มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake – บทที่ 2864 ยอดอัจฉริยะที่มีคุณสมบัติกลายเซียน

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2864 ยอดอัจฉริยะที่มีคุณสมบัติกลายเซียน

มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2864

แสงเทวไร้สิ้นสุดพุ่งออกมาจากเตาเทว ทุกที่ที่แสงเทวแผ่ซ่านไปถึง อนัตตาแหลกละเอียด สรรพสิ่งสูญสลาย

แสงเทวรวมตัวอย่างไม่ขาดสาย กลายเป็นเงาร่างมนุษย์สูงตระหง่านร่างหนึ่ง เฉกเช่นผู้สูงส่งในโลก ดูหมิ่นนานาสรรพสิ่ง!

พบเพียงว่าเงาร่างผู้สูงส่งยกมือข้างหนึ่งขึ้นแล้วกดลงไป แสงดาวที่แปลงมาจากค่ายกลที่สร้างโดยร้อยแปดดาราถูกซัดจนกระจัดกระจาย

เตาอลวนหวูจี๋ลอยอยู่เหนือศีรษะของหลัวซิว ขอเพียงเขาขับเคลื่อนห้วงความคิด เงาร่างผู้สูงส่งที่เกินขึ้นจากการผนึกรวมแสงเทวอลวน ก็จะโจมตีตามที่เขาต้องการ

ในตอนนี้เอง แสงกระบี่ที่เกิดขึ้นจากพลังอมตะต้วนคง ได้กวดเข้ามาในแนวนอน เงาร่างผู้สูงส่งยกแขนทั้งขึ้นขวาง เสียงคำรามสนั่นหวั่นไหวดังก้องอย่างไม่มีสิ้นสุด ฝุ่นละอองคละคลุ้งไปทั่ว

“อะไรน่ะ!”

จู่ ๆ แววตาของจักรพรรดิเทพต้วนคงก็เปลี่ยนไป เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพลังอมตะต้วนคงของตนเองได้ถูกทำลายลง

ในขณะเดียวกัน จักรพรรดิเทพอีกสามคนที่เหลือต่างก็รูม่านตาหดเล็กลง “เหตุใดฝีมือของเจ้าหลัวซิวคนนี้ถึงได้แข็งแกร่งเช่นนี้ และเตาเทวใบนี้ของมันมีที่มาอย่างไร?”

“การโจมตีในเมื่อสักครู่ต่อให้เป็นจักรพรรดิเทพธรรมดาทั่วไปก็ต้องร่างตายเต๋าสายอย่างแน่นอน ดูท่าข้อมูลที่แดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจให้มามิได้กล่าวเกินไปเลยสักนิด เจ้าคนนี้แม้จะเป็นเพียงเทพมาระดับเก้า แต่กลับฆ่าได้ยากยิ่งกว่าจักรพรรดิเทพธรรมดาทั่วไปเสียอีก!” จักรพรรดิเทพต้วนคงกล่าวเสียงเข้ม

แม้ว่าจักรพรรดิเทพทั้งสี่จะตกตะลึง ทว่าสีหน้าท่าทางกลับไม่มีความลนลานอยู่เลยสักนิด

พบเพียงว่าพลังตราประทับในมือของจักรพรรดิเทพเจี้ยนบูเปลี่ยนแปลงไปมา อนัตตาฟ้าดินสั่นสะท้านคำราม ค่ายกลร้อยแปดดารากระจายแสงดาวออกมามากยิ่งขึ้น กลายเป็นโซ่แสงดาวสายแล้วสายเล่า

ในโซ่แสงดาวเหล่านี้ มีโซ่แสงดาวเก้าเส้นที่ค่อนข้างหนาใหญ่ เฉกเช่นแสงดาวมังกรยักษ์ ทะยานอยู่กลางอากาศ

จักรพรรดิเทพเจี้ยนบูไม่ชำนาญด้านการโจมตี แต่กลับมีฝีมือพันธนาการศัตรูที่ค่อนข้างพิเศษ

เพียงชั่วพริบตา ภายใต้ผลกระทบจากวิชาตราประทับของจักรพรรดิเทพเจี้ยนบู โซ่แสงดาวมากมายนับไม่ถ้วนพุ่งรายล้อมเข้าหาหลัวซิวอย่างมืดฟ้ามัวดิน โซ่แสงดาวสายแล้วสาวเล่าราวกับหมื่นมังกรทะยานฟ้า ยาวนับร้อยลี้ กระแสเสียงน่าตกตะลึง

หลัวซิวขับเคลื่อนเตาอลวนหวูจี๋ควบคุมเงาลวงผู้สูงส่งด้วยเตาเทวให้สองมือโบกสะบัด ทำลายโซ่แสงดาวที่พุ่งเข้ามา ทว่าโซ่แสงดาวที่อยู่รอบ ๆ มีมากเกินไป เขาจึงได้แต่รับมือ ไม่มีทางหาโอกาสโจมตีกลับได้เลย

นี่ก็คือฝีมือที่แท้จริงของจักรพรรดิเทพ แค่จักรพรรดิเทพเจี้ยนบูคนเดียวก็สยบจนหลัวซิวต้องตกเป็นรอง แถมยังมีจักรพรรดิเทพต้วนคงคอยโจมตีสนับสนุนอยู่ด้านข้าง หากไม่ใช่เพราะความแข็งแกร่งของเตาอลวนหวูจี๋แม้ว่าร่างยุทธ์ร่างเนื้อของหลัวซิวจะทัดเทียมได้กับร่างของจักรพรรดิเทพ เกรงว่าก็คงต้องตายไปนานแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้นยังมีจักรพรรดิเทพอีกสองคนอย่างหนานกวนกับเทียนหยวนที่ยังไม่ได้ลงมือ นี่ทำให้หลัวซิวที่ถูกขังอยู่ในค่ายดารารับรู้ได้ว่า ครั้งนี้ตนเองค่อนข้างอันตรายจริง ๆ แล้ว

……

บริเวณปากทางเข้าหุบเขากระบี่ของอาณากระบี่หวูจี๋ ตู๋กูเจี้ยนเฉินได้มาถึงตรงนี้

ผลการฝึกตนของเขาเพิ่งบรรลุมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรแปดได้ไม่นาน ก่อนหน้านี้ได้ปิดขังตนฝึกฝนอย่างสงบอยู่ในที่พักของตนเอง เพื่อมั่นคงผลการฝึกตน

ทว่าเมื่อสักครู่นั่นเอง เขาถูกเจ้าแดนเรียกพบ ให้เขามายังหุบเขากระบี่แห่งนี้

เจ้าแดนแห่งอาณากระบี่นั้นลึกลับแต่ใดมา และตู๋กูเจี้ยนเฉินก็ยิ่งทราบเป็นอย่างดี เจ้าแดนของอาณากระบี่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยสักครั้ง ซึ่งนั่นก็หมายความว่า นับตั้งแต่อาณากระบี่หวูจี๋ก่อตั้งขึ้น เจ้าแทนท่านนี้ก็ดำรงอยู่มาโดยตลอด

และการก่อตั้งของอาณากระบี่หวูจี๋ ต้องย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยวัฏสงสาร การดำรงอยู่เช่นไรถึงได้มีชีวิตอยู่นานถึงขนาดนี้?

ด้วยเหตุนี้ ในใจของบรรดาลูกศิษย์ของตระกูลตู๋กูทุกคน เจ้าแดนนั้นลึกลับเป็นอย่างมาก

ด้วยความรู้สึกเคารพเลื่อมใสบางอย่าง ตู๋กูเจี้ยนเฉินได้มาถึงเรือนที่ตั้งอยู่ใจกลางหุบเขากระบี่

“ศิษย์รุ่นหลังตู๋กู น้อมพบจ้าแดน……”

ตู๋กูเจี้ยนเฉินยืนมอยู่หน้าประตูเรือน แล้วกล่าวทำความเคารพอย่างนอบน้อม

“อืม เจ้ามาแล้วหรือ”

เสียงราบเรียบดังออกมาจากด้านในเรือน ทว่าประตูเรือนกลับมิได้เปิดออก

“ในบรรดาศิษย์รุ่นหลังสายของข้า เจ้านับว่าเป็นอัจฉริยะวิถีกระบี่ที่โดดเด่นเหนือผู้อื่น และบัดนี้ได้บรรลุถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรแปดแล้ว นอกจากนี้ด้วยความช่วยเหลือจากศิษย์น้องเล็กได้ทำให้รากฐานผู้สูงส่งมั่นคง ก็นับว่าเจ้าสำเร็จบริบูรณ์แล้ว

คำพูดที่ลอยออกมาจากในเรือน ทำให้ตู๋กูเจี้ยนเฉินหัวใจสั่นสะท้าน ที่เขาสามารถมั่นคงรากฐานผู้สูงส่งได้ ก็เพราะอาศัยม้วนหยกทั้งสามที่หลัวซิวมอบให้ เช่นนั้นศิษย์น้องเล็กคนนี้ที่เจ้าแดนกล่าวถึง ก็คือหลัวซิวเองมิใช่หรือ?

ตู๋กูเจี้ยนเฉินไม่รู้ว่าหลัวซิวกลายเป็นศิษย์น้องของเจ้าแดนได้อย่างไร ทว่าเขาก็สัมผัสได้อย่างเลือนรางว่าในนี้มีเรื่องราวที่คนอื่นไม่รู้ซ่อนอยู่มากมาย

ตู๋กูเจี้ยนเฉินไม่คิดไปสืบเสาะเรื่องราวเหล่านี้ เพราะเขาทราบดีว่าเรื่องบางเรื่องที่เขาควรรับรู้ เขาย่อมจะได้รู้มันเอง เรื่องที่เขาไม่ควรรู้ ก็ไม่รู้จะดีกว่า

เหมือนว่าเจ้าแดนจะพอใจกับปฏิกิริยาของตู๋กูเจี่ยนเฉินเป็นอย่างมาก เสียงของเขาดังลอยมาอย่างเรียบ ๆ “เจ้าสามารถบรรลุถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรแปดได้อย่างราบรื่น พูดได้ว่าอาจารย์อาเล็กของเจ้าคนนั้นมีความดีความชอบไม่น้อย และตอนนี้เขากำลังเผชิญหน้ากับความลำบาก เจ้าก็ไปช่วยเขาให้หลุดพ้นจากความลำบากในครั้งนี้เถิด”

ตอนที่ตู๋กูเจี้ยนเฉินเดินออกมาจากหุบเขากระบี่ บนใบหน้าของเขาก็อดไม่ได้ที่จะมีท่าทางพูดไม่ออกบอกไม่ถูกปรากฏขึ้นมา เหตุใดเพียงแค่ชั่วพริบตา เจ้าหลัวซิวคนนั้นได้กลายเป็นอาจารย์อาของตนเองไปเสียแล้วเล่า?

……

เมิ่งเชียนชางมองสนามรบอยู่ไกล ๆ แววความเย้ยหยันปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเขา “คิดไม่ถึงว่าไท่ซ่างฉิงจะมีลูกเล่นอยู่ไม่น้อยเลย น่าเสียดายเมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีของจักรพรรดิเทพทั้งสี่ มันจักต้องตายอย่างแน่นอน”

“จักรพรรดิเทพเจี้ยนบู จักรพรรดิเทพต้วนคงเป็นเพียงอาหารเรียกน้ำย่อยเท่านั้น คนที่ร้ายกาจที่สุดในบรรดาจักรพรรดิเทพทั้งสี่ยังคงเป็นจักรพรรดิเทพเทียนหยวน ในมือของจักรพรรดิเทพหนานกวนยังครอบครองเศษณ์มหาจักรพรรดิยุทธ์ที่อานุภาพเลิศล้ำอยู่ด้วย!”

บนสนามรบในตอนนี้ หลัวซิวเองก็จนปัญญา ตอนนี้มีเพียงจักรพรรดิเทพเจี้ยนบูกับจักรพรรดิเทพต้วนคงที่ลงมือก็สยบเขาเอาไว้ในค่ายกลดาราได้แล้ว

“ผลการฝึกตนของข้ายังคงต่ำเกินไป ขับเคลื่อนอานุภาพของเตาอลวนหวูจี๋ออกมาได้ไม่มากสักเท่าไรนัก หากข้ามีผลการฝึกตนในแดนราชาเทพขั้นเก้า ด้วยอานุภาพของเตาเทวก็จะสามารถทำลายค่ายกลดารานี้ได้อย่างง่ายดาย

เมื่อเห็นว่าจักรพรรดิเทพเจี้ยนบูกับจักรพรรดิเทพต้วนคงนานแล้วก็ยังกำจัดเขาไม่ได้ จักรพรรดิเทพหนานกวนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย กล่าว: “สถานะของคนผู้นี้ค่อนข้างอ่อนไหว หากชักช้าจะเกิดดความเปลี่ยนแปลงเอา ต้วนคงเจ้าถอยไป ให้ข้าจู่โจมเอง”

“ได้!” จักรพรรดิเทพต้วนคงพยักหน้าถอยออกไปด้านข้างอย่างไม่ลังเล แม้เขาจะชำนาญการโจมตีด้วยพลังอมตะ แต่หากพูดถึงด้านความแข็งแกร่งของพลังโจมตี เขารู้ตัวดีว่าเทียบไม่ได้กับจักรพรรดิเทพหนานกวนที่มีเศษณ์มหาจักรพรรดิยุทธ์ในมือ

“สยบ!”

เห็นเพียงจักรพรรดิเทพหนานกวนขยับมือวาดพลังตราประทับ จู่ ๆ แสงสีทองสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากตรงกลางระหว่างคิ้วของเขา แสงทองขยายประสานลม กลายเป็นบานประตูยักษ์ที่สลักมังกรแกะหงส์ แสงทองเปล่งประกาย ตั้งสูงตระหง่าน

สมบัติชิ้นนี้ มีชื่อว่าประตูหนานเทียน ที่ซึ่งผู้แข็งแกร่งที่ขนานนามตนว่าเทียนตี้ และยังได้ก่อตั้งกองกำลังที่ชื่อว่าวิมานสวรรค์ในยุคไท่ชูผู้หนึ่งสร้างขึ้น

เทียนตี้ท่านคนเคยยโสอวดดีเกือบตลอดยุคหนึ่ง จนกระทั่งประมุขเต๋าชิงเทียนปรากฏขึ้น ถึงได้สยบวิมานสวรรค์ สังหารเทียนตี้ผู้นั้น

เทียนตี้ชำนาญการกลั่นสมบัติ หลังจากวิมานสวรรค์ล่มสลาย สมบัติที่เขากลั่นขึ้นได้กระจายไปยังที่ต่าง ๆ ในโลก อานุภาพเลิศล้ำ

วินาทีที่ประตูหนานเทียนถูกเซ่นออกมา หลัวซิวก็สัมผัสได้ถึงอันตราย พบเพียงว่าประตูสีทองอร่ามบานหนึ่งได้กดทับลงมา เขาขับเคลื่อนเตาอลวนหวูจี๋ทันที เงาลวงผู้สูงส่งยกมือข้างหนึ่งขึ้น ซัดเข้าไปหาประตูหนานเทียนอย่างแรง

“ตึง!”

เสียงดังสนั่นหวั่นไหวกึกก้องไปทั่ว มือใหญ่ของเงาลวงผู้สูงส่งถูกกระแทกจนแตกออกเป็นชิ้น ๆ แรงกระแทกอันแข็งแกร่งสุดขีดผ่านเข้ามาทางเงาลวงผู้สูงส่ง และเลื่อนผ่านเตาอลวนหวูจี๋เข้ามาส่งผลให้กับร่างของหลัวซิว ทำให้เขารู้สึกเหมือนดั่งมีเขาเซียนลูกหนึ่งชนเข้ามา จนมีเลือดไหลออกมาที่มุมปาก

“อานุภาพร้ายแรงยิ่งนัก!”

นัยน์ตาของหลัวซิวหดลงทันที เขาย่อมสัมผัสได้อยู่แล้วว่าสมบัติที่อีกฝ่ายเซ่นออกมานั้นอยู่ในระดับเศษณ์มหาจักรพรรดิยุทธ์

จักรพรรดิเทพวัฏจักรเจ็ดผู้หนึ่งขับเคลื่อนเศษณ์มหาจักรพรรดิยุทธ์ อิทธิฤทธิ์ย่อมต้องร้ายกาจกว่าเทพมารระดับเก้าอย่างเขาขับเคลื่อนอาวุธเทพมหาศักดิ์มากมายหลายเท่าตัว

เนื่องจากผลการฝึกตนของเขาต่ำเกินไป อย่างมากก็แค่แสดงอานุภาพของเตาอลวนหวูจี๋ออกมาได้เพียงส่วนเดียวเท่านั้น แต่หากผลผู้มีผลการฝึกตนลึกล้ำอย่างจักรพรรดิเทพวัฏจักรเจ็ด กลับสามารถแสดงอานุภาพของเศษณ์มหาจักรพรรดิยุทธ์ออกมาได้เกือบครึ่ง

“ไม่นึกเลยว่าจะสามารถต้านทานการโจมตีโดยที่ไม่ตายภายในครั้งเดียวของประตูหนานเทียนได้ ดูท่าร่างกายของเจ้าจะแข็งแรงไม่น้อย!”

จักรพรรดิเทพหนานกวนมีสีหน้าเหยียดหยามขึ้นมา เห็นเพียงเขายกมือขึ้นโบก ประตูหนานเทียนส่งเสียงดังกึกก้อง สยบลงมาอย่างต่อเนื่อง

“ครืน! ครืน! ครืน!……”

หลัวซิวขับเคลื่อนเงาลวงผู้สูงส่งต้านรับ ทว่ากลับมีพลังการโจมตีอันแข็งแกร่งผ่านเตาเทวเข้ามากระแทกร่างเขาในทุกครั้ง ทำให้เขารู้สึกเหมือนอวัยวะภายในถูกกระแทกจนแทบแตกละเอียดอยู่แล้ว บนกระดูกในร่างกายเกิดรอยร้าวขึ้นมาอย่างหนาแน่น

ต่อให้เป็นพลังการปกป้องอันแข็งแกร่งอย่างเคล็ดเซียนแปรเก้าแปรที่สาม เมื่อเผชิญหน้ากับการสยบของประตูหนานเทียน มันก็ไม่เป็นประโยชน์อะไรมากนัก

หากไม่มีเตาอลวนหวูจี๋ต้านทานและทำลายพลังการสยบไปซะส่วนใหญ่ ร่างเนื้อของเขาจะไม่อาจต้านทานการโจมตีเพียงครั้งเดียวของประตูหนานเทียนได้เลย

กงล้อเทพวงหนึ่งปรากฏขึ้นด้านหลังศีรษะของหลัวซิว ไร้ลักษณ์แปลงพลังชีวิตฟื้นฟูอาการบาดเจ็บของร่างอยู่ไม่หยุด เช่นนี้ถึงจะยืนหยัดภายใต้การสยบของประตูหนานเทียนฟได้นานยิ่งขึ้น

“เจ้าหนุ่มคนนี้ทนทานเสียเหลือเกิน เพียงแค่ผนึกรวมกงล้อเทพวงหนึ่ง เหตุใดถึงจัดการได้ยากเช่นนี้?” จักรพรรดิเทพหนานกวนโจมตีติดต่อกันหลายครั้งก็ยังควบคุมตัวหลัวซิวไม่ได้ ความไม่อยากจะเชื่อปรากฏขึ้นมาบนใบหน้า

“กงล้อเทพมากน้อยไม่อาจกำหนดความแข็งแก่รงของฝีมือได้ คนผู้นี้ไม่ธรรมดา มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นยอดอัจฉริยะที่มีคุณสมบัติกลายเซียน!”

ในบรรดาจักรพรรดิเทพทั้งสี่ จักรพรรดิเทพเทียนหยวนที่ยังไม่ได้ลงมือเพียงคนเดียวกล่าวขึ้นมาเสียงเข้ม

“ยอดอัจฉริยะที่มีคุณสมบัติกลายเซียน? คำวิจารณ์เช่นนี้สูงเกินไปหรือไม่?” จักรพรรดิเทพหนานกวนทั้งสามคนสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบันผ่านกาลเวลาแสนนาน ไม่มีผู้ใดกลายเป็นเซียนได้อย่างแท้จริงมาก่อน มันไม่ใช่ร่างเซียนและไม่ใช่วิญญาณเซียนโดยกำเนิด แล้วจะมีคุณสมบัติกลายเซียนได้อย่างไร?”

“นี่เป็นเพียงความรู้สึกอย่างหนึ่งของข้า ต่อให้เป็นมกุฎเต๋าที่ก้าวสู่แดนเซียนครึ่งก้าวแล้ว ตอนพวกเขาอยู่แดนเทพมารระดับเก้า ก็ไม่มีความสามารถที่เหนือมนุษย์อย่างเขาหรอกกระมัง?”

จักรพรรดิเทพเทียนหยวนส่ายศีรษะ “ในเมื่อแม้แต่มกุฎเต๋ายังเทียบมันไม่ได้ เช่นนั้นบอกว่าเขามีคุณสมบัติกลายเซียน ก็คงไม่เกินไปหรอกกระมัง?”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ จักรพรรดิเทพเจี้ยนบูทั้งสามคนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเคร่งครัดขึ้นมา เพราะที่จักรพรรดิเทพเทียนหยวนกล่าวนั้นมันมีเหตุผลมากจริง ๆ

“ในเมื่อมันมีคุณสมบัติเซียน เช่นนั้นก็ยิ่งจะเอามันไว้ไม่ได้!” จักรพรรดิเทพทั้งสี่คนสบตากัน ต่างมองเห็นศรัทธาอันเด็ดเดี่ยวในสายตาของอีกฝ่าย

“ข้าเองก็ลงมือด้วย รีบกำจัดมันไปเสีย หลีกเลี่ยงความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นหากยืดเยื้อเวลานานเกินไป”

จักรพรรดิเทพเทียนหยวนก้าวเท้าเดินออกมา เห็นเพียงเขายื่นมือออกไปคว้า ลำแสงสายหนึ่งยืดขยายยาวอยู่ในมือของเขาอย่างต่อเนื่อง เผยให้เห็นดาบเทพรูปร่างผอมยาวแสงเทวรายล้อมเล่มหนึ่ง

“สวบ!”

พอจักรพรรดิเทพเทียนหยวนฟันดาบเทพออกไป เหมือนดั่งว่าพลังชีวิตทั้งหมดในโลกได้ถูกดึงดูดให้มารวมอยู่ด้วยกัน กลายเป็นแสงดาบแพรวพราวอย่างสุดขีดสายหนึ่ง

หนึ่งดาบแฝงไปด้วยพลังมหาศาล ผนึกรวมสัจจะวิถีดาบอันมหัศจรรย์ เหมือนว่าทุกสิ่งอย่างเมื่ออยู่ต่อหน้าดาบนี้เป็นเพียงแค่ความว่างเปล่า ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้เผชิญหน้ากับดาบนี้ ล้วนมีจุดจบคือตายสถานเดียว!

มีต้นกำเนิดมาจากวิถียุทธภัณฑ์เหมือนกัน แต่การโจมตีของวิถีดาบนั้นไม่มีความเปลี่ยนแปลงอะไรมากมายเหมือนกับวิถีกระบี่ แต่ที่เหนือกว่าคือความรุนแรงดุร้ายถึงขีดสุด อาศัยพลังอันแข็งแกร่งที่สุด สยบทุกอย่างที่ขวางหน้า

ในบรรดาจักรพรรดิเทพทั้งสี่ จักรพรรดิเทพเทียนหยวนเป็นที่ยอมกับโดยทั่วกันว่าแข็งแกร่งที่สุด ความสามารถของเขานั้น เหนือกว่าจักรพรรดิเทพหนานกวนที่ครอบครองประตูหนานเทียนเสียอีก!

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

None

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท