มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2843
เมื่อเผชิญหน้ากับการสอบถามของหลัวซิว ชายวัยกลางคนกลับอธิบายสาเหตุไม่ได้เช่นกัน อ้างอิงจากคำพูดของเขา เขาแค่ปฏิบัติตามคำสั่ง ในส่วนของเรื่องที่ว่าเหตุใดเขาจึงกลายเป็นเจ้าสำนักน้อยของอาณากระบี่หวูจี๋ได้นั้น ชายวัยกลางคนคนนี้ก็ไม่ทราบเช่นกัน
“เจ้าสำนักน้อยขอรับ วังสิงเทียนได้ประกาศคำสั่งไล่ล่าท่านทั่วโลกสวรรค์แล้ว ตกลงท่านทำเรื่องอะไรที่รุกรานวังสิงเทียนหรือ?”
ชายวัยกลางคนมีนามว่าคงหวูชี ซึ่งเป็นผู้อาวุโสมกุฎเทพคนหนึ่งในอาณากระบี่หวูจี๋ เมื่อมาถึงโลกสวรรค์เขาก็ทราบเรื่องที่หลัวซิวถูกออกมาหมายไล่ล่าแล้ว
เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว หลัวซิวก็รู้แล้วว่าเรื่องที่เขาสังหารเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนได้แพร่งพรายออกไปแล้ว คาดว่าวังสิงเทียนน่าจะยึดกุมเคล็ดวิชาพิเศษบางอย่าง
“ข้าสังหารเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียน!”สำหรับการสอบถามของคงหวูชีนั้น หลัวซิวไม่ได้ปิดบังแต่อย่างใด
“ว่าอย่างไรนะ!?”
เมื่อคงหวูชีได้ยินคำตอบนี้ เขาก็เบิกตากว้าง ใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความเหลือเชื่อ
“เจ้าสำนักน้อย นี่ท่านคุยโวมากเกินไปหรือเปล่า? อิงจากที่ข้าทราบ ผลการฝึกตนของเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนน่าจะอยู่ที่มหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้า ดูจากคลื่นผลการฝึกตนของท่านแล้ว ดูเหมือนเพิ่งจะบรรลุถึงเทพมารระดับเก้าได้ไม่นานนี่ขอรับ”
สำหรับเรื่องนี้หลัวซิวแค่ยิ้มตอบอย่างเรียบนิ่ง ไม่ได้อธิบายอะไร ก่อนจะพูดเปลี่ยนประเด็นว่า: “ปัจจุบันเจี้ยนเฉินยังสบายดีหรือไม่?”
“เจ้าสำนักน้อยหมายถึงผู้อาวุโสตู๋กูเจี้ยนเฉินหรือ? ท่านฟื้นฟูกลับสู่แดนจักรพรรดิเทพระดับเก้าแล้ว ปัจจุบันท่านกลายเป็นผู้อาวุโสไท่ซ่างแห่งอาณากระบี่หวูจี๋ของเราแล้วขอรับ”
เมื่อพูดถึงตู๋กูเจี้ยนเฉิน คงหวูชีก็พูดด้วยน้ำเสียงที่มีความเคารพเลื่อมใสปนอยู่เล็กน้อย
หลัวซิวที่ได้ยินเช่นนี้พยักหน้าเบา ๆ สำหรับข่าวคราวนี้ เขาไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด เดิมทีตู๋กูเจี้ยนเฉินก็เป็นอัจฉริยะที่ปราดเปรื่องเช่นกัน ถูกฝุ่นกลบมานานหนึ่งยุคตรีภพ ตกอยู่ในสถานการณ์ที่จนตรอกแล้วกลับมาเชิดฉายใหม่ สามารถพูดได้เลยว่าเขามีภูมิฐานที่แน่นหนามาก จักรพรรดิเทพระดับเก้าจะไม่พันธนาการฝีเท้าของเขา อนาคตเขาต้องสามารถบรรลุสู่มหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้าได้อย่างแน่นอน และยิ่งมีโอกาสบรรลุสู่แดนแห่งผู้สูงส่ง
ในส่วนของเรื่องที่ว่าเหตุใดเขาจึงกลายเป็นเจ้าสำนักน้อยของอาณากระบี่หวูจี๋ได้นั้น ในเมื่อคงหวูชีไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้ เช่นนั้นหลัวซิวเชื่อว่าขอแค่กลับไปถึงถิ่นฐานของอาณากระบี่หวูจี๋แห่งโลกร้าง ท้ายที่สุดแล้วเขาก็จะรู้เองว่าเรื่องนี้มันเป็นอะไรยังไงกันแน่
“เวิ่ง!”
มีรัศมีเทวดวงหนึ่งพุ่งออกมาจากหว่างคิ้วเขา หลังจากรัศมีเทวร่วงลงบนพื้นแล้ว ก็เผยให้เห็นเงาร่างของฮู๋ชิงชิง
“ท่านชาย……”เมื่อฮู๋ชิงชิงเห็นหลัวซิว จึงแสดงสีหน้าดีใจอย่างควบคุมไม่ได้
นางทราบเรื่องที่หลัวซิวถูกเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนไล่ล่าอยู่ ปัจจุบันเมื่อเห็นว่าเขาปลอดภัยดี จึงวางใจลงไปได้แล้ว ”ชิงชิง เราจะกลับไปแล้ว”หลัวซิวพูดอย่างไม่รีบไม่ร้อน หลังจากได้รับโชคโอกาสในสถานแหล่งเต๋าและแดนเซียนนอกนภา ฮู๋ชิงชิงก็ได้รับผลประโยชน์มาไม่น้อยเช่นกัน ผลการฝึกตนอยู่ที่เทพมารระดับเก้าช่วงปลายอย่างมั่นคง กงล้อเทพทั้งสามวงที่ผนึกรวมออกมาได้ก็มีคุณภาพสมบูรณ์แบบเช่นกัน
“เทพธิดาอสูรฟ้า?”คงหวูชีย่อมต้องคุ้นเคยต่อฮู๋ชิงชิงอยู่แล้ว เพราะอย่างไรเสียแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจและอาณากระบี่หวูจี๋ก็เป็นกองกำลังใหญ่ระดับแดนศักดิ์สิทธิ์ในโลกร้างเหมือนกัน
“ผู้อาวุโสหวูชี?”ฮู๋ชิงชิงก็รู้จักเหยียนซีโรว่เช่นกัน
เมื่อฮู๋ชิงชิงทราบว่าคงหวูชีเดินทางมาโลกสวรรค์เพื่อมารับเจ้าสำนักน้อยแห่งอาณากระบี่โดยเฉพาะ ส่วนเจ้าสำนักน้อยแห่งอาณากระบี่ที่กล่าวถึงก็คือหลัวซิว สีหน้าอารมณ์ของนางก็ดูแปลกประหลาดมากเช่นกัน ภายในใจเปี่ยมล้นไปด้วยความสงสัยและความไม่เข้าใจ
หากเป็นกองกำลังอื่น บางทีหลัวซิวอาจจะสงสัยว่าภายในเรื่องนี้มีเงื่อนงำกับดักอะไรหรือเปล่า ทว่าหากเป็นอาณากระบี่หวูจี๋ละก็ หลัวซิวก็จะไม่ระแวดระวังมากขนาดนั้น เพราะเขาก็ถือว่าค่อนข้างเข้าใจอาณากระบี่หวูจี๋เลย มิหนำซ้ำยังมีตู๋กูเจี้ยนเฉินอยู่ที่นั่นด้วย อย่างไรก็ตามจะไม่มีเหตุการณ์ความวุ่นวายอะไรเกิดขึ้นแน่นอน
“หากท่านชายกลายเป็นเจ้าสำนักน้อยแห่งอาณากระบี่หวูจี๋จริง ๆ เช่นนั้นเมื่อมีการสนับสนุนจากอาณากระบี่หวูจี๋ ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลการล้างแค้นของวังสิงเทียนหรอกเจ้าค่ะ”ฮู๋ชิงชิงวิเคราะห์
บางทีศักยภาพของอาณากระบี่หวูจี๋อาจจะเทียบเคียงกับวังสิงเทียนไม่ได้ ทว่าปัจจุบันก็มีมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้าอย่างเจ้าแห่งอาณากระบี่คอยปกปักรักษาในอาณากระบี่หวูจี๋อยู่ ยิ่งไปกว่านั้นคืออาณากระบี่หวูจี๋ตั้งอยู่ในโลกร้าง ส่วนวังสิงเทียนกลับอยู่ไกลถึงโลกสวรรค์ ต่อให้วังสิงเทียนคิดที่จะทำอะไรสักอย่าง อำนาจก็ครอบคลุมไปไม่ถึงเช่นกัน
แต่ว่าสุดท้ายหลัวซิวก็ตัดสินใจที่จะกลับโลกร้างพร้อมคงหวูชีสักหน เขาไม่เคยกลับไปนานมากแล้ว ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสถานการณ์ของผู้คนที่ติดตามเขาอยู่ในหุบเขาสยบปีศาจเป็นอย่างไรบ้างแล้ว
ส่วนเรื่องราวของลู่เมิ่งเหยานั้น กลับทำได้เพียงปล่อยวางลงชั่วคราว อย่างไรเสียหอมกุฎดาบก็เป็นกองกำลังที่ไม่ได้รุกรานง่ายขนาดนั้น แต่หลัวซิวกลับไม่มีทางปล่อยให้เรื่องช่องจิตครึ่งดวงนั้นของจี้หวูชวงจบไปง่าย ๆ แน่นอน
คงหวูชีชำนาญกฎปริภูมิ ในขณะเดียวกันเขาก็เป็นนักค่ายเทพระดับจักรพรรดิระดับเก้าคนหนึ่งด้วย ปัจจุบันผนึกในห้วงดาราแห่งโลกสวรรค์ถูกทลายไปแล้ว ฉะนั้นเมื่ออาศัยระดับฝีมือด้านค่ายกลของเขา จึงสามารถจัดวางค่ายวาร์ฟได้อย่างง่ายดาย วาร์ฟจากห้วงดาราแห่งโลกสวรรค์กลับไปยังห้วงดาราแห่งโลกร้างได้โดยตรง
อันที่จริงรากฐานของค่ายกลก็อยู่ที่ระดับความรู้ที่ลึกซึ้งในวิถีปริภูมินี่แหละ แดนเกณฑ์ปริภูมิของคงหวูชีเทียบเท่าจักรพรรดิเทพระดับเก้า การที่เขามีอุบายค่ายกลระดับจักรพรรดิเทพระดับเก้านั้น หลัวซิวก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด
“เวิ่ง!”
ระหว่างโลกสวรรค์และโลกร้างห่างกันไกลมาก ๆ แต่ทว่าในขั้นตอนการวาร์ฟ เพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้นก็มาถึงปลายทางแล้ว
หลังจากความรู้สึกวิงเวียนศีรษะขณะวาร์ฟมาหายไป หลัวซิวก็สัมผัสได้ถึงออร่าฟ้าดินในห้วงดาราโลกร้าง
พื้นโลกดาราที่โลกมหาศักดิ์ทั้งแปดตั้งอยู่นั้น ห้วงดาราของทั้งแปดโลกต่างเชื่อมต่อถึงกันและกัน เทียนเต้าเชื่อมถึงกัน ทว่าออร่าของดาราฟ้าดินกลับแตกต่างกันเพราะผลกระทบจากอัญมณีดั้งเดิมทั้งแปดชิ้น
ภายใต้การนำพาของคงหวูชี หลัวซิวเข้าสู่อาณากระบี่หวูจี๋ แล้วมาถึงหุบเขากระบี่แห่งหนึ่ง
“เจ้าแดนเคยกำชับไว้ว่าหากข้าพาเจ้าสำนักน้อยกลับมา ต้องมาเลือกกระบี่ในหุบเขากระบี่”คงหวูชีอธิบายอย่างผ่อนคลาย
หลัวซิวเงยหน้าขึ้นไปมอง ดูเหมือนพื้นที่ภายในหุบเขากระบี่จะไม่ใหญ่เท่าไหร่นัก ทว่าในความเป็นจริงกลับมีมิติที่ไร้ขอบเขตแฝงซ่อนอยู่ กระบี่เทพที่อยู่ในหุบเขากระบี่ยิ่งมีเยอะมากจนนับไม่ถ้วน ทุกที่เปี่ยมล้นไปด้วยปราณกระบี่ที่ตัดสลับกันไปมา
“มีของขลังอาวุธเยอะมาก!”หลัวซิวพูดชื่นชม จากโลกทัศน์ของเขาย่อมต้องดูออกอยู่แล้วว่ากระบี่เทพทุกเล่มที่อยู่ในหุบเขากระบี่ล้วนไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง
“ในเมื่อเราเป็นอาณากระบี่ ในฐานะที่เป็นเจ้าสำนักน้อยแห่งอาณากระบี่ย่อมต้องใช้กระบี่ด้วยอยู่แล้ว ไม่ทราบว่าระดับฝีมือบนวิถีกระบี่ของเจ้าสำนักน้อยเป็นอย่างไรบ้างขอรับ?”คงหวูชียิ้มพลางถาม
ในวิถีทั้งปวงในโลกหล้า วิถียุทธภัณฑ์ก็เป็นหนึ่งประเภทใหญ่เช่นกัน ซึ่งสามารถแบ่งย่อยเป็นวิถีกระบี่ วิถีดาบ วิถีหอกต่าง ๆ เป็นต้น
ในยุคสมัยที่เก่าแก่อย่างยิ่ง ก็มีผู้แข็งแกร่งที่เน้นฝึกวิถียุทธภัณฑ์โดยเฉพาะแล้ว ซึ่งในจำนวนผู้แข็งแกร่งทั้งหมด ผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดก็คือผู้แข็งแกร่งที่มีนามว่าประมุขยุทธ เล่ากันว่าคนดังกล่าวฝึกวิถียุทธภัณฑ์จนบรรลุถึงแดนบริบูรณ์ เดินบนวิถีนี้จนบรรลุเป็นประมุขเต๋า
“วิถีกระบี่หรือ? ก็พอเข้าใจบ้างอยู่ขอรับ……”หลัวซิวยิ้มอ่อนพลางตอบกลับ
สาเหตุที่ไท่ซ่างฉิงในอดีตชาติของเขาถูกเรียกขานว่าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมที่สุดแห่งยุค เป็นหนึ่งเดียวตลอดกาลนั้น ก็เป็นเพราะพรสวรรค์ของเขาล้ำเลิศ เชี่ยวชาญวรยุทธ์พลังอมตะต่าง ๆ ข้างกายเขามียอดฝีมือวิถีกระบี่อย่างเมิ่งเสี้ยและตู๋กูเจี้ยนเฉิน ดังนั้นจึงต้องมีความเกี่ยวโยงต่อวิถีกระบี่บ้างอยู่แล้ว ยิ่งกว่านั้นคือเขาในอดีตชาติเคยริเริ่มพลังอมตะวิถีกระบี่ระดับประมุขเต๋าออกมาด้วย
ภพชาตินี้ เขาริเริ่มวิถีไร้ลักษณ์ ย่อมสามารถใช้ไร้ลักษณ์วิวัฒนาการวิถีกระบี่ออกมาได้อย่างง่ายดายอยู่แล้ว ซึ่งไม่อ่อนกว่าผู้แข็งแกร่งที่เน้นฝึกวิถีกระบี่โดยเฉพาะแน่นอน
“จักเลือกกระบี่อย่างไรหรือขอรับ?”หลัวซิวถาม
“เรื่องนี้ง่ายมาก แค่เข้าไปในหุบเขากระบี่แล้วเลือกกระบี่เทพที่อยู่ภายในหนึ่งเล่ม หลังจากได้รับการยอมรับจากกระบี่เทพแล้ว ค่อยออกมาพร้อมกับกระบี่ก็พอแล้วขอรับ”
คงหวูชียิ้มแล้วพูด “แต่ทว่าข้าต้องย้ำเตือนเจ้าสำนักน้อยหนึ่งอย่าง กระบี่เทพในหุบเขากระบี่ไม่ได้ครอบครองง่ายขนาดนั้น ต่อให้เป็นอัจฉริยะที่มีปัญญาระดับจักรพรรดิเทพ ก็จำเป็นต้องฝึกตนถึงแดนราชาเทพระดับเก้าก่อน ถึงจะอนุญาตให้เข้าไปเลือกกระบี่ในหุบเขากระบี่”
“นอกจากนี้หลังจากเจ้าสำนักน้อยเลือกกระบี่ได้แล้ว ยังต้องผ่านการประเมินผลจากอัจฉริยะอณากระบี่ด้วยขอรับ เมื่อเป็นเช่นนี้ท่านถึงจะถือว่าเป็นเจ้าสำนักน้อยแห่งอาณากระบี่หวูจี๋ของเราอย่างแท้จริง”คงหวูชีกล่าวเช่นนี้
“ประเมินผล?”หลัวซิวขมวดคิ้วลงเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน ในเมื่อเขาจะสืบทราบต้นสายปลายเหตุทุกอย่าง เช่นนั้นก็ทำได้เพียงปฏิบัติตามการจัดแจงของฝ่ายตรงข้าม
“ข้าไปเดี๋ยวเดียวก็กลับ”
เงาร่างของหลัวซิวกระพริบทีหนึ่งแล้วเข้าไปในหุบเขากระบี่ เห็นเพียงเหมือนมีกระบี่เทพจำนวนมากที่อยู่ภายในหุบเขากระบี่จะสัมผัสได้ถึงพลังออร่าของเขา พวกมันจึงสั่นเทิ้มแล้วเกิดเป็นเสียงดังหึ่ง ๆ ทันที ในขณะเดียวกันก็มีปราณกระบี่ที่น่าสยดสยองแพร่กระจายออกมาด้วย
มีปราณกระบี่ที่ล้นฟ้าพุ่งยิงออกมาจากกระบี่เทพเล่มหนึ่งที่อยู่ใกล้หลัวซิว มืดฟ้ามัวดินแผ่คลุมมาทางเขา
“ช่างเป็นกระบี่เทพที่ทรงพลังยิ่งนัก! ไม่มีคนกระตุ้นก็สามารถปลดปล่อยอานุภาพที่สามารถสังหารเทพมารระดับเก้าออกมาได้แล้ว”
หลัวซิวก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างผ่อนคลาย ปราณกระบี่ทั้งหลายตัดสับลงบนตัวเขาแล้วเกิดเป็นเสียงโลหะกระทบกัน ปราณกระบี่เหล่านี้สามารถสร้างความเสียหายตลอดจนสังหารเทพมารระดับเก้า ทว่ากลับทลายร่างยุทธ์ร่างเนื้อของเขาไม่ได้
ต้องท้าวความก่อนว่าหลังจากผลการฝึกตนของเขาบรรลุถึงเทพมารระดับเก้าแล้ว ร่างยุทธ์ร่างเนื้อก็บรรลุถึงร่างมกุฎเทพระดับเก้าเช่นกัน
จากระดับความแข็งแกร่งของร่างเนื้อ ณ ปัจจุบันของเขา มีเพียงของขลังอาวุธเทพระดับภัณฑ์มกุฎเทพระดับเก้าเป็นต้นไปถึงจะสามารถสร้างความเสียหายให้แก่เขาได้
“กระบี่ราชาเทพระดับเก้าหนึ่งเล่ม แม้นจะอยู่เพียงระดับราชาเทพระดับเก้า แต่วัตถุดิบในการกลั่นกระบี่เทพเล่มนี้กลับสูงมาก อีกทั้งฝีมือในการกลั่นก็ปราดเปรื่องมากด้วย พลานุภาพเทียบเท่าภัณฑ์มกุฎเทพระดับเก้า!”
หลัวซิวเดินไปหน้ากระบี่เทพเล่มหนึ่ง แล้วจ้องมองอย่างพินิจพิเคราะห์ ก่อนจะมองกระบี่เทพเล่มนี้จนทะลุปรุโปร่ง
เขามีกระบี่ร่องฟ้า ซึ่งระดับของมันอยู่เหนือกระบี่เทพที่อยู่ตรงหน้านี้ หลัวซิวจึงไม่รู้สึกสนใจอะไรอยู่แล้ว ก่อนจะมุ่งหน้าเดินไปยังส่วนลึกของหุบเขากระบี่ต่อ
เมื่อเขามาถึงส่วนลึกของหุบเขากระบี่ จู่ ๆ ปราณกระบี่ที่อยู่รอบกายก็รวดเร็วและเฉียบคมมากยิ่งขึ้น กระบี่เทพสีแดงฉานเล่มหนึ่งสั่นเทิ้ม ตัวกระบี่ลอยขึ้น มีห้วงกระบี่ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยจิตสังหารที่ไร้ขอบเขตตลบฟุ้งออกมา
จิตสังหารดังกล่าวเหมือนดังแสงกระบี่ที่รวดเร็วและเฉียบคมอย่างยิ่ง ทิ่มแทงตรงไปยังวิญญาณดั้งเดิมของคน แม้แต่ตัวหลัวซิวเองก็สัมผัสได้ถึงความเจ็บที่ส่งตรงมาจากหว่างคิ้ว ญาณเทวดั้งเดิมที่อำพรางอยู่ในส่วนลึกของตัวหยั่งรู้ลืมตาขึ้นมา แล้วระเบิดพลังตัวสำนึกที่มากมายมหาศออกมาต้านทานการบุกรุกโจมตีของห้วงกระบี่
“วิถีกระบี่เพชรสังหารหรือ?”
หลัวซิวเพ่งมองกระบี่เทพเล่มนี้ ตัวกระบี่เป็นสีแดงเลือดล้วน ราวกับหลอมสร้างมาจากเลือดสด วิถีดาบเป็นตัวหลัก วิถีเพชรฆาตเป็นตัวเสริม ใช้วิถีกระบี่หลอมรวมเข้ากับวิถีเพชรฆาต จึงทรงพลังกว่าการฝึกวิถีกระบี่ทั่วไปมาก
ในบรรดาวิถีทั้งปวงในโลกหล้า ธรรมเกณฑ์ใด ๆ ทั้งปวงล้วนเพียงพอที่จะสามารถทำให้คนคนหนึ่งตระหนักเรียนรู้ไปทั้งชีวิต ผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์ส่วนมากจึงเน้นตั้งใจฝึกธรรมใดธรรมหนึ่ง แต่ก็ได้สัมผัสกับธรรมเกณฑ์อื่น ๆ บ้าง ซึ่งจะรู้แค่เพียงเปลือกนอก
แต่กระบี่เทพสีเลือดที่อยู่ตรงหน้านี้กลับแตกต่างกัน ผู้ที่กลั่นกระบี่เทพเล่มนี้ได้ฝึกวิถีกระบี่และวิถีเพชรฆาตขึ้นไปถึงแดนที่สูงลึกเหมือนกัน
วิถีกระบี่และวิถีเพชรฆาตต่างชำนาญการสังหารปราบปราม เมื่อหลอมรวมทั้งสองวิถีเข้าด้วยกัน ย่อมต้องทรงพลังกว่าจอมยุทธ์ที่ฝึกเพียงวิถีเดียวอยู่แล้ว
“พลานุภาพของกระบี่เทพเล่มนี้ไม่ด้อยกว่ากระบี่ร่องฟ้าของเมิ่งเสี้ยแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคือกระบี่ร่องฟ้าเทียบเคียงพลังสังหารกับมันไม่ได้เลย”
หลัวซิวพลิกมือหยิบกระบี่ร่องฟ้าออกมา เมื่อได้รับผลกระทบจากห้วงกระบี่ที่ไร้ขอบเขตในหุบเขากระบี่ กระบี่ร่องฟ้าก็สั่นเทิ้มจนเสียงดังหึ่ง ๆ ขึ้นมาเช่นกัน
“กระบี่ร่องฟ้าเหมาะกับวรยุทธ์และพลังอมตะของเมิ่งเสี้ยมากกว่า พลังอมตะของเมิ่งเสี้ยคือเวทย์นิมิตที่สร้างผลกระทบต่อสติปัญญาของผู้คน หรือว่ามหาฤทธิ์เวทย์มายานั่นเอง ซึ่งทั้งสองต่างมีดีคนละอย่าง”
หลัวซิวทำการเปรียบเทียบกระบี่เทพทั้งสองเล่ม ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ไม่ได้ไปแตะต้องกระบี่เทพสีเลือดเล่มนั้น ถึงแม้กระบี่เล่มนี้จะไม่เลวก็ตาม แต่กลับไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ
เวลาล่วงเลยไปอย่างรวดเร็ว หลัวซิวไม่เดินออกมาจากหุบเขากระบี่สักที ส่วนวินาทีนี้เขาได้มาถึงส่วนที่ลึกที่สุดของหุบเขากระบี่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้านหน้าเขามีหอคอยปรากฏหนึ่งหลัง
หอคอยหลังดังกล่าวดูโบราณและเรียบง่าย บริเวณรอบ ๆ มีรัศมีอ่อน ๆ เป็นประกายระยิบระยับ ส่วนพลังเต๋าที่แฝงซ่อนอยู่ในรัศมีประเภทนี้กลับทำให้เขารู้สึกคุ้นเคย
“บางทีสาเหตุที่เจ้าแดนแห่งอาณากระบี่หวูจี๋ให้ข้ามาเลือกกระบี่ที่สถานที่แห่งนี้นั้น ก็เพื่อที่จะให้ข้ามาถึงที่นี่สินะ?”
หลัวซิวหรี่ตาลง ก่อนจะเดินตรงไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องหยุดคิด