มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2835
ประมุขเต๋าหนึ่ง ผู้สูงส่งสอง มหาจักรพรรดิยุทธ์หก เมื่อเผชิญหน้าขบวนผู้แข็งแกร่งเช่นนี้ เพียงพอที่จะทำให้ผู้แข็งแกร่งทุกคนในยุคปัจจุบันขนหัวลุกซู่ได้แล้ว!
อย่างไรก็ตามเมื่ออยู่ภายใต้การกดอัดจากอำนาจที่น่าเกรงขามเช่นนี้ ผู้เฒ่าเทียนชูกลับอมยิ้มพลางพูดอย่างผ่อนคลาย: “ผู้น้อยอย่างพวกเจ้า ไม่รู้จักเคารพนับถือผู้สูงอายุเลยรึ?”
“ผู้น้อย?”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าอารมณ์ของเหล่าศิษย์มกุฎเต๋านอกนภาก็ดูแปลกประหลาด จอมมกุฎวิถีล้นเซียวเหยาเค่อก้าวเท้าออกไป แสยะยิ้มอย่างเยือกเย็นแล้วพูด: “ตาแก่อย่างเจ้านี่โอหังไม่เบาเลยนะ บังอาจบอกว่าเราคือผู้น้อยอย่างนั้นหรือ? เจ้าทราบความเป็นมาของศิษย์พี่ใหญ่ของเราหรือไม่?”
“ศิษย์พี่ใหญ่ของเราคือประมุขเต๋าผู้บรรลุมรรคผลในยุคไท่ชูเชียวนะ เป็นประมุขเต๋าสวรรค์ที่เปลี่ยนเทียนเต้าทั้ง 12 ให้กลายเป็นหนึ่ง ทั้งยังฝึกเต๋าเฟิงเทียนจนบริบูรณ์ มีชีวิตคงอยู่มาหลายยุคตรีภพ เพียงพอที่จะเป็นบรรพบุรุษของบรรพบุรุษเจ้าได้แล้ว บังอาจบอกว่าเราคือผู้น้อยอย่างนั้นหรือ?”
เมื่อเห็นว่าศิษย์น้องคนอื่น ๆ มีท่าทีที่จะพูดอะไรบางอย่างต่อ ประมุขเต๋าเฟิงเทียนจึงโบกมือห้ามปรามกะทันหัน สายตาเพ่งมองไปทางผู้เฒ่าเทียนชูแล้วพูด: “ความเป็นมาของผู้อาวุโสเป็นอย่างไรกันแน่ แล้วจุดประสงค์ของการมาที่นี่คืออะไร ลองชี้แจงก่อนก็ไม่เสียหายนะขอรับ”
ในฐานะที่เป็นผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋า สัมผัสวิญญาณของนักพรตเฟิงเทียนรวดเร็วและเฉียบแหลมอย่างยิ่ง สัญชาตญาณบอกกับเขาว่าคนที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่ได้คุยโวแต่อย่างใด ราวกับแม้แต่เขาที่เป็นประมุขเต๋าสวรรค์ในยุคไท่ชู เมื่ออยู่ต่อหน้าคนดังกล่าวก็เป็นได้เพียงผู้น้อยคนหนึ่งเท่านั้น
แต่ทว่าการนับรุ่นมันไม่สำคัญแต่อย่างใด สิ่งที่สำคัญคือแดนผลการฝึกตนและศักยภาพ หากคนดังกล่าวเข้ามาในแดนเซียนนอกนภาด้วยเจตนาร้าย เขาย่อมต้องลงมืออย่างไม่ลังเลใจอยู่แล้ว
“พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์มาพูดคุยกับข้า ให้ท่านพรตนอกนภามาด้วยตนเองเถิด”ผู้เฒ่าเทียนชูยิ้มอ่อนพลางพูด
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น ผู้เฒ่าเทียนชูก็เดินบนอากาศที่ว่างเปล่า ถึงกับเดินออกไปจากทางหินชนวนสีเขียว กำลังย่างกรายอยู่ในตรีภพโกลาหล
ตรีภพโกลาหลที่สามารถบดขยี้ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิเทพระดับเก้าให้หลายเป็นชิ้น ๆ แต่กลับเหมือนสิ่งของที่ตั้งขึ้นลอย ๆ สำหรับผู้เฒ่าเทียนชู เดินอย่างผ่อนคลายราวกับเดินอยู่ในสวนหลังบ้านของตัวเองยังไงอย่างนั้น
“หรือว่าเขาจะเป็น……”
รูม่านตาของมกุฎเทพหยุนเซวียนที่กำลังหมอบคลานอยู่กับหลัวซิวหดลง ราวกับคาดเดาอะไรได้
“น้องหนู เจ้าคิดอะไรได้หรือ?”หลัวซิวถามอย่างรู้สึกสงสัย
“ไอ้สาระเลว เจ้าวอนตีนนักใช่หรือไม่?”เสียงกัดฟันกรอดของมกุฎเทพหยุนเซวียนดังเข้าไปในหูหลัวซิว ราวกับคำว่าน้องหนูทำให้นางขนหัวลุกอย่างควบคุมไม่ได้
“ต่อให้ข้าจะวอนตีน เจ้าก็มากระทืบข้าสิ”หลัวซิวอดพูดหยอดเล่นไม่ได้ เมื่ออยู่ภายใต้การกดอัดจากพลังออร่าของผู้แข็งแกร่งจำนวนมาก พวกเขาทั้งสองไม่มีคนใดขยับได้เลย
“ตาแก่อย่าคิดจะหนีนะ!”
“ไอ้คนอาศัยความเป็นผู้อาวุโสเที่ยวดูถูกผู้อื่นไปทั่ว หยุดบัดเดี๋ยวนี้!”
“……”
เงาดำทั้งหลายลอยตัวขึ้นฟ้า ต่างแผ่ขยายพลังออร่าที่แข็งแกร่งและมากมายมหาศาลออกไป แล้วไล่ตามเข้าไปในตรีภพโกลาหลภายในพริบตา
ผู้ที่ลงมือก่อนคือจอมมกุฎวิถีร้าง เขาคือผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อ ด้วยธรรมเวชกาลร้างที่ปลุกเสกร่าง จึงเหมือนดั่งยักษ์หอคอยเทวสีทองหนึ่งหลัง เงาร่างกระพริบทีเดียวก็มาถึงด้านหลังผู้เฒ่าเทียนชูเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ร่างกายของจอมมกุฎวิถีร้างก็คืออาวุธเทพของขลังที่แข็งแกร่งที่สุด พลังโจมตีของเขาเสมือนพายุมรสุม ปิดผนึกทางหนีทีไล่ทุกทางของฝ่ายตรงข้ามเอาไว้
อย่างไรก็ตามผู้เฒ่าเทียนชูกลับไม่ได้ขยับตัวเลยแม้แต่น้อย เมื่อพลังโจมตีทั้งหมดของจอมมกุฎวิถีร้างมาถึงตรงหน้า ก็ถูกคลื่นพลังเต๋าที่ลึกลับและมหัศจรรย์ทลายไป พลังโจมตีปราบปรามทั้งปวงล้วนสลายหายไปเป็นความว่างเปล่า
“ผู้น้อยอย่างเจ้านี่ไร้มารยาทเสียจริง”
ผู้เฒ่าเทียนชูค่อย ๆ หันหน้ากลับมา ดูเหมือนจะไม่พอใจเล็กน้อย ยกนิ้วมือขึ้นมาหนึ่งนิ้วแล้วจิ้มลงกลางอากาศที่ว่างเปล่า จากนั้นก็ได้ยินเสียงปั้งดังขึ้น ร่างกายของจอมมกุฎวิถีร้างจึงกระเด็นออกไป กรีดร้องโหยหวนแล้วกลิ้งเข้าไปในตรีภพ
เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์ดังกล่าว สีหน้าของเหล่าศิษย์มกุฎเต๋าก็เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน มหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อถูกโจมตีจนกระเด็นออกไปภายในนิ้วเดียว จึงแสดงให้เห็นเลยว่าอย่างน้อยผลการฝึกตนของตาแก่นี่ก็ไม่ต่ำกว่าผู้สูงส่ง
“เข้าพร้อมกัน! เล่นงานมันให้ยับ!”
จอมมกุฎวิถีร้างที่ถูกดีดจนหน้าผากโนพุ่งออกมาจากตรีภพ เขาตะคอกเสียงดังลั่นคำหนึ่ง เพื่อบอกให้ศิษย์พี่คนอื่น ๆ ลงมือพร้อมกัน
ประมุขเต๋าเฟิงเทียน จอมมกุฎธรรมเวชและอมมกุฎวิถีดินต่างไม่ได้ลงมือ มหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อทั้งหกคนลงมือพร้อมกัน ธรรมดั้งเดิมที่พวกเขาฝึกต่างตอบสนองซึ่งกันและกัน ภายใต้การร่วมมือกัน กำลังรบที่ปลดปล่อยออกมายิ่งน่าทึ่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ บรรลุถึงระดับที่สามารถเทียบทัดผู้แข็งแกร่งผู้สูงส่ง
“ผู้น้อยอย่างพวกเจ้านี่น่ารำคาญเกินไปหรือเปล่า?”
ผู้เฒ่าเทียนชูที่เดินอยู่ในตรีภพโกลาหลขมวดคิ้วลงเล็กน้อย เห็นเพียงเขาสะบัดแขนเสื้อทีหนึ่ง ร่างกายของผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อทั้งหกก็สั่นเทิ้มทีหนึ่ง ก่อนจะกระเด็นออกไปพร้อมกันพลางกระอักเลือด
“ตู้มม!”
ทันใดนั้นเอง เลือดปราณที่แพรวพรายดั่งเสาก็พุ่งทะยานขึ้นฟ้า และอมมกุฎวิถีดินที่ฝึกธรรมเวชเส้นปราณดินโดยเฉพาะก็ลงมือแล้ว ภายใต้การปลุกเสกจากเลือดปราณที่มากมายมหาศาล พลังอำนาจตลบฟุ้งไปทั่ว ท่าทีดุดันจนไม่อาจต้านทาน
ข้างกายเขายังมีไข่มุกมังกรโอบล้อมอยู่เก้าลูก ไข่มุกมังกรทุกลูกล้วนกลายเป็นลักษณะของเลือดมังกร ซึ่งเป็นอาวุธเทพมหาศักดิ์ที่เลียนแบบไข่มุกมังกรดินนั่นเอง
“การที่สามารถฝึกธรรมเวชเส้นปราณขึ้นมาถึงแดนเช่นนี้ได้นั้น เจ้าก็ถือเป็นอัจฉริยะที่หาพบได้ยากเช่นกัน ถือว่าท่านพรตนอกนภาได้รับศิษย์ที่ดีเลิศคนหนึ่งอยู่”
เมื่อเห็นอมมกุฎวิถีดินลงมือโจมตีอย่างสุดกำลังสามารถ ผู้เฒ่าเทียนชูก็แค่เอ่ยปากชื่นชมเล็กน้อยเท่านั้น ก่อนจะยกนิ้วมือขึ้นมาหนึ่งนิ้ว ฟาดฟันปราณกระบี่ออกไป ฉีกกระชากตรีภพโกลาหล
ภายในปราณกระบี่เล่มนี้มีธาตุลักษณะพิเศษแฝงอยู่สองประเภท นั่นก็คือแข็งแรงจนไม่อาจมลาย และฉีกกระชากทุกสรรพสิ่ง สามารถพูดได้เลยว่าได้ดึงจุดที่แข็งแกร่งของพลังโจมตีออกมาได้อย่างแจ่มแจ้งถึงอกถึงใจเลย!
“แคว็ก!”
ปราณกระบี่พุ่งทะลวงไป ตัดศีรษะของมังกรโลหิตทั้งเก้าตัวลงมา ในขณะเดียวกันบนไข่มุกมังกรดินทั้งเก้าลูกเกิดเป็นรอยร้าวด้วย ของขลังระดับอาวุธเทพมหาศักดิ์ถึงกับเสียหายคาที่!
“หยุดนะ!”
จอมมกุฎธรรมเวชตะคอกเสียงดังลั่น มือใหญ่ข้างหนึ่งกางออก แล้วขยำไปทางผู้เฒ่าเทียนชูอย่างรวดเร็ว กลางฝ่ามือถึงกับมีพลังเต๋า 12 ประเภทไหลเวียน ลึกซึ้งจนไม่อาจคาดเดาได้ ล้ำลึกถึงขีดสุด
ศักยภาพของจอมมกุฎธรรมเวชนี่แข็งแกร่งกว่าอมมกุฎวิถีดิน ซึ่งบรรลุถึงระดับของผู้แกร่งเลิศ
“เจ้ามีพรสวรรค์เช่นนี้เลยรึ? จากพรสวรรค์ของเจ้า การที่ติดตามท่านพรตนอกนภานั้นถือเป็นของดีที่ไม่มีผู้ใดรู้คุณค่าชัด ๆ จะดีกว่าหากกราบไหว้ข้าเป็นอาจารย์ ซึ่งต้องสามารถทำให้เจ้าบรรลุถึงแดนที่สูงกว่านี้ได้แน่นอน”ผู้เฒ่าเทียนชูยิ้มพลางพูด
“เลิกคุยโวได้แล้ว หรือว่าเจ้าแข็งแกร่งกว่าอาจารย์ข้า?”จอมมกุฎธรรมเวชตวาดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น
ผู้เฒ่าเทียนชูยังคงหัวเราะเบา ๆ อยู่เช่นเคย “บางทีข้าอาจจะไม่แข็งแกร่งเท่าท่านพรตนอกนภา แต่ถ้าเกิดพูดถึงการตระหนักรู้ในเทียนเต้า ท่านพรตนอกนภาก็เทียบเคียงกับข้าไม่ได้จริง ๆ”
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น ผู้เฒ่าเทียนชูก็ง้างฝ่ามือขึ้นมาข้างหนึ่งเช่นกัน กลางฝ่ามือก็มีพลังเทพเทียนเต้าทั้ง 12 ประเภทเปลี่ยนแปลงไปมา ทว่ากลับดูสมจริงมากกว่าพลังเทียนเต้าที่จอมมกุฎธรรมเวชปลดปล่อย
“เจ้าหนูเฟิงเทียน เจ้าก็ลงมือด้วยสิ ให้ข้าดูหน่อยสิว่าเต๋าเฟิงเทียนที่เจ้านำเทียนเต้าดั้งเดิมทั้ง 12 ให้กลายเป็นหนึ่งฝึกถึงแดนระดับใดแล้ว”
……
ผู้แข็งแกร่งทั้งหลายต่างพากันจากไป หลัวซิวและเทพธิดาหยุนเซวียนจึงรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอกทันที ต่างพากันลุกขึ้นยืน จากนั้นก็ได้ยินเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นดังออกมาจากตรีภพโกลาหลอย่างไม่หยุดหย่อน
ศึกการต่อสู้ในครั้งนี้ดำเนินการไปได้ไม่นานเท่าไหร่ ตรีภพโกลาหลก็กลับมาสงบเหมือนเดิม เทพธิดาหยุนเซวียนยังไม่ทันได้ล้างแค้นหลัวซิว เงาร่างของประมุขเต๋าเฟิงเทียนก็ย้อนกลับมากะทันหัน แล้วปรากฏตรงหน้าพวกเขาทั้งคู่
เห็นเพียงชุดคลุมยาวบนตัวนักพรตเฟิงเทียนยุ่งเหยิงเล็กน้อย สีหน้าก็ค่อนข้างขาวซีด สีหน้าอารมณ์ดูไม่มีชีวิตชีวา บนใบหน้ายิ่งมีรอยฟกช้ำเป็นจ้ำ ๆ ราวกับถูกคนกระทืบอย่างหนักหน่วง
เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์ดังกล่าว หลัวซิวก็รู้สึกขนหัวลุกขึ้นมา พลางคิดในใจว่าผู้เฒ่าเทียนชูนั่นแข็งแกร่งเช่นนี้เลยหรือ? แม้แต่ประมุขเต๋าเฟิงเทียนยังถูกกระทืบจนสภาพกลายเป็นเช่นนี้?
“ทำให้ทั้งสองได้เห็นอะไรที่น่าขบขำเลยนะ”
นักพรตเฟิงเทียนยิ้มอย่างขมขื่นพลางพูด อันที่จริงจากผลการฝึกตนของเขา สามารถฟื้นฟูสภาพอาการบาดเจ็บได้อย่างง่ายดายเลย แต่ทว่าบาดแผลที่เกิดจากการโจมตีของผู้เฒ่าเทียนชูล้วนมีพลังเต๋าประเภทหนึ่งที่มหัศจรรย์ไหลเวียน ดังนั้นจึงลบล้างได้ยากมาก
“เฟิงเทียน ใช่เขาหรือไม่?”เทพธิดาหยุนเซวียนขมวดคิ้วลงเล็กน้อย แล้วเอ่ยปากถามกะทันหัน
นักพรตเฟิงเทียนพยักหน้า ยิ้มอย่างขมขื่นพลางตอบกลับ: “ใช่ท่านจริง ๆ ไม่นึกเลยว่าท่านจักอุบัติขึ้นมาในสถานที่แห่งนั้น หากทราบว่าเป็นท่านตั้งแต่แรก พวกเราศิษย์พี่ศิษย์น้องย่อมไม่กล้าลงมืออยู่แล้ว”
“ผู้ที่พวกเจ้ากล่าวถึงคือผู้ใดกันแน่?”หลัวซิวอดถามอย่างรู้สึกสงสัยไม่ได้ การที่สามารถทำให้นักพรตเฟิงเทียนเรียกฝ่ายตรงข้ามว่าท่านได้นั้น อีกทั้งลักษณะท่าทีราวกับไม่กล้ารุกรานล่วงเกิน จึงแสดงให้เห็นเลยว่าความเป็นมาของผู้เฒ่าเทียนชูน่าจะแข็งแกร่งกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้มาก ๆ
ทว่านักพรตเฟิงเทียนและเทพธิดาหยุนเซวียนกลับไม่ได้สนใจเขา เห็นเพียงนักพรตเฟิงเทียนกระแอมสองทีแล้วพูด: “ทั้งสองสามารถเริ่มผ่านด่านนี้ของข้าได้แล้ว”
……
ณ ส่วนที่ลึกที่สุดของแดนเซียนนอกนภา ตรีภพของที่นี่ผนึกรวมกันจนกลายเป็นโกลาหลที่บริสุทธิ์แล้ว กลายเป็นพื้นที่ปริภูมิสีม่วงทอง
ภายในปริภูมิโกลาหลม่วงทองแห่งนี้ มีกระท่อมหลังคาฟางหลังหนึ่งที่ดูไม่โดดเด่นถูกโกลาหลปราณม่วงรองไว้ แล้วลอยอยู่ในโกลาหล และมีผลล้ำธรรมเวชที่ล้ำลึกอย่างยิ่งไหลเวียนออกมา
ผู้เฒ่าเทียนชูใช้มือทั้งสองข้างไขว้ไว้ด้านหลัง เดินเตร่อยู่ในโกลาหล แล้วมาถึงสถานที่แห่งนี้
“ท่านพรตนอกนภา สหายเก่ามาเยี่ยมเจ้าแล้ว เจ้าจะไม่ออกมาต้อนรับหน่อยเลยรึ?”ผู้เฒ่าเทียนชูมาถึงนอกปริภูมิโกลาหลม่วงทอง แล้วถามด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่งประโยคหนึ่ง
“วิถีปณิธานที่แตกต่าง ไม่อาจหารือร่วมกันได้ วิถีของท่านและข้าแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง หากได้พบกันแล้วจะมีเรื่องอะไรให้พูดคุยหารือกันได้เล่า?”มีเสียงที่ชัดเจนค่อย ๆ สะท้อนออกมาจากกระท่อมหลังคาฟาง ไม่มีความอาวุโสผ่านโลกมาอย่างโชกโชนปนอยู่เลยแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้ามกลับเหมือนวัยรุ่นคนหนึ่ง
“ท่านพรตนอกนภา เจ้าพูดเช่นนี้มันไร้น้ำใจเกินไปแล้วกระมัง? จะว่าไปเมื่อปีนั้นไม่ว่าอย่างไรเราก็เคยฝึกตนอยู่ในสำนักของราชาเซียนร่วมกันมาก่อนนะ หากนับดูแล้วเจ้ายังเป็นศิษย์น้องของข้าอีก เจ้าจะปฏิบัติต่อศิษย์พี่เจ้าเช่นนี้จริง ๆ หรือ?”ผู้เฒ่าเทียนชูพูดด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจ
ภายในกระท่อมหลังคาฟางเงียบไปครู่หนึ่ง หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง ก็มีเสียงเสียงหนึ่งสะท้อนออกมา “ในเมื่อท่านหยิบยกความสัมพันธ์ศิษย์พี่น้องเมื่อปีนั้นออกมา เช่นนั้นข้าจักพบหน้าท่านหนหนึ่งเอง”
พอสิ้นเสียง ประตูกระท่อมหลังคาฟางก็ค่อย ๆ เปิดออก มีชายหนุ่มที่อยู่ในชุดขาวก้าวเดินออกมาจากภายใน เพียงก้าวเดียวก็เดินออกมาจากปริภูมิโกลาหลม่วงทองภายในพริบตา มาถึงหน้าผู้เฒ่าเทียนชู
“ศิษย์พี่ ท่านแก่แล้ว……”ชายหนุ่มชุดขาวมองผู้เฒ่าเทียนชูที่อยู่ตรงหน้า แล้วกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย
ผู้เฒ่าเทียนชูมองชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าอารมณ์ที่ซับซ้อนเล็กน้อย เห็นเพียงบนตัวชายหนุ่มมีแสงเซียนที่ขมุกขมัวปกคลุมอยู่ แต่ทว่าแสงเซียนประเภทนี้ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นภาพลวงตา แต่มันก็ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นแก่นแท้จริง ๆ ทำให้ผู้คนยากที่จะแยกแยะจริงเท็จ
หากหลัวซิวเห็นชายหนุ่มคนดังกล่าว เขาต้องจำได้ตั้งแต่แวบแรกที่เห็นแน่นอน เพราะภาพเหตุการณ์เซียนธรรมกถาที่เขามองเห็นในพระราชสาส์นตำหนักหงฮวง ในบรรดาทั้ง 14 คนที่นั่งอยู่ด้านล่างเซียน หนึ่งในนั้นก็มีชายหนุ่มชุดขาวคนนี้เช่นกัน
ในบรรดาทั้ง 14 คนเมื่อปีนั้น ผู้เฒ่าเทียนชูก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย แต่ทว่าเขาแก่ชราแล้ว ส่วนชายหนุ่มคนนี้กลับยังคงเหมือนเดิมอยู่เช่นเคย บุคลิกลักษณะที่มีเสน่ห์ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย
“ศิษย์พี่ ที่ท่านมาหาข้าคงไม่ได้มาคุยรำลึกถึงวันวานหรอกกระมัง?”ชายหนุ่มชุดขาวยิ้มอ่อน