มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2880
นอกจากฝึกวิถีเซียนแล้ว หลัวซิวก็เริ่มลงมือตระหนักรู้พลังอมตะอย่างวิชาเซียนสิบช่องเช่นกัน
ทูตเพ้าดำที่มาจากโลกาฟ้าดินหลิงหลงถูกสังหาร ตี๋ซันที่มาพร้อมทูตเพ้าดำก็ถูกตู๋กูสังหารเช่นกัน ทั้งจับกุมวิญญาณดั้งเดิมไปด้วย
จากความแข็งแกร่งของมกุฎเต๋าหวูจี๋ สามารถอ่านความทรงจำของเจ้าตี๋ซันนั่นได้อย่างง่ายดายเลย ก่อนจะทราบวิธีการฝึกพลังอมตะอย่างวิชาเซียนสิบช่อง
เงื่อนไขในการฝึกวรยุทธ์เซียนทั้งปวงล้วนทารุณโหดอย่างยิ่ง สาเหตุที่เจ้าตี๋ซันนั่นสามารถฝึกสำเร็จนั้น ก็เป็นเพราะร่างเนื้อของเขาแข็งแกร่ง ใช้ร่างเนื้อที่แข็งแกร่งรองรับผลการฝึกตน ถึงจะสามารถลดทอนผลการฝึกตนที่สูญเสียจากสิบเป็นหนึ่งได้
แต่ว่าเนื่องจากขณะที่ตี๋ซันปลดปล่อยวรยุทธ์เซียนดังกล่าว พลังที่เขาใช้คือแรงเต๋าจักรพรรดิเทพ ซึ่งไม่ใช่พลังแห่งวิถีเซียน ดังนั้นเมื่อเขาปลดปล่อยพลังอมตะวิชาดังกล่าว จึงสามารถแบ่งร่างแยกที่เหมือนตัวเองทุกประการออกมาได้เก้าร่าง แต่กลับประคองได้นานสุดแค่ประมาณระยะเวลาในการจุดธูปครึ่งดอก
ซึ่งระยะเวลาของธูปหนึ่งดอกอยู่ที่ประมาณห้านาที ดังนั้นธูปครึ่งดอกก็อยู่ที่ประมาณสามนาทีเท่านั้น ภายในระยะเวลาที่สั้นขนาดนี้ ก็สามารถทำให้ผลการฝึกตนของผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อขั้นสูงคนหนึ่งแห้งเหือดได้แล้ว จึงเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นเลยว่าเงื่อนไขในการใช้พลังอมตะวิชานี้มันทารุณมากเพียงใด
อย่างไรก็ตามถ้าเกิดหลัวซิวใช้พลังแห่งวิถีเซียนมากระตุ้นพลังอมตะวิชานี้ละก็ เช่นนั้นความหมายก็จะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเลย ซึ่งเขาสามารถประคองพลังอมตะวิชานี้ได้นาน 15 นาที!
เวลา 15 นาทีก็เท่ากับเวลาในการจุดธูปสามดอกแล้ว เมื่อเผชิญหน้ากับการรุมโจมตีจากหลัวซิวสิบคน จักมีคู่ต่อสู้แบบใดบ้างที่สามารถต้านทานไหว?
“พลังอมตะอย่างวิชาเซียนสิบช่องนี้ แม้นจะจัดอยู่ในหมวดพลังอมตะวิถีเซียน ก็ถือเป็นพลังอมตะที่ยอดเยี่ยมมาก ๆ แล้ว”
ฝึกวิชาเซียนสิบช่องสำเร็จ ศักยภาพของหลัวซิวพุ่งพรวด พลานุภาพของพลังอมตะวิชานี้แข็งแกร่งกว่าตรามหาหัตถ์ราชาเซียนและวิชาทะยานเซียนที่เขาตระหนักได้จากแดนเซียนนอกนภาไม่น้อย ซึ่งเพียงพอที่จะสามารถเทียบเคียงกับพลังอมตะอย่างเข้าล็อกเดิมของเขา อยู่เหนือพลังอมตะอย่างตราต้าฮวง ตราหงฮวงและตราสรรพสิทธิ์
สำหรับสิ่งที่ตนร่ำเรียนมาได้นั้น หลัวซิวก็ได้ทำการจัดระเบียบใหม่อีกรอบเช่นกัน วิถีไร้ลักษณ์ยิ่งอยู่ยิ่งสมบูรณ์ ทุกครั้งที่โคจรวิถีไร้ลักษณ์ ก็จะมีแสงเซียนที่งดงามโอบล้อมอยู่รอบกายเขา
ฝึกตนอย่างไม่หยุดไม่หย่อน ตั้งแต่กองทัพใหญ่นับแสนของชนเผ่าเฉว่ซ่าถูกเจ้าแดนตู๋กูกวาดล้างเมื่อครั้งก่อน ชนเผ่าเฉว่ซ่าก็ไม่มีท่าทีที่จะล้างแค้นตลอดมา
นี่จึงทำให้หลัวซิวมั่นใจว่าสาเหตุที่ชนเผ่าเฉว่ซ่าล้มล้างสำนักเยี่ยนหยุนเมื่อคราวก่อน ก็เพื่อจะล่อให้เขาออกมา ยิ่งกว่านั้นคือกองกำลังที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังชนเผ่าเฉว่ซ่าถึงขั้นยอมส่งผู้สูงส่งคนหนึ่งออกมา แต่น่าเสียดายที่สุดท้ายพวกเขาก็ล้มเหลวอยู่ดี
เวลาล่วงเลยไปร้อยปีโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ผลการฝึกตนของหลัวซิวมีการยกระดับอย่างมั่นคง ในระหว่างนี้เขาได้ข้ามผ่านทัณฑ์สายฟ้าพิโรธครั้งหนึ่ง ผลการฝึกตนบรรลุถึงแดนมกุฎเทพขั้นปฐมภูมิ
เนื่องจากกงล้อเทพของเขามีแค่วงเดียวมาโดยตลอด ด้วยเหตุนี้จึงไม่สามารถตัดสินแดนผลการฝึกตนของเขาจากจำนวนของกงล้อเทพ ยิ่งกว่านั้นคือหากเขาไม่ปลดปล่อยคลื่นผลการฝึกตนออกมาด้วยตนเอง แม้แต่ผู้แข็งแกร่งผู้สูงส่งอย่างตู๋กูก็ดูไม่ออกเหมือนกันว่าตกลงเขาอยู่ในแดนระดับใดกันแน่
ระยะเวลาร้อยปีดูเหมือนจะไม่นาน แต่กลับเพียงพอที่จะส่งผลให้เกิดเรื่องราวต่าง ๆ เยอะมากแล้ว สิ่งที่น่าสนใจคือเย่ห้าวหรานและหลี่ยู่ต่างก็บรรลุถึงแดนจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อแล้ว เหล่าสตรีอย่างเหยียนเยว่เอ๋อร์ เหยียนซีโรว่ ลวี่โหลว หงเหยียน เสิ่นปิงหยู ฉียู่หรง จี้เสี่ยวจื่อและจี้หานยู่ก็ต่างบรรลุถึงแดนมกุฎเทพหกกงล้อ
แม้แต่ช่าจื่อเยียนที่พรสวรรค์ปัญญาค่อนข้างแย่กว่าเล็กน้อยก็บรรลุถึงแดนราชาเทพห้ากงล้อแล้วเหมือนกัน น้องชายของนางเสี่ยวเจียงหมิงก็ไม่ได้ทำให้คนผิดหวัง ผลการฝึกตนยิ่งสูงกว่านาง บรรลุถึงราชาเทพห้ากงล้อช่วงปลาย
สาเหตุที่ฝึกตนได้รวดเร็วเช่นนี้นั้น ย่อมต้องเป็นเพราะยาเซียนจำนวนมากที่หลัวซิวกลั่นให้พวกเขาด้วยตนเองอยู่แล้ว ขอแค่มีพรสวรรค์ที่เพียงพอ ภายใต้สถานการณ์ที่ยอมทุ่มทรัพยากรจำนวนมากอย่างไม่นึกเสียดาย การที่ฝึกตนเร็วจึงเป็นเรื่องสมเหตุสมผลอยู่แล้ว
มาตรแม้นว่าเป็นอัจฉริยะขั้นสุดยอด หากต้องการฝึกถึงแดนมกุฎเทพหกกงล้อตลอดจนจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อ มีคนใดที่ไม่จำเป็นต้องสั่งสมตกตะกอนเป็นสิบล้านร้อยล้านปีบ้าง?
แต่หลัวซิวกลับทำลายกฎเกณฑ์นี้ ถึงกับใช้ระยะเวลาสั้น ๆ เพียงพันปี ทำให้ผู้คนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาบรรลุถึงแดนระดับนี้!
“ถึงแม้ข้าจะบรรลุถึงแดนมกุฎเทพแล้ว ทว่าศักยภาพของข้ากลับยังไม่บรรลุถึงขั้นที่สามารถต่อกรกับมหาจักรพรรดิยุทธ์ได้”
นอกวังซิวหลัว หลัวซิวใช้มือทั้งสองข้างไขว้ไว้ด้านหลังพลางยืนตระหง่านอยู่กลางสายลม พลางพูดพึมพำคนเดียว
ครั้นเมื่อผลการฝึกตนของเขาอยู่ที่ราชาเทพระดับเก้า เขาริเริ่มวิถีเซียนแล้วบรรลุถึงแดนจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อขั้นสูง
แต่ทว่าจากการที่ผลการฝึกตนของเขาก้าวข้ามหนึ่งแดนใหญ่ ย่างกรายสู่แดนมกุฎเทพระดับเก้า ศักยภาพของเขาเพิ่มขึ้นเยอะมาก แต่ก็แค่ยังใกล้เคียงกับมหาจักรพรรดิยุทธ์อยู่เช่นเคย ซึ่งไม่สามารถเทียบเคียงกับมหาจักรพรรดิยุทธ์ได้อย่างแท้จริง
จักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อขั้นสูงและจักรพรรดิเทพแปดกงล้อดูเหมือนจะห่างกันแค่ก้าวเดียว ทว่าก้าวนี้กลับยาวไกลมาก ๆ แม้ผลการฝึกตนศักยภาพ ณ ปัจจุบันของหลัวซิวจะแข็งแกร่งกว่าเมื่อร้อยปีก่อนมาก ๆ แต่ก็ไม่สามารถก้าวข้ามก้าวนี้ได้อยู่ดี
“เจ้าสำนักน้อยขอรับ”
ผู้อาวุโสจักรพรรดิเทพคนหนึ่งของอาณากระบี่หวูจี๋มาถึงหุบเขาสยบปีศาจ ยืนอยู่ด้านหลังหลัวซิว ทำความเคารพอย่างเคารพนอบน้อมพลางเรียกเขา
ตู๋กูปิดขังเมื่อ 30 ปีก่อน เขาสั่งสมตกตะกอนอยู่ในแดนผู้สูงส่งช่วงปลายมา 20 กว่าล้านปี ในที่สุดก็ใกล้จะบรรลุสู่ผู้สูงส่งขั้นสูงสักที
และก่อนที่ตู๋กูจะปิดขัง เขาได้ออกคำสั่งด้วยตัวตนของเจ้าแดนว่า ในช่วงเวลาที่เขาปิดขังนี้ หลัวซิวจะเป็นผู้ตัดสินกิจธุระเล็กใหญ่ทั้งหมดในอาณากระบี่หวูจี๋
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว อำนาจในปัจจุบันของหลัวซิวก็เท่ากับเป็นเจ้าแดน อย่าว่าแต่ผู้อาวุโสระดับจักรพรรดิเทพเลย ต่อให้เป็นผู้อาวุโสไท่ซ่างระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของเขา!
ครั้งก่อนเนื่องจากข่าวกรองที่จัดเสนอให้มีข้อผิดพลาด จึงส่งผลให้หลัวซิวตกอยู่ในความอันตราย ฉะนั้นอาณากระบี่หวูจี๋ก็ทำการชะล้างครั้งใหญ่เช่นกัน หนอนบ่อนไส้จำนวนมากที่ถูกกองกำลังอื่น ๆ สอดแทรกเข้ามาก็ล้วนเจอตัวแล้ว
ผู้อาวุโสระดับจักรพรรดิเทพคนดังกล่าวที่ยืนอยู่ด้านหลังหลัวซิวมีนามว่าตู๋กูเยว่ซาน ปัจจุบันเขาเป็นผู้ดูแลควบคุมรวบรวมข่าวกรองทั้งเล็กและใหญ่ของอาณากระบี่หวูจี๋
ระยะเวลาร้อยปีเพียงพอที่จะสามารถทำให้เกิดเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย ตลอดช่วงร้อยปีที่ผ่านมานี้ หุบเขาสยบปีศาจได้ลอกคราบใหม่ ศักยภาพโดยรวมเพิ่มขึ้นมาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ และภายในช่วงร้อยปีที่ผ่านมานี้ ความวุ่นวายในโลกาภายนอกก็ยกระดับเพิ่มอีกขั้นเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ ถึงแม้โลกมหาศักดิ์ทั้งแปดก็วุ่นวายอยู่บ้าง แต่ปัญหาความวุ่นวายที่เกิดขึ้นก็ล้วนแต่เป็นการเข่นฆ่ากันในขอบเขตเล็ก ๆ ผู้แข็งแกร่งที่อยู่สูงกว่าจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อลงมือน้อยมาก ๆ และมีสถานการณ์ที่ดับสลายสูญสิ้นน้อยมากเช่นกัน
แต่ทว่าภายในระยะเวลาร้อยปีที่ผ่านมานี้ กลับมีความขัดแย้งสงครามขนาดใหญ่เกิดขึ้นหลายครั้งจนนับไม่ถ้วน จักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อที่ตายไปก็มีไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ ยิ่งกว่านั้นคือแม้แต่สถานการณ์ที่ผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้อเก้ากงล้อดับสลายสูญสิ้นยังมีเกิดขึ้นเลย ทำให้จอมยุทธ์ในโลกหล้าต่างรู้สึกหวาดผวามาก
ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น กองกำลังของจ่างเทียนตี้ก็ทยอยอุบัติขึ้นมาแล้วเหมือนกัน ตลอดกาลเวลาอันยาวนานที่ผ่านมา กองกำลังอย่างจ่างเทียนตี้ซ่อนเร้นอยู่ในที่ลับมาโดยตลอด แต่เมื่อร้อยปีที่ผ่านมานี้ จ่างเทียนตี้ก็เริ่มเคลื่อนไหวในโลกแล้ว ปัจจุบันท่าทีในการเคลื่อนไหวของพวกเขาก็ยิ่งอยู่ยิ่งเอิกเกริก แค่ในโลกร้างก็มีกองกำลังระดับแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ขอจ่างเทียนตี้พึ่งพิงแล้ว
อ้างอิงจากข้อมูลที่อาณากระบี่หวูจี๋ยึดกุมและตรวจสอบได้ หลัวซิวก็วิเคราะห์ได้เช่นกันว่าแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจเป็นกองกำลังสนับสนุนของโลกาเทพมังกรไท่ชู ชนเผ่าเฉว่ซ่าเป็นกองกำลังสนับสนุนของโลกาฟ้าดินหลิงหลงในโลกร้าง ซึ่งมีเพียงกองกำลังอย่างจ่างเทียนตี้เท่านั้นที่มีความเป็นมาลึกลับมีเงื่อนงำ ทำให้เขาเองก็มองไม่ทะลุเช่นกัน
“มกุฎเทพระดับเก้ายังไม่ไหว หากผลการฝึกตนของข้าบรรลุถึงแดนจักรพรรดิเทพระดับเก้า มีศักยภาพที่สามารถเทียบทัดระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ได้อย่างแท้จริง เมื่ออาศัยเตาอลวนหวูจี๋ละก็ ต่อให้เผชิญหน้ากับการจู่โจมจากผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งอีกครั้ง ข้าก็มีความสามารถในการเอาตัวรอดแล้ว”
สำหรับหลัวซิวในปัจจุบันแล้ว สิ่งที่เร่งด่วนที่สุดก็คือยกระดับผลการฝึกตนของตัวเอง เขาได้บุกเบิกวิถีเซียน การตระหนักรู้ในแดนของธรรมก็สูงมากพอ ด้วยเหตุนี้ต่อให้จะยกระดับผลการฝึกตนเร็ว มันก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อรากฐานของเขา รากฐานของเขามั่นคงแข็งขันในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนแล้ว!
แต่ทว่าก็เป็นเพราะรากฐานของเขาลึกซึ้งมากเกินไป แข็งแกร่งมากเกินไปเช่นกัน ดังนั้นระดับความยากในการบรรลุของเขาจึงเพิ่มมากยิ่งขึ้น ทรัพยากรที่ต้องใช้ในการบรรลุจากมกุฎเทพระดับเก้าขึ้นไปสู่จักรพรรดิเทพระดับเก้านั้น เกรงว่าคงมีเพียงใช้ทรัพย์สินทั้งหมดในอาณากระบี่หวูจี๋ให้หมดจดถึงจะสามารถทำได้
แต่อาณากระบี่หวูจี๋มีธุรกิจและจำนวนสมาชิกเยอะ ซึ่งจะยอมใช้ทรัพย์สินทุกอย่างเพื่อทำให้เขาบรรลุหนึ่งแดนใหญ่ก็ไม่ได้ หลัวซิวยังไม่ได้เห็นแก่ตัวขนาดนั้น
“จากภูมิฐานของอาจารย์ สามารถควักทรัพยากรที่เพียงพอต่อการฝึกตนของข้าออกมาได้อย่างง่ายดายเลย แต่ถ้าจะไปขอร้องอาจารย์เพียงเพราะเรื่องทรัพยากร เช่นนั้นมันก็จะทำให้ข้าที่เป็นศิษย์ดูไร้ประโยชน์มากไปหน่อย”
หลัวซิวเข้าใจดีมาก ๆ ว่าสุดท้ายแล้วเขาก็ต้องยกระดับศักยภาพด้วยตนเองอยู่ดี หากจะพึ่งพิงอาจารย์ไปซักทุกเรื่อง ในทางตรงกันข้ามมันกลับจะทำให้ผลสำเร็จในอนาคตของเขาถูกจำกัด
หลัวซิวเข้าใจในจุดนี้ มกุฎเต๋าหวูจี๋ก็ย่อมเข้าใจดีเช่นกัน ดังนั้นนอกจากของรางวัลที่มอบให้เขาหลังจากฝ่าฟันเข้าไปในวังเซียนศักดิ์สิทธิ์และถ่ายทอดเคล็ดเซียนแปรเก้าให้ มกุฎเต๋าหวูจี๋ก็ไม่เคยให้การช่วยเหลือใด ๆ บนเส้นทางการฝึกยุทธ์ของหลัวซิวเลย
สำหรับมกุฎเต๋าหวูจี๋แล้ว หลัวซิวได้บุกเบิกวิถีเซียนของตัวเอง และมีปัญญาแห่งเซียน เช่นนั้นเส้นทางของเขา เขาก็ทำได้เพียงพึ่งพาตัวเองเท่านั้น หากให้ผู้อื่นช่วยเหลือ มันกลับจะทำให้วิถีเซียนของเขาไม่บรรลุผล
มีความทรงจำช่วงหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวหลัวซิว เขาจำเป็นต้องตามหาโชคโอกาสที่สามารถทำให้ตัวเองยกระดับศักยภาพผลการฝึกตน
เขานึกถึงโลงศพเทวฝังสวรรค์ที่ปิดผนึกผู้แข็งแกร่งแห่งยุคทั้งเก้าคน ซึ่งด้านในมีประมุขเต๋าปรโลกฝังอยู่ ภายในร่างศพของผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋าคนหนึ่งต้องมีพลังที่มากมายมหาศาลแฝงซ่อนอยู่แน่นอน หากสามารถอาศัยธรรมเวชกาลล้นกลั่นแปรมัน อย่างน้อยก็สามารถทำให้แดนผลการฝึกตนของตัวเองยกระดับขึ้นสองแดนเล็ก
แต่ทว่าโลงศพเทวฝังสวรรค์นั่นหายไปตั้งนานแล้ว หลัวซิวก็ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องไปตามหาที่สถานที่ใด
เขานึกถึงวังดับฟ้าแห่งสรรพมหาโลกาขึ้นมา เขาจำได้ว่าในอนัตตาตรีภพแห่งวังดับฟ้ามีบันไดทะลุฟ้าหนึ่งแห่ง พระราชวังอันสูงตระหง่านที่เขามองเห็นหลังจากขึ้นไปถึงส่วนยอดของช่วงแรกของบันไดก็คือวังดับฟ้านั่นเอง
ตอนนั้นเขาได้ยินผู้คนเล่ากันว่าวังดับฟ้าได้สยบเทียนเต้าเอาไว้ ซึ่งภายในมีสวรรค์ถูกกดอัดอยู่ เขาเคยเข้าไปในพระราชวังหลังดังกล่าวอยู่ อีกทั้งได้รับแท่นหินมาหนึ่งแท่น ซึ่งด้านบนมีตัวหนังสือโบราณในยุคไท่ชูสลักอยู่
สวรรค์ผนึกปีศาจ ปีศาจสยบสวรรค์ หมื่นปีศาจทะลวงโลกสยบ 12 สวรรค์!
ในช่วงเวลานั้น หลัวซิวก็คิดว่าสวรรค์ในยุคไท่ชูควบคุมเทียนเต้าวัฏสงสาร พันธนาการชะตาชีวิตของทุกสรรพสิ่ง
กระทั่งเมื่อไม่นานมานี้เขาถึงจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าศึกสงครามแห่งการปรปักษ์สวรรค์ที่กล่าวถึงนั้น ก็เป็นเพียงความวุ่นวายที่เกิดจากการยุยงของโลกาฟ้าดินหลิงหลงและโลกาเทพมังกรไท่ชูเท่านั้นแหละ
สามารถพูดได้เลยว่าประสบการณ์ในภพชาตินี้ของหลัวซิวมีมากมายหลากหลายมาก สถานที่หลาย ๆ แห่งที่เขาเคยไปในอดีตล้วนมีความลับที่ยิ่งใหญ่แฝงซ่อนอยู่ แต่ว่าศักยภาพของเขาเมื่อครานั้นอ่อนแอมากเกินไป ซึ่งไม่ได้ครอบครองโอกาสที่อยู่ในสถานที่นั้น ๆ ด้วยซ้ำ
ปัจจุบันศักยภาพของเขาใกล้เคียงกับมหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้อแล้ว หลัวซิวก็วางแผนที่จะกลับไปเยือนสถานที่เหล่านั้นใหม่อีกครั้งเช่นกัน เขาเตรียมพร้อมที่จะไปสำรวจที่วังดับฟ้า ดูซิว่าจากศักยภาพในปัจจุบัน เขาจะสามารถเข้าไปในวังดับฟ้าที่แท้จริงได้หรือไม่ ไปดูว่าภายในนั้นมีสวรรค์ระดับประมุขเต๋าถูกกดอัดอยู่หนึ่งองค์จริง ๆ หรือ!
“ผู้คนในโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดให้ความสำคัญกับเรื่องราวของจักรวาลกันดารน้อยมาก ๆ ถ้าเกิดคนในเผ่าฟ้าทราบการคงอยู่ของวังดับฟ้า ไม่ว่าต้องแลกกับราคาที่สูงลิ่วมากเพียงใด พวกมันก็ต้องคิดหาวิธีไปช่วยประมุขเต๋าคนนั้นที่ถูกกดอัดอยู่สินะ?”
ในระหว่างที่นึกคิดอยู่นั้น หลัวซิวก็มาถึงอาณากระบี่หวูจี๋ ก่อนจะเรียกผู้อาวุโสทั้งหลายมารวมตัวกันแล้วพูดว่า: “ข้าวางแผนที่จะบรรลุสู่แดนแห่งจักรพรรดิเทพ ในช่วงเวลาที่ข้าปิดขัง จักฝากกิจธุระต่าง ๆ ของอาณากระบี่หวูจี๋ให้ผู้อาวุโสไท่ซ่างทั้งห้าคนเป็นผู้จัดการดูแลชั่วคราว”
แน่นอนอยู่แล้วว่าการปิดขังเป็นเพียงข้ออ้างหนึ่งเท่านั้น ภายใต้สถานการณ์ที่ยุ่งเหยิงอย่างในปัจจุบัน บวกกับกับการถูกจู่โจมเมื่อคราวก่อน หากเขาออกไปจากอาณากระบี่หวูจี๋ พวกผู้อาวุโสอย่างตู๋กูเจี้ยนเฉินต้องไม่ยอมแน่นอน