มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2846
เดินออกมาจากหุบเขากระบี่ สภาพจิตใจของหลัวซิวขึ้น ๆ ลง ๆ ยากที่จะสงบ
จากคำพูดของมกุฎเต๋าหวูจี๋ เขาทราบมาว่าอะไรคือมหันตภัยที่แท้จริง ความน่ากลัวของมหันตภัยถึงขั้นสามารถลบล้างประวัติศาสตร์ช่วงหนึ่งในอดีต ทำให้ผู้คนไม่อาจจินตนาการได้เลยด้วยซ้ำว่าทันทีที่มหันตภัยปะทุ มันจะน่าเวทนาและเหี้ยมโหดมากเพียงใด
การเลือกกระบี่ในหุบเขากระบี่เป็นกฎเกณฑ์ของมกุฎเต๋าหวูจี๋ แต่ทว่าหลัวซิวกลับไม่ได้เลือกกระบี่ในหุบเขากระบี่แต่อย่างใด เนื่องจากจุดประสงค์ที่เขาเข้าไปในหุบเขากระบี่นั้น ไม่ได้เข้าไปเพื่อเลือกกระบี่ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่เป็นการเข้าเฝ้ามกุฎเต๋าหวูจี๋
“จากที่ข้าทราบมา ในมือศิษย์น้องน่าจะมีกระบี่เทพหนึ่งเล่ม ข้าจะมอบดั้งเดิมวิถีเซียนให้เจ้าหนึ่งดวง ซึ่งจะสามารถยกระดับกระบี่เทพของเจ้าให้สูงขึ้นอีกหนึ่งระดับ”
ขณะที่เดินออกมาจากหุบเขากระบี่ หลัวซิวได้รับผลประโยชน์มาจากศิษย์พี่ตู๋กู ตู๋กูเป็นผู้แข็งแกร่งผู้สูงส่งช่วงปลายบนวิถีกระบี่ ภายในดั้งเดิมวิถีเซียนดวงหนึ่งของเขามีห้วงแท้วิถีกระบี่ที่ล้ำลึกถึงขีดสุดแฝงซ่อนอยู่ การที่จะทำให้กระบี่ร่องฟ้าของเขายกระดับขึ้นหนึ่งขั้น จึงไม่ใช่เรื่องยากอะไร
เมื่อเป็นเช่นนี้ กระบี่ร่องฟ้าที่เป็นภัณฑ์มกุฎเทพระดับเก้าในตอนแรกก็จะกลายเป็นอาวุธจักรพรรดิหนึ่งเล่ม เนื่องจากภายในมีดั้งเดิมวิถีเซียนของผู้แข็งแกร่งผู้สูงส่งแฝงซ่อนอยู่หนึ่งดวง มากไปกว่านั้นคือมันทรงพลังกว่าอาวุธจักรพรรดิระดับเก้าส่วนมากอีกด้วย
กระบี่ร่องฟ้าเป็นอาวุธที่เมิ่งเสี้ยทิ้งไว้ มีบุพเพสันนิวาสส่วนหนึ่งในอดีตชาติของหลัวซิวฝากฝังอยู่บนกระบี่ เขาหวังว่าสักวันเมื่อตัวเองบรรลุถึงแดนที่สามารถฝ่าฝืนหมุนทวนวัฏสงสาร เขาจะทำการคืนกระบี่เล่มนี้ให้เมิ่งเสี้ยด้วยมือตนเอง
“เจ้าสำนักน้อย เลือกเสร็จแล้วหรือ?”
นอกหุบเขากระบี่ คงหวูชีและฮู๋ชิงชิงรอคอยเขาอยู่ที่นี่มาโดยตลอดเลย
เขาดูเหมือนจะเข้าไปในหุบเขากระบี่นานมาก ๆ ทว่าแท้จริงแล้วขณะที่มุ่งหน้าไปยังโลกาอนัตตาหวูจี๋ การเคลื่อนที่ของห้วงเวลาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว ดังนั้นตั้งแต่เขาเข้าไปในหุบเขากระบี่กระทั่งออกมา ก็ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ
“กระบี่เล่มนี้แหละขอรับ”
หลัวซิวพลิกมือครั้งหนึ่ง กระบี่ร่องฟ้าที่ใหม่เอี่ยมก็ปรากฏในมือเขา ห้วงแท้วิถีเซียนที่ล้ำลึกและรวดเร็วเฉียบคมก็ค่อย ๆ แพร่กระจายออกมา ราวกับบรรลุเป็นธรรมดั้งเดิม
ในฐานะที่เป็นผู้แข็งแกร่งแห่งอาณากระบี่ คงหวูชีอ่อนไหวต่อออร่าวิถีกระบี่อย่างยิ่ง เพียงแวบเดียวเขาก็มองความไม่ธรรมดาของกระบี่เล่มนี้ออกแล้ว
“การที่เจ้าสำนักน้อยสามารถได้รับความสำคัญจากเจ้าแดนได้นั้น สมกับเป็นอัจฉริยะไร้เทียมทานจริง ๆ ถึงกับได้รับกระบี่จักรพรรดิเล่มหนึ่งมาจากหุบเขากระบี่!”
คงหวูชีพูดด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความอิจฉา เขาที่อยู่ในแดนมกุฎเทพระดับเก้ายังไม่มีสมบัติอย่างอาวุธจักรพรรดิเลย ครั้นเมื่อผลการฝึกตนของเขาบรรลุสู่ราชาเทพระดับเก้า ก็เคยเข้าไปในหุบเขากระบี่เช่นกัน กระบี่เทพที่ได้รับมาก็คือกระบี่มกุฎเทพชีวีที่ใช้ในปัจจุบันนี่แหละ
“ในเมื่อเลือกกระบี่เสร็จเรียบร้อยแล้ว เช่นนั้นเจ้าสำนักน้อยก็ตามข้ามาเลยขอรับ”
เดินตามอยู่ด้านหลังคงหวูชี ก่อนที่หลัวซิวจะมาถึงลานฝึกยุทธ์แห่งหนึ่งของอาณากระบี่
พื้นที่ของลานฝึกยุทธ์นี่กว้างใหญ่อย่างยิ่ง ตรงกลางมีเวทีหินที่สูงตระหง่านหนึ่งเวที มีนามว่าสังเวียนประจัญกระบี่ ซึ่งเป็นสถานที่เรียนรู้ประลองพลังอมตะวิถีกระบี่ของศิษย์ในอาณากระบี่
และวินาทีนี้ศิษย์ทั้งหลายในอาณากระบี่แทบจะมารวมตัวกันอยู่รอบสังเวียนประจัญกระบี่แล้ว เนื่องจากทุกคนล้วนได้รับข่าวคราวว่ามีบุคคลที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นเจ้าสำนักน้อยแล้ว!
ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา เด็กวัยรุ่นยุคใหม่ต่างช่วงชิงตำแหน่งเจ้าสำนักน้อยกันมาโดยตลอด อย่างไรก็ตามไม่มีผู้ใดคาดถึงเลยว่าสุดท้ายตำแหน่งเจ้าสำนักน้อยแห่งอาณากระบี่นี่ จักไม่ได้ตกเป็นของพวกเขา แต่เป็นคนนอกคนหนึ่ง!
ในหมู่วัยรุ่นยุคใหม่แห่งอาณากระบี่หวูจี๋ ไม่ขาดแคลนยอดฝีมือที่ฝึกตนถึงเทพมารระดับเก้าแล้ว ผู้ที่มีศักยภาพแข็งแกร่งมากที่สุดมีทั้งหมด 12 คน ซึ่งถูกเรียกขานว่าสิบสองนักกระบี่หวูจี๋ และมีชื่อเสียงโด่งดังในโลกร้าง
ในบรรดาทั้ง 12 คนนี้ มีอยู่สิบคนที่ฝึกตนจนบรรลุถึงแดนราชาเทพระดับเก้า ในจำนวนทั้งหมดมีเพียงสองคนเท่านั้นที่เป็นเทพมารระดับเก้า แต่ทว่าศักยภาพของทั้งสองคนนั้นกลับสามารถเทียบทัดราชาเทพระดับเก้า มิเช่นนั้นก็ไม่สามารถขึ้นมาครองบัลลังก์สิบสองนักกระบี่หวูจี๋ได้หรอก
เมื่อคงหวูชีพาหลัวซิวมาถึงที่นี่ สายตาที่นับไม่ถ้วนก็ล้วนผนึกรวมกันมาทางเขาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
แววตาอารมณ์เหล่านี้แปลกประหลาดแตกต่างกันออกไป มีคนบางส่วนที่จำหลัวซิวได้ อย่างไรเสียครั้นเมื่อเขาอยู่ในโลกร้าง ก็สร้างความฮือฮาให้คนทั้งโลกไม่น้อยเลย
“หลัวซิว!”
ศิษย์วัยรุ่นคนหนึ่งของอาณากระบี่หวูจี๋หกระเหินเดินฟ้า ห้วงกระบี่ที่ตลบฟุ้งอยู่รอบกายฉีกกระชากอนัตตา
หลัวซิวคุ้นเคยต่อคนดังกล่าวอยู่ ซึ่งเขาก็คือตู๋กูเทียนหยานั่นเอง คนดังกล่าวเคยพยายามลอบสังหารตัวเองเพื่อแก่งแย่งสมบัติเทพสงคราม แต่กลับพ่ายแพ้อยู่ในเงื้อมมือตน
เวลาล่วงเลยไปหลายปี ตู๋กูเทียนหยาในปัจจุบันฝึกตนถึงแดนราชาเทพระดับเก้าแล้ว ระดับความเร็วในการฝึกตนเช่นนี้พอจะพูดได้เลยว่ารวดเร็วอย่างยิ่ง
ตู๋กูเทียนหยาเมื่อครั้นนั้นเป็นเทพมารระดับแปด ส่วนหลัวซิวเป็นเทพมารระดับหก ทั้งสองต่างกันสองแดนใหญ่
ส่วนปัจจุบัน หลัวซิวบรรลุถึงเทพมารระดับเก้า ตู๋กูเทียนหยาคือราชาเทพระดับเก้า แตกต่างกันหนึ่งแดนใหญ่ ช่วงระยะความต่างของแดนกำลังตามหลังมาติด ๆ!
“ร่างไท่ซ่างผู้สูงส่งกลับชาติมาเกิด!”
สำหรับความเป็นมาของผู้ที่มีนามว่าหลัวซิวนั้น ปัจจุบันมันไม่ใช่ความลับในสายตาผู้ที่รู้เส้นสนกลในของเรื่องราวตั้งนานแล้ว
สมญานามไท่ซ่างผู้สูงส่งมีความสำคัญในประวัติศาสตร์ของยุควัฏสงสารอย่างยิ่ง ถูกผู้แข็งแกร่งจำนวนมากในยุคหลังชื่นชมว่าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมที่สุดแห่งยุค เป็นหนึ่งเดียวตลอดกาล!
“อ้างอิงจากกฎเกณฑ์ ท่านต้องได้รับการยอมรับจากศิษย์วัยรุ่นยุคใหม่ทุกคนก่อน ถึงจะสามารถกลายเป็นเจ้าสำนักน้อยได้”คงหวูชีที่อยู่ข้างกายหลัวซิวเอ่ยปากพูด
สำหรับกฎเกณฑ์นี้นั้น ระหว่างทางที่เดินทางมาที่นี่คงหวูชีก็ได้บอกกล่าวให้หลัวซิวทราบแล้ว การยอมรับที่กล่าวถึงนั้น ย่อมตัดสินกันที่ศักยภาพอยู่แล้ว
หลัวซิวพยักหน้า และไม่ได้พูดคำพูดมีพลังที่กล้าได้กล้าเสียอะไรเช่นกัน เห็นเพียงเงาร่างเขากระพริบทีหนึ่ง แล้วปรากฏบนสังเวียนประจัญกระบี่
การกระทำมีแนวโน้วที่ทำให้ผู้อื่นคล้อยตามได้มากกว่าคำพูดใด ๆ
“เจ้าเป็นเจ้าสำนักน้อย ตู๋กูเทียนหยาข้าขอเป็นคนแรกที่ท้าประลองเจ้าเอง!”
มีจิตต่อสู้ที่มากมายมหาศาลแผ่กระจายออกมาจากตัวตู๋กูเทียนหยา เมื่อปีนั้นตั้งแต่พ่ายแพ้อยู่ในเงื้อมมือหลัวซิวเป็นต้นมา เขาก็ฝึกตนอย่างทุ่มสุดชีวิต หวังแค่ว่าสักวันจะสามารถโค่นล้มหลัวซิวได้ด้วยน้ำมือตนเอง กอบกู้ตัวธรรมวิถีกระบี่ไร้เทียมทานกลับคืนมา
มีห้วงแท้วิถีเซียนที่แข็งแกร่งตลบฟุ้งอยู่รอบกายตู๋กูเทียนหยา แม้นหลัวซิวจักไม่ใช่จอมยุทธ์ที่เน้นฝึกวิถีกระบี่ แต่ก็สัมผัสการตระหนักรู้และความเข้าใจในวิถีกระบี่ของตู๋กูเทียนหยาได้เช่นกัน ซึ่งบรรลุถึงแดนที่สูงมาก ๆ แล้ว เป็นอัจฉริยะวิถีกระบี่ที่แท้จริง
เขาคือทายาทสายตู๋กูของเจ้าแดน มีการถ่ายทอดสืบสานของผู้แข็งแกร่งผู้สูงส่งวิถีกระบี่ไหลเวียนอยู่ในสายเลือด
ตู๋กูเทียนหยาที่อยู่ในวัยรุ่นยุคใหม่แห่งอาณากระบี่หวูจี๋มีชื่อเสียงที่โด่งดังมาก และเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับการเรียกร้องให้เป็นเจ้าสำนักน้อยมากที่สุดเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้เมื่อเห็นว่าตู๋กูเทียนหยาเป็นคนแรกที่เดินขึ้นลานประลอง ศิษย์อาณากระบี่จำนวนมากก็ต่างแสดงสีหน้าตื่นเต้นดีใจออกมาอย่างควบคุมไม่ได้
หลัวซิวยืนอยู่บนสังเวียนประจัญกระบี่แล้วใช้มือทั้งสองข้างไขว้ไว้ด้านหลัง จ้องมองตู๋กูเทียนหยาหกระเหินเดินฟ้ามาถึงหน้าตัวเองอย่างสุขุม ราวกับสามารถมองเห็นเงาครั้นตู๋กูเจี้ยนเฉินยังเป็นวัยรุ่นได้จากตัวเขาลาง ๆ
เขาสามารถสัมผัสได้อยู่ว่าแม้ตู๋กูเทียนหยาจะอยากเอาชนะตัวเองมาก ๆ แต่ทว่ากลับไม่ได้มีจิตที่จะสังหารตัวเองแต่อย่างใด เขาไม่ใช่ผู้ที่จิตใจคับแคบต้องการแก้แค้นอย่างเดียว แต่ทำเพื่อพิสูจน์วิถีกระบี่ของตัวเอง
ผลการฝึกตนของตู๋กูเทียนหยาคือราชาเทพระดับเก้าช่วงกลาง ทว่าหลัวซิวกลับสามารถดูออกอยู่ว่าศักยภาพของเขาสามารถเทียบทัดราชาเทพระดับเก้าขั้นสูงได้อย่างแน่นอน หากอยู่ในช่วงที่ตนยังไม่บรรลุถึงเทพมารระดับเก้า เช่นนั้นก็จะรับมือไม่ง่ายจริง ๆ
“หลัวซิว ข้าจะพิสูจน์วิถีกระบี่ของข้าในการต่อสู้ในครั้งนี้เอง!”
ตู๋กูเทียนหยาไม่ชอบพูดมาก เห็นเพียงยังไม่ทันสิ้นเสียงเขา เงาร่างก็เคลื่อนไหวกะทันหัน ปราณกระบี่ที่พร่างพราวดั่งเสาก็ปรากฏด้านหลังเขา ปราณกระบี่สูงเสียดเมฆ เด็ดเดี่ยวแน่วแน่ ราวกับเสากระบี่ที่ค้ำฟ้า
ดั่งคำกล่าวที่ว่าธรรมเปล่งแสงแพรวพราย ความยิ่งใหญ่ของปราณกระบี่ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งในการควบคุมวิถีกระบี่ของตู๋กูเทียนหยา!
เห็นเพียงตู๋กูเทียนหยาก้าวเท้าออกมาหนึ่งเก้า จากการที่เขาเคลื่อนไหว เสากระบี่หมื่นเมตรก็หดเล็กลงกะทันหัน จากเสากระบี่อันแพรวพรายที่สูงหลายหมื่นเมตร สุดท้ายก็ผนึกรวมกันอยู่ด้านหลังเขาจนมีความสูงประมาณสามเมตรกว่า
แม้นจะมีความสูงแค่สามเมตรกว่า แต่ทว่าเนื่องจากผนึกรวมกันจนถึงขีดสุด พลังออร่าที่แพร่กระจายออกมากลับแข็งแกร่งและน่ากลัวกว่าเสากระบี่นับหมื่นเมตรอีก
ตู๋กูเทียนหยามองหลัวซิวเป็นศัตรูตัวฉกาจที่แท้จริง ดังนั้นทันทีที่ขึ้นมาจึงปลดปล่อยศักยภาพที่แข็งแกร่งที่สุดของตัวเองออกมาเลย
“ตู้มม!”
เพียงพริบตาเดียว เงาร่างของตู๋กูเทียนหยาก็มาถึงตรงหน้าหลัวซิว ปราณกระบี่สามเมตรกว่าร่วงลงในมือเขา ก่อนจะจามลงกลางศีรษะหลัวซิวอย่างดุดัน
“หอคอยฮวง!”
หลัวซิวตวาดเบา ๆ คำหนึ่ง แสงทองที่แวววาวจับตาก็ผนึกรวมกันเหนือศีรษะเขา แล้วประกอบเป็นเงาลวงของหอคอยฮวงหนึ่งหลัง
“ฟึ่บ!”
ปราณกระบี่ของตู๋กูเทียนหยาแข็งแรงจนไม่อาจมลาย อำนาจแห่งกระบี่หนึ่ง ถึงขั้นผ่าเงาลวงของหอคอยฮวงจนแตกออกได้อย่างง่ายดาย ก่อนจะเฉือนสับไปทางศีรษะของเขาต่อ
“ระฆังจักร!”
หลัวซิวใช้จิตนึกคิด ไร้ลักษณ์ถูกวิวัฒนาการอีกครั้ง เกณฑ์ปริภูมิผนึกรวมกันแล้วกลายเป็นระฆังจักรหนึ่งลูก ก่อนจะผนึกรวมปริภูมิที่แน่นหนาออกมาต้านทานพลานุภาพของการโจมตีในครั้งนี้
อย่างไรก็ตามอานุภาพแห่งปราณกระบี่ของตู๋กูเทียนหยากลับทรงพลังอย่างยิ่ง ทลายการผนึกของปริภูมิที่แน่นหนา พุ่งซัดเข้ามาอย่างรุนแรงจนไม่มีอะไรสามารถหยุดยั้งได้
“เตี๊ยง!”
ท้ายที่สุดแล้วเมื่อใช้พลังอมตะต่อเนื่องกันสองวิชา ก็ไม่สามารถต้านทานปราณกระบี่นี้ได้อยู่ดี ปราณกระบี่ขนาดสามเมตรกว่าที่ผนึกรวมกันจนถึงขีดสุดผ่าลงกลางศีรษะหลัวซิว แล้วเกิดเป็นเสียงของโลหะกระทบกัน
รัศมีเทวที่ไร้ขอบเขตแย้มบานออกไป แวววาวจับตา ทำให้ทั้งสังเวียนประจัญกระบี่ถูกปกคลุมอยู่ในรัศมีเทว มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้านบนได้ไม่ชัดเจน
แต่ทว่าก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกเป็นห่วงหลัวซิวอย่างอดไม่ได้ โดยเฉพาะผู้คนที่คุ้นเคยกับตู๋กูเทียนหยา ต่างรู้ซึ้งถึงความน่ากลัวของปราณกระบี่สามเมตรกว่านั่น เมื่อถูกปราณกระบี่เช่นนี้โจมตีโดยตรง มาตรแม้นว่าเป็นศีรษะของราชาเทพระดับเก้า เกรงว่าก็คงจะถูกผ่าจนแตกสลายเป็นฝุ่นผงเลยกระมัง?
“นี่คือเจ้าสำนักน้อยที่มาใหม่หรือ? ศักยภาพมีแค่นี้ก็กล้าเป็นเจ้าสำนักน้อยรึ?”
“ช่วงระยะความต่างระหว่างเทพมารระดับเก้าขั้นปฐมภูมิและราชาเทพระดับเก้าช่วงกลางแตกต่างกันมากเกินไป ถ้าเกิดเจ้าหมอนั่นถูกท่านชายเทียนหยาสังหารในกระบี่เดียว เช่นนั้นก็เป็นเรื่องบ้าบอคอแตกแล้วจริง ๆ”
บนสังเวียนประจัญกระบี่ รัศมีเทวที่แวววาวจับตาค่อย ๆ สลายหายไป ทุกคนล้วนอดไม่ได้ที่จะเพ่งตามองไป ก่อนจะพบว่าปราณกระบี่สามเมตรกว่านั่นไม่ได้ผ่าศีรษะหลัวซิวจนแตกสลายเหมือนอย่างที่คาดการณ์เอาไว้ แต่ถูกพลังสั่นสะท้อนที่รุนแรงมาก ๆ ดีดจนบินลอยขึ้น ปราณกระบี่สั่นสะเทือนอย่างไม่หยุดหย่อน แทบจะกระเด็นออกไปจากมือแล้ว
“วิถีกระบี่ของเจ้าไม่อ่อนจริง ๆ ถึงกับสามารถทลายมหาอิทธิฤทธิ์อย่างหอคอยฮวงและระฆังจักรของข้าได้อย่างต่อเนื่อง ทว่าร่างเนื้อของข้ากลับแข็งแกร่งมากกว่า ซึ่งปราณกระบี่ของเจ้าก็ไม่สามารถทลายได้เช่นกัน”หลัวซิวพูดอย่างเย็นชา
ตู๋กูเทียนหยาตะคอกเสียงดังอย่างเยือกเย็น ปราณกระบี่สามเมตรกว่าพุ่งขึ้น ๆ ลง ๆ ปานพายุมรสุม ทำให้เงาร่างของหลัวซิวจมหายไป
หลัวซิวไม่ได้ตอบโต้แต่อย่างใด แต่เป็นการปล่อยให้พลังโจมตีของฝ่ายตรงข้ามร่วงลงบนตัวอย่างเต็มที่ รอบกายเขามียันต์ค่าย 99 ยันต์โอบล้อม ทั้งปลุกเสกด้วยธรรมเวชกาลร้าง จึงต้านทานพลังโจมตีส่วนมากไปได้อย่างง่ายดาย
“ช่างเป็นร่างเนื้อที่แข็งแกร่งยิ่งนัก เขาเพิ่งจะอยู่ในแดนเทพมารระดับเก้า หรือเขาฝึกชุบร่างเนื้อจนบรรลุเป็นร่างมกุฎเทพระดับเก้าแล้ว?”คนจำนวนไม่น้อยต่างรู้สึกตะลึงงันอย่างยิ่ง
ร่างเนื้อกลายมกุฎ ถือเป็นการคงอยู่ที่สามารถจัดเป็นผู้แข็งแกร่งแดนมกุฎเทพได้แล้ว เมื่ออาศัยความเกะกะระรานของร่างมกุฎ ก็เพียงพอที่จะสามารถต่อกรกับผู้แข็งแกร่งมกุฎเทพระดับเก้าได้โดยตรงเลย
ในหมู่วัยรุ่นยุคใหม่แห่งอาณากระบี่หวูจี๋มียอดฝีมือเยอะมาก แต่ทว่ากลับไม่มีคนใดที่สามารถฝึกชุบร่างเนื้อจนบรรลุถึงระดับขั้นนี้ได้
“ศิษย์น้องเทียนหยา เจ้ามีพรสวรรค์ในด้านวิถีกระบี่สูงมาก ยังจำกระบวนท่าที่ข้าโค่นล้มเจ้าเมื่อครานั้นได้หรือไม่?”
หลัวซิวหัวเราะเบา ๆ “วันนี้ข้าจะใช้กระบวนท่านั้นอีกครั้ง การที่เจ้าจะตระหนักรู้ได้มากน้อยเท่าไหร่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถในการตระหนักรู้ของตัวเจ้าเองแล้วล่ะ”
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น หลัวซิวก็ค่อย ๆ ยกนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้ว เขาไม่ได้ใช้อาวุธแต่อย่างใด เนื่องจากสำหรับเขา ณ ปัจจุบันแล้ว หากประมือกับตู๋กูเทียนหยาแล้วยังต้องใช้ของขลังอาวุธละก็ เช่นนั้นมันก็เป็นการรังแกคนจริง ๆ แล้วล่ะ
“ทะยานเซียน!”
เพียงพริบตาเดียว ก็มีรัศมีผนึกรวมกันที่ปลายนิ้วหลัวซิว ก่อนจะกลายเป็นแสงเซียนหนึ่งดวง แสงเซียนลอยขึ้น ราวกับเงาร่างของเซียนทะยานขึ้นฟ้า แล้วมุ่งไปสู่เก้าสวรรค์
ทะยานเซียนคือวรยุทธ์เซียนประเภทหนึ่ง ซึ่งวรยุทธ์เซียนประเภทนี้สามารถหลอมรวมเข้ากับพลังอมตะ แล้วปลดปล่อยด้วยวิถีกระบี่ ซึ่งมันก็คือวิชากระบี่ทะยานเซียนนั่นเอง!