มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2871
ค่ายโลหิตมารฉกรรจ์คือค่ายใหญ่ทักษาพันธุ์ของชนเผ่าเฉว่ซ่า ค่ายโลหิตมารฉกรรจ์ที่หลัวซิวได้รับมาเป็นเพียงผังค่ายที่เรียบง่าย
ต่อให้เป็นเพียงผังค่ายที่เรียบง่าย มันก็มีพลานุภาพที่เทียบทัดสมบัติแห่งจักรพรรดิเทพเช่นกัน จึงแสดงให้เห็นเลยว่าค่ายโลหิตมารฉกรรจ์ที่สมบูรณ์ครบถ้วนมันน่าสยดสยองมากเพียงใด
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในซ่องโจรที่ทุ่มแรงกายแรงใจดูแลบริหาร ค่ายโลหิตมารฉกรรจ์ฝั่งหุบเขาเฉว่ซ่าเป็นค่ายกลที่ใกล้เคียงกับขั้นสูงสุดที่สุดอย่างไร้ข้อสงสัยแล้วล่ะ
ทันทีที่พุ่งเข้าไปอย่างมุทะลุ ขอแค่ค่ายโลหิตมารฉกรรจ์เปิดออก ก็จะสามารถผนึกฟ้าผนึกดิน กักขังศัตรูที่บุกรุกเข้ามา จากนั้นค่อยผนึกรวมจิตสังหารที่น่าสยดสยองอย่างไร้ขอบเขตออกมาโจมตีตัวธรรม ตลอดจนเรียกปีศาจแท้เพชฌฆาตออกมา
ค่ายฉกรรจ์สุดหล้าประเภทนี้ไม่ใช่สิ่งที่ชนเผ่าเฉว่ซ่าริเริ่มแต่อย่างใด เล่ากันว่าชนเผ่าเฉว่ซ่าได้รับมาจากโบราณสถานที่เก่าแก่แห่งหนึ่ง
“ช่างเป็นค่ายใหญ่ที่ซับซ้อนยิ่งนัก ค่ายกลเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่บุคคลธรรมดาทั่วไปสามารถริเริ่มออกมาได้อย่างแน่นอน”หลัวซิวหรี่ตาลง
เขาเคยได้รับฎีกาค่าย ซึ่งเคยพบเห็นรู้จักค่ายกลระดับประมุขเต๋าอย่างมหาค่ายกักชีวีเทวโทษเวหากาล
แต่มาตรแม้นว่าเป็นมหาค่ายกักชีวีเทวโทษเวหากาล ในด้านความซับซ้อนของมัน ก็ไม่ซับซ้อนกว่าค่ายโลหิตมารฉกรรจ์นี่อย่างแน่นอน
ซึ่งนี่ก็หมายความว่าระดับขั้นของค่ายโลหิตมารฉกรรจ์ดังกล่าว อย่างน้อยก็เป็นค่ายกลระดับประมุขเต๋า
“ชนเผ่าเฉว่ซ่าเล็ก ๆ ถึงกับมีค่ายกลที่ทรงพลังเช่นนี้เลยรึ?”หลัวซิวสูดหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง
“อย่าได้ดูถูกตระกูลชนเผ่าหรือสำนักใด ๆ ที่สามารถถ่ายทอดสืบสานกันมาได้หลายร้อยล้านปีเชียว กองกำลังใหญ่ที่ชนเผ่าเฉว่ซ่ารุกรานนั้นมีเยอะมาก ทว่าพวกเขากลับสามารถคงอยู่มาได้ยาวนานเช่นนี้ จึงย่อมต้องมีเหตุผลและภูมิฐานที่สามารถคงอยู่มาได้ยาวนานเช่นนี้อยู่แล้ว”ตู๋กูเจี้ยนเฉินพูดกระแทกเสียงต่ำ
“ข้ามิได้ใช้คำพูดที่พูดเกิดความเป็นจริง การที่อยากทลายหุบเขาเฉว่ซ่าได้นั้น อย่างน้อยก็ต้องมีมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อสิบคนขึ้นไปร่วมมือกัน หรือผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งลงมือด้วยตนเองถึงจะสามารถทลายได้”
ตู๋กูเจี้ยนเฉินส่ายหน้า “จากศักยภาพ ณ ปัจจุบันของเรา การที่อยากแตะต้องชนเผ่าเฉว่ซ่านั้น ยังอีกไกลมาก ๆ”
“มันก็ไม่ใช่เช่นนั้นเสมอไปหรอก”
สิ่งที่ทำให้ตู๋กูเจี้ยนเฉินคาดไม่ถึงคือ เมื่อเย่ห้าวหรานได้ยินคำพูดของเขา กลับยิ้มด้วยความมั่นใจที่เต็มเปี่ยม
“โอ๊ะ? เจ้าสามารถคิดหาหนทางได้หรือ?”ตู๋กูเจี้ยนเฉินมองเย่ห้าวหรานด้วยสายตาที่แปลกใจรอบหนึ่ง ต่อให้จอมยุทธ์มกุฎเทพระดับเก้าคนหนึ่งจะเชี่ยวชาญค่ายกลมากเพียงใด แต่ท้ายที่สุดแล้วผลการฝึกตนก็ต่ำเกินไปอยู่ดี
“ผู้อาวุโสอาจไม่ทราบ ยิ่งเป็นค่ายกลที่ระดับยิ่งสูง เงื่อนไขในการควบคุมก็ยิ่งสูงตามด้วย โดยเฉพาะหากผู้ควบคุมค่ายมิใช่ผู้ที่ชำนาญในค่ายกล ก็ยิ่งต้องใช้อุบายพิเศษถึงจะสามารถควบคุมค่ายกลที่ทรงพลังหนึ่งค่ายได้”
เย่ห้าวหรานพูดอย่างจริงใจ: “ยกตัวอย่างเช่นค่ายโลหิตมารฉกรรจ์นี้ เนื่องจากระดับขั้นของค่ายกลดังกล่าวสูงเกินไป ซับซ้อนมากเกินไป ฉะนั้นการที่จะควบคุมค่ายกลประเภทนี้หนึ่งค่าย มันไม่ใช่สิ่งที่คนสองคนสามารถทำได้อย่างแน่นอน ตลอดจนขณะที่จัดวางค่ายกลดังกล่าว ฐานค่ายของมันก็ไม่ได้มีเพียงจุดเดียวแน่นอน”
หลัวซิวเห็นด้วยกับคำพูดดังกล่าวของเย่ห้าวหรานอย่างยิ่ง เนื่องจากครั้นเมื่อเขาจัดวางค่ายพิทักษ์เขาในหุบเขาสยบปีศาจ ก็เป็นเพราะผลการฝึกตนไม่เพียงพอนี่แหละ จึงได้จัดวางฐานค่ายสามจุด
และในความเป็นจริง สำหรับค่ายกลนั้น ยิ่งมีฐานค่ายน้อยเท่าไหร่ พลานุภาพที่ผนึกรวมกันในค่ายกลก็จะยิ่งทรงพลังมากเท่านั้น ในทางตรงกันข้ามเมื่อฐานค่ายยิ่งมาก ก็จะทำให้พลานุภาพของค่ายกลแตกแยก ทำให้ค่ายกลที่เป็นหนึ่งเดียวกันมีช่องโหว่มากยิ่งขึ้น
เย่ห้าวหรานก็เข้าร่วมการจัดวางค่ายพิทักษ์เขาของหุบเขาสยบปีศาจเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงมีสิทธิ์ในการออกความเห็นในเรื่องนี้มาก ๆ
เห็นเพียงเย่ห้าวหรานใช้นิ้วชี้ไปบนจุดจุดหนึ่งบนผังค่ายแล้วพูดว่า: “หากข้าคาดเดาไม่ผิดละก็ ค่ายกลดังกล่าวของหุบเขาเฉว่ซ่า อย่างน้อยก็มีฐานค่ายสิบจุดขึ้นไป ซึ่งฐานค่ายเหล่านี้เชื่อมต่อกันโดยตัวต้องห้ามเล็ก ๆ นับหมื่นจุด ทันทีที่เราทลายฐานค่ายใดฐานค่ายหนึ่ง การโคจรของทั้งค่ายก็จะพังทลายลงไป”
“อิงจากความต้องการของจ้าวหุบเขา การเดินทางในครั้งนี้ของเรามาเพื่อช่วยคน แต่ไม่ใช่ทำลายซ่องโจรที่นี่ ดังนั้นเราแค่ต้องผนึกเป้าหมายไปที่ฐานค่ายหนึ่งฐาน แล้วใช้อำนาจทำลายฐานค่ายนั้น ๆ เช่นนั้นเราก็จะสามารถใช้อำนาจบุกเข้าไป ขอแค่ทำการช่วยชีวิตคู่กรณีให้ทันก่อนฝ่ายตรงข้ามจะซ่อมแซมฐานค่ายแล้วเสร็จ ภารกิจในครั้งนี้ก็จะสำเร็จลุล่วง!”
แนวคิดของเย่ห้าวหรานชัดเจนมาก การวิเคราะห์แยกแยะก็มีหลักการ ซึ่งสภาพจิตใจประเภทนี้ก็เป็นคุณสมบัติที่ยอดฝีมือวิถีค่ายคนหนึ่งควรมีเช่นกัน
ตู๋กูเจี้ยนเฉินไม่เข้าใจเรื่องค่ายกล ด้วยเหตุนี้เขาที่ได้ยินเช่นนี้จึงรู้สึกมึนงงไปหมด แต่หลัวซิวกลับเข้าใจแล้ว เนื่องจากวิธีการดังกล่าวของเย่ห้าวหรานก็เหมือนหนทางที่เขาคิดได้ทุกประการเลย
หากไม่มีความมั่นใจที่แน่นอน หลัวซิวคงไม่เปลืองแรงเดินทางมาที่นี่แล้วล่ะ
เย่ห้าวหรานทำการอนุมานต่อ ก่อนจะทำเครื่องหมายลงบนผังค่ายอีกสามจุด ถึงแม้เขาจะคำนวณได้ว่าค่ายโลหิตมารฉกรรจ์ดังกล่าวมีฐานค่ายไม่ต่ำกว่าสิบจุด แต่ทว่าการที่จะอนุมานตำแหน่งที่แม่นยำของฐานค่ายใหญ่ที่ซับซ้อนเช่นนี้นั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายแต่อย่างใด สถานที่สามจุดที่เขาทำเครื่องหมายไว้ เป็นสถานที่ที่เขามั่นใจอย่างแน่นอน
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ไม่ว่าจะเลือกโจมตีฐานค่ายใด ก็สามารถเลือกหนึ่งในสามจุดที่เขาทำเครื่องหมายไว้บนผังค่าย
“เลือกจุดนี้เถิด!”หลัวซิวใช้นิ้วชี้ไปทางจุดใดจุดหนึ่งบนผังค่าย จากนั้นสายตาเขาก็จ้องมองไปยังทิศทางของหุบเขาเฉว่ซ่า ซึ่งตำแหน่งที่เขาชี้ก็คือตำหนักหลังหนึ่งที่ค่อนข้างใกล้กับจุดศูนย์กลางของหุบเขาเฉว่ซ่า
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น หลัวซิวก็พลิกมือหยิบแหวนเก็บของออกมาให้เย่ห้าวหรานหนึ่งวงแล้วพูด: “ภายในนี้มีวัตถุดิบที่ใช้ในการจัดวางค่าย จัดวางค่ายกลโจมตีที่ทรงพลังที่สุดของเจ้าออกมา”
“จ้าวหุบเขาวางใจได้เลยขอรับ!”เย่ห้าวหรานรีบรับแหวนเก็บของมา จากนั้นเงาร่างก็กระพริบทีหนึ่ง ออกไปตามหาสถานที่ซ่อนเร้นเพื่อจัดวางค่ายกล
อ้างอิงจากข่าวกรองที่อาณากระบี่หวูจี๋ได้รับมา เสิ่นปิงหยูที่ถูกจับกุมตัวไปก็ถูกกักขังอยู่ในหุบเขาเฉว่ซ่าแห่งนี้นี่แหละ
สาเหตุที่ชนเผ่าเฉว่ซ่าจับกุมตัวเสิ่นปิงหยูไปนั้น ย่อมต้องเป็นเพราะรู้ว่าเสิ่นปิงหยูเป็นคนในหุบเขาสยบปีศาจอยู่แล้ว จึงอยากใช้นางเป็นตัวประกันเพื่อมาจัดการหลัวซิว
ในขณะเดียวกันชนเผ่าเฉว่ซ่าก็ต้องเตรียมป้องกันหลัวซิวที่มาช่วยคนหลังทราบข่าวเช่นกัน ดังนั้นจิตสำนึกในการเตรียมป้องกันของหุบเขาเฉว่ซ่าจึงแข็งแกร่งมาก การป้องกันเข้มงวดอย่างยิ่ง การที่จะผสมปนเปอยู่ในหมู่คนแล้วเข้าไปในหุบเขานั้น เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
ดังนั้นหลังจากผ่านการปรึกษาหารืออย่างเรียบง่ายเสร็จ หลัวซิวก็ตัดสินใจที่จะใช้อำนาจโจมตี
“ผู้มากฝีมือที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเจ้านี่มีไม่น้อยจริง ๆ”ตู๋กูเจี้ยนเฉินมองหลัวซิวรอบหนึ่งแล้วพูด เห็นได้ชัดเจนเลยว่าเขารู้สึกตะลึงต่อศักยภาพที่เย่ห้าวหรานแสดงออกมามาก ๆ
แม้นจะเป็นเพียงมกุฎเทพระดับเก้าคนหนึ่งก็ตาม แต่ประโยชน์ที่เขาทำกลับอยู่เหนือตนที่เป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้อเสียอีก โดยเฉพาะสภาพจิตใจที่มั่นใจสุขุมนั่นของเย่ห้าวหราน ยิ่งทำให้ตู๋กูเจี้ยนเฉินรู้สึกเคารพเลื่อมใสเล็กน้อย
สำหรับเรื่องนี้หลัวซิวแค่ยิ้มตอบ ไม่ได้อธิบายแต่อย่างใด เดิมทีในภพชาติที่เขาเป็นเย่ห้าวหรานก็เป็นนักค่ายกลคนหนึ่งอยู่แล้ว ซึ่งมีความสามารถในการตระหนักรู้บนวิถีค่ายสูงมาก
ค่ายกลโจมตีระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสุดยอดหนึ่งค่าย หลังจากกระตุ้นค่ายกลดังกล่าว พลังที่ระเบิดออกมาต้องสามารถเทียบทัดพลานุภาพของพลังโจมตีที่มหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อโจมตีอย่างทุ่มสุดกำลังสามารถแน่นอน บางทีพลังโจมตีระดับนี้อาจไม่มีความหมายอะไรต่อทั้งค่ายโลหิตมารฉกรรจ์ แต่ถ้าเกิดโจมตีแค่ฐานค่ายฐานเดียว มันก็เพียงพอแล้วล่ะ
……
ภายในหุบเขาเฉว่ซ่ามีผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิเทพคอยปกปักรักษาอยู่ 12 คน เพราะค่ายโลหิตมารฉกรรจ์ที่ประกอบมาจากวิชาห้ามค่ายกลที่นับไม่ถ้วนมีฐานค่ายทั้งหมด 12 ฐาน
ในจำนวนฐานค่ายทั้งหมด มีฐานหนึ่งที่ตั้งอยู่ในตำหนักทรชนญาณซึ่งผู้ที่คุ้มกันรักษาอยู่ ณ ที่แห่งนี้ก็เป็นผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อขั้นปฐมภูมิคนหนึ่งเช่นกัน และมีนามว่าจักรพรรดิปีศาจเฉว่ซู
ภายในพระราชวังหลังนี้มีวิญญาณลอยไปมา จิตสังหารตลบฟุ้งไปทั่วทุกสารทิศ มีบ่อเลือดแห่งหนึ่งที่มีฟองอากาศลอยขึ้น ราวกับแดนอเวจีซิวหลัวยังไงอย่างนั้น
บนพื้นที่ว่างข้างบ่อเลือด มีสตรีที่สวมใส่เสื้อผ้าชิ้นเล็กชิ้นน้อยระบำเต้นรำ ส่วนจักรพรรดิปีศาจเฉว่ซูนั้นกลับนอนอยู่บนเตียงหยกสีเลือดหลังหนึ่ง พลางชื่นชมการเต้นรำของเหล่าสตรีอย่างเพลิดเพลิน
ทันใดนั้นเอง ราวกับจักรพรรดิปีศาจเฉว่ซูนึกเรื่องหงุดหงิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ สีหน้าจึงหม่นหมองลงกะทันหัน ก่อนจะใช้นิ้วชี้ไปทางนางบำเรอที่คอยปรนนิบัติอยู่ข้าง ๆ แล้วพูด “เจ้า มานี่!”
สตรีคนดังกล่าวถูกชี้ รูม่านตาจึงขยายใหญ่ขึ้นกะทันหัน ใบหน้าก็ขาวซีดลงไปภายในกระพริบตาเช่นกัน
ผู้คนในโลกหล้าต่างทราบกันดีว่าชนเผ่าเฉว่ซ่าเสพติดการฆ่าสังหารจนติดเป็นสันดาน ส่วนทาสรับใช้อย่างพวกนางที่ถูกชนเผ่าเฉว่ซ่าปล้นจี้จับกุมตัวมานั้น ยิ่งไม่มีศักดิ์ศรีเลยแม้แต่น้อยเมื่ออยู่บนอาณานิคมของชนเผ่าเฉว่ซ่า ทันทีที่ปรนนิบัติจนเจ้านายรู้สึกไม่พอใจ การที่เจ้านายลงมือสังหารนั้นเป็นเรื่องที่ธรรมดาไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว
ภายในใจรู้สึกหวาดผวา ทว่าสตรีกลับไม่กล้าขัดขืนคำสั่งของจักรพรรดิปีศาจเฉว่ซู เนื่องจากนางเข้าใจดีมาก ๆ ว่าทันทีที่ตนบังอาจลังเลใจแม้แต่น้อย ก็มีแต่จะตายได้อนาถมากยิ่งขึ้น!
จักรพรรดิปีศาจเฉว่ซูเป็นคนที่เสพสุขเก่งมาก ๆ เขาฝึกตนจนบรรลุถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์เจ็ดกงล้อมาเป็นร้อยล้านปีแล้ว เขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่าชั่วชีวิตนี้ตนไม่มีทางมีการก้าวหน้าได้อีกแล้ว อย่าว่าแต่แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้อเลย แม้แต่แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์เจ็ดกงล้อช่วงกลาง เขาก็ใช่ว่าจะสามารถบรรลุได้เสมอไป
ดังนั้นจักรพรรดิปีศาจเฉว่ซูจึงละทิ้งการฝึกตนอย่างเด็ดเดี่ยวเสียเลย ดื่มด่ำกับความสุขอยู่ในอายุขัยที่ยาวนานให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ซึ่งเรื่องเบิกบานใจที่เขาชอบมากที่สุดก็คือการเล่นสนุกกับสตรี ในทุก ๆ ปีจะมีเบื้องล่างของเขาปล้นจี้ที่สตรีงดงามมากจากสถานที่ต่าง ๆ แล้วส่งมาในตำหนักทรชนญาณแห่งนี้ของเขา
บนตัวสตรีคนดังกล่าวสวมใส่แค่ผ้าขาวบางหนึ่งชิ้น ซึ่งปกปิดแค่จุดของซ่อนเร้นของตัวเองเท่านั้น หุ่นร่างของนางสูงโปร่ง โฉมหน้าก็งดงามมากเช่นกัน อดีตเคยเป็นบุตรแห่งเจ้าสำนักของสำนักเล็ก ๆ สำนักหนึ่ง ซึ่งเจริญเติบโตอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ดีเลิศมาตั้งแต่เด็ก
แต่ว่านับตั้งแต่วันที่ตระกูลถูกล้มล้าง ฝันร้ายของนางก็เริ่มมาเยือน เพราะนางขี้ขลาดกลัวตาย ไม่ทันได้ฆ่าตัวตาย ดังนั้นจึงถูกคนในชนเผ่าเฉว่ซ่าประทับตัวต้องห้ามเข้าไปในร่างกาย ความเป็นความตายจึงไม่ถูกควบคุมอยู่ในกำมือตนอีกต่อไป
สำหรับความหวาดผวาบนใบหน้าสตรีนั้น ยิ่งทำให้จักรพรรดิปีศาจเฉว่ซูดูเบิกบานใจมากยิ่งขึ้น เขาจะรู้สึกมีความสุขมากเมื่อเห็นความรู้สึกที่หวาดกลัวถึงขีดสุดบนใบหน้าของสตรีเหล่านี้
จักรพรรดิปีศาจเฉว่ซูไม่ได้พูดอะไร แต่เป็นการใช้นิ้วชี้ไปที่ใต้หว่างขาตนอย่างผ่อนคลาย
ขอแค่เป็นสตรีที่ถูกส่งเข้ามาที่นี่ ล้วนแต่จะเคยผ่านการอบรมมาแล้ว ดังนั้นแค่กิริยาท่าทางที่เรื่อยเปื่อยของจักรพรรดิปีศาจ นางก็รู้แล้วว่าจักรพรรดิปีศาจจะให้ตัวเองทำอะไร
สตรีอดกลั้นความอัปยศในใจเอาไว้แล้วเดินตรงไป คุกเข่าทั้งสองข้างลงพื้น ปล่อยเส้นผมที่เงางามลงมา ก่อนจะโน้มศีรษะลงใต้หว่างขาจักรพรรดิปีศาจ
จักรพรรดิปีศาจเฉว่ซูหลับตาลงอย่างเบิกบานใจ ค่อย ๆ ยกลงมือข้างหนึ่งขึ้นมา สตรีผมแดงที่คอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายจึงกรีดแขนตัวเอง หยดเลือดตัวเองลงไปในแก้วหยกที่แพรวพราย ก่อนจะวางลงบนมือจักรพรรดิปีศาจ
จักรพรรดิปีศาจเฉว่ซูลืมไปแล้วว่าตัวเองดื่มด่ำอยู่ในชีวิตเช่นนี้มานานเท่าไหร่แล้ว แต่ทว่าวันนี้กลับมีเหตุการณ์แปลกประหลาดเกิดขึ้นกะทันหัน!
“ตู้มม! ……”
เสียงระเบิดอันน่ากลัวที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินดังขึ้น ถัดจากนั้นทั้งตำหนักทรชนญาณก็สั่นสะเทือนขึ้นมาอย่างรุนแรง
เหล่าสตรีที่เต้นระบำอยู่ข้างบ่อเลือดในตอนแรกต่างพากันกรีดร้องอย่างตระหนกตกใจ ตกใจมากจนหน้าถอดสี
นอกตำหนักทรชนญาณหากพูดให้แม่นยำหน่อยคือนอกหุบเขาเฉว่ซ่า มีแสงค่ายที่นับไม่ถ้วนตัดสลับไปมา มีเตาเทพหนึ่งเตาที่ใหญ่ปานภูเขาที่สูงใหญ่ลูกหนึ่งลอยอยู่บนแสงค่าย ก่อนที่มันจะพุ่งชนเข้ามาทางตำหนักทรชนญาณอย่างรุนแรง
เย่ห้าวหรานอาศัยวัตถุดิบที่หลัวซิวจัดเสนอให้ ทำการจัดวางค่ายกลระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสุดยอด พร้อมกับกระตุ้นพลานุภาพของค่ายใหญ่ดังกล่าว เรียกเตาอลวนหวูจี๋ของหลัวซิวออกมา ทำให้เตาเทพเตานี้ระเบิดพลังที่แข็งแกร่งกว่าพลังที่ปลดปล่อยโดยหลัวซิวสิบกว่าเท่า!
มีลายค่ายแสงค่ายที่นับไม่ถ้วนปรากฏในหุบเขาเฉว่ซ่า แต่ทว่ากลับไม่สามารถต้านทานการโจมตีของเตาเทพได้เลย ต่างพากันแตกสลาย
เห็นเพียงเตาเทพพุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างดุดัน เพียงพลังโจมตีเดียว ก็ทำให้ตำหนักทรชนญาณถูกโจมตีจนแตกสลายเป็นฝุ่นผง ก่อนจะมีหลุมขนาดใหญ่ที่มองไม่เห็นก้นหลุมปรากฏในตำแหน่งดั้งเดิมของตำหนักทรชนญาณ
ส่วนเหล่าสตรีจำนวนมากที่ไม่มีอิสระในความเป็นความตายของตนในตำหนักทรชนญาณนั้น ณ เสี้ยววินาทีที่ระเบิดแตกเป็นฝุ่นผง บนใบหน้าของทุกคนไม่เพียงไม่มีความหวาดผวา ในทางตรงกันข้ามกลับดูเหมือนยกภูเขาออกจากอก ดั่งการพ้นทุกข์……