มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2847
มีเงาดำร่างหนึ่งบินออกมาจากสังเวียนประจัญกระบี่ เงาร่างของตู๋กูเทียนหยาร่วงลงพื้น สีหน้าอารมณ์ซับซ้อน
หลัวซิวไม่ได้ใช้กระบี่ทะยานเซียนทำร้ายเขาแต่อย่างใด ส่วนตู๋กูเทียนหยารู้ตัวเองดีอยู่ว่าตัวเองต้านทานกระบวนท่านี้ไม่ได้ ดังนั้นจึงถอยลงมาจากสังเวียนประจัญกระบี่โดยอัตโนมัติ
เวลาล่วงเลยไปหลายปี เป็นวิชากระบี่ที่ค่อนข้างคล้ายคลึงกัน แต่ทว่าวิชากระบี่ที่ปลดปล่อยออกมาจากมือหลัวซิวในปัจจุบันกลับประณีตสวยวิจิตรกว่าอดีตหลายเท่าตัวมาก
นี่เป็นเพราะเขามีการตระหนักรู้ต่อพลังอมตะทะยานเซียนในแดนเซียนนอกนภา ซึ่งแตกต่างจากครั้นเมื่อเรียนรู้จากจี้หวูชวงโดยสิ้นเชิง
“ยอดเยี่ยมมาก เมื่อครู่นั่นคือแสงเซียนหรือ? ไม่นึกเลยว่าจะฝึกพลังอมตะวรยุทธ์เซียนสำเร็จแล้ว!”
กลางอนัตตา มีห้วงจิตดวงหนึ่งมองเห็นภาพฉากที่เกิดขึ้นบนสังเวียนประจัญกระบี่ ตู๋กูเจ้าแดนอาณากระบี่ที่อยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของหุบเขากระบี่ก็อดอุทานอย่างตะลึงไม่ได้
พลังอมตะวรยุทธ์เซียนไม่ได้ฝึกสำเร็จง่ายขนาดนั้น ความเป็นมาของมกุฎเต๋าหวูจี๋ลึกลับและโบราณอย่างยิ่ง ซึ่งเขาก็ยึดกุมพลังอมตะวรยุทธ์เซียนอยู่บ้างเช่นกัน
แต่ทว่าในบรรดาศิษย์เต็มตัวทั้งหมดของมกุฎเต๋าหวูจี๋ ผู้ที่สามารถฝึกพลังอมตะวรยุทธ์เซียนสำเร็จได้นั้นกลับมีไม่มาก
โดยส่วนใหญ่แล้ว หากต้องการตระหนักรู้พลังอมตะวรยุทธ์เซียน อย่างน้อยก็ต้องบรรลุถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้าก่อน ทั้งยังต้องเป็นบุคคลที่มีความสามารถในการตระหนักรู้น่าทึ่งด้วย หากความสามารถในการตระหนักรู้แย่หน่อย ก็ต้องรอให้บรรลุถึงแดนผู้สูงส่งก่อนถึงจะสามารถตระหนักความล้ำลึกของวรยุทธ์เซียน หรืออาจต้องบรรลุถึงแดนประมุขเต๋าก่อนถึงจะสามารถทำได้
อัจฉริยะไร้เทียมทานที่สามารถตระหนักความล้ำลึกของวรยุทธ์เซียนขณะที่ยังอยู่ในแดนเทพมารระดับเก้าอย่างหลัวซิวได้นั้น ตั้งแต่โบราณกาลมาก็มีน้อยมากถึงมากที่สุดเลย
ด้านล่างสังเวียนประจัญกระบี่ ตู๋กูเทียนหยาไม่ได้รู้สึกโกรธเกรี้ยวหรือเคียดแค้นใด ๆ เพราะพ่ายแพ้เป็นครั้งที่สอง เห็นเพียงเขาประสานมือทำท่าคารวะแล้วก้มคำนับไปทางหลัวซิวที่ยืนอยู่บนสังเวียนประจัญกระบี่ การกระทำนี้ถือเป็นการยอมรับในตำแหน่งเจ้าสำนักน้อยของหลัวซิวแล้ว
“ข้าเทียบเคียงกับเจ้าไม่ได้!”พูดด้วยคำพูดธรรมดาเรียบง่าย สั้น ๆ ได้ใจความ ก่อนตู๋กูเทียนหยาจะหันหลังแล้วเดินจากไป
หลัวซิวยิ้มอ่อนพลางกวาดตามองดูรอบ ๆ“ในบรรดาศิษย์น้องทั้งหลาย หากผู้ใดไม่พอใจ ก็สามารถขึ้นมาได้เลย”
หากเป็นเจ้าสำนักน้อย ก็จะเป็นศิษย์พี่ใหญ่ในหมู่วัยรุ่นยุคใหม่ ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าผลการฝึกตนจะสูงหรือต่ำ หลัวซิวก็ล้วนแต่สามารถแสดงตัวเป็นศิษย์พี่ใหญ่ได้
“ข้าไม่พอใจ!”
มีเสียงตวาดที่อ่อนช้อยสะท้อนมา ถัดจากนั้นก็มีเงาร่างที่งดงามลอยมาร่วงลงบนสังเวียนประจัญกระบี่
คนดังกล่าวคือสตรีที่รูปโฉมไม่ธรรมดาคนหนึ่ง มีความหยิ่งผยองปนอยู่บนสีหน้าความรู้สึก ผลการฝึกตนยังเทียบเคียงกับตู๋กูเทียนหยาไม่ได้ เป็นเพียงเทพมารระดับเก้าขั้นสูง
“ข้าชื่อตู๋กูยู่หยวน ข้ารู้ว่าร่างยุทธ์ของเจ้าแข็งแกร่งมาก ดังนั้นข้าจึงอยากประลองวิถีกระบี่กับเจ้า!”
ดวงตาที่งดงามของตู๋กูยู่หยวนเป็นประกายระยิบระยับ มีความปลิ้นปล้อนเหลี่ยมจัดทะลุออกมาเล็กน้อย “หากเจ้าอยากเป็นเจ้าสำนักน้อยแห่งอาณากระบี่ แค่อาศัยความแข็งแกร่งของร่างเนื้อนั้นยังไม่สามารถทำให้ผู้คนพึงพอใจได้ ต้องแสดงด้านที่แข็งแกร่งของแดนวิถีกระบี่ออกมาด้วย”
เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว หลัวซิวก็รู้แล้วว่าสตรีนางนี้มุ่งหวังอะไร สำหรับความเฉลียวฉลาดในเรื่องหยุมหยิมประเภทนี้นั้น หลัวซิวก็ทำได้เพียงหลุดหัวเราะออกมา “เจ้าอยากประลองอย่างไร?”
“เจ้าและข้าต่างปลดปล่อยพลังอมตะหนึ่งวิชา ดูว่าภายในพลังอมตะของผู้ใดมีห้วงแท้วิถีเซียนแฝงซ่อนอยู่มากกว่า แต่ปลดปล่อยพลังอมตะที่เจ้าโค่นล้มศิษย์พี่เทียนหยาในเมื่อครู่นี้ไม่ได้แล้วนะ”ตู๋กูยู่หยวนพูดด้วยความไร้เหตุผลเล็กน้อย
หลัวซิวหลุดหัวเราะออกมาอีกครั้ง แต่เขาก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจเช่นกัน “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะทำให้เจ้าพ่ายแพ้อย่างเลื่อมใสหมดใจเอง!”
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น หลัวซิวก็จิ้มนิ้วออกไปอีกหนึ่งนิ้ว เขาไม่ได้ปลดปล่อยวิชาทะยานเซียนจริง ๆ แต่เป็นการอาศัยวิถีไร้ลักษณ์วิวัฒนาการ เพียงพริบตาเดียวก็มีแสงกระบี่ที่นับไม่ถ้วนตัดสลับไปมา แสงกระบี่เหล่านี้ไม่เพียงมีห้วงแท้ของวิถีกระบี่แฝงซ่อนอยู่ ยังมีธาตุเกณฑ์ต่าง ๆ นานาหลอมรวมอยู่ด้วย
เห็นเพียงแสงกระบี่ที่ล้นฟ้าทำให้เกิดปรากฏการณ์แปลกประหลาดต่าง ๆ รัศมีเทวส่องสว่างแพรวพราย แสงที่งดงามลอยขึ้น ตระการตาถึงขีดสุด
เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น ก็มีเสียงอุทานสะท้อนลงมาจากสังเวียนประจัญกระบี่ ร่างกายที่อ่อนช้อยของตู๋กูยู่หยวนกระเด็นลงสังเวียนประจัญกระบี่ นางไม่ได้บาดเจ็บแต่อย่างใด และนี่ก็เป็นเพราะหลัวซิวออมมือให้อยู่แล้ว
ถัดจากนั้น ในบรรดาสิบสองนักกระบี่หวูจี๋ ก็มีอีกสองสามคนที่รู้สึกมั่นใจในศักยภาพของตัวเองขึ้นไปท้าประลองหลัวซิว แต่ทว่าคนเหล่านี้ล้วนสิ้นสุดการประลองด้วยความพ่ายแพ้ทุกคนเลย ยิ่งกว่านั้นคือไม่ว่าผู้ใดจะปะทะกับหลัวซิว หลัวซิวล้วนยืนนิ่งอยู่กับที่มาโดยตลอด ใช้นิ้วมือเพียงนิ้วเดียวต่อสู้กับศัตรู
“กราบคารวะเจ้าสำนักน้อย”
เหล่าวัยรุ่นอัจฉริยะล้วนแพ้อย่างเลื่อมใสหมดใจ ไม่ว่าผลการฝึกตนจะเป็นอย่างไร แต่ศักยภาพของหลัวซิวกลับอยู่สูงกว่าพวกเขามาก ๆ ซึ่งบรรลุถึงระดับมกุฎเทพระดับเก้าแล้ว
เมื่อกลายเป็นเจ้าสำนักน้อยแห่งอาณากระบี่หวูจี๋ หลัวซิวย่อมต้องมีสถานที่พักของตัวเองในแดนศักดิ์สิทธิ์อาณากระบี่อยู่แล้ว
เขาเคยเข้าพบมกุฎเต๋าหวูจี๋ จึงย่อมต้องทราบเจตนาของอาจารย์ท่านอยู่แล้ว เนื่องจากมีสัญญาณบ่งบอกแล้วว่ามหันตภัยใกล้จะปะทุ ส่วนศักยภาพของเขาต่ำเกินไป ซึ่งจำเป็นต้องใช้เวลามาบำเพ็ญตน เพื่อพยายามช่วงชิงความสามารถในการรักษาชีวิตตนเองเมื่อมหันตภัยมาเยือน
เมื่อมีตัวตนอย่างเจ้าสำนักน้อยแห่งอาณากระบี่ จึงสามารถทำให้เขาลดปัญหาความวุ่นวายต่าง ๆ ได้เยอะมาก หากเขาบำเพ็ญตนอยู่ในอาณากระบี่หวูจี๋ คาดว่าทางอาณากระบี่ก็น่าจะจัดเสนอทรัพยากรการฝึกตนจำนวนมากให้แก่เขาเช่นกัน
เมื่อกลายเป็นเจ้าสำนักน้อย ก็ต้องมีสิทธิพิเศษจำนวนมากในอาณากระบี่หวูจี๋อยู่แล้ว ในฐานะที่เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่ง ทั้งยังเป็นหมากลูกหนึ่งที่มกุฎเต๋าหวูจี๋สอดแทรกเข้ามาในโลกร้างด้วย ความสามารถด้านหน่วยข่าวกรองจึงไร้ที่ติ
อ้างอิงจากข้อมูลข่าวที่อาณากระบี่หวูจี๋ยึดกุม หลัวซิวก็ทราบเช่นกันว่าหุบเขาสยบปีศาจยังสงบสุขอยู่ ตลอดช่วงหลายปีที่เขาจากมา ไม่มีกองกำลังใด ๆ กีดกันหุบเขาสยบปีศาจเช่นกัน
อย่างไรเสียภายในหุบเขาสยบปีศาจก็มีทรัพยากรที่กำเนิดขึ้นมาเอง ซึ่งจะมีศิษย์ออกไปฝึกฝนเก็บเกี่ยวประสบการณ์อยู่บ้างเป็นครั้งคราว แต่ก็เกิดความขัดแย้งกับกองกำลังอื่น ๆ น้อยมาก
“ในเมื่อบัดนี้หุบเขาสยบปีศาจยังไม่มีเรื่องอะไรที่น่ากังวล ข้าก็จักเพ็ญตนอยู่ในอาณากระบี่หวูจี๋นี้ระยะหนึ่ง”
ในสถานที่พักของตัวเอง หลัวซิวนั่งท่าขัดสมาธิอยู่ภายในห้องลับ มีเค้าโครงของเคล็ดเซียนกลั่นร่างแปรเก้าผุดขึ้นมาในหัว
เคล็ดเซียนกลั่นร่างแปรเก้าเป็นการถ่ายทอดสืบสานที่เขาได้รับหลังจากกลายเป็นศิษย์ของมกุฎเต๋าหวูจี๋ วรยุทธ์กลั่นร่างนี้ล้ำลึกและลึกซึ้งกว่าวิชากลั่นร่างกลืนเศษณ์ที่เขาริเริ่มโดยการอ้างอิงจากหนังสือยุทธภัณฑ์มาก
แค่ดูจากชื่อก็สามารถดูออกแล้วว่าแดนของเคล็ดเซียนนี้แบ่งออกเป็นเก้าแดน ซึ่งเริ่มตั้งแต่หนึ่งถึงเก้าตามลำดับ
ระดับขั้นของเคล็ดเซียนแปรเก้าสูงมาก ดังนั้นเงื่อนไขพื้นฐานในการฝึกเคล็ดเซียนนี้ก็คือร่างยุทธ์ร่างเนื้อจำเป็นต้องบรรลุถึงมกุฎเทพระดับเก้าก่อน ถึงจะสามารถฝึกได้
ร่างมกุฎเทพระดับเก้าสามารถฝึกตั้งแต่แปรที่หนึ่งถึงแปรที่สาม ร่างจักรพรรดิเทพระดับเก้าสามารถฝึกแปรที่สี่ถึงแปรหก ร่างมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้าฝึกแปรเจ็ด ร่างแห่งผู้สูงส่งฝึกแปรที่แปด ร่างแห่งประมุขเต๋าฝึกแปรที่เก้า
เดิมทีร่างเนื้อของหลัวซิวถูกฝึกชุบจนแข็งแกร่งมากแล้ว แต่ถ้าเกิดฝึกแปรที่สามสำเร็จ เช่นนั้นเขาก็สามารถอาศัยร่างเนื้อร่างมกุฎเทพระดับเก้าต้านทานพลังโจมตีจากอาวุธจักรพรรระดับเก้า มาตรแม้นว่าเป็นพลังโจมตีของผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิเทพระดับเก้าบางส่วน ก็สร้างความเสียหายให้แก่ร่างกายเขาได้ยากมาก
หากฝึกถึงแปรที่หก เช่นนั้นระดับความแข็งแกร่งของร่างเนื้อเขาก็สามารถเทียบทัดเศษณ์มหาจักรพรรดิยุทธ์แล้ว ต่อให้สู้ผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ไม่ไหว แต่ก็สามารถหลุดพ้นจากการไล่ล่าของผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ได้
ในส่วนของแดนบริบูรณ์อย่างแปรเก้านั้น คือร่างแห่งกึ่งเซียน ซึ่งเพียงพอที่จะกลายเป็นผู้มากอิทธิพลในดาราจักรวาล ต่อให้ปะทะกับผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎเต๋าที่บรรลุถึงแดนกึ่งเซียน ฝ่ายตรงข้ามก็ต้องใช้อุบายที่แข็งแกร่งหน่อยถึงจะสามารถทลายเกราะป้องกันของร่างกึ่งเซียนได้
วรยุทธ์นี้ประณีตสวยวิจิตรกว่าวิชากลั่นร่างกลืนเศษณ์มากจริง ๆ วิชากลั่นร่างกลืนเศษณ์ที่เขาริเริ่มนั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเคล็ดเซียนแปรเก้า เพราะเคล็ดเซียนแปรเก้าก็สามารถดูดซับพละกำลังจากของขลังเพื่อยกระดับความแข็งแกร่งทางร่างเนื้อได้เช่นกัน
ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น เคล็ดเซียนแปรเก้ายังสามารถดูดกลืนกลั่นแปรสมุนไพรเพิ่มพลังต่าง ๆ นานา รวมไปถึงต้นยาเซียน เม็ดยาเซียน ดูดซับแก่นสารของทุกสรรพสิ่ง เพื่อฝึกชุบร่างเนื้อให้บรรลุถึงแดนที่สูงที่สุด
“ถึงเวลากลับไปแล้ว”
หลัวซิวปิดขังอยู่ในอาณากระบี่หวูจี๋สิบปี ตลอดช่วงสิบปีที่ผ่านมานี้ เขาฝึกเคล็ดเซียนแปรเก้าถึงแดนแปรที่สอง
เนื่องจากระดับความยากในการฝึกเคล็ดเซียนแปรเก้าสูงมาก ซึ่งต้องการทรัพยากรที่มากล้นเช่นกัน แม้นเขาจะกลายเป็นศิษย์ของมกุฎเต๋าหวูจี๋แล้ว แต่มกุฎเต๋าหวูจี๋ก็ไม่มีทางจัดเสนอทรัพยากรการฝึกตนทั้งหมดให้เขา
หลัวซิวก็ไม่ได้มุ่งหวังอะไรต่อทรัพยากรของอาณากระบี่หวูจี๋เช่นกัน จากอัตราการบริโภคทรัพยากรที่ใช้สำหรับการฝึกตนของเขา เกรงว่าคงต้องทำให้ทั้งอาณากระบี่หวูจี๋ล้มละลายแน่นอน อย่างไรเสียในอาณากระบี่หวูจี๋ก็ยังมีศิษย์อีกจำนวนมากที่ต้องใช้ทรัพยากร ซึ่งไม่มีทางที่จะบ่มเพาะเขาเพียงคนเดียว
บริเวณเอวมีป้ายบัญชาการแขวนอยู่หนึ่งชิ้น หลัวซิวออกจากอาณากระบี่หวูจี๋ ซึ่งป้ายตรงเอวก็คือสัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่าเขาเป็นเจ้าสำนักน้อยหวูจี๋ หมายความว่าเขาไม่ใช่ตัวคนเดียวอีกต่อไป เบื้องหลังเขามีทั้งอาณากระบี่หวูจี๋คอยเป็นกำลังสนับสนุนอยู่
เมื่อเขากลับมาถึงหุบเขาสยบปีศาจ ผู้คนล้วนรู้สึกดีใจมาก ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ อาศัยทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์ในหุบเขาสยบปีศาจ ศักยภาพของเผ่าจี้ ภูเขาว่านเริ่นรวมไปถึงตระกูลเทพสงครามล้วนได้รับการยกระดับสูงมาก
“ปิงหยูกับดูดจิตออกไปตามหาข้าแล้วอย่างนั้นหรือ?”
หลัวซิวทราบจากปากเหยียนเยว่เอ๋อร์ว่าเนื่องจากเขาไม่กลับมาหลายปี ทั้งไม่มีข่าวคราวอะไรแม้แต่นิดเดียว ดังนั้นเสิ่นปิงหยูและดูดจิตจึงออกไปตามหาเขา ซึ่งออกไปสิบกว่าปีแล้ว
และนี่ก็หมายความว่าขณะที่เขาเดินทางกลับมาจากโลกสวรรค์แล้วมุ่งหน้าไปยังอาณากระบี่หวูจี๋ เสิ่นปิงหยูและดูดจิตก็ออกไปตามหาเขาแล้ว
ข่าวคราวนี้ทำให้หลัวซิวรู้สึกกังวลใจเล็กน้อย เนื่องจากครั้นเมื่อเขาอยู่ในโลกสวรรค์ก็มองเห็นท่าทีที่มหันตภัยใกล้จะมาเยือนแล้ว แม้นสถานการณ์ในโลกร้างจะดีกว่าโลกสวรรค์เล็กน้อย แต่มันก็น่าเป็นห่วงเช่นกัน
เมื่อเปรียบเทียบกับแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นสุดยอดทั้งหลายแล้ว ศักยภาพของหุบเขาสยบปีศาจก็ยังคงอ่อนแอไปหน่อย ผู้ที่มีศักยภาพแข็งแกร่งมากที่สุดก็คือจ้าวหุบเขาอย่างเขาแล้ว แต่ผลการฝึกตนก็เป็นเพียงเทพมารระดับเก้า และศักยภาพอยู่ที่มกุฎเทพระดับเก้า
ส่วนแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นสุดยอดทั้งหลายนั้น อย่างน้อยก็มีมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้าคอยปกปักรักษา และยิ่งมีผู้สูงส่งตลอดจนผู้แกร่งเลิศคงอยู่ด้วย
เขาทิ้งการถ่ายทอดสืบสานที่เป็นพลังอมตะวรยุทธ์ต่าง ๆ ไว้ในหุบเขาสยบปีศาจเยอะมาก ในขณะเดียวกันเขาก็วางแผนที่จะเคลื่อนย้ายผืนแผ่นดินของหุบเขาสยบปีศาจ ไปยังละแวกใกล้เคียงของอาณากระบี่หวูจี๋เช่นกัน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็จะทำให้ผู้คนในหุบเขาสยบปีศาจปลอดภัยมากยิ่งขึ้น สามารถสั่งสมยกระดับศักยภาพก่อนมหันตภัยจะมาเยือน
ในช่วงเวลาที่เขาไม่อยู่นี้ เหยียนซีโรว่และเหยียนเยว่เอ๋อร์จัดการดูแลระบบระเบียบในหุบเขาสยบปีศาจได้ดีเยี่ยมมาก ๆ
กองกำลังของหุบเขาสยบปีศาจที่อยู่ใต้บังคับบัญชาเขาแบ่งออกเป็นสามส่วน ซึ่งได้แก่เผ่าจี้ ตระกูลเทพสงครามรวมไปถึงภูเขาว่านเริ่น
ปัจจุบันผู้คนส่วนมากในหุบเขาสยบปีศาจฝึกตนถึงแดนเทพมารแล้ว จอมยุทธ์ที่เป็นกระแสหลักของหุบเขาสยบปีศาจยิ่งบรรลุถึงแดนที่สูงกว่าเทพมารระดับเจ็ด
“ปัจจุบันข้าไม่เพียงเป็นจ้าวหุบเขาสยบปีศาจ ยังเป็นเจ้าสำนักน้อยแห่งอาณากระบี่หวูจี๋ด้วย เมื่อมีการสนับสนุนจากอาณากระบี่หวูจี๋ หุบเขาสยบปีศาจของเราก็มีโอกาสรอดพ้นอยู่ในมหันตภัยสูงขึ้น”
หลัวซิวเรียกระดับสูงของกองกำลังทั้งสามมารวมตัวกัน แล้วถ่ายทอดความคิดของตัวเองให้พวกเขาฟัง
ถึงแม้หลัวซิวจะไม่ได้ดูแลรักษาอยู่ในหุบเขาสยบปีศาจตลอดทั้งปี แต่ทว่าสำหรับคำสั่งของเขานั้น ไม่ว่าจะเป็นจี้หานยู่ ซิงเฉินหรือประมุขเขาว่านเริ่นลวี่โหลว ต่างไม่กล้าขัดขืนลย
เมื่อปีนั้นครั้นเขาบุกเบิกหุบเขาสยบปีศาจ ก็ได้ทิ้งค่ายกลต้องห้ามไว้ในฟ้าดินของแดนปริศนาแห่งนี้เยอะมาก ๆ เมื่ออาศัยการควบคุมค่ายกลต้องห้ามเหล่านี้ เขาจึงสามารถเคลื่อนย้ายอยู่ในอนัตตาได้อย่างง่ายดาย นำหุบเขาสยบปีศาจเคลื่อนย้ายไปยังโลกร้าง และยิ่งสามารถเคลื่อนย้ายไปยังตำแหน่งใด ๆ ของโลกาดาราทั้งปวงได้ด้วย
ฟ้าดินส่งเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น หุบเขาสยบปีศาจกำลังเริ่มเคลื่อนย้ายอยู่ในอนัตตา หากมีผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์ใช้ตัวสำนึกสัมผัสอนัตตา ก็จะพบว่ามีระลอกคลื่นขนาดใหญ่สั่นกระเพื่อมอยู่ในอนัตตา เพราะมีฟ้าดินเล็ก ๆ ผืนหนึ่งกำลังเคลื่อนไหวอยู่ในอนัตตา
ระดับความเร็วในการเคลื่อนที่อยู่ในอนัตตานั้นรวดเร็วมาก ดังนั้นหลัวซิวจึงใช้เวลาไม่นานนัก ก็ทำการเคลื่อนย้ายฟ้าดินของหุบเขาสยบปีศาจมาถึงละแวกใกล้เคียงของอาณากระบี่หวูจี๋แล้ว
สำหรับเหตุการณ์นี้ ผู้แข็งแกร่งแห่งอาณากระบี่หวูจี๋ย่อมต้องสัมผัสได้อยู่แล้ว เมื่อหลัวซิวออกหน้าเปิดเผยตัวตน จึงลดปัญหาต่าง ๆ ลงไปได้เยอะมาก
ครั้งนี้หลัวซิวไม่ได้ทำให้หุบเขาสยบปีศาจซ่อนเร้นอยู่ในส่วนลึกของอนัตตาอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นการเปิดทางเข้าของหุบเขาสยบปีศาจ เปิดให้ผู้คนภายนอกสามารถเข้าออกหุบเขาสยบปีศาจได้โดยสมบูรณ์
เขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่ามหันตภัยกำลังจะมาเยือน เช่นนั้นผู้คนในหุบเขาสยบปีศาจก็จำเป็นต้องเข้าสังคมเช่นกัน ถึงจะสามารถผ่านการขัดเกลาทีละขั้น แล้วค่อย ๆ เจริญเติบโตขึ้นมา
เขาเชื่อว่าในบรรดาศิษย์ทั้งหมดของเผ่าจี้ ตระกูลเทพสงครามรวมไปถึงภูเขาว่านเริ่น ต้องมีคนสามารถโผล่พรวดพราดขึ้นมาในมหันตภัยได้อย่างแน่นอน กลายเป็นพลังที่เป็นแกนกลางของหุบเขาสยบปีศาจในอนาคต