มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2873
“ท่านชายระวัง!”
เสี้ยววินาทีที่หลัวซิวโอบกอดเสิ่นปิงหยู ก็มีแสงโลหิตดวงหนึ่งบินออกมาจากร่างกายเสิ่นปิงหยู จากนั้นก็มีรอยยิ้มที่แผนชั่วสำเร็จปรากฏบนใบหน้าชายชุดดำที่ถอยหลังกลับไปแล้ว
ความเร็วในการเคลื่อนที่ของแสงโลหิตดวงดังกล่าวรวดเร็วอย่างยิ่ง บวกกับเนื่องจากระยะประชิดมาก ๆ หลัวซิวจึงไม่มีโอกาสที่จะหลบหลีกได้เลยด้วยซ้ำ เพียงพริบตาเดียวแสงโลหิตดังกล่าวก็หายเข้าไปตรงหว่างคิ้วเขา
ภายในแสงโลหิตมีไอสังหารที่ผนึกรวมกันจนแทบจะกลายแก่นแท้แล้ว หว่างคิ้วของหลัวซิวถูกเฉือนจนแยกออกเล็กน้อย เลือกสีแดงสดไหลนอง เลือดสีแดงสดยิ่งหยดลงบนใบหน้าที่ขาวผ่องของเสิ่นปิงหยู
มีไอสังหาที่น่าสยดสยองอย่างไร้ขอบเขตปกคลุมทั้งร่างกายหลัวซิว ทำให้เขารู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่อับจน ต้องได้ตายอย่างไร้ข้อสงสัยแน่นอน ตัวธรรมก็ถึงขั้นสั่นคลอนเล็กน้อย
“อยากสยบตัวธรรมกูอย่างนั้นรึ?”
ทันใดนั้นเอง ก็มีรัศมีที่แวววาวจับตาพุ่งออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างของหลัวซิว ตัวธรรมที่สั่นคลอนจึงมั่นคงขึ้นมาทันที
ในขณะเดียวกัน ก็มีแสงสีทองที่โชติช่วงสว่างจ้าในตัวหยั่งรู้ของเขา ก่อนที่เงาลวงของหอคอยฮวงจะบินออกมา เสียงตู้มดังขึ้น ทำให้แสงโลหิตที่เข้าไปในตัวหยั่งรู้แล้วพุ่งตรงไปยังตัวธรรมถูกโจมตีจนแตกสลายแล้วหายไป
เมื่อฝึกวิถีแห่งการสังหารขึ้นไปถึงแดนที่สูงลึกมาก ๆ ไอสังหารจิตสังหารที่ผนึกรวมออกมาจะสามารถส่งผลกระทบต่อตัวธรรมของคู่ต่อสู้ ทำให้ฝ่ายตรงข้ามเปิดเผยช่องโหว่ได้ง่ายยิ่งขึ้น
ซึ่งอุบายประเภทนี้มีแต่ข้อดี ทว่าสำหรับคนที่มีตัวธรรมหนักแน่นอย่างหลัวซิวแล้ว มันกลับไม่มีประโยชน์อะไรเลย
ในระหว่างที่โบกมือครั้งเดียว หลัวซิวก็กระชากโซ่ที่พันธนาการอยู่ตามร่างกายเสิ่นปิงหยูทิ้งแล้ว ในขณะเดียวกันเขาก็เก็บร่างดูดจิตเข้าไปในปริภูมิของของขลังชิ้นหนึ่งด้วย
“ท่านชาย ท่านบาดเจ็บแล้ว……”
เสิ่นปิงหยูร้องห่มร้องไห้ ใช้มือสัมผัสบาดแผลคราบเลือดบริเวณหว่างคิ้วหลัวซิว ใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกผิด
“ยัยบื้อเอ๊ย แค่แผลเล็ก ๆ เอง ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก”
หลัวซิวยิ้มอย่างไม่เก็บมาใส่ใจ เนื่องจากเมื่อเปรียบเทียบกับชีวิตวิถียุทธ์ที่ยาวนานของตัวเองแล้ว สภาพอาการบาดเจ็บแค่นี้มันปกติมากจริง ๆ
อย่างไรก็ตามหลัวซิวยิ่งเป็นเช่นนี้ เสิ่นปิงหยูก็ยิ่งรู้สึกเจ็บใจ ชายที่ตนรักต้องรับบาดเจ็บเพราะจะช่วยชีวิตตน นี่จึงทำให้นางโกรธตัวเองที่ศักยภาพอ่อนแอมากเกินไป
“เจ้าเข้าไปอยู่ในปริภูมิของขลังของข้าสักพัก คอยจัดการเรื่องราวฝั่งนี้เสร็จสรรพ ข้าจักพาเจ้ากลับ”
บัดนี้วินาทีนี้ยังไม่ค่อยสะดวกที่จะพูดคุยกับเสิ่นปิงหยู หลัวซิวก็ไม่สนใจเช่นกันว่านางจะยินยอมหรือไม่ ก่อนจะเก็บนางเข้าไปในเตาอลวนหวูจี๋โดยตรง
“อาณากระบี่หวูจี๋จักเปิดศึกสงครามกับชนเผ่าเฉว่ซ่าข้าหรือ?”
ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงตวาดที่โกรธเกรี้ยวสะท้อนลงมาจากชั้นเมฆ ถัดจากนั้นก็มีมือใหญ่สีเลือดข้างหนึ่งจุติลงมา
“ชัวะ!”
ตู๋กูเจี้ยนเฉินสะบัดแขนเสื้อทีหนึ่ง ปราณกระบี่เล่มหนึ่งจึงพุ่งทะยานสู่เมฆ โจมตีมือใหญ่สีเลือดข้างนั้นจนแตกสลายอยู่กลางอากาศ
มีหมอกเลือดขนาดใหญ่กำลังไหลกลิ้งผนึกรวมกันอยู่กลางอากาศที่ว่างเปล่า ก่อนจะเผยให้เห็นเงาร่างของผู้อาวุโสที่อยู่ในชุดคลุมยาวสีเลือดคนหนึ่ง ใบหน้าหม่นหมอง หลังศีรษะมีกงล้อเทพลอยอยู่แปดวง
“บรรพอาจารย์!”
มีความดีใจปรากฏบนใบหน้าจักรพรรดิเทพทั้ง 11 แห่งหุบเขาเฉว่ซ่า บรรพอาจารย์มหาจักรพรรดิยุทธ์ของหน่วยองค์กรเร่งเดินทางมาถึง เช่นนั้นสถานการณ์การต่อสู้ในครั้งนี้ก็ถูกยึดกุมอยู่ฝั่งตัวเองแล้วล่ะ
ผู้อาวุโสคนดังกล่าวคือหนึ่งในบรรพอาจารย์มหาจักรพรรดิยุทธ์ของชนเผ่าเฉว่ซ่า คนส่วนมากล้วนทราบกันอยู่ว่ามีผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์คอยปกปักรักษาอยู่ในชนเผ่าเฉว่ซ่า แต่ในส่วนของรายละเอียดเรื่องที่ว่ามีมหาจักรพรรดิยุทธ์กี่คนนั้น กลับมีน้อยคนมากที่ทราบ
ผู้อาวุโสที่ปรากฏตัว ณ ขณะนี้มีนามว่าบรรพจารย์เฉว่เนี่ยน ผลการฝึกตนอยู่ที่มหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้อช่วงกลาง
สีหน้าอารมณ์ของตู๋กูเจี้ยนเฉินดูเข้มงวดขึ้นมา ต่างเป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้อเหมือนกัน แต่ช่วงระยะความต่างระหว่างขั้นปฐมภูมิและช่วงกลางนั้นมันไม่เล็กเลย อย่างไรเสียเมื่อบรรลุขึ้นมาถึงระดับขั้นอย่างพวกเขา ช่วงระยะความต่างของหนึ่งแดนเล็กก็ล้วนแตกต่างกันมากโขเลย
“ภารกิจของเราสำเร็จลุล่วงแล้ว ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาพัวพันอยู่ที่นี่ต่อ”หลัวซิวใช้ตัวสำนึกส่งเสียงพูดกับตู๋กูเจี้ยนเฉิน
บัดนี้ฝ่ายตรงข้ามมีมหาจักรพรรดิยุทธ์หนึ่ง จักรพรรดิเทพ 11 ขืนต้องพัวพันอยู่ที่นี่ต่อจริง ๆ สถานการณ์ต้องไม่เอื้ออำนวยต่อพวกหลัวซิวอย่างแน่นอน
มิหนำซ้ำการมาก่อความวุ่นวายในหุบเขาเฉว่ซ่าในครั้งนี้บรรลุเป้าหมายแล้ว หากต้องการสะสางบุญคุณความแค้นทั้งหมดกับชนเผ่าเฉว่ซ่า อนาคตสามารถทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปได้
ตู๋กูเจี้ยนเฉินพยักหน้าแล้วตอบกลับ: “เจ้าไปก่อนเถิด”
“รับทราบ!”
หลัวซิวก็ไม่ได้บ่ายเบี่ยงเช่นกัน ศักยภาพของตู๋กูเจี้ยนเฉินแข็งแกร่งกว่าเขามาก จึงต้องคอยรั้งท้ายเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
ณ วินาทีที่สิ้นเสียง เตาเทพก็ปรากฏเหนือศีรษะหลัวซิว ก่อนที่เงาร่างจะบินไปนอกหุบเขาเฉว่ซ่าเร็วปานสายฟ้า
“จะหนีไปไหน!”
ชายชุดดำตะคอกอย่างโกรธเกรี้ยว “เฟิงโหมว คูซิน ตู๋หลง พวกเจ้าทั้งสามไปไล่ล่ามันพร้อมกับข้า!”
“รับทราบ!”
จักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อทั้งสามที่ถูกชายชุดดำเรียกชื่อรีบผันร่างเป็นแสงกล ผลการฝึกตนของทั้งสามคนดังกล่าวไม่มีผลการฝึกตนของผู้ใดต่ำเลย ทุกคนล้วนเป็นจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อช่วงกลาง ในบรรดาจักรพรรดิเทพทั้งหมดที่คอยปกปักรักษาอยู่ในหุบเขาเฉว่ซ่า ทั้งสามคนดังกล่าวเป็นผู้ที่เป็นรองเพียงชายชุดดำเท่านั้น
ในส่วนของชายชุดดำนั้น ชื่อเสียงและฉายาของเขาคือโลหิตกาฬจักรพรรดิปีศาจทั้งเขายังมีอีกตัวตนหนึ่ง นั่นก็คือศิษยของบรรพจารย์เฉว่เนี่ยน
และเป็นเพราะมีตัวตนที่สองนี่เอง เขาถึงกล้าออกคำสั่งต่อหน้าบรรพจารย์เฉว่เนี่ยน ตัดสินใจทุกอย่างด้วยตนเอง
ส่วนการตัดสินใจทำทุกอย่างด้วยตนเองของโลหิตกาฬจักรพรรดิปีศาจนั้น บรรพจารย์เฉว่เนี่ยนไม่ได้ห้ามปรามแต่อย่างใด สายตาของเขาเพ่งมองไปที่ตู๋กูเจี้ยนเฉินตลอดเวลา
ส่วนตู๋กูเจี้ยนเฉินก็ไม่กังวลต่อหลัวซิวที่ถูกจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อสามคนไล่ล่าเช่นกัน ต้องท้าวความก่อนว่าเมื่อครั้นนั้นจักรพรรดิเทพทั้งสี่คนแห่งจ่างเทียนตี้ยังทำอะไรหลัวซิวไม่ได้เลย ปัจจุบันศักยภาพของหลัวซิวแข็งแกร่งมากกว่าเก่า การที่จักรพรรดิเทพสี่คนของหุบเขาเฉว่ซ่าไล่ล่าตามไปนั้น ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เช่นกัน
“มหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้อช่วงกลางหรือ?”
ตู๋กูเจี้ยนเฉินลูบไล้กระบี่เทพในมือ จากนั้นก็มีปณิธานรบที่มากมายมหาศาลพรั่งพรูออกมาจากตัวเขา ลมปราณพุ่งทะยานขึ้นเหนือเมฆ
เขาเพิ่งบรรลุถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ได้ไม่นาน อีกทั้งผลการฝึกตนก็เพิ่งมั่นคง ซึ่งต้องการศึกการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่พอดี เพื่อมาพิสูจน์ว่าตนแข็งแกร่งและอ่อนแอกว่ามหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้อคนอื่น ๆ มากน้อยเท่าไหร่!
ส่วนจักรพรรดิเทพอีกเจ็ดคนของหุบเขาเฉว่ซ่านั้นกลับยืนอยู่คนละตำแหน่ง ต่างพากันเปิดฐานค่ายที่ตนเฝ้าดูแลรักษาออกมา เพื่อคุ้มกันทุกเขตพื้นที่ในหุบเขาเฉว่ซ่า
แม้นค่ายโลหิตมารฉกรรจ์จะไม่สามารถโคจร แต่ฐานค่ายทุกฐานก็มีวิชาห้ามค่ายกลคอยปลุกเสกอยู่ เพื่อป้องกันไม่ให้ควันหลงจากการต่อสู้กระทบไปทั่วหุบเขาเฉว่ซ่า
“ตู้มม!”
ศึกการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ได้ปะทุขึ้นในทันที ตู๋กูเจี้ยนเฉินไม่มีความคิดที่จะเปลี่ยนสถานที่เลยด้วยซ้ำ ลงมือเหนือนภาหุบเขาเฉว่ซ่าโดยตรง ปราณกระบี่เล่มหนึ่งแพรวพรายดังเสา กดอัดหมื่นจักรวาล แข็งกร้าวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้!
ในขณะเดียวกัน หลัวซิวก็ต่อสู้กับโลหิตกาฬจักรพรรดิปีศาจทั้งสี่คนนอกหุบเขาเฉว่ซ่าเช่นกัน
“จ้าวหุบเขา!”
เย่ห้าวหรานและหลี่ยู่ต่างพากันเร่งเดินทางมา เห็นเพียงเย่ห้าวหรานเริ่มทำการจัดวางค่ายกล หวังจะอาศัยพลังแห่งค่ายกล ช่วยหลัวซิวต้านทานศัตรูตัวฉกาจ
ในบรรดาโลหิตกาฬจักรพรรดิปีศาจทั้งสี่คน ศักยภาพของทุกคนล้วนแข็งแกร่งกว่าหลัวซิว ทว่าเมื่อหลัวซิวอาศัยร่างเนื้อที่เทียบเท่าสมบัติแห่งจักรพรรดิเทพชั้นยอด ควบคู่กับเตาอลวนหวูจี๋ที่ทั้งสามารถโจมตีและป้องกัน จึงทำให้เขาพอจะประคองสถานการณ์การต่อสู้ได้อยู่บ้าง
อำนาจบารมีขณะผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ต่อสู้น่ากลัวกว่าที่จินตนาการเอาไว้มาก แม้นจักรพรรดิเทพทั้งเจ็ดคนของชนเผ่าเฉว่ซ่าจะเปิดตัวต้องห้ามคุ้มกันแล้ว แต่ทว่าเมื่ออยู่ภายใต้ผลกระทบจากควันหลงที่ผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ต่อสู้กัน ตัวต้องห้ามคุ้มกันเหล่านี้ต้านทานได้ไม่นานเลยด้วยซ้ำ
ยอดเขาแตกสลาย แผ่นดินใหญ่แตกร้าว อนัตตาพังทลาย เห็นเพียงเขตพื้นที่ในหุบเขาเฉว่ซ่ากลายเป็นซากปรักหักพังเป็นวงกว้าง ผู้คนในชนเผ่าเฉว่ซ่าจำนวนมากที่พักอาศัยอยู่ที่นี่ดับสลายเป็นฝุ่นผง เสียงกรีดร้องที่น่าเวทนาดังก้อง
และนี่ก็คือความเหี้ยมโหดของโลกแห่งการฝึกยุทธ์ แม้นเจ้าจะไม่เข้าร่วมการต่อสู้ แต่ก็มีโอกาสเป็นผู้เคราะห์ร้ายในศึกการต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งเช่นกัน
“ตู้มม!”
ปราณกระบี่ที่น่าสยดสยองเฉือนสับลงมาจากท้องฟ้าที่ว่างเปล่า แรงเต๋ามหาจักรพรรดิดับสูญที่ผนึกรวมกันทำลายล้างทุกสรรพสิ่ง ฟาดฟันลงกลางหุบเขาเฉว่ซ่าจนเกิดเป็นร่องลึกที่มองไม่เห็นก้น ราวกับเหวลึก
ศึกการต่อสู้ระหว่างตู๋กูเจี้ยนเฉินและบรรพจารย์เฉว่เนี่ยนไม่ได้ดำเนินการไปนานเท่าไหร่นัก เมื่อผลการฝึกตนบรรลุถึงแดนอย่างพวกเขา การต่อสู้ในทุกครั้งล้วนจะใช้มหาอิทธิฤทธิ์ที่ทรงพลัง ซึ่งมีน้อยมากที่จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่สูสีแล้วรบติดพันกันนาน ๆ ทุกครั้งที่ลงมือโจมตีล้วนมุ่งไปที่การสังหารคู่ต่อสู้หรือทำให้คู่ต่อสู้บาดเจ็บสาหัส
ตู๋กูเจี้ยนเฉินเดินออกมาจากอนัตตาด้วยทรงผมที่ยุ่งกระเซอะกระเซิง กระบี่เทพที่อยู่ในมือเขาหักไปหนึ่งท่อน และมีคราบเลือดไหลลงมาจากบนกระบี่
เมื่อเห็นว่าตู๋กูเจี้ยนเฉินเดินออกมา โลหิตกาฬจักรพรรดิปีศาจทั้งสี่คนที่กำลังรุมโจมตีหลัวซิวจึงบินหลบหนีไปอย่างไม่ลังเลใจ ไม่กล้าต่อกรกับเขาโดยตรงเลยด้วยซ้ำ
ตู๋กูเจี้ยนเฉินก็ไม่ได้ลงมือต่อพวกเขาเช่นกัน ง้างมือม้วนพัดแสงกลรุ้งยาวขึ้นมาหนึ่งสาย ก่อนจะพาหลัวซิว เย่ห้าวหรานและหลี่ยู่บินหนีไปพร้อมกัน
หลังจากที่ตู๋กูเจี้ยนเฉินจากไปได้ไม่นาน ก็มีสายฝนแห่งโลหิตตกลงมาท้องฟ้าที่ว่างเปล่า น้ำฝนสีแดงเลือดทั้งหลายผนึกรวมกันอยู่ในทั่วหุบเขาเฉว่ซ่า ก่อนจะเผยให้เห็นเงาร่างของบรรพจารย์เฉว่เนี่ยน
“ท่านบรรพอาจารย์!”
“อาจารย์! ……”
พวกโลหิตกาฬจักรพรรดิปีศาจต่างพากันบินไป แล้วพบว่าสีหน้าของบรรพจารย์เฉว่เนี่ยนขาวซีดเล็กน้อย
หลังจากผ่านศึกการต่อสู้ในครั้งนี้ ซ่องโจรอย่างหุบเขาเฉว่ซ่าก็แทบจะถูกทำลายล้างไปเกือบครึ่ง และยิ่งมีจักรพรรดิปีศาจเฉว่ซูคนหนึ่งดับสลายสูญสิ้นด้วย สามารถพูดได้เลยว่าได้รับความเสียหายหนักมาก
“เราไปกันเถอะ!”
บรรพจารย์เฉว่เนี่ยนกวาดตามองหุบเขาเฉว่ซ่าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความพังยับเยินรอบหนึ่ง ภายในแววตาไม่มีความอาลัยอาวรณ์ใด ๆ อีกต่อไป ก่อนจะพาจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อทั้ง 11 คนบินเข้าไปในอนัตตา
เห็นได้ชัดเจนเลยว่าซ่องโจรอย่างหุบเขาเฉว่ซ่าถูกละทิ้งไปแล้ว
ในระหว่างทางที่ย้อนกลับไปยังอาณากระบี่หวูจี๋ ตู๋กูเจี้ยนเฉินกำลังนั่งท่าขัดสมาธิอยู่ภายในแสงกล ฟื้นฟูสภาพอาการบาดเจ็บตามร่างกาย
“ผลการรบเป็นอย่างไรบ้าง?”หลัวซิวนั่งอยู่ข้างกายเขา พลางยิ้มพลางถาม
“กระบี่เทพชีวีของข้าได้รับความเสียหาย แต่ทว่าเฒ่าประหลาดเฉว่เนี่ยนนั่นก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไหร่เช่นกัน”ตู๋กูเจี้ยนเฉินมองกระบี่เทพที่หักไปแล้วครึ่งท่อนของตนอย่างใจเจ็บเล็กน้อย
ผลการฝึกตนของเขาอ่อนกว่าบรรพจารย์เฉว่เนี่ยนหนึ่งระดับ ทว่าเมื่ออาศัยวิถีกระบี่ที่ไร้เทียมทาน ศักยภาพของเขาจึงไม่อ่อนกว่าบรรพจารย์เฉว่เนี่ยนแต่อย่างใด ทั้งสองสูสีมาก สามารถพูดได้เลยว่าได้รับบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย มิเช่นนั้นละก็ บรรพจารย์เฉว่เนี่ยนนั่นจะมีทางปล่อยให้เขาจากมาอย่างสุขุมโดยที่ไม่เข้ามาสกัดกั้นได้อย่างไร?
“ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจักเอาวัตถุดิบให้เจ้า คอยหลอมสร้างกลับคืนมาใหม่ กระบี่เทพชีวีของเจ้าก็จะแข็งแกร่งมากกว่าเดิม”หลัวซิวยิ้มพลางตอบกลับ
ฝ่าฟันขึ้นไปถึงชั้นที่ 23 ของวังเซียนศักดิ์สิทธิ์เขาได้รับของรางวัลอย่างสมบัติวัตถุดิบขั้นสุดยอดมาเยอะมากเลยล่ะ
ตู๋กูเจี้ยนเฉินอ้าปาก เขาอยากถามมาก ๆ ว่าหลัวซิวไปเอาวัตถุดิบชั้นยอดที่มากมายเช่นนี้มาจากที่ใด แต่เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าเจ้าหมอนี่เป็นลูกศิษย์ของเจ้าแดน เขาจึงกลั้นใจไม่สอบถาม มิเช่นนั้นละก็ ตนก็เท่ากับยอมรับว่าเจ้าหมอนี่เป็นอาจารย์อาน้อยของตัวเองแล้วมิใช่หรือ?
หลัวซิวไม่รู้ว่าตู๋กูเจี้ยนเฉินกำลังคิดอะไรในใจ เขาโบกมือปล่อยเสิ่นปิงหยูและดูดจิตออกมาจากเตาอลวนหวูจี๋
หลังจากกินยาที่หลัวซิวเอาให้ลงไปแล้ว สภาพอาการบาดเจ็บของดูดจิตก็ฟื้นฟูกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว ส่วนเสิ่นปิงหยูนั้นกลับเดินมาข้างกายเขา แล้วจับแขนเสื้อเขาเอาไว้แน่น ๆ
หลังจากที่ถูกชนเผ่าเฉว่ซ่าจับกุมตัวไป เสิ่นปิงหยูก็รู้แล้วว่าตัวเองต้องได้ตายอย่างไร้ข้อสงสัยแน่นอน แม้นในใจจะคาดหวังให้หลัวซิวมาช่วยตัวเอง แต่แท้จริงแล้วนางยอมตาย แต่ก็ไม่อยากให้หลัวซิวเอาตัวเองเข้ามาเสี่ยง
นางไม่เคยกลัวว่าจะสูญเสียหลัวซิวมากขนาดนี้มาก่อนเลย บัดนี้เขากำลังยืนอยู่ข้างกาย ดังนั้นนางจึงอยากจับเขาเอาไว้แน่น ๆ
ผ่านมาหลายปีแล้ว การเจริญเติบโตของดูดจิตก็โดดเด่นมากเช่นกัน ซึ่งบรรลุถึงเทพมารระดับเก้าขั้นสูงแล้ว อีกไม่นานก็จะสามารถบรรลุสู่ราชาเทพระดับเก้าแล้ว
ดูดจิตมีศักยภาพในการเจริญเติบโตที่สูงมาก ขอแค่มีการสั่งสมจากทรัพยากรที่เพียงพอ เขาก็จะสามารถเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
ปัจจุบันหลัวซิวไม่ขาดแคลนทรัพยากร เช่นนั้นการเจริญเติบโตของดูดจิตก็จะตามทันลวี่โหลวในอีกไม่ช้า ซึ่งมีโอกาสสูงมากที่เขาจะเป็นคน
แรกของหุบเขาสยบปีศาจที่บรรลุถึงแดนมกุฎเทพหกกงล้อเร็วที่สุด
หลังจากกลับไปถึงหุบเขาสยบปีศาจ เมื่อได้ยินว่าเสิ่นปิงหยูกลับมาแล้ว เหล่าสตรีทั้งหลายจึงมารวมตัวกันที่วังซิวหลัว
เหยียนเยว่เอ๋อร์ เหยียนซีโรว่ ฉียู่หรง ช่าจื่อเยียน ปี้เซียนเสว่ จีเสี่ยวจื่อ รวมไปถึงจี้หานยู่ที่เป็นนายแห่งเผ่าจี้ในปัจจุบัน ประมุขเขาว่านเริ่นลวี่โหลว เทพธิดาว่านเริ่นหงเหยียน
มีสตรีทั้งหลายโอบล้อม ทุกคนล้วนเป็นผู้ที่งดงามล้ำเลิศ นอกจากลวี่โหลวที่ยังถือว่านิ่งสงบแล้ว แววตาของเหล่าสตรีที่เหลือที่จ้องมองไปทางหลัวซิวล้วนมีความรักใคร่ชื่นชมที่ลึกซึ้งแฝงซ่อนอยู่
ในฐานะที่อดีตชาติเป็นไท่ซ่างฉิงผู้มีพรสวรรค์เป็นที่หนึ่งแห่งยุค ซึ่งได้ครอบครองหัวใจของเหล่าเทพธิดาในยุคสมัยนั้นไม่รู้ตั้งเท่าไหร่
ส่วนภพชาตินี้ ข้างกายหลัวซิวก็ยังคงโอบล้อมไปด้วยเหล่าสตรีที่งดงามล้ำเลิศอยู่เช่นเคย และสาเหตุของเรื่องทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็เป็นเพราะเขาเช่นกัน
หลัวซิวจะไม่รู้สภาพจิตใจของเหล่าสตรีได้อย่างไรเล่า แต่ทว่าบัดนี้ผู้ที่เขาสามารถยอมรับได้ก็มีเพียงเหยียนเยว่เอ๋อร์และเหยียนซีโรว่เท่านั้น ในส่วนของสตรีคนอื่น ๆ นั้น ไม่ใช่เพราะเขาไม่ชอบแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะบุพเพสันนิวาสยังไม่ถึง ยังไม่ถึงช่วงเวลาที่เหมาะเจาะ
ปัจจุบันมหันตภัยกำลังจะมาเยือน จะทำอย่างไรถึงจะทำให้ผู้คนที่ติดตามตนมีชีวิตรอดจากมหันตภัยในครั้งนี้ ถึงจะเป็นสิ่งที่เขาต้องไปคิดพิจารณาอย่างแท้จริงต่างหาก