มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2837
หลัวซิวก้าวขึ้นไปบนสะพานม่วงโกลาหล สาวเท้าก้าวมายังส่วนที่ลึกของตรีภพโกลาหล
เส้นทางแห่งตรีภพเต็มไปด้วยโอกาส สามารถก่อกำเนิดสรรพสิ่ง เช่นเดียวกันก็ยังเต็มไปด้วยเส้นทางแห่งการทำลายล้าง ดับสูญทุกสรรพสิ่ง
การเดินอยู่ในเส้นทางตรีภพ จำเป็นต้องใช้ร่างเนื้อที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งรวมถึงผลการฝึกตนที่สูงมาก ไม่เช่นนั้นก็จะถูกตรีภพดับสูญ กลายเป็นความว่างเปล่า
ตรีภพโกลาหลแห่งนี้ท่ามกลางแดนเซียนนอกนภากว้างขวางเป็นที่สุด สิ่งที่อยู่ในธรรมเวชตรีภพก็มีระดับที่สูงมาก หากไม่ได้เดินอยู่บนสะพานม่วงโกลาหล หลัวซิวยังต้องบอกกับตัวเองว่าด้วยพลังของเขาในวันนี้ ไม่ทางที่จะต้านทานพลังแห่งการทำลายล้างของตรีภพได้อย่างแน่นอน
ยิ่งเดินลึกเข้าไปด้านใน ชี่อลวนก็ยิ่งเข้มข้นขึ้น ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นชี่ม่วงโกลาหลอันบริสุทธิ์
รูปร่างแรกเริ่มของชี่ม่วงโกลาหล มีเพียงสีม่วงอ่อน ๆ เท่านั้น แต่เมื่อยิ่งเข้าไปลึกมากเท่าไร แสงสีม่วงก็จะค่อย ๆ เข้มขึ้นมามากเท่านั้น ในตอนนี้ร่างของหลัวซิวอยู่ท่ามกลางวิชาโกลาหลที่มีสีม่วงทองแล้ว
“เส้นทางตรีภพโกลาหล……”
เมื่อเดินมาถึงตรงนี้ หลัวซิวก็พอจะเข้าใจได้คร่าว ๆ แล้วว่าสิ่งที่มกุฎเต๋าอวกาศฝึกตนนั้นที่แท้แล้วคือเส้นทางใด
มกุฎเต๋าผู้แก่ชราท่านนี้ สามารถฝึกตนธรรมเวชตรีภพถึงแดนที่ลึกซึ้งได้อย่างน่าประทับใจถึงเพียงนี้ ตรีภพกลั่นแปรเป็นวิชาโกลาหล วิชาโกลาหลกลั่นแปรเป็นสีม่วงทอง ใกล้เคียงกับเกณฑ์ธรรมเวชตรีภพที่เรียกได้ว่าฝึกตนยากที่สุด และเขาได้ฝึกตนจนถึงจุดสูงสุดแล้ว
แต่จุดสูงสุดประเภทนี้ กลับยังคงขาดบางสิ่งไป ดังนั้นจึงเป็นได้เพียงจุดสูงสุด แต่ไม่ใช่บริบูรณ์ ฉะนั้นเขาจึงไม่สามารถก้าวเข้าสู่แดนเซียน แต่เป็นเพียงแดนกึ่งเซียนเท่านั้น
สรรพสิ่งฟ้าดินต่างถูกกลั่นแปรมาจากตรีภพ ตรีภพย่อมสามารถกลั่นแปรเกณฑ์สรรพสิทธิ์ได้ ดังนั้นมกุฎเต๋าอวกาศจึงสามารถเปิดแดนดารานอกนภาสถานที่เช่นนี้ได้อย่างง่ายดาย ด้วยตรีภพกลั่นแปรเกณฑ์เฉพาะ ซึ่งแตกต่างจากทวยเทพแห่งจักรวาล
ทันใดนั้น หลัวซิวก็เดินมาถึงสิ้นสุดทางของสะพานม่วงโกลาหล และที่ปลายสะพานม่วงเส้นนี้ มีหินสลักตรีภพอยู่ก้อนหนึ่ง บนหินสลักมตวามผันผวนของออร่าพื้นผิวธรรมเวชที่ลึกลับมากซึ่งไหลออกมาจากพลังเต๋าอันน่ามหัศจรรย์
หลัวซิวสาวเท้าก้าวเข้าไป วินาทีที่ตัวสำนึกวิญญาณสัมผัสกับหินสลักตรีภพ ก็สัมผัสได้ถึงความหมายที่แท้จริงของธรรมเวชอันลึกซึ้งในภวังค์คล้ายเห็นร่างกำยำยืนตะหง่านอยู่กลางตรีภพ เพียงโบกสะบัดมือก็เปิดฟ้าสร้างดิน กลั่นแปรสรรพสิทธิ์ ฟ้าดินแยกจากกัน กำเนิดสรรพสิ่ง
เขาเห็นตรีภพแปรเปลี่ยนเป็นหยินหยาง หยินหยางแปรเปลี่ยนเบญจธาตุ เบญจธาตุกลั่นแปรเป็นอัสนีวายุ เขายังเห็นอีกว่าวิชาโกลาหลแปรเปลี่ยนเป็นธรรมเวช เต็มไปด้วยสรรพสิทธิ์พลังอมตะ สร้างเค้าโครงทั่วไปของกฎเทียนเต้า กำเนิดอสูรจิต วัฏจักรฟ้าดิน
ตรีภพและวิชาโกลาหล ถือกำเนิดทุกสิ่ง นี่จึงจะเป็นธรรมเวชตรีภพที่แท้จริง ไม่ใช่สิ่งอื่นใดอย่างที่มนุษย์โลกเข้าใจ
ความไม่รู้ของมนุษย์ ตรีภพยากแก่การฝึกตน จึงคิดว่าตรีภพนั้นสู้ความเป็น ความตาย เวลาและปริภูมิไม่ได้ แต่กลับไม่รู้เลยว่าวิถีความเป็นตายเวลาและปริภูมินั้นก็ก่อกำเนิดขึ้นมาจากตรีภพ เป็นสิ่งที่ได้มาจากการกลั่นแปรของตรีภพโกลาหล
สัจธรรมของธรรมฟ้าดิน ท้ายที่สุดมันจะอยู่ในมือของคนไม่กี่คนเท่านั้น …
หลัวซิวรู้ดีแก่ใจ เหตุที่หินสลักตรีภพปรากฏขึ้นที่ตรงนี้ ทำให้เขาได้เห็นตรีภพโกลาหลธรรมเวชเปิดฟ้าสร้างดินกลั่นแปรสรรพสิทธิ์รวมถึงภาพของโครงสร้างของธรรมฟ้าดิน นั่นคือมกุฎเต๋าอวกาศกำลังโยนหินถามทาง
มกุฎเต๋าอวกาศสำแดงวิถีเซียนของตนให้เขาดู ในเส้นทางนี้เขาเดินทางมาถึงจุดสุงสุดแล้ว ในภายภาคหน้าเพียงแค่เขาทำให้มันสมบูรณ์ ก็จะสามารถเลื่อนขั้นแปรเปลี่ยนเป็นบริบูรณ์ ในเวลาเดียวกันนี่ก็เป็นการให้ทางเลือกกับหลัวซิวอีกด้วย
ดังเช่นการมีอยู่ของมกุฎเต๋านอกนภาแน่นอนว่าไม่สามารถพูดว่าจะรับใครมาเป็นศิษย์แบบสุ่มสี่สุ่มห้าได้ และนี่คือนัยยะที่เขากำลังถามต่อหลัวซิว
หากหลัวซิวยินยอมคำนับพร้อมพูดว่ายอมรับเขาเป็นอาจารย์ เช่นนั้นมกุฎเต๋าอวกาศก็จะนำทางเขาเข้าไป ให้เขาได้รับการสืบทอดที่แท้จริง
หลัวซิวค่อย ๆ หลับตาลง ตัวสำนึกก็กลับเข้าสู่ร่างหลัก เขาลืมตาขึ้น หินสลักตรีภพชิ้นนั้นก็ได้หายไปแล้ว เขายืนอยู่ที่ปลายสะพานม่วงโกลาหล ทั้งสี่ทิศตระหง่านไปด้วยตรีภพและวิชาโกลาหล
“ข้าน้อยขอเสียมารยาทถามมกุฎเต๋า ท่ามกลางสองวิธีจุติเซียน สิ่งใดคือศักดิ์สิทธิ์ สิ่งใดคือเซียน?” หลัวซิวลืมตาขึ้น กล่าวกับวิชาโกลาหลม่วงทองที่อยู่ตรวหน้าเขา
หลัวซิวยืนอยู่สุดทางของสะพานม่วง มองไม่เห็นกระท่อมมุงจากที่อยู่ท่ามกลางปริภูมิวิชาโกลาหลม่วงทอง แต่ความจริงแล้วระยะห่างของกระท่อมมุงจากกับเขานั้นห่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพียงแค่มกุฎเต๋าอวกาศหมายจะให้เขามองเห็น เขาก็จะสามารถมองเห็นได้ในทันที
ในเวลานี้ผู้ที่อยู่ภายในกระท่อมมุงจากอย่างมกุฎเต๋านอกนภาก็ดูเหมือนว่าจะคาดไม่ถึงว่าหลัวซิวจะเอ่ยถามเช่นนี้ สีหน้าของเขาชะงักไปเล็กน้อย
“ในภพก่อนเขาสำเร็จก็เป็นแค่เพียงผู้สูงส่งช่วงต้น ในภพนี้ก็เป็นเพียงแดนเทพมารขั้นแปด แต่กลับถามหาวิธีจุติเซียน นี่มันไม่ต่างอะไรกับเด็กทารกที่ยังไม่ทันคลาน แต่กลับอยากเรียนวิ่งเสียแล้ว?”
ผู้เฒ่าเทียนชูส่ายหน้าไปมา ในสายตาของเขา คำถามนี้ของหลัวซิวออกจะทะเยอทะยานเกินไป มันสะท้อนให้เห็นถึงความบกพร่องในจิตใจ
“อสูรจิตสรรพสิ่งต่างมีจิตและญาณ จิตคือวิญญาณ ญาณคือร่างญาณ ทวยเทพธรรมเวชเมื่อว่ากันถึงรากแท้ ก็เป็นเพียงวิถีกลั่นวิญญาณ รวมถึงวิถีกลั่นร่างด้วย กฎเกณฑ์ประเภทใดก็ได้ ต่างสามารถนำมาใช้ชุบร่างเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับวิญญาณ ยังสามารถนำมาชุบร่างเพื่อทำให้ร่างญาณแข็งแกร่งขึ้น ดังนั้นแล้วจึงมีคำกล่าวว่าร่างเนื้อศักดิ์สิทธิ์และกลั่นวิญญาณจุติเซียน ไม่ว่าจะเป็นการกลั่นร่างเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ หรือกลั่นวิญญาณสำเร็จจุติเป็นเซียน แต่ความจริงแล้วต่างก็คือแดนเซียนเช่นกัน”
มกุฎเต๋าอวกาศเอ่ยตอบ เสียงของเขาถูกส่งออกมาจากภายในวิชาโกลาหล ชัดเจนและดังก้องอยู่ในหูของหลัวซิว
“ธรรมเวชกาลร้าง ชุบร่างเนื้อถึงจุดสูงสุด เช่นนั้นหากเดินในสายธรรมเวชฝึกตนจนถึงบริบูรณ์ ก็จะสามารถเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ ด้วยร่างเนื้อร่างยุทธ์อันแข็งแกร่ง ก็จะสำเร็จเป็นร่างศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนเซียน?” หลัวซิวเอ่ยถามอีกครั้ง
“ถูกแล้ว หากต้องการร่างเนื้อเป็นร่างศักดิ์สิทธิ์ มีเพียงเส้นทางธรรมเวชกาลร้างทางเดียวเท่านั้น สายทางอื่นทำได้เพียงนำธรรมเวชหลอมรวมกับวิญญาณดั้งเดิม สำเร็จเป็นตำแหน่งมกุฎเซียน” มกุฎเต๋าอวกาศเอ่ยตอบ
แดนเซียนเก้าด่านก่อนหน้านี้ คือบททดสอบที่มกุฎเต๋าอวกาศทิ้งเอาไว้ เพื่อพึ่งบททดสอบว่าคนที่ฝ่าด่านได้จะมีคุณสมบัติที่จะมาเป็นศิษย์ของเขาหรือไม่ แต่ในเวลานี้หลัวซิวเอ่ยถาม ก็เหมือนการทดสอบมกุฎเต๋าผู้นี้ผู้ได้ขึ้นสู่แดนกึ่งเซียน เพื่อดูว่าเขามีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเป็นอาจารย์ของตนหรือไม่
“เช่นนั้นตรีภพโกลาหลธรรมเวชของมกุฎเต๋า คือเซียน หรือศักดิ์สิทธิ์?” หลัวซิวถามต่อ
“ตรีภพโกลาหลรวมทุกสรรพสิทธิ์ ทวยเทพธรรมเวชก็อยู่ในนั้นด้วย ด้วยวิถีของข้าหากสามารถจุติเซียนได้ นั่นก็คือร่างศักดิ์สิทธิ์แดนเซียน เป็นเซียนที่แข็งแกร่งที่สุด!” เสียงของมกุฎเต๋าอวกาศถูกส่งออกมาอีกครั้ง มีความเย่อหยิ่งอยู่ในน้ำเสียง เป็นความมั่นใจในตนเองที่แข็งแกร่งอย่างไม่มีใครเทียบได้
อย่างไรก็ตามสำหรับคำพูดของมกุฎเต๋าอวกาศนี้ หลัวซิวกลับไม่เห็นด้วยนัก หากว่าเขาไม่ได้คิดค้นวิถีไร้ลักษณ์ บางทีเขาอาจจะยอมรับว่าวิถีตรีภพโกลาหลจุติเซียน คือเซียนที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ไร้ลักษณ์สามารถกลั่นแปรตรีภพโกลาหล สามารถทำให้ตรีภพโกลาหลกลายเป็นความว่างเปล่า เช่นนั้นเซียนที่แข็งแกร่งที่สุด จึงมีเพียงแค่วิถีของเขาเอง วิถีไร้ลักษณ์!
เมื่อเกิดความคิดเช่นนี้ขึ้นในจิตใจ ตัวธรรมของหลัวซิวก็มีการวิวัฒน์ขึ้นใหม่ทั้งหมด ตัวธรรมของเขายิ่งแน่วแน่มากขึ้น แน่วแน่ว่ามีเพียงวิถีของเขาที่ เป็นสัจธรรม
ท่ามกลางทวยเทพ ทุกสรรพสิ่งล้วนว่างเปล่า มีเพียงเส้นทางของตนเท่านั้น ถึงเรียกว่าไร้เทียมทาน!
“คารวะท่านผู้อาวุโสที่คลายความสงสัย หากไม่ใช่ว่าผู้น้อยมีอาจารย์อยู่ก่อนแล้ว ข้าน้อยต้องคำนับท่านผู้อาวุโสเป็นอาจารย์เป็นแน่” หลัวซิวโค้งตัวทำความเคารพ พูดด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่จริงใจและนอบน้อมถึงที่สุด
หลังจากได้ยินคำนี้ มกุฎเต๋าอวกาศและผู้เฒ่าเทียนชูที่อยู่ภายในกระท่อมมุงจากต่างก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าตื่นตกใจไม่แพ้กัน
……
ออกมาจากภายในแดนเซียนนอกนภา หลัวซิวก็สูดลมหายใจยาว ๆ ความจริงในใจเขาก็เข้าใจดี หากสามารถคำนับมกุฎเต๋าอวกาศเป็นอาจารย์ได้ ต้องทำให้เส้นทางการฝึกตนของเขาในภายหน้าเป็นเส้นตรงมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน
ต่อให้ตรีภพโกลาหลธรรมเวชของมกุฎเต๋าอวกาศจะไม่เหมาะสมกับตนเองก็ตาม หลังจากเขาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ เขาก็ยังคงดื้อดึงฝึกตนวิถีไร้ลักษณ์ของคนเองอยู่ดี
จากนั้นภาพที่หลัวซิวเห็นท่ามกลางหินสลักตรีภพ ก็ทำให้เขาเข้าใจถึงความปรารถนาของมกุฎเต๋านอกนภามกุฎเต๋าผู้นี้ต้องการหาศิษย์ที่จะมาสืบทอดสายวิถีของเขา ถ้าเขาไม่สืบทอดสายวิถีนี้ เช่นนั้นการเป็นศิษย์ของเขา ก็จะสูญเสียความหมายเดิมไปด้วย
กงล้อเทพไร้ลักษณ์ปรากฏขึ้นด้านหลังศีรษะของเขา ท่ามกลางกงล้อเทพปรากฏการณ์แปลกประหลาดปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลัวซิวใช้วิถีไร้ลักษณ์ สำแดงตรีภพโกลาหล
ที่แดนเซียนนอกนภา เขาได้เข้าใจถึงตรีภพโกลาหลธรรมเวชของมกุฎเต๋าอวกาศแล้ว เพราะฉะนั้นเขายิ่งสามารถใช้ไร้ลักษณ์มาเพื่อกลั่นแปร ถึงแม้ว่าเพราะความคิดของเขาและมกุฎเต๋าอวกาศจะไม่เหมือนกัน ดังนั้นตรีภพโกลาหลที่เขากลั่นแปรออกมาก็จะแตกต่างกับของมกุฎเต๋าอวกาศด้วย แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นตรีภพโกลาหลธรรมเวชเช่นเดียวกัน
โอกาสและโชคลาภมากมายท่ามกลางแดนเซียนนอกนภา ด้วยการตระหนักรู้เหตุและผลมากมายที่ประดังประเดเข้ามาในความคิด รวมอยู่ในร่างเดียว หลัวซิวก็พลันรู้สึกถึงคอขวดของผลการฝึกตนที่คลายออก!
“ในที่สุดก็จะบรรลุแล้วงั้นหรือ?”
ก่อนหน้านี้หลัวซิวก็รู้สึกว่าแดนเซียนนอกนภาจะเป็นโอกาสที่เข้าจะได้สำเร็จเป็นเทพมารขั้นเก้า ในที่สุดวันนี้เวลานั้นที่เขารอคอยก็มาถึงเสียที
“ซวบ!”
ร่างของหลัวซิวกลายเป็นสายรุ้งเส้นหนึ่ง เพียงพริบตาก็บินออกจากกลางแดนดารานอกนภา มายังแดนนอกของห้วงดารา
ร่างของเขาอยู่ในสาวนลึกของห้วงดาราอันทุรกันดาร หลัวซิวปลดปล่อยพลังอำนาจสูงสุดของเขาออกมา รอบกายของเขาต่างก็อาบไปด้วยแสงเทวอันสุกสว่างถึงขีดสุด
ทันใดนั้น ห้วงจักรหยั่งรู้ของเขาก็แตกออกเป็นรอยแยก ญาณเทวที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนเขาทุกประการสาวเท้าเดินเออกมา สองมือไพล่หลัง สีหน้าเย่อหยิ่ง และมีแสงเทวพันอยู่รอบกาย กงล้อเทพลอยอยู่ด้านหลังศีรษะเช่นเดียวกัน ให้ความรู้สึกเหมือนว่าข้าคือผู้ยิ่งใหญ่เพียงหนึ่งเดียว ใต้หล้าไม่อาจมีผู้ใดเทียบเทียมได้!
“โครมคราม……”
ส่วนลึกของห้วงดารา สายฟ้าเกี่ยวพันกันไปมา พลังแห่งสวรรค์อันยิ่งใหญ่กำลังกลั่นตัว ทำให้หลัวซิวรับรู้ได้ถึงออร่าของทัณฑ์สายฟ้าพิโรธ
ดาราจักรวาล ทวยเทพธรรมเวช มีอัจฉริยะผู้แข็งแกร่งบางคนที่เลือกไปตามทางของตนเอง หลุดออกจากขอบเขตของทวยเทพธรรมเวช เพราะฉะนั้นจึงไม่ได้รับการยอมรับจากทวยเทพธรรมเวช พลังของทัณฑ์สายฟ้าพิโรธก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น
อย่างไรก็ตามวิถีบำเพ็ญปรปักษ์ ถึงแม้จะเป็นการหนีออกมาจากขอบเขตของทวยเทพธรรมเวช แต่กลับไม่ได้หมายความว่าระดับของเส้นทางประเภทนี้จะสามารถเหนือชั้นไปกว่าระดับของทวยเทพธรรมเวช
แต่ทว่าวิถีไร้ลักษณ์ของหลัวซิวนั้น มันได้ข้ามขั้นไปแล้ว อีกทั้งวิถีไร้ลักษณ์ของเขาก็ยังมีความสำเร็จเล็ก ๆ เกิดขึ้นแล้ว ดังนั้นทัณฑ์สายฟ้าพิโรธของเขา จึงจัดได้ว่ามันน่ากลัวเสียยิ่งกว่าทัณฑ์แห่งวิถีบำเพ็ญปรปักษ์เสียอีก
หลัวซิวเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเหนือศีรษะ เห็นธรรมเวชจำนวนนับไม่ถ้วนพันกันเป็นแสงสายฟ้าสว่างไสว แสงสายฟ้าบางดวงยังแปรเปลี่ยนเป็นร่างมนุษย์ มีแม้กระทั่งรูปแบบของศัสตราวุธและของขลัง
พลังแห่งเกณฑ์ที่แตกต่างกัน แบ่งออกเป็นการกลั่นสมบัติของขลังศัสตราวุธที่เหมาะสมได้คนละประเภท ดังเช่น เกณฑ์สายฟ้า เหมาะสมกับการกลั่นสมบัติเป็นหอกรบ ด้วยวิธีนี้ ข้อได้เปรียบในการเจาะและการแทงของพลังแห่งอัสนีสามารถสำแดงเดชได้อย่างเต็มที่
ส่วนธรรมเวชกาลร้าง จะเหมาะสมกับการกลั่นสมบัติหอคอยเทพมากกว่า กลั่นสมบัติออกมาเป็นหอคอยฮวงผสานเข้ากับร่างเนื้อของตน สามารถทำให้ร่างยุทธ์ที่แข็งแกร่งอยู่แต่เดิม ยิ่งเพิ่มพูนความแข็งแกร่งอีกหลายเท่า!
ทัณฑ์สายฟ้าพิโรธยังไม่ทันลงมา หลัวซิวก็พลันสัมผัสได้ถึงความรู้สึกใจสั่นระรัว กระทั่งญาณเทวดั้งเดิมที่ยืนอยู่บริเวณห้วงจักรหยั่งรู้ของเขาด้วยสีหน้าเย่อหยิ่งสองมือไพล่หลัง ก็ยังสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่ถูกส่งมาจากวิญญาณดั้งเดิม
“ซวบ!”
ดวงแสงดาบดวงหนึ่งที่ลุกโชนและห่อหุ้มด้วยสายฟ้าสีขาว ความเร็วของดาบเล่มนี้รวดเร็วมาก ตรึงร่างกายและวิญญาณของหลัวซิวเอาไว้ ทำให้เขาไร้หนทางหลบหนี
นี่คือสถานภาพของกฎธาตุทอง กลายเปลี่ยนเป็นดวงแสงดาบ ดึงเอาคุณลักษณะที่อยู่ยงคงกระพันของกฎธาตุทองออกมา หลัวซิวเคยได้สัมผัสถึงพลังแห่งเวหาที่อยู่ในสิบสองพลังแห่งสวรรค์ นั่นคือส่วนหนึ่งของธรรมเวชธาตุทองที่สมบูรณ์