มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2872
หลัวซิวไม่ทราบแต่อย่างใดว่าแม้นการใช้อำนาจโจมตีฐานค่ายหนึ่งของตนเองจะทำให้สตรีผู้บริสุทธิ์ตายไปเยอะมาก แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นการช่วยให้สตรีเหล่านี้หลุดพ้นจากความทุกข์ยากลำบากเช่นกัน
เตาอลวนหวูจี๋โจมตีตำหนักทรชนญาณหลังจากทำลายฐานค่ายหนึ่งเรียบร้อย ก็มีรัศมีเทวพรั่งพรูออกมาจากเตาเทพ จากนั้นเงาร่างของหลัวซิวและตู๋กูเจี้ยนเฉินก็บินออกมาจากเตา
“ผู้ใดบังอาจมากร่างในหุบเขาเฉว่ซ่าของกู?”
เสียงตะคอกที่โกรธเกรี้ยวสะท้อนออกมาจากฝุ่นละอองที่ตลบฟุ้งไปทั่ว จักรพรรดิปีศาจเฉว่ซูพุ่งออกมาอย่างพิโรธ อย่างไรเสียเขาก็อยู่ในแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์เจ็ดกงล้ออยู่ แม้นสภาพร่างกายจะดูจนตรอกเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้ตายอยู่ภายใต้พลังโจมตีในเมื่อครู่
สำหรับจักรพรรดิปีศาจเฉว่ซูที่พุ่งออกมานั้น หลัวซิวแค่มองเขาด้วยสายตาที่เย็นชารอบหนึ่ง ไม่ต้องให้เขาเอ่ยปากพูด ตู๋กูเจี้ยนเฉินก็ได้ลงมือโจมตีแล้ว
จักรพรรดิปีศาจเฉว่ซูที่กำลังอยู่ในอารมณ์โกรธยังไม่ทันตอบสนองกลับมาได้ จากนั้นก็พบว่ามีแสงกระบี่ที่อัดแน่นไปด้วยความน่าสยดสยองในฟ้าดินผ่าลงกลางศีรษะตน วิกฤตการณ์แห่งความตายที่น่ากลัวจึงปกคลุมร่างกายเขาภายในพริบตา
“มหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้อ!”
สีหน้าของจักรพรรดิปีศาจเฉว่ซูเปลี่ยนไปอย่างมาก เขามองเห็นกงล้อเทพแปดวงอันแวววาวจับตาที่ลอยอยู่หลังศีรษะคู่ต่อสู้ของตัวเองอย่างชัดเจนเลย
ช่วงระยะความต่างระหว่างจักรพรรดิเทพและมหาจักรพรรดิยุทธ์นั้นแตกต่างกันเยอะมาก จักรพรรดิปีศาจเฉว่ซูไม่กล้าฝืนต้านทาน จึงรีบบินหนีออกไปด้วยความเร็วที่รวดเร็วที่สุด ในขณะเดียวกันก็มีแสงโลหิตกระพริบตรงจุดตันเถียนเขา ก่อนจะมีโล่สีเลือดชิ้นหนึ่งบินออกมา บนโล่ดังกล่าวมีภาพวิญญาณร้ายตัวหนึ่งที่กำลังคำรามอย่างดุร้ายสลักอยู่ด้วย
ตำแหน่งที่แสงกระบี่เคลื่อนผ่าน อนัตตาล้วนแตกสลาย พร้อมกับพลานุภาพอันไร้ขอบเขตที่ไม่มีสิ่งใดสามารถหยุดยั้งได้ เร็วปานสายฟ้า
ฟึ่บ!
เพียงกระบี่เดียว โล่สีเลือดก็ถูกแสงกระบี่ทะลวง ถัดจากนั้นแสงกระบี่ก็ไล่ตามจักรพรรดิปีศาจเฉว่ซูที่กำลังถอยหนีอย่างหวาดผวาได้ภายในพริบตา มาถึงตรงหน้าเขาและใกล้กันแค่เอื้อม
“ไม่!”
จักรพรรดิปีศาจเฉว่ซูเบิกตากว้างจนดวงตากลมโต ยิ่งกว่านั้นคือทันทีที่เขาหยิบยันต์ทะลุฟ้าออกมา ยังไม่ทันได้ทำลายยันต์ให้แตกเพื่อกระตุ้นมัน ร่างกายก็ถูกแสงกระบี่ที่แวววาวจับตาแทงทะลวงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เสียงปั้งดังขึ้น ร่างกายของจักรพรรดิปีศาจเฉว่ซูแตกสลายเป็นฝุ่นผง ยันต์ทะลุฟ้าก็กลายเป็นฝุ่นผงเช่นกัน ปลิวกระจายอยู่กลางท้องฟ้า
จักรพรรดิปีศาจเฉว่ซู ตาย!
“ลงมือ!”
ในขณะที่ตู๋กูเจี้ยนเฉินลงมืออยู่นั้น หลัวซิวก็ไม่ได้นิ่งดูดายเช่นกัน เห็นเพียงภายใต้การกระตุ้นของเขา รัศมีเทวอันไร้ขอบเขตที่พรั่งพรูออกมาจากเตาเทพก็ผนึกรวมกันอย่างต่อเนื่อง แล้วเผยเห็นเงาลวงมหาศักดิ์
ครั้นเมื่อหลัวซิวยังไม่บรรลุ เขาอาศัยเงาลวงมหาศักดิ์นี้ก็สามารถต้านทานการรุมโจมตีจากจักรพรรดิเทพทั้งสี่ได้แล้ว ปัจจุบันตัวเขาลอกคราบใหม่ พลานุภาพของเงาลวงมหาศักดิ์จึงต้องทรงพลังมากกว่าเดิมเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
เห็นเพียงเงาลวงมหาศักดิ์โบกมือใหญ่ไปมา ทุกพลังโจมตีล้วนทำให้ฟ้าดินแตกร้าว สั่นสะเทือนอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ทุกสรรพสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ถูกพังทำลายโดยสิ้นเชิง
แม้นฐานค่ายในตำแหน่งที่ตั้งของตำหนักทรชนญาณจะถูกทำลายไปแล้ว แต่บริเวณรอบ ๆ นี้ก็ยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยวิชาห้ามค่ายกลจำนวนมาก ซึ่งสิ่งที่หลัวซิวจะทำก็คือทำการทำลายขจัดวิชาห้ามค่ายกลทั้งหมดนี้ทิ้ง เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว การโคจรของทั้งค่ายโลหิตมารฉกรรจ์ก็จะพังทลาย
เพียงระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น ฐานค่ายที่มีตำหนักทรชนญาณเป็นจุดศูนย์กลางก็ถูกหลัวซิวทำลายล้างโดยสิ้นเชิง พื้นที่บริเวณโดยรอบนับหมื่นลี้ถูกทำลายจนกลายเป็นพื้นเรียบ พื้นดินยุบลงไปกว่าสิบเมตร อสูรจิตล้วนดับสูญ
ทั้งหมดทั้งมวลนี้เกิดขึ้นได้รวดเร็วมากเกินไป และกะทันหันมากเกินไปเช่นกัน จึงส่งผลให้ขณะที่ฝั่งตำหนักทรชนญาณถูกทำลายล้างโดยสิ้นเชิง ผู้คนในชนเผ่าเฉว่ซ่าจำนวนมากที่ใช้ชีวิตอยู่ในหุบเขาเฉว่ซ่ายังตอบสนองกลับมาไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
“ในตำหนักทรชนญาณมีจักรพรรดิปีศาจเฉว่ซูคอยคุ้มกันรักษาด้วยตนเองเลยมิใช่หรือ? ไม่นึกเลยว่าจะถูกทำลายล้างไปแล้ว……”
“ผู้ใดถึงกล้าหาญเช่นนี้ บังอาจบุกเข้ามาฆ่าคนในหุบเขาเฉว่ซ่าของเราเลยหรือ?”
……
หลังจากฐานค่ายฐานหนึ่งถูกทำลายไป ก็เท่ากับค่ายโลหิตมารฉกรรจ์ที่ปกคลุมทั้งหุบเขาเฉว่ซ่าพังลงไปแล้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้ หลัวซิวจึงไม่มีเรื่องที่ต้องพะวงหน้าพะวงหลัง ตัวสำนึกที่กว้างใหญ่แผ่กระจายออกไปภายในพริบตา ทำการค้นหาเบาะแสออร่าของเสิ่นปิงหยูและดูดจิตทั่วโลกใต้ดินของหุบเขาเฉว่ซ่า
ในขณะเดียวกัน ตู๋กูเจี้ยนเฉินก็ปลดปล่อยตัวสำนึกออกไปเช่นกัน ช่วยหลัวซิวตามหาคน
ส่วนนอกหุบเขาเฉว่ซ่านั้น เย่ห้าวหรานก็เริ่มจัดวางค่ายกลอีกแล้ว หลี่ยู่คอยคุ้มกันเขาอยู่ข้าง ๆ เตรียมตัวเป็นกำลังสนับสนุนให้หลัวซิวและตู๋กูเจี้ยนเฉินตลอดเวลา
“ฆ่า! ฆ่า! ……”
เหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ไม่มีทางไม่ทำให้ผู้แข็งแกร่งที่คอยปกปักรักษาอยู่ในหุบเขาเฉว่ซ่าตื่นตกใจ จักรพรรดิเทพทั้งหมดของชนเผ่าเฉว่ซ่าที่ปกปักรักษาอยู่ที่นี่มี 12 คน แม้นจักรพรรดิปีศาจเฉว่ซูจะตายไปแล้วคนหนึ่ง แต่ก็ยังมีจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้ออีก 11 คน
แต่ว่าเมื่อพวกเขาสังเกตเห็นตู๋กูเจี้ยนเฉินที่มือถือกระบี่เทพเล่มหนึ่ง และหลังศีรษะมีกงล้อเทพลอยอยู่แปดวง สภาพจิตใจของแต่ละคนก็หวาดหวั่นขึ้นมาทันที!
หากค่ายโลหิตมารฉกรรจ์อยู่ในสภาพสมบูรณ์ พวกเขาย่อมไม่เกรงกลัวผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์อยู่แล้ว แต่วินาทีนี้ฐานค่ายของค่ายโลหิตมารฉกรรจ์ถูกทำลายไปแล้ว ซึ่งไม่สามารถโคจรได้เลยด้วยซ้ำ เช่นนั้นเมื่อพวกเขาจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อทั้ง 11 คนพุ่งเข้าไปเผชิญหน้ากับมหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้อคนหนึ่ง มันก็ไม่ต่างอะไรจากการรนหาที่ตายเลย!
“กลับมาให้หมด!”
ชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่อยู่ในชุดดำตะคอกเสียงดังลั่น โบกมือหยุดยั้งจักรพรรดิเทพอีกสิบคนที่อยากพุ่งตรงเข้าไป
“แล้วจะยืนมองพวกมันทำการฆ่าล้างที่นี่อย่างอุกอาจต่อหน้าต่อตาหรือ?”
“ชนเผ่าเฉว่ซ่าของเราไม่มีพวกอ่อนแอ ต่อให้ต้องตาย ก็ต้องทุ่มสุดชีวิต!”
จักรพรรดิเทพสิบคนล้วนโกรธจนตาแดงเถือก รอบกายมีจิตสังหารที่บ้าระห่ำโอบล้อม
“หุบปากให้หมด! แค่อาศัยพวกเราทุกคน การที่พุ่งเข้าไปปะทะกับมันนั้น มันไม่ต่างอะไรจากการรนหาที่ตายเลย มีเพียงพึ่งพาวิชาห้ามค่ายกลที่เหลือถึงจะสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้ รอให้บรรพอาจารย์เร่งเดินทางมาด้วยตนเอง”ชายชุดดำตะคอกด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น ซึ่งมีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่ยังคงใจเย็นมีสติอยู่
“มิหนำซ้ำพวกมันต้องเป็นคนที่มาช่วยชีวิตสตรีนางนั้นแน่นอน สิทธิ์ในการเป็นฝ่ายรุกถูกยึดกุมอยู่ในมือเรา!”ชายชุดดำโบกมือครั้งหนึ่ง จากนั้นก็มีคนคุมตัวสตรีนางหนึ่งเดินมาด้านหลังเขา
ใบหน้าของสตรีคนดังกล่าวดูไร้เรี่ยวแรง ร่างกายถูกโซ่สีเลือดพันธนาการ ผลการฝึกตนทั้งร่างกายถูกกดอัด ใบหน้าอันงดงามที่ดูอกสั่นขวัญหายเต็มเปี่ยมไปด้วยความหม่นหมอง
“ท่านชาย!”
เมื่อเสิ่นปิงหยูเห็นเงาดำร่างหนึ่งพุ่งผ่านไปมาอยู่ในหุบเขาเฉว่ซ่าที่อลหม่าน ก็มีความสุขใจปรากฏบนใบหน้าทันที
นางรู้อยู่แล้วว่าท่านชายต้องมาช่วยตัวเองแน่นอน!
“นายท่าน!”
ผู้ที่ถูกคุมตัวออกมาพร้อมกับเสิ่นปิงหยูยังมีดูดจิตที่กลายร่างเป็นมนุษย์แล้ว สถานการณ์ของเขาดูน่าเวทนากว่าเสิ่นปิงหยูมาก ร่างกายอาบท่วมไปด้วยเลือด เต็มเปี่ยมไปด้วยบาดแผล
สิ่งที่โชคดีคือพวกเขาทั้งสองเพิ่งถูกคนในชนเผ่าเฉว่ซ่าจับกุมตัวได้ไม่นาน ยังไม่ถูกทรมานมากเท่าไหร่นัก หลัวซิวก็ฆ่ามาถึงที่นี่แล้ว
ขณะที่เสิ่นปิงหยูและดูดจิตปรากฏ ตัวสำนึกของหลัวซิวก็สัมผัสได้แล้ว เมื่อเห็นว่าพวกเขาทั้งสองคนยังมีชีวิตอยู่ เขาถึงจะปล่อยวางจิตใจที่กังวลลงไปได้
“หยุด!”
ชายชุดดำตะคอกเสียงดังอย่างเยือกเย็น ในมือมีดาบเลือดปรากฏหนึ่งเล่ม จี้ลงบนคอที่ขาวผ่องของเสิ่นปิงหยู จากนั้นก็มีเลือดไหลนองออกมาเล็กน้อย
ฝีเท้าของหลัวซิวที่ก้าวไปข้างหน้าหยุดลงกะทันหัน มีจิตสังหารที่รวดเร็วและเฉียบคมพุ่งออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง ซึ่งจิตสังหารดังกล่าวน่ากลัวกว่าผู้คนในชนเผ่าเฉว่ซ่าที่ฝึกวิถีแห่งการสังหารโดยเฉพาะเสียอีก
“หากมึงไม่อยากปล่อยให้สตรีนางนี้ร่วงโรยละก็ ทำตามที่กูบอกจะดีที่สุดนะ”เมื่อชายชุดดำเห็นว่าหลัวซิวหยุดเคลื่อนที่แล้ว จึงมีรอยยิ้มที่เย็นเยือกปรากฏตรงมุมปาก
สายตาของหลัวซิวร่วงลงบนตัวชายชุดดำนั่น เมื่อเห็นว่าหลังศีรษะของฝ่ายตรงข้ามมีกงล้อเทพเจ็ดวง เขาก็รู้แล้วว่าคนดังกล่าวก็เป็นจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อคนหนึ่งที่ปกปักรักษาอยู่ในหุบเขาเฉว่ซ่าเช่นกัน
ในขณะเดียวกัน เขาก็มองเห็นอีกสิบคนที่อยู่ข้างกายชายชุดดำด้วย นอกเหนือจากจักรพรรดิปีศาจเฉว่ซูที่ถูกฆ่า จักรพรรดิเทพทั้ง 11 คนในหุบเขาเฉว่ซ่าล้วนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว
เสิ่นปิงหยูอยากเอ่ยปากพูด แต่กลับถูกตัวต้องห้ามพันธนาการ ส่งเสียงอะไรไม่ได้เลยด้วยซ้ำ บนใบหน้าที่งดงามเต็มเปี่ยมไปด้วยความกังวล
นางไม่อยากทำให้หลัวซิวได้รับความเจ็บปวดใด ๆ อยู่ที่นี่เพียงเพราะตน มิเช่นนั้นละก็ นางยอมตายซะจะยังดีกว่า
“ไม่ต้องกลัว ข้าจะไปช่วยเจ้าเดี๋ยวนี้แหละ”
หลัวซิวสบตากับเสิ่นปิงหยู เขาเข้าใจความในใจของเสิ่นปิงหยูแล้ว ดังนั้นจึงอมยิ้มแล้วพูด เพื่อป้องกันไม่ให้สตรีนางนี้ทำเรื่องบ้า ๆ อะไรจริง ๆ
“ตู้มม!”
ณ เสี้ยววินาทีที่สิ้นเสียงหลัวซิว ก็มีเสียงระเบิดที่ดังกึกก้องสะท้อนมาจากนอกหุบเขาเฉว่ซ่าอีกครั้ง
ค่ายกลระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสุดยอดค่ายที่สองที่เย่ห้าวหรานจัดวางถูกกระตุ้นแล้ว!
มีลำรัศมีเทวที่แพรวพราย ทำการทำลายล้างฉีกกระชากวิชาห้ามค่ายกลภายในเสี้ยววินาที ทำให้เขตพื้นที่บริเวณหนึ่งของหุบเขาเฉว่ซ่ากลายเป็นซากปรักหักพัง กลายเป็นพื้นที่เรียบอีกครั้ง ฝุ่นละอองตลบฟุ้งไปทั่วฟ้าดิน อสูรจิตตายและสูญสิ้นไปนับไม่ถ้วน
ลาดเลาที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ทำให้จักรพรรดิเทพทั้ง 11 คนที่เหลือต่างสติหลุดเล็กน้อยอย่างควบคุมไม่ได้
และ ณ เสี้ยววินาทีที่พวกเขาสติหลุด หลัวซิวและตู๋กูเจี้ยนเฉินก็ได้ลงมือโจมตีแล้ว
เมื่อเปรียบเทียบกับตู๋กูเจี้ยนเฉินแล้ว ความเร็วของหลัวซิวรวดเร็วยิ่งกว่า เขาได้ทำการระเบิดความเร็วของตัวเองให้ขึ้นไปถึงขีดสุดภายในเสี้ยววินาที ยิ่งไปกว่านั้นคือความเร็วของเขาเร็วกว่าการเคลื่อนที่ของแสงเสียอีก มาถึงหน้าชายชุดดำโดยตรง
“ตราประทับล้นร้าง!”
วิชาตราประทับหนึ่งผนึกรวมกันอยู่กลางฝ่ามือหลัวซิว แล้วโจมตีไปหน้าชายชุดดำจนเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น
ชายชุดดำนั่นก็ตอบสนองกลับมาได้รวดเร็วมากเช่นกัน แม้นสติจะหลุดไปเสี้ยวหนึ่ง แต่เขากลับสังเกตการเคลื่อนไหวของหลัวซิวมาโดยตลอด แต่แค่คิดไม่ถึงว่าความเร็วของหลัวซิวจะรวดเร็วขนาดนี้
ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาไม่มีทางใช้ตัวเสิ่นปิงหยูมาข่มขู่หลัวซิวได้เลยด้วยซ้ำ เนื่องจากต่อให้เขาใช้ดาบเลือดฆ่าเสิ่นปิงหยู เช่นนั้นเขาก็จะถูกวิชาตราประทับนี้ของหลัวซิวโจมตีอย่างแน่นอน
ชัวะ!
ชายชุดดำไม่มีความลังเลใจใด ๆ เลยแม้แต่น้อย ดึงดาบเลือดออกมาจากบริเวณคอของเสิ่นปิงหยู ก่อนจะยกดาบขึ้นมาจามใส่หลัวซิวที่ประสานอินพุ่งตรงเข้ามาพร้อมกับฝ่ามือ
“โครม!”
เสียงระเบิดที่ดังสะเทือนเลื่อนลั่นดังขึ้น ตราประทับล้นร้างของหลัวซิวถูกทลายภายในดาบเดียว แต่ทว่าในขณะเดียวกันฝ่ามือเขาก็จับดาบเลือดของฝ่ายตรงข้ามเอาไว้ได้เช่นกันเคล็ดเซียนแปรเก้าของเขาบรรลุถึงแดนแปรที่ห้าแล้ว ร่างเนื้อเทียบเท่าสมบัติแห่งจักรพรรดิเทพชั้นยอด ต่อให้ดาบเลือดในมือจะเฉียบคมมากเพียงใด ก็ทลายเกราะป้องกันร่างเนื้อของเขาไม่ได้
แต่ทว่าผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อช่วงปลายก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน ตราประทับล้นร้างของเขาสร้างภัยคุกคามให้เขาไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
“ตู้มม!”
หลัวซิวง้างกำปั้นอีกข้างหนึ่งขึ้นแล้วซัดเข้าไป พลานุภาพของกำปั้นหนึ่ง เทียบเท่าการระเบิดพลังทั้งหมดของสมบัติแห่งจักรพรรดิเทพออกมาเลย
ชายชุดดำไม่ลนลานแต่อย่างใด มีแสงโลหิตแย้มบานออกมาจากกงล้อเทพทั้งเจ็ดวงที่แดงฉานปานโลหิต แล้วโจมตีใส่ร่างหลัวซิวจนเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น มีสะเก็ดไฟที่นับไม่ถ้วนระเบิดแตก
ถึงแม้พลังโจมตีเหล่านี้จะไม่สามารถทลายเกราะป้องกันของหลัวซิวได้ ทว่าภายในมีพลังม้วนซัดที่แข็งแกร่งแฝงซ่อนอยู่ จึงทำให้ร่างกายของหลัวซิวถูกขัดขวาง อานุภาพของกำปั้นนี้จึงลดฮวบเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
เห็นเพียงชายชุดดำสะบัดแขนเสื้อทีหนึ่ง กำปั้นของหลัวซิวก็ถูกปัดทิ้ง ไม่สามารถโจมตีใส่ร่างกายฝ่ายตรงข้ามได้
และนี่ก็คือศักยภาพของผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อช่วงปลาย ซึ่งแข็งแกร่งกว่าจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อขั้นปฐมภูมิอย่างจักรพรรดิปีศาจเฉว่ซูมาก ๆ
ตลอดทั้งขั้นตอนนี้ดูเหมือนจะยาวนาน แท้จริงแล้วกลับเกิดขึ้นภายในเสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้น ในขณะที่ชายชุดดำทลายพลังโจมตีของหลัวซิวได้อย่างง่ายดายแล้ว ตู๋กูเจี้ยนเฉินก็พุ่งสังหารเข้ามาเช่นกัน
“ให้ตายเถอะ!”
ชายชุดดำไม่เกรงกลัวหลัวซิว แต่กลับหวาดหวั่นในตัวตู๋กูเจี้ยนเฉินอย่างลึกซึ้งเลย ดังนั้นเมื่อเขาเห็นว่าตู๋กูเจี้ยนเฉินก็พุ่งสังหารเข้ามาเช่นกัน จึงรีบถอยหลังกลับไปอย่างไม่ลังเลใจ ไม่พัวพันกับหลัวซิวต่อ
หลัวซิวก็รู้เช่นกันว่าตนไม่สามารถหยุดยั้งฝ่ายตรงข้ามได้ แม้นพลังของเขาจะสามารถเทียบทัดจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อขั้นปฐมภูมิ แต่เมื่อเปรียบกับจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อช่วงปลายแล้ว ก็แตกต่างกันมากโขเลย
“ไม่เป็นไรแล้ว”
หลังจากชายชุดดำถอยกลับไปแล้ว หลัวซิวก็โอบกอดเสิ่นปิงหยูเข้ามาในอ้อมอก แล้วปลอบใจด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา