มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake – บทที่ 2808 การคาดคะเนของหลัวซิว

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2808 การคาดคะเนของหลัวซิว

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2808 การคาดคะเนของหลัวซิว

หลัวซิวเพิ่งกลับมาได้ไม่นาน ฮู๋ชิงชิงก็กลับมาแล้วเช่นกัน ช่วงนี้นางเที่ยวสืบเสาะข่าวคราวที่เกี่ยวข้องกับลู่เมิ่งเหยาในทั่วทุกมุมเมืองศักดิ์สิทธิ์ชิงเทียนเลย แน่นอนว่านางก็ได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสนามจัตุรัสกลางเมืองศักดิ์สิทธิ์ชิงเทียนเช่นกัน

เพราะชื่อที่หลัวซิวใช้คือเหวิ้นเต้า ดังนั้นเมื่อฮู๋ชิงชิงได้ยินชื่อดังกล่าว นางก็รู้แล้วว่าฝ่ายตรงข้ามคือหลัวซิว

“ท่านชาย ท่านน่าจะยังไม่ทราบอิทธิพลของเทพธิดทั้งสามสินะ? เนื่องจากท่าน มีอัจฉริยะจากวังนภาสิบสองรวมไปถึงแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นสุดยอดจำนวนมากล้วนไปลงทะเบียนเข้าร่วมการประลองยุทธ์แล้วนะเจ้าคะ ซึ่งในจำนวนคนทั้งหมดนี้ยังมีผู้ที่ได้รับโควต้าเข้าไปในสถานแหล่งเต๋าไม่น้อยด้วย”

ข่าวคราวที่ฮู๋ชิงชิงนำกลับมาค่อนข้างรอบด้าน ในส่วนของเหล่าอัจฉริยะที่ได้รับโควต้าแล้วแต่ยังเข้าร่วมการประลองยุทธ์นั้น ไม่ต้องให้ฮู๋ชิงชิงอธิบาย หลัวซิวก็รู้แล้วว่าต้องมาเพราะตนเองแน่นอน ซึ่งต้องการสังหารตนบนเวทีประลองยุทธ์ หรือไม่ก็ดูหมิ่นเหยียดหยามตน เพื่อใช้วิธีการนี้มาทำให้เทพธิดาทั้งสามรู้สึกดีต่อตัวเอง

“ช่างเป็นแผนยืมมือผู้อื่นฆ่าที่ดีเยี่ยมยิ่งนัก”

หลัวซิวไม่ได้กังวลอะไรหรอกนะ ต่อให้จำนวนคนที่มาเข้าร่วมการประลองยุทธ์จะมีมากเพียงใด คู่ต่อสู้ของเขาที่อยู่บนเวทีประลองยุทธ์ก็จะมีเพียงคนเดียวเท่านั้น ซึ่งจะไม่ถูกรุมโจมตี ข้อจำกัดของจอมยุทธ์ที่มาเข้าร่วมการประลองยุทธ์คือต้องมีผลการฝึกตนต่ำกว่าราชาเทพระดับเก้า หลัวซิวรู้สึกว่าไม่มีผู้ใดสามารถโค่นล้มตนบนเวทีประลองยุทธ์ได้จริง ๆ

หลัวซิวกลั่นยาเซียนนภาเต๋าได้ทั้งหมดหกขวด เขามอบให้ฮู๋ชิงชิงขวดหนึ่ง เดิมทีนางก็เป็นผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งกลับชาติมาเกิดอยู่แล้ว หากมีการช่วยเหลือจากยาเซียนนภาเต๋า เช่นนั้นแดนยุทธ์ของนางก็จะมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด

อีกทั้งแดนเกณฑ์ยิ่งสูงเท่าไหร่ เช่นนั้นเมื่อถึงขั้นตอนการผนึกรวมกงล้อเทพ ก็จะมีโอกาสผนึกรวมกงล้อเทพที่มีคุณภาพดีกว่าได้มากเท่านั้น

จากการที่เวลาล่วงเลยไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ขั้นตอนการประลองยุทธ์ก็ถูกจัดตั้งขึ้นตามระยะเวลาที่กำหนดไว้

บนสนามจัตุรัสกลางเมืองศักดิ์สิทธิ์ชิงเทียน มีวิธีประลองยุทธ์ที่สูงและตรงตั้งอยู่หลายเวที เวทีประลองยุทธ์เหล่านี้ล้วนก่อสร้างขึ้นมาจากหินเทวระดับสูง อีกทั้งมีลายค่ายคุ้มกันที่แข็งแกร่งสลักอยู่ ต่อให้ผู้แข็งแกร่งราชาเทพระดับเก้าต่อสู้เข่นฆ่าอยู่ด้านบน ก็จะไม่มีควันหลงใด ๆ สะท้อนออกมา

ความโหดเหี้ยมของโลกยุทธ์ ส่งผลให้กฎเกณฑ์การประลองยุทธ์ในครั้งนี้ก็เรียบง่ายมาก ๆ นั่นก็คือโค่นล้มคู่ต่อสู้ แม้นจักตายก็ไม่เป็นไร!

จอมยุทธ์ที่ลงทะเบียนเข้าร่วมการแข่งขันล้วนได้รับตัวเลขที่เรียงตามลำดับ แต่ละคนจะทยอยขึ้นไปบนเวทีประลองยุทธ์โดยอิงจากการประกาศตามลำดับ

จำนวนรอบการแข่งขันของหลัวซิวถูกจัดอยู่ช่วงท้าย ๆ ดังนั้นช่วงเริ่มต้นเขาจึงไม่ได้ขึ้นเวที แต่เป็นการยืนอยู่ในกลุ่มคนด้านล่างเวที แล้วมองไปทางเวทีประลองยุทธ์เวทีหนึ่งอย่างเรื่อยเปื่อย

ชายหนุ่มคนหนึ่งที่สีหน้าอารมณ์เย็นชาเดินขึ้นเวทีประลองยุทธ์ และเสื้อผ้าที่อยู่บนตัวเขาคือเสื้อผ้าของตำหนักเลี่ยเทียน

“นั่นมันเลี่ยหงเฟิ่งมิใช่หรือ? เขาเป็นยอดฝีมือของตำหนักเลี่ยเทียนเชียวนะ เมื่อพูดตามหลักแล้วเขาน่าจะได้รับโควต้าที่สามารถเข้าไปในสถานแหล่งเต๋าโดยตรงเลยสิ เหตุใดจึงมาเข้าร่วมการแข่งขันคัดเลือกประเภทนี้อีก?”

“เจ้าจะไปเข้าใจอะไรเล่า? แม้นเหล่าอัจฉริยะแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นสุดยอดไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมการแข่งขันคัดเลือก แต่ทว่าสำหรับพวกเขาแล้ว การแข่งขันคัดเลือกก็เป็นการฝึกฝนประเภทหนึ่งเช่นกัน เมื่อโค่นล้มคู่ต่อสู้ต่าง ๆ นานา ก็จะสามารถขัดเกลาพลังอมตะของตน อีกทั้งยังสามารถขัดเกลาตัวธรรมของตนได้อีกด้วย”

หลัวซิวได้ยินเสียงซุบซิบวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มคน และเขาก็เห็นด้วยกับคำพูดประเภทนี้เช่นกัน แต่นี่ก็ทำให้เขาเข้าใจด้วยว่าการแข่งขันคัดเลือกที่ดูธรรมดาเรียบง่ายนี้ ดูเหมือนจะสลับซับซ้อนขึ้นมาเช่นกัน

“แหะ ๆ ได้ยินมาว่าเดิมทีเหล่าอัจฉริยะแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นสุดยอดทั้งหลายไม่มีแผนการที่จะเข้าร่วมการแข่งขันคัดเลือก แต่ดูเหมือนจะเป็นเพราะมีชายหนุ่มคนหนึ่งรุกรานเทพธิดาทั้งสามแห่งหอมกุฎดาบ อัจฉริยะจำนวนไม่น้อยจึงลงทะเบียนเพื่อเอาใจเทพธิดาทั้งสาม ส่วนพวกศัตรูคู่แค้นของอัจฉริยะเหล่านั้นก็ต่างพากันลงทะเบียนเช่นกัน ดังนั้นอัจฉริยะแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นสุดยอดจำนวนมากจึงแจ้นไปลงทะเบียนประลองยุทธ์กันหมดแล้ว”

“ผู้ใดบังอาจกล้าหาญเช่นนั้น? รุกรานเทพธิดาทั้งสามไม่ว่า ยังก่อให้เกิดปฏิกิริยาห่วงโซ่ที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ด้วย แล้วจักให้เด็กตาดำ ๆ อย่างเราอยู่อย่างไร? เกรงว่านอกเหนือจากเหล่าอัจฉริยะแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นสุดยอดแล้ว คนอื่น ๆ ก็อย่าคิดว่าจะสามารถขึ้นไปเป็นหนึ่งในสิบได้เลย”

หลัวซิวที่อยู่ในกลุ่มคนใช้มือลูบ ๆ จมูกตัวเอง เขาคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าเรื่องเล็กน้อยแค่นั้นจะก่อให้เกิดเรื่องราวที่มากมายขนาดนี้ คาดว่าการแข่งขันคัดเลือกในครั้งนี้ จะทำให้ผู้คนที่ได้รับโควต้าในตอนแรกสูญเสียโอกาสในครั้งนี้แล้ว

แต่ทว่าดูเหมือนครั้นเมื่ออยู่ในหอคอยนภากาศ เนื่องจากเขาและลู่ยู่จื่อกวาดล้างหินนภาพลังเต๋าอย่างบ้าคลั่ง จึงทำให้คนจำนวนมากเสียโอกาสไปตั้งนานแล้ว

คู่ต่อสู้ของเลี่ยหงเฟิ่งหน้ามุ่ยเดินขึ้นเวทีประลองยุทธ์ เห็นได้ชัดเจนเลยว่าเขาก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าตนจะได้พบเจอกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งขนาดนี้ตั้งแต่เริ่มต้น

ซึ่งผลลัพธ์ก็อยู่ในการคาดหมายทุกประการเช่นกัน ศักยภาพของคู่ต่อสู้แตกต่างจากเลี่ยหงเฟิ่งมากเกินไป ประมือกันเพียงสิบกว่ากระบวนท่าเท่านั้น พลังฉีกชั้นฟ้าที่มีลักษณะพิเศษในการฉีกกระชากทุกสรรพสิ่ง ก็ทำลายล้างเกราะป้องกันอาวุธเทพของฝ่ายตรงข้าม

น่าจะเป็นเพราะเลี่ยหงเฟิ่งไม่มีความคิดที่จะสังหารคนที่นี่ ดังนั้นเขาก็แค่ทำให้คู่ต่อสู้บาดเจ็บสาหัส ซึ่งยังไม่ถึงแก่ชีวิต

“สภาพจิตใจของคนดังกล่าวก็ถือว่าไม่เลวเลย”

จากโลกทัศน์ของหลัวซิว ย่อมดูออกอยู่แล้วว่าเลี่ยหงเฟิ่งลงมืออย่างปราณีแล้ว เดิมทีปราณกระบี่ฉีกชั้นฟ้าเล่มหนึ่งของเขาสามารถสังหารคู่ต่อสู้ได้เลย แต่เขากลับดึงพลานุภาพส่วนหนึ่งกลับมากะทันหัน มิเช่นนั้นวินาทีนี้คู่ต่อสู้คงกลายเป็นศพร่างหนึ่งไปแล้ว

ขั้นตอนการประลองยุทธ์ในรอบนี้ดำเนินการไปได้รวดเร็วมาก หลังจากการประลองยุทธ์หนึ่งได้สิ้นสุดลงแล้ว จากนั้นก็จะมีคนอื่น ๆ เดินขึ้นเวทีต่อ และหลัวซิวก็ศึกษาสำรวจเวทีประลองยุทธ์ทุกเวทีด้วย เพื่อดูว่าบนเวทีประลองยุทธ์เหล่านี้มียอดฝีมือที่สามารถทำให้เขาใส่ใจได้หรือไม่

ทันใดนั้นเอง สายตาของหลัวซิวก็สังเกตเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่บนเวทีประลองยุทธ์เวทีหนึ่ง หน้าตาของคนดังกล่าวดูธรรมดามาก แต่พลังอมตะที่เขาปลดปล่อยออกมากลับทำให้ผู้คนตาพร่ามัว อีกทั้งพลังอมตะที่เขาปลดปล่อยออกมายังครอบคลุมหลายธาตุด้วย ยกตัวอย่างเช่นพลังเบญจธาตุ พลังลมอัสนี พลังหยินหยางและพลังตรีภพ

เกณฑ์ธาตุประเภทหนึ่งก็เพียงพอที่จะสามารถทำให้คนคนหนึ่งทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งชีวิต ก็ยังไม่สามารถตระหนักถึงสุดเขตปลายทางของเกณฑ์ธาตุประเภทหนึ่งได้เลย ดังนั้นโดยส่วนใหญ่แล้วจะไม่มีคนฝึกเกณฑ์หลายประเภทพร้อมกัน แม้แต่ตัวหลัวซิวเองก็ไม่ได้ฝึกเกณฑ์หลายประเภทพร้อมกันเช่นกัน แต่ฝึกเกณฑ์เพียงประเภทเดียว ซึ่งเกณฑ์ประเภทนี้ก็คือไร้ลักษณ์ แต่ทว่าสิ่งที่เกณฑ์ไร้ลักษณ์ของเขาแตกต่างจากเกณฑ์อื่น ๆ คือไร้ลักษณ์สามารถเปลี่ยนจากไม่มีเป็นมี และสามารถเปลี่ยนจากมีเป็นไม่มีได้ ซึ่งเท่ากับมีธาตุAttrสองประเภท

สาเหตุที่หลัวซิวให้ความสนใจกับการประลองในรอบนี้นั้น เป็นเพราะคู่ต่อสู้ของจอมยุทธ์หนุ่มที่ทำให้เขารู้สึกพิเศษเป็นศิษย์ที่กำเนิดจากตำหนักเวหา อีกทั้งยังเป็นสตรีนางหนึ่งด้วย ซึ่งมีนามว่าลั่วตันฉิง

ในวิถีสวรรค์ทั้ง 12 พลังแห่งเวหามีคุณสมบัติพิเศษที่แข็งแกร่ง ยากที่จะทลาย ซึ่งคุณสมบัติพิเศษหรือAttrประเภทนี้ค่อนข้างคล้ายคลึงกับพลังฉีกชั้นฟ้า แต่แก่นสารของทั้งสองกลับแตกต่างกัน

การโจมตีของพลังแห่งเวหาจะผนึกรวมไปที่จุดจุดหนึ่ง ทลายด้วยจุดเดียว ทำลายล้างทุกสรรพสิ่งที่ขวางกั้น ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของธรรมเวชกฎธาตุทอง

ส่วนคุณสมบัติพิเศษของพลังฉีกชั้นฟ้าคือการฉีกกระชาก ซึ่งเป็นการหลอมรวมพลังเกณฑ์ธาตุลมและเกณฑ์ปริภูมิ

อาวุธของลั่วตันฉิงคือกระบี่เทพเล่มหนึ่ง เนื่องจากอาวุธเทพชีวีของประมุขเต๋าเวหาคือกระบี่เต๋าเวหาเล่มหนึ่งตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ดังนั้นศิษย์ผู้สืบทอดส่วนมากของตำหนักเวหาก็ใช้กระบี่เช่นกัน

เมื่อเผชิญหน้ากับพลังโจมตีที่แข็งแกร่งของพลังแห่งเวหา คนส่วนมากล้วนจะปวดหัวมาก ทว่าคู่ต่อสู้ของลั่วตันฉิงกลับสุขุมอย่างยิ่ง ปลดปล่อยพลังอมตะต่าง ๆ นานาออกมาอย่างไม่ขาดสาย ทำลายล้างพลังโจมตีทั้งปวงของลั่วตันฉิง

นี่คือการต่อสู้ที่งดงามตระการตามาก เสียงระเบิดดังลั่นสะท้อนลงมาจากเวทีประลองยุทธ์อย่างไม่หยุดหย่อน รัศมีที่แย้มบานออกมาจากพลังอมตะทั้งหลายทำเอาผู้ชมรู้สึกตาพร่ามัว

ทันใดนั้นเอง ชายหนุ่มที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็ชี้นิ้วออกมาหนึ่งนิ้ว นิ้วนี้ดูธรรมดาเรียบง่ายมาก แต่กลับมีความลึกลับและมหัศจรรย์ที่อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้แฝงซ่อนอยู่ ทำให้การเคลื่อนไหวของลั่วตันฉิงหยุดลงภายในเสี้ยววินาที

และในเสี้ยววินาทีนั้นนั่นเอง ลั่วตันฉิงก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปแล้ว ร่างกายที่อ่อนช้อยของนางกระเด็นออกไป ร่วงหล่นลงมาจากเวทีประลองยุทธ์ แล้วกระอักเลือดเฮือกใหญ่ติดต่อกันหลายครั้ง

เพียงชั่วพริบตาเดียว ก็มีเสียงอื้ออึงดังมาจากรอบเวทีประลองยุทธ์ เนื่องจากตั้งแต่เริ่มต้นกระทั่งบัดนี้ การประลองยุทธ์ก็ดำเนินการไปหลายรอบแล้ว ทว่าอัจฉริยะที่กำเนิดจากแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นสุดยอดเพิ่งพ่ายแพ้เป็นครั้งแรก อีกทั้งผู้ที่ถูกโค่นล้มยังเป็นอัจฉริยะที่กำเนิดจากวังนภาสิบสองด้วย!

ต้องท้าวความก่อนว่าเงื่อนไขในการรับศิษย์ของแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นสุดยอดคือต้องมีพรสวรรค์ปัญญาที่สูงส่งมาก ส่วนเงื่อนไขของวังนภาสิบสองกลับยิ่งสูงกว่ามาก ศิษย์ทุกคนที่สามารถได้รับการบ่มเพาะจากหนึ่งในวังนภาสิบสองนั้น สามารถเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะไร้เทียมทานอย่างแน่นอน!

แต่ชายหนุ่มที่ไม่มีชื่อเสียงอะไรกลับโค่นล้มศิษย์ตำหนักเวหา ซึ่งนี่เป็นจังหวะที่จะมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกแน่นอน!

อัจฉริยะประเภทนี้ มีโอกาสได้โควต้าเข้าไปในสถานแหล่งเต๋าสูงมาก คอยเขาผนึกรวมกงล้อเทพคุณภาพสูงออกมาแล้ว ต้องได้รับการเชื้อเชิญและเชิญชวนจากแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นสุดยอดจำนวนมากแน่นอน

สีหน้าของชายหนุ่มที่อยู่บนเวทีประลองยุทธ์เรียบนิ่ง ไม่ได้ดูได้ใจโอหังเพียงเพราะเอาชนะศิษย์คนหนึ่งของตำหนักเวหา ในทางตรงกันข้าม เรื่องนี้กลับเป็นเรื่องที่เล็กน้อยมากจนไม่มีค่าพอที่จะให้พูดถึงสำหรับเขา

หลัวซิวขมวดคิ้วลงเล็กน้อย นิ้วที่คนดังกล่าวปลดปล่อยออกมาบนเวทีประลองยุทธ์คือพลังอมตะวิชาหนึ่งอย่างไร้ข้อกังขาเลย หากวินิจฉัยจากออร่าพลังเต๋าที่ปลดปล่อยออกมาจากพลังอมตะนี้แล้ว ภายในมีความล้ำลึกของเกณฑ์วัฏสงสารแฝงซ่อนอยู่ด้วย

ตั้งแต่จ้าววัฏสงสารยุคแรกริเริ่มเส้นทางแห่งวัฏสงสารเป็นต้นมา มันก็ถูกสืบทอดโดยสายเลือดเดียวมาโดยตลอด กระทั่งปัจจุบัน ก็มีเพียงเมิ่งเชียนชางเท่านั้นที่สืบทอดเส้นทางแห่งวัฏสงสาร แสดงตัวเป็นผู้สืบทอดจ้าววัฏสงสาร

อันที่จริงพลังอมตะนั่นก็เป็นพลังอมตะที่ใช้เกณฑ์วัฏสงสารโจมตีวิญญาณดั้งเดิมของคู่ต่อสู้นี่แหละ ดึงจิตสำนึกของคู่ต่อสู้เข้าไปในวัฏสงสาร ดังนั้นลั่วตันฉิงถึงได้สติหลุดไปภายในเสี้ยววินาที เนื่องจากจิตสำนึกของนางถูกฉุดดึงเข้าไปในวัฏสงสาร

“เมิ่งเชียนชาง นั่นเจ้าหรือ?”

หลัวซิวมองฝ่ายตรงข้ามรอบหนึ่ง เส้นทางแห่งวัฏสงสารปรวนแปรคาดเดาไม่ได้ ยิ่งกว่านั้นคือในวัฏสงสารก็ครอบคลุมวิถีในหมื่นจักรวาล หากคนดังกล่าวใช่เมิ่งเชียนชางจริง ๆ เช่นนั้นการที่เขาตระหนักรู้ผ่านวัฏสงสารแล้วปลดปล่อยพลังอมตะที่มีธาตุต่าง ๆ นานาออกมาได้นั้น ก็ไม่ถือเป็นเรื่องแปลกประหลาดแล้ว

จู่ ๆ เขาก็นึกถึงเรื่องราวที่หอคอยฮวงเปิดออกเมื่อครั้งก่อน หอคอยฮวงที่เปิดออกในตอนนั้นก็มีเงื่อนไขและข้อจำกัดเข้มงวดต่อหลัวซิวแล้ว เมิ่งเชียนชางในตอนนั้นตัดผลการฝึกตนทิ้งโดยไม่รู้สึกเสียดาย ทำให้ผลการฝึกตนของเขาตกจากแดนราชาเทพระดับเก้า

เมิ่งเชียนชางเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานอันแรงกล้า การฝึกตนถึงแดนประมุขเต๋าวัฏสงสารในอนาคตไม่ใช่เป้าหมายที่แท้จริงของเขา เขายังอยากแข็งแกร่งมากกว่านี้ ยิ่งกว่านั้นคือยังอยากอยู่เหนือแดนประมุขเต๋าด้วย

และถ้าเกิดอยากทำถึงขั้นนั้น ก็จำเป็นต้องทำให้ทุกย่างก้าวสมบูรณ์แบบอย่างไรที่ติ บางทีมีความเป็นไปได้สูงมากที่เขาจะตัดผลการฝึกตนของตัวเองทิ้งอีกเช่นเคย เพียงเพื่อจะสามารถเข้าไปในสถานแหล่งเต๋า แล้วผนึกรวมกงล้อเทพที่มีคุณภาพสมบูรณ์แบบออกมา!

คุณภาพของกงล้อเทพนั้น ไม่ใช่ว่าวรยุทธ์ที่ฝึกยิ่งแข็งแกร่ง ก็จะสามารถผนึกรวมกงล้อเทพที่มีคุณภาพยิ่งสูงออกมาได้ ระดับสูงต่ำของวรยุทธ์เป็นเพียงหนึ่งในเงื่อนไขที่มีผลกระทบต่อคุณภาพของกงล้อเทพเท่านั้น

ภายใต้สถานการณ์ที่มีวรยุทธ์ขั้นสุดยอด ยังต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีเลิศมาก ๆ ด้วย ถึงจะสามารถผนึกรวมกงล้อเทพที่มีคุณภาพสูงที่สุดออกมาได้

เมื่อนึกโยงถึงเรื่องเหล่านี้ โดยส่วนใหญ่หลัวซิวก็สามารถยืนยันได้แปดส่วนแล้วว่าชายหนุ่มที่โค่นล้มลั่วตันฉิงในเมื่อครู่นี้ มีโอกาสเป็นเมิ่งเชียนชางสูงมาก

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

None

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท