มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake – บทที่ 2879 เวลาไม่เคยคอยท่า

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2879 เวลาไม่เคยคอยท่า

มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2879

“การถ่ายทอดสืบสานของเซียนเป็นเพียงพรหมเซียนเล็ก ๆ อย่างนั้นหรือ? แล้วอะไรถึงจะเป็นพรหมเซียนใหญ่ขอรับ? เซียนก็มีการแบ่งแดนสูงต่ำเช่นกันหรือ?”

คำบอกเล่าของอาจารย์ทำให้หลัวซิวฟังดูจนตกตะลึงพรึงเพริด เขาคิดมาโดยตลอดเลยว่าขอแค่ฝึกถึงแดนเซียน ก็ถือเป็นขีดสูงสุดของวิถียุทธ์แล้ว แต่ฟังจากคำพูดของอาจารย์แล้ว ดูเหมือนมันจะไม่ได้ง่ายดายปานนั้น

“คอยหลังจากเจ้าบรรลุถึงแดนที่แน่นอนแล้ว อาจารย์จักบอกเจ้าเอง จากผลการฝึกตน ณ ปัจจุบันของเจ้า มันยังเร็วไปหน่อยที่จะทราบเรื่องเหล่านี้”

มกุฎเต๋าหวูจี๋ส่ายหน้าแล้วพูดอย่างเรียบนิ่ง: “เส้นทางแห่งการฝึกยุทธ์กว้างใหญ่ไพศาลอย่างไร้ขอบเขต สำหรับผู้คนที่อยู่ในโลกาดาราระดับล่าง เทพมารถือเป็นการคงอยู่ที่สูงส่งอย่างยิ่งแล้ว ส่วนในโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดนั้น เทพมารกลับเป็นเพียงจุดเริ่มต้น เป็นเพียงมดตัวจ้อยในสายตาผู้แข็งแกร่งเท่านั้นแหละ”

“และสำหรับเทพมารส่วนมากแล้ว ผู้สูงส่งนั้นอยู่ห่างไกลเกินเอื้อม ประมุขเต๋ายิ่งเป็นเหมือนการคงอยู่ในตำนาน แล้วจะนับประสาอะไรกับเซียนเล่า?”

“แต่ถ้าเกิดสักวันเจ้าได้สัมผัสกับแดนของเซียนแล้ว มีเพียงถึงช่วงเวลานั้นเจ้าถึงจะเข้าใจว่าเซียนก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้นเอง ซึ่งไม่ใช่จุดจบแต่อย่างใด……”

“ตกลงเส้นทางแห่งการฝึกยุทธ์ยาวไกลมากเพียงใด แดนใดถึงจะเป็นขั้นสูงสุด แม้แต่ตัวอาจารย์เองก็ไม่ทราบเช่นกัน เนื่องจากมาตรแม้นว่าเป็นตัวอาจารย์เอง หากถูกหยิบยกเข้าไปในชีวิตของเหล่าเซียน อาจารย์ก็เป็นเพียงมดตัวจ้อยตัวหนึ่งเท่านั้นแหละ……”

“ดูท่าเส้นทางที่ข้าต้องเดินยังอีกยาวไกลมากเลยสินะ”

เมื่อหลัวซิวออกมาจากตำหนักหวูจี๋ เขาก็อดไม่ได้ที่จะพูดพึมพำคนเดียว สัมผัสความเล็กน้อยของตัวเองได้อย่างแท้จริง บนเส้นทางแห่งการฝึกยุทธ์ที่กว้างใหญ่ไพศาลอย่างไร้ขอบเขต บัดนี้เขาถึงจะเข้าใจว่าผลสำเร็จในปัจจุบันของตัวเองมันเล็กน้อยมากจนไม่มีค่าพอที่จะให้พูดถึงมากเพียงใด

อย่างไรก็ตามหลัวซิวกลับไม่ได้สูญเสียความมั่นใจของตัวเองไปเพราะเหตุนี้ ในทางตรงกันข้ามหลังจากทราบเรื่องราวเหล่านี้แล้ว ความมุ่งมั่นในใจเขากลับฮึกเหิมมากยิ่งขึ้น!

“สักวันข้าต้องเดินขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของวิถียุทธ์ให้ได้ ดูซิว่าภาพฉากบนขั้นสูงสุดของวิถียุทธ์มันเป็นอย่างไรกันแน่”เขาพูดเช่นนี้ในใจ

“อาจารย์บอกว่าการถ่ายทอดสืบสานของเซียนเป็นเพียงพรหมเซียนเล็ก ๆ ซึ่งไม่ใช่สาเหตุแท้จริงที่ทำให้มหันตภัยแห่งพรหมเซียนปะทุขึ้น เช่นนั้นมหันตภัยที่แท้จริงน่าจะมีต้นกำเนิดจากพรหมเซียนใหญ่! เมื่อเปรียบเทียบกับการพันธนาการและข้อจำกัดของพรหมเซียนเล็กแล้ว เช่นนั้นสิ่งที่พรหมเซียนใหญ่หมายถึงก็น่าจะเป็นโอกาสที่สามารถริเริ่มวิถีเซียนที่เป็นของตัวเอง!”

แม้นมกุฎเต๋าหวูจี๋จะไม่ได้เอ่ยปากชี้แจงเรื่องนี้ก็ตาม แต่หลัวซิวกลับสามารถอ้างอิงจากข้อมูลเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่รั่วไหลออกมาจากคำพูดของอาจารย์ แล้วทำการคาดการณ์ด้วยตนเอง

การริเริ่มวิถีเซียนนั้นทำได้ยากมากเพียงใด? แม้มกุฎเต๋าหวูจี๋จะบอกว่ามีเพียงริเริ่มวิถีเซียนที่เป็นของตัวเองได้ ถึงจะมีโอกาสพัฒนาได้อย่างไร้ขีดจํากัด แต่แท้จริงแล้วต่อให้ริเริ่มวิถีเซียนที่เป็นของตัวเองออกมาได้ ก็ใช่ว่าจะสามารถบรรลุถึงแดนที่สูงลึกได้เสมอไป

เมื่อได้รับการถ่ายทอดสืบสารของราชาเซียน ขอแค่มีพรสวรรค์มากพอ ก็จะมีโอกาสอยู่เหนือเซียนชั้นฟ้า บรรลุถึงแดนราชาเซียน

ส่วนผู้ที่สามารถบุกเบิกริเริ่มวิถีเซียนที่เป็นของตัวเองออกมาได้นั้น บางทีอาจจะแค่สามารถฝึกถึงแดนเซียนชั้นฟ้า หากไม่สามารถทำการอนุมานยกระดับวิถีเซียนของตัวเองให้ขึ้นไปได้อีกขั้น บางทีชั่วชีวิตนี้ก็อาจเป็นได้เพียงเซียนชั้นฟ้า ซึ่งไม่มีวันบรรลุถึงแดนราชาเซียนได้

เพราะฉะนั้นแล้ว เมื่อดูจากมุมมองคุณค่าบางอย่าง พรหมเซียนเล็กใช่ว่าจะไม่สามารถเทียบเคียงกับพรหมเซียนใหญ่ได้เสมอไป

อย่างไรก็ตามสำหรับผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์ส่วนมากแล้ว จักให้ความสำคัญกับพรหมเซียนใหญ่มากกว่า เนื่องจากโดยทั่วไปแล้วบุคคลที่สามารถริเริ่มวิถีเซียนออกมาได้นั้น ต้องเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์เป็นเลิศอย่างแน่นอน ต่อให้มีการถ่ายทอดสืบสานของเซียนองค์หนึ่งวางอยู่ตรงหน้า เขาก็จะไม่เลือกมัน เพราะมุ่งมั่นที่จะฝึกวิถีเซียนของตัวเอง

ซึ่งวิถีเซียนเช่นนี้ถึงจะเป็นวิถีเซียนที่แท้จริง! หากแดนผลการฝึกตนอยู่ในแดนเดียวกัน เช่นนั้นศักยภาพของเซียนแท้ก็จะแข็งแกร่งมากกว่า!

เนื่องจากวิถีเซียนที่เซียนแท้ฝึกนั้นเป็นวิถีของตัวเอง ซึ่งสามารถปลดปล่อยพลานุภาพทั้งหมดของพลังแห่งวิถีเซียนออกมาได้อย่างหมดเปลือก ปลดปล่อยพลานุภาพที่ทรงพลังที่สุดออกมา หากวิถีเซียนที่ฝึกเป็นวิถีที่คนรุ่นก่อนริเริ่ม ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นเพียงช่างเลียนแบบคนหนึ่ง ซึ่งไม่สามารถอยู่เหนือคนรุ่นก่อนได้

การที่อยากบรรลุเป็นเซียนแท้นั้น ขั้นตอนแรกก็คือต้องริเริ่มวิถีเซียนที่เป็นของตัวเอง ซึ่งเท่านี้ยังไม่พอ ยังจำเป็นต้องมีโอกาสที่เพียงพอที่จะสามารถทำให้ตัวเองบรรลุถึงแดนเซียนได้ด้วย!

ในมุมมองของหลัวซิว ทุกกิริยาท่าทางของอาจารย์ตนมกุฎเต๋าหวูจี๋ล้วนมีแสงเซียนปรากฏลาง ๆ แสดงว่าท่านน่าจะทำขั้นแรกสำเร็จแล้ว ซึ่งริเริ่มวิถีเซียนที่เป็นของตัวเองออกมาได้แล้ว และยิ่งบุกเบิกวรยุทธ์ที่แข็งแกร่งจนเหลือเชื่ออย่างเคล็ดเซียนแปรเก้าออกมาด้วย

แล้วก็มกุฎเต๋านอกนภา เขาบุกเบิกแดนเซียน ฝึกธรรมเวชตรีภพโกลาหล เห็นได้ชัดเจนเลยว่าเส้นทางที่เขาเดินก็เป็นวิถีเซียนแท้เช่นกัน

บางทีในโลกาฟ้าดินหลิงหลง รวมไปถึงโลกาเทพมังกรไท่ชู ก็มีมกุฎเต๋าคนอื่น ๆ ทำขั้นแรกสำเร็จแล้ว มีความเป็นไปได้สูงมากว่าการปะทุของมหันตภัยแห่งพรหมเซียน เป็นเพราะจะช่วงชิงโอกาสในการกลายเซียน!

แดนเซียนไม่ใช่แดนที่บรรลุได้ง่ายขนาดนั้น บางครั้งใช่ว่าเมื่อมีพรสวรรค์ปัญญาเพียงพอแล้วจะสามารถบรรลุถึงแดนเซียนได้เสมอไป ซึ่งยังต้องมีทรัพยากรที่เพียงพอด้วย

ยกตัวอย่างเช่นการบรรลุสู่ผู้สูงส่ง จำเป็นต้องอาศัยทรัพยากรระดับสูงอย่างหินบรรพไท่ชู และถ้าเกิดจะบรรลุสู่ประมุขเต๋า ก็จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรที่ระดับขั้นสูงกว่า หากต้องการบรรลุสู่แดนเซียน เงื่อนไขที่ต้องการก็มีแต่จะยากยิ่งมากกว่าเดิม!

“เส้นทางแห่งการฝึกยุทธ์ยาวไกลและเต็มเปี่ยมไปด้วยภาระที่หนักอึ้ง แต่ข้าจะมัวแต่ยกระดับศักยภาพของตัวเองไม่ได้ ผู้คนในหุบเขาสยบปีศาจก็ต้องรีบเดินตามฝีเท้าข้าให้ทันเช่นกัน”

กลับมาจากโลกาอนัตตาอู๋จี๋ หลัวซิวมาทักทายตู๋กูก่อนจะออกจากหุบเขากระบี่ แล้วกลับมาถึงวังซิวหลัวในหุบเขาสยบปีศาจ

ผู้คนในหุบเขาสยบปีศาจเป็นกลุ่มคนที่ติดตามหลัวซิวมานานที่สุด แม้นตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ หลัวซิวจะยกระดับศักยภาพผลการฝึกตนของตัวเองอย่างทุ่มสุดชีวิต แต่เขากลับไม่เคยลืมคนสนิทที่ติดตามตัวเอง

เขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่าจากการที่ศักยภาพของตัวเองยิ่งอยู่ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น หากผู้คนที่อยู่ข้างกายเขายกระดับศักยภาพได้ช้า เช่นนั้นระหว่างทั้งสองฝ่ายก็จะยิ่งอยู่ยิ่งไม่มีการคลุกเคล้ากัน ยิ่งอยู่ยิ่งไม่มีคำพูดและสิ่งที่สามารถสื่อสารร่วมกันได้

ซึ่งแนวโน้มเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และหลัวซิวก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้เช่นกัน เนื่องจากเขาก็รู้อยู่ว่าตัวเองไม่มีทางทำให้ความเร็วในการฝึกตนของทุกคนเร็วเหมือนตัวเอง

ทว่าอย่างน้อยสุด หลัวซิวต้องคิดหาหนทางยกระดับศักยภาพของพวกเหยียนเยว่เอ๋อร์และเหยียนซีโรว่ขึ้นมาให้ได้

“ราชาเทพห้ากงล้อ?”

ทันทีที่หลัวซิวกลับมา ตัวสำนึกก็มองเห็นเหยียนเยว่เอ๋อร์ที่กำลังปิดขังอยู่ในวังซิวหลัวเลย อีกทั้งทราบมาจากปากเหยียนซีโรว่ว่าเหยียนเยว่เอ๋อร์เพิ่งข้ามผ่านทัณฑ์สำเร็จเมื่อไม่นานมานี้ บัดนี้นางกำลังทำให้ผลการฝึกตนของตัวเองมั่นคงอยู่

ผลการฝึกตนของตัวหลัวซิวเองก็เป็นเพียงราชาเทพช่วงกลางเท่านั้น ผลการฝึกตนของเหยียนเยว่เอ๋อร์ไล่ตามมาเร็วขนาดนี้ ซึ่งอยู่ต่ำกว่าเขาหนึ่งแดนเล็กเท่านั้น นี่จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นธรรมดาอยู่แล้ว

ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น เขายังสังเกตเห็นอีกว่าผลการฝึกตนของเหยียนซีโรว่ก็บรรลุถึงเทพมารระดับเก้าขั้นสูงแล้วเหมือนกัน ซึ่งสามารถบรรลุได้ตลอดเวลา

ทั้งหมดทั้งมวลนี้ต้องยกคุณงามความดีให้ทรัพยากรการฝึกตนจำนวนมากที่เขาแลกมาจากศิษย์พี่ตู๋กูเมื่อครั้งก่อน หากไม่มีการสั่งสมจากทรัพยากร พวกนางไม่มีทางฝึกตนได้เร็วปานนี้แน่นอน

เมื่อเปรียบเทียบกับการบรรลุของเหยียนเยว่เอ๋อร์แล้ว สิ่งที่หลัวซิวใส่ใจมากกว่ากลับเป็นไข่ตัวอ่อนเซียนที่ถูกหล่อเลี้ยงอยู่ในโลกาเพลิงอัคคีที่วิวัฒนาการออกมาจากกงล้อเทพห้าวงของเหยียนเยว่เอ๋อร์!

“สายเลือดหวนบรรพหรือ?”

สามารถพูดได้เลยว่าโลกทัศน์ของหลัวซิวสูงมาก วิถีไร้ลักษณ์ของเขาสามารถวิวัฒนาการธรรมเวชเส้นปราณ ยิ่งกว่านั้นคือสายเลือดของตัวเขาเองก็เป็นสายเลือดประเภทหนึ่งที่แข็งแกร่งมากเช่นกัน หากมีลูกหลานละก็ ลูกหลานเขาก็จะได้รับพลังสายเลือดที่แข็งแกร่งของเขา ซึ่งจะมีพรสวรรค์วิถียุทธ์ที่สูงมาก ๆ ตั้งแต่กำเนิด

จอมยุทธ์ในแปดเผ่าตระกูลโบราณทั้งแปดที่เขาเคยคบค้าสมาคมอย่างพวกหงบูและฮวงหวูจี๋ ก็เป็นลูกหลานของบรรพโบราณนี่แหละ ซึ่งได้สืบทอดพลังสายเลือดที่แข็งแกร่งของบรรพโบราณ

แต่ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว หลัวซิวกลับรู้สึกว่าสายเลือดของเหยียนเยว่เอ๋อร์ที่ปลุกตื่นแข็งแกร่งกว่าสายเลือดของบรรพโบราณมาก!

มีแสงเซียนทะลักออกมาจากไข่ยักษ์ที่ถูกหล่อเลี้ยงอยู่ในโลกาเพลิงอัคคีอยู่เป็นระยะ ๆ หากเป็นของธรรมดาทั่วไปละก็ แล้วมันจะมีทางมีแสงเซียนกำเนิดขึ้นมาได้อย่างไร?

ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น หลัวซิวยังสัมผัสออร่าพลังเต๋าที่มากมายมหาศาลได้จากสายเลือดของเหยียนเยว่เอ๋อร์ด้วย ซึ่งออร่าพลังเต๋าประเภทนี้อยู่เหนือธรรมดั้งเดิม ออร่าเป็นทำนองเดียวกันกับวิถีไร้ลักษณ์ที่บรรลุเป็นวิถีเซียนของเขา

“สายเลือดวิถีเซียน เป็นสายเลือดแข็งแกร่งที่มีการถ่ายทอดสืบสานวิถีเซียนแฝงซ่อนอยู่หรือ?”หลัวซิวหรี่ตาลง เขาก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าเหยียนเยว่เอ๋อร์จะมีโชคเช่นนี้

แค่อาศัยสายเลือดสืบทอดที่แข็งแกร่งนี้ อนาคตเหยียนเยว่เอ๋อร์มีโอกาสก้าวเข้าสู่แดนเซียนสูงมาก ในบรรดาผู้คนทั้งหมดที่อยู่ข้างกายเขา นางกลายเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์สูงที่สุดทันที แม้แต่ดูดจิตที่ได้รับการขนานนามว่ามีสายเลือดที่แข็งแกร่งก็เทียบเคียงกับนางไม่ได้

ช่วงระยะเวลาถัดจากนี้ หลัวซิวก็ไม่ได้ทำตัวเอ้อระเหยอยู่ในวังซิวหลัวเช่นกัน เพื่อคำนึงถึงอนาคตของหุบเขาสยบปีศาจ เขาจะทำการกลั่นเม็ดยาเซียนจำนวนมากหนึ่งชุดก่อน เตรียมพร้อมที่จะยกระดับผลการฝึกตนของทุกคน ทำให้หุบเขาสยบปีศาจมีกำลังรบที่สูงส่งก่อน

แม้นผลการฝึกตนของตัวหลัวซิวเองจะไม่สูง ทว่าอาศัยโชคจากคัมภีร์โอสถ ขอแค่มีวัตถุดิบที่เพียงพอ เขายิ่งสามารถกลั่นยาเซียนระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อออกมาได้

ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น เขายังทำการกลั่นสกัดหอคอยเทวอีกเก้าหลัง ซึ่งหอคอยเทวทุกหลังล้วนเลียนแบบมาจากหอคอยฮวง แล้วเพิ่มเสริมด้วยความคิดและอุบายบางอย่างของตัวเอง

เขาได้ทำการตั้งชื่อหอคอยเทวทั้งเก้าหลังนี้ว่าหอคอยรู้เต๋า ขอแค่เป็นศิษย์ในหุบเขาสยบปีศาจก็สามารถเข้าไปฝึกฝนภายในหอคอยได้ ยิ่งเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ปัญญาสูงเท่าไหร่ ดอกผลที่ได้รับในหอคอยรู้เต๋าก็จะโดดเด่นมากเท่านั้น

หลัวซิวทำการจัดวางวรยุทธ์เคล็ดเซียนระดับต่าง ๆ ไว้ในทุก ๆ ชั้นของหอคอยรู้เต๋า ซึ่งผู้ผ่านด่านจะได้รับวรยุทธ์พลังอมตะที่สอดคล้องกับพรสวรรค์ปัญญาของตัวเอง

ในส่วนขององครักษ์ในทุก ๆ ชั้นนั้น เป็นร่างแยกที่หลัวซิววิวัฒนาการออกมา แล้วปล่อยพลังแห่งวิถีเซียนเสี้ยวหนึ่งของตัวเองเข้าไปในร่างแยก มีเพียงโค่นล้มร่างแยกแต่ละร่างที่อยู่ในแดนเดียวกัน ผู้ผ่านด่านถึงจะสามารถฝ่าฟันขึ้นไปถึงชั้นที่สูงกว่าและไกลกว่าของหอคอยรู้เต๋าได้

หอคอยรู้เต๋ามีทั้งหมดเก้าชั้น ศักยภาพขององครักษ์ในชั้นสุดท้ายเท่ากับกำลังรบของหลัวซิวที่อยู่ในแดนเทพมารระดับหนึ่งขั้นสูง

สำหรับการทดสอบของหอคอยรู้เต๋านั้น ทันทีที่ผลการฝึกตนอยู่เหนือเทพมารระดับหนึ่งก็จะไม่สามารถเข้าไปได้อีกแล้ว ซึ่งจุดประสงค์หลักของเขาก็คือจะคัดเลือกศิษย์ที่มีพรสวรรค์ดีเลิศออกมา แล้วทำการบ่มเพาะโดยเฉพาะ!

สาเหตุที่ใช้วิธีการเช่นนี้ หลัวซิวก็มีการพิจารณาของตัวเองเช่นกัน อย่างไรเสียจากการที่หุบเขาสยบปีศาจมีการพัฒนาอยู่ทุกวัน ศิษย์ในหุบเขาสยบปีศาจก็ยิ่งอยู่ยิ่งเยอะ และในบรรดาศิษย์จำนวนมาก ก็มีทั้งคนดีและคนชั่ว พรสวรรค์ก็มีสูงและต่ำ ภายใต้ทรัพยากรที่มีขีดจำกัด ไม่มีทางที่ทุกคนจะได้รับการปฏิบัติต่ออย่างเท่าเทียม

โลกแห่งการฝึกยุทธ์เป็นโลกที่ผู้แข็งแกร่งอยู่รอด ผู้ด้อยกว่าถูกคัดออกตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ทรัพยากรจำนวนมากจึงจะลาดเอียงไปทางกลุ่มคนที่มีพรสวรรค์ปัญญาสูงมากกว่า

พรสวรรค์ปัญญายิ่งสูง ความเร็วในการเจริญเติบโตก็ยิ่งเร็ว ความคิดที่หลัวซิวอยากทำการจัดตั้งกองทัพใหญ่ขึ้นมาก่อนมหันตภัยจะปะทุ ก็จะยิ่งมีโอกาสเป็นจริงได้เร็วขึ้น

แค่กองทัพใหญ่เทพมารระดับเก้านับหมื่นคนยังไม่สามารถทำให้หลัวซิวรู้สึกพึงพอใจได้ กองทัพที่เขาต้องการคือกองทัพที่สามารถพุ่งสังหารอยู่ทั่วทุกสารทิศบนสนามรบ กองทัพใหญ่ที่ไร้เทียมทาน ผลการฝึกตนยิ่งสูงยิ่งดี ศักยภาพยิ่งสูงก็ยิ่งดีอยู่แล้ว!

ตั้งแต่หลัวซิวบัญชาการหุบเขาผนึกปีศาจด้วยตนเองเป็นต้นมา ระยะเวลาก็เพิ่งผ่านไปไม่ถึงหนึ่งปีเท่านั้น เหยียนซีโรว่ เหยียนเยว่เอ๋อร์ จี้เสี่ยวจื่อและพวกเสิ่นปิงหยูก็ต่างบรรลุกันอย่างต่อเนื่อง!

ตัวหลัวซิวเองก็ทำให้วิถีเซียนของตัวเองสมบูรณ์แบบขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน เขาได้ริเริ่มวิถีเซียน ซึ่งเท่ากับว่ามีตั๋วที่สามารถมุ่งไปสู่เส้นทางแห่งการบรรลุเป็นเซียน และสิ่งที่เขาต้องทำก็คือพยายามเดินบนเส้นทางแห่งการเป็นเซียนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้!

เนื่องจากมหันตภัยสามารถปะทุได้ตลอดเวลา เวลาไม่เคยคอยท่า……

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

None

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท