มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2862
การเลือกฝ่ายที่ว่า ก็คือจุดยืน
สำหรับปัญหานี้ หลัวซิวก็เคยได้พูดคุยกับศิษย์พี่ตู๋กูมาก่อน ดูเหมือนว่าฝ่ายที่มีมกุฎเต๋าหวูจี๋อาจารย์ของเขาเป็นผู้นำนั้น ยังไม่มีท่าทีว่าจะเข้าร่วมฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในขณะนี้
สถานะของหลัวซิวคือนายน้อยแห่งอาณากระบี่หวูจี๋ เช่นนั้นเขาย่อมเป็นตัวแทนของกองกำลังฝ่ายมกุฎเต๋าหวูจี๋
มหาทัณฑ์ครั้งนี้ ไม่มีผู้ใดสามารถหลีกเลี่ยงได้ ที่อาณากระบี่หวูจี๋ยังไม่เลือกยืนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนั้นมิใช่ว่าต้องการนั่งบนภูดูเสือกัด แต่สถานการณ์ยังไม่พัฒนาการถึงขั้นที่ทำให้อาณากระบี่หวูจี๋จำเป็นต้องเลือกฝ่าย
ตอนที่หลัวซิวกำลังครุ่นคิดเรื่องราวเหล่านี้อยู่นั้น ฮวงหวูจี๋ก็แอบกล่าวอยู่ในใจ “ท่านพ่อเคยบอกกับข้าว่าอาณากระบี่หวูจี๋มิได้ง่ายอย่างที่มองเห็น ยังเคยบอกอีกว่าชนเผ่าฮวงของข้าหากต้องการอยู่รอดในมหาทัณฑ์ครั้งนี้ จักต้องสร้างมิตรภาพที่ดีกับอาณากระบี่หวูจี๋……”
“ข้าเป็นเจ้าเมืองน้อยของเมืองต้าฮวงโบราณ ส่วนสหายหลัวเป็นนายน้อยของอาณากระบี่หวูจี๋ ดูท่าแล้วข้าจักต้องรักษาความสัมพันธ์อันดีงามกับสหายหลัวเอาไว้”
ในตอนที่ฮวงหวูจี๋กำลังคิดอยู่ในใจนั่นเอง จู่ ๆ บนท้องฟ้าเหนือเมืองต้าฮวงโบราณก็รายล้อมไปด้วยแสงเทว พบเพียงว่ามีตำหนักโบราณคร่ำครึหลังหนึ่งลอยลงมาจากบนฟ้า ลงสู่เมืองต้าฮวงโบราณ มีนักยุทธ์มากมายรายล้อมอยู่รอบตำหนัก อย่างต่ำล้วนมีผลการฝึกตนในแดนเทพมารระดับเก้า
“ตำหนักวัฏสงสาร?”
หลัวซิวเดินออกมาด้านนอกพร้อมกับฮวงหวูจี๋ เมื่อเขามองเห็นตำหนักที่ลงประทับบนเมืองต้าฮวงโบราณ รูม่านตาก็หดเล็กลงทันที
ตำหนักวัฏสงสารเป็นส่วนหนึ่งของกงล้อวัฏจักรธรรม เคยตกอยู่ในมือของหลัวซิวมาก่อน ต่อมาได้ถูกเมิ่งเชียนชางแย่งไป ยามนี้ตำหนักวัฏสงสารได้มาปรากฏที่เมืองต้าฮวงโบราณ นั่นไม่หมายความว่าเมิ่งเชียนชางก็มาแล้วด้วยหรอกหรือ?
“การปรากฏตัวของเจ้าหมอนั่นไม่ธรรมดาเลยนะ……”
หลัวซิวหรี่ตาลงเล็กน้อย จากที่เขาทราบมา แม้ว่าเมิ่งเชียนชางจะได้สร้างกองกำลังหนึ่งขึ้นมา แต่ด้วยรากฐานของเขา ยังไม่ถึงขั้นกับกล้าวางเชิงลงประทับบนเมืองต้าฮวงโบราณเช่นนี้
“สหายหลัวคงจะไม่ทราบ เมิ่งเชียนชางผู้นี้คือโอรสฟ้าศักดิ์สิทธิ์ของจ่างเทียนตี้”
ฮวงหวูจี๋มองออกถึงความสงสัยของหลัวซิว ดังนั้นจึงได้กล่าวอธิบาย เขาย่อมรู้เป็นธรรมดาว่าเมิ่งเชียนชางเป็นศัตรูเก่าของไท่ซ่างฉิงที่ซึ่งเป็นชาติเก่าของหลัวซิว
“จ่างเทียนตี้!?”
ไอสังหารอันน่าตกตะลึงแผ่ซ่านออกมาจากดวงตาของหลัวซิว เขาจะไม่มีวันลืมเรื่องที่ศิษย์พี่ตู๋กูเคยเล่าให้ฟังอย่างแน่นอน ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการตายของจี้หวูชวง ก็คือสายจ่างเทียนตี้นั่นเอง!
เจตนาฆ่าของด้านหลัวซิวผุดขึ้นมา เมิ่งเชียนชางที่ลงประทับเมืองต้าฮวงโบราณก็รับรู้ได้ทันที และหันมองมาทางเขา
เมื่อเขาได้มองเห็นหลัวซิว ไอสังหารก็ปรากฏขึ้นมาในดวงตาของเขาทันที “ไท่ซ่างฉิง!”
ไม่ว่าจะเป็นชาติก่อนหรือชาตินี้ เขาก็ไม่อาจลืมเลือนความโกรธแค้นในใจที่มีต่อไท่ซ่างฉิงได้
“เจ้าเป็นใครกัน? ช่างบังอาจนัก ถึงกลับกล้าคิดสังหารโอรสฟ้าศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรา”
ในบรรดาผู้ติดตามของเมิ่งเชียนชาง เทพมารระดับเก้าผู้หนึ่งได้ก้าวออกมา ก้มหน้ามองต่ำ ก้มมองหลัวซิว ตวาดอย่างเยือกเย็น
“ไสหัวไป!” หลัวซิวกล่าวอย่างเรียบ ๆ และมิได้เหลือบมองคนผู้นี้เลยสักนิด จับจ้องเมิ่งเชียนชางอย่างไม่ละสายตา
จากที่เขาทราบมา เมิ่งเชียนชางเป็นผู้สืบทอดของจ้าววัฏสงสาร ที่เขาฝึกฝนนั้นคือเคล็ดวัฏสงสารเลิศล้ำ ทว่าจู่ ๆ เขากลับกลายเป็นโอรสฟ้าศักดิ์สิทธิ์ผู้ซึ่งจ่างเทียนตี้อะไรนั่น นี่ทำให้หลัวซิวเกิดความคาดเดาและสงสัยบางอย่างต่อที่มาของกองกำลังจ่างเทียนตี้ขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“เจ้าว่าอย่างไรนะ?” คนที่ตวาดขึ้นเมื่อสักครู่คือมกุฎเทพระดับเก้าที่มีชื่อเสียงไม่น้อยคนหนึ่ง ตอนนี้กลับถูกหลัวซิวเมินเฉย จึงมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
“มกุฎเทพหมิงฉือ ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นผู้แข็งแกร่งที่มีชื่อเสียงมานาน ไม่นึกเลยว่าจะกลายเป็นสุนัขรับใช้ของจ่างเทียนตี้ สหายหลัวให้เจ้าไสหัวไป เจ้าไม่ได้ยินหรืออย่างไร?”
ฮวงหวูจี๋ที่อยู่อีกด้านหัวเราะเยาะขึ้นมา พลางกล่าวเย้ยหยันอย่างไม่ไว้หน้า
แต่ไหนแต่ไรมากองกำลังจ่างเทียนตี้ลึกลับเป็นที่สุด ต่อให้เป็นชนเผ่าฮวงเองก็หวาดเกรงอยู่บ้าง อีกอย่างตั้งแต่โบราณมาจนถึงวันนี้ผู้ที่อยู่เบื้องหลังแผนร้ายที่คอยเล่นงานชนเผ่าฮวงล้วนมีเงาของจ่างเทียนตี้อยู่ ดังนั้นท่าทีที่ฮวงหวูจี๋มีต่อคนของจ่างเทียนตี้ ก็ย่อมไม่เป็นมิตรสักเท่าไรอยู่แล้ว
มกุฎเทพหมิงฉือคนนั้นถูกฮวงหวูจี๋ด่าไปหนึ่งประโยค ก็มีสีหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันที ทว่าที่นี่คือเมืองตนเองวงโบราณ เป็นอาณาจักรของฮวงหวูจี๋ แม้ว่าในใจเขาจะโกรธแค้นเพียงใด ก็ได้แต่โมโหแต่ทำอะไรไม่ได้
เขาไม่กล้ามีเรื่องกับฮวงหวูจี๋ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่กล้าหาเรื่องคนอื่น ดังนั้นความโกรธมหาศาลจึงได้หันไปหาหลัวซิวทันที แล้วกล่าวด้วยใบหน้าดุร้าย: “เจ้าคนนี้……”
“รำคาญ!”
หลัวซิวขมวดคิ้ว ยกมือขึ้นโบก มกุฎเทพหมิงฉือผู้นั้นพลันรู้สึกถึงพลังมหาศาลพุ่งเข้าหาตนเองอย่างดุเดือด
พบเพียงว่ามกุฎเทพหมิงฉือมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ยกสองแขนขึ้นขวางเอาไว้ ร่างของเขาสั่นสะท้าน แล้วลอยออกไปทันที ลอยไปทางตำหนักวัฏสงสารของเมิ่งเชียนชาง
หลัวซิวดูเหมือนว่าเพียงโบกมือเท่านั้น มิได้ราบรวมพลังแห่งกฎเกณฑ์หรือพลังเต๋าใด ๆ อยู่เลย แต่ใช้เพียงร่างเนื้ออสุราเท่านั้น
ในตอนนี้เอง เมิ่งเชียนชางได้ดีดแสงเทวสายหนึ่งออกมาจากนิ้วเพื่อรับมกุฎเทพหมิงฉือเอาไว้ ให้มกุฎเทพหมิงฉือผู้นั้นร่วงลงบนพื้นเบา ๆ ถึงมิได้ขายหน้าอยู่ตรงตรงนี้
“ไท่ซ่างฉิง เจ้าไม่ทำให้ข้าผิดหวังเลยจริง ๆ หากฝีมือของเจ้าอ่อนแอเกินไป เช่นนั้นการสังหารเจ้าอย่างง่ายดาย มันจะเป็นความเสียดายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของข้า”
เมิ่งเชียนชางเดินเหยียบอากาศเข้ามา ตำหนักวัฏสงสารหดเล็กลงลอยอยู่ด้านหลังศีรษะของเขา เทพมารมากมายหลายคนเดินตามเขามา ตรงเข้ามาที่ด้านหน้าหลัวซิว
เมิ่งเชียนชางในตอนนี้ แข็งแกร่งขึ้นกว่าที่หลัวซิวเคยได้เห็นมาแต่ก่อน เหมือนว่าหลังจากกันในสถานแหล่งเต๋า เมิ่งเชียนชางก็ได้รับโอกาสและความโชคดีอีกมากมาย ผลการฝึกตนของเขานั้นได้บรรลุถึงแดนมกุฎเทพขั้นเก้าเป็นที่เรียบร้อย
แม้จะเป็นมกุฎเทพขั้นเก้า แต่คลื่นพลังอันแข็งแกร่งกับพลังเต๋าที่รายล้อมอยู่ทั่วร่างของเมิ่งเชียนชาง กลับมิได้ด้อยไปกว่าผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิเทพเลยสักนิด
เส้นทางแห่งวัฏสงสารของเขาก็ขยับเข้าใกล้ความสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น รากฐานในชาตินี้ มั่นคง และแข็งแกร่งยิ่งกว่าเมื่อชาติที่แล้ว เป็นยอดอัจฉริยะซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะบรรลุแดนประมุขเต๋า
“งั้นหรือ?”
จู่ ๆ หลัวซิวก็หัวเราะขึ้นมา สายตาจ้องมองดวงตาของเมิ่งเชียนชาง กล่าวอย่างเน้นย้ำทีละคำ: “หากเจ้ามิได้เข้าร่วมจ่างเทียนตี้ แล้วมาท้าประลองข้าในอนาคต ถ้าเจ้าแพ้ เห็นแก่หน้าเมิ่งเสี้ยบางทีข้าอาจไว้ชีวิตเจ้าก็ได้ ทว่าเจ้ากลับได้เข้าร่วมจ่างเทียนตี้ เช่นนั้นก็ถูกกำหนดไว้แล้วว่าเจ้าต้องถูกข้าเอาชีวิต ตายอย่างอนาถมิอาจทนดู!”
ตอนที่กล่าวคำพูดพวกนี้ออกมา หลัวซิวที่ค่อนข้างสงบและเป็นมิตร แววตาก็เปลี่ยนเป็นอำมหิตขึ้นมา เฉกเช่นสัตว์ร้ายที่กำลังแยกเขี้ยวของมัน
“ฮ่า ๆ ๆ ……” เมิ่งเชียนชางเงยหน้าหัวเราะเสียงดัง ผมสายปลิวไสว “ไท่ซ่างฉิง เจ้ามองตัวเองสูงเกินไปแล้ว เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน? เจ้าคิดว่ามีอาณากระบี่หวูจี๋คอยหนุนหลังก็ยโสโอหังได้แล้วอย่างนั้นหรือ? เจ้าไม่มีทางรู้เลยว่าจ่างเทียนตี้นั้นแข็งแกร่งเพียงใด อาณากระบี่หวูจี๋เมื่ออยู่ต่อหน้าจ่างเทียนตี้ของเรา เป็นแค่ฝุ่นเม็ดหนึ่งเท่านั้น!”
เมื่อได้ยินเมิ่งเชียนชางกล่าวออกมาเช่นนี้ หลัวซิวก็รู้แล้วว่าเจ้าหมอนี่ไม่ทราบถึงเบื้องลึกของอาณากระบี่หวูจี๋
“ทำความจริงให้เห็นดีกว่าเอาแต่พูด!” หลัวซิวคร้านที่จะเปลืองน้ำลายกับเขา
“ความจริง? ในเมื่อเจ้าต้องการความจริง เช่นนั้นวันนี้เจ้ากับข้ามาประลองกัน เจ้ากล้าหรือไม่?” ไอสังหารแผ่ซ่านออกมาจากดวงตาของเมิ่งเชียนชาง
“เมิ่งเชียนชาง ดูท่าเจ้ายิ่งมีชีวิตนานก็ยิ่งถอยหลังกลับ ข้ามีผลการฝึกตนในแดนเทพมารระดับเก้า ส่วนเจ้าเป็นมกุฎเทพระดับเก้าไปแล้ว อาศัยผลการฝึกตนเหนือกว่าข้าถึงสองแดนใหญ่มาท้าประลองข้า นี่หนังหน้าของเจ้าด้านจนถึงขั้นนี้แล้วหรือ?”
หลัวซิวกล่าวอย่างเย้ยหยัน ย่อมจะไม่ถูกอีกฝ่ายยั่วโมโหได้ง่าย ๆ อยู่แล้ว แม้ว่าพลังการต่อสู้ของเขาไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวมกุฎเทพระดับเก้า ทว่าเมิ่งเชียนชางกลับมิใช่มกุฎเทพระดับเก้าธรรมดาทั่วไป หลัวซิวรู้ตัวเองดีว่าหากประมือกับเขาในตอนนี้ เขาไม่มีความมั่นใจว่าจะเอาชนะได้
“ในอนาคตหากข้าบรรลุถึงแดนราชาเทพขั้นเก้า หากเจ้ายังคงเป็นมกุฎเทพระดับเก้า ข้าสามารถเอาชีวิตเจ้าได้ทุกเมื่อ!”
“สามหาวยิ่งนัก ในเมื่อเจ้าไม่กล้าประลองกับข้า เช่นนั้นมกุฎเทพใต้บัญชาของข้า เจ้ากล้าประลองหรือไม่?” เมิ่งเชียนชางกล่าว
หลัวซิวรู้ว่าเมิ่งเชียนชางทำเช่นนี้ก็เพื่อทดสอบความแท้จริงของตนเอง เขาต้องการรู้ว่าความสามารถของตนเองบรรลุถึงขันใดแล้วกันแน่ จะเป็นภัยคุกคามกับเขามากเพียงใดในอนาคต
ภาพเหตุการณ์ที่เมื่อสักครู่เขาโบกมือบีบถอยมกุฎเทพหมิงฉือ แน่นอนว่าเมิ่งเชียนชางจะไม่ลืม เพียงแค่เป็นเทพมารระดับเก้าก็ร้ายกาจเช่นนี้แล้ว เขาย่อมจะต้องทดสอบความตื้นลึกหนาบางของไท่ซ่างฉิงให้ดี
“เจ้าให้คนใต้บัญชามารนหาที่ตายหรือ? ก็ดี ก่อนจะเอาชีวิตเจ้าในอนาคต เอาชีวิตลูกน้องของเจ้าก่อนก็นับว่าได้กำไร!”
เพราะเรื่องการตายของจี้หวูชวง หลัวซิวควบคุมความต้องการฆ่าภายในใจที่กำลังเดือดดาลเอาไว้ ตอนนี้เห็นเมิ่งเชียนชางขยับใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ เหยียบจมูกขึ้นหน้า เขาไม่รังเกียจที่จะใช้โอกาสนี้เพื่อระบายอารมณ์สักหน่อย
“โอรสฟ้าศักดิ์สิทธิ์ ให้ข้าเป็นคนสั่งสอนเจ้าคนไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำคนนี้เถิดขอรับ!”
เทพมารวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินออกมา รอบการรายล้อมไปด้วยไอสังหาร ดูก็รู้ว่าเป็นตัวละครโหดเหี้ยมที่ผ่านการเข่นฆ่ามามากมาย รัศมีพลังที่แผ่ซ่านออกมาก็แข็งแกร่งกว่ามกุฎเทพหมิงฉืออีกมากนัก
“เจ้าหนุ่ม ข้าไม่สนหรอกนะว่าชาติที่แล้วเจ้าเป็นผู้ใด เจ้าฟังเอาไว้ให้ดี คนที่ฆ่าเจ้าคือ……”
เทพมารวัยกลางคนยังไม่ทันจะกล่าวจบ กลับพบว่าหลัวซิวได้โบกมือตัดไป แล้วกล่าวอย่างเรียบ ๆ : “ข้าไม่อยากรู้ชื่อของคนตายหรอกนะ”
ระหว่างที่พูดนั้น หลัวซิวยกมือซัดออกไปหนึ่งฝ่ามือ ภายใต้การปลุกเสกเบิกเนตรของร่างศักดิ์สิทธิ์วิถีเซียน พลังอมตะตราต้าฮวงเพิ่งถูกใช้ออกมา ห้วงเวลาที่อยู่โดยรอบต่างก็ถูกผนึกเอาไว้ ในสายตาของเทพมารวัยกลางคนผู้นั้น ทุกสิ่งในโลกต่างไร้ซึ่งสีสัน เหลือเพียงฝ่ามือข้างหนึ่ง ซัดเข้ามาหาเขาอย่างแรง
วินาทีนี้ สีหน้าของเทพมารวัยกลางคนเปลี่ยนไปทันที เห็นเพียงเขาตวาดขึ้นมา พลังอมตะนับสิบสายระเบิดออกมา แรงเต๋าแดนมกุฎอันมหาศาลโหมซัด กระเพื่อมอนัตตา
“ครืนนน!”
ฝ่ามือข้างหนึ่งของหลัวซิวซัดลงมาอย่างรุนแรง พลังอมตะนับสิบสายต่างทลายลงภายใต้การกดทับของฝ่ามือของเขา อนัตตาที่เทพมารวัยกลางคนผู้นั้นอยู่ถูกทำลายหายไปทันที มีเพียงชี่อลวนที่กระเพื่อมออกมาจากการแหลกสลายของปริภูมิ
ส่วนร่างของเทพมารวัยกลางคนผู้นั้น ไม่เหลือแม้แต่กระดูก แม้กระทั่งเศษเถ้าธุลีก็ไม่มีเหลือเลย
ทันทีทันใด ผู้คนทั่วทั้งเมืองต้าฮวงโบราณที่ได้เห็นเหตุการณ์ต่างตกอยู่ในความเงียบ ทุกคนต่างมองอนัตตาที่ถูกทำลายลงภายในฝ่ามือเดียวอย่างเหม่อลอย
อาศัยผลการฝึกตนเทพมารระดับเก้า สามารถสังหารมกุฎเทพระดับเก้าได้ด้วยฝ่ามือเดียว?
แม้แต่เมิ่งเชียนชางเองก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เขามั่นใจว่าด้วยผลการฝึกตนในตอนนี้ของเขาสามารถต้านทานพลังอมตะที่หลัวซิวแสดงออกมาในเมื่อสักครู่ได้ แต่ถ้าหากผลการฝึกตนของหลัวซิวบรรลุถึงราชาเทพขั้นเก้าแข็งแกร่งขึ้น เช่นนั้นความสามารถอย่างในตอนนี้ เข้าจักต้องรับมือไม่ได้แน่
วินาทีนี้ เขาได้เชื่อที่หลัวซิวกล่าวเมื่อสักครู่ขึ้นมาแล้วจริง ๆ ทันทีที่หลัวซิวบรรลุถึงแดนราชาเทพขั้นเก้าและตัวเองยังคงเป็นมกุฎเทพระดับเก้าอยู่ เมื่อประมือกัน เกรงว่าคงถูกเขาฆ่าตายได้จริง ๆ!