้าร่วมการประลองยุทธ์ในตอนแรก ต่างพากันนำหินนภาพลังเต๋า 20 ก้อนที่มีมูลค่าสูงลิ่วออกมาลงทะเบียนอย่างไม่รู้สึกเสียดาย