มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake – บทที่ 2895 มีหวังบรรลุจักรพรรดิเทพ

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2895 มีหวังบรรลุจักรพรรดิเทพ

มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2895

เมืองต้าฮวงโบราณ กงล้อเทพนับหมื่นทะยานนภา กองกำลังจากทั่วทุกสารทิศรวมตัว หารือวิธีรับมือการยั่วยุประกาศศึกของแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจกับชนเผ่าเฉว่ซ่า

และวันนี้ถูกกำหนดไว้แล้วว่าเป็นวันที่ไม่อาจสงบได้ อันดับแรกคือมีเรื่องเกิดขึ้นที่ตำหนักหลักตำหนักหลักเมืองอย่างต่อเนื่อง

หลังจากตอนที่ตู๋กูได้พาหลัวซิวกับจักรพรรดิเทพวัฏจักรเจ็ดสองร้อยกว่าคนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาจากไป ไม่นานสักเท่าไรนัก ก็ได้มีข่าวอย่างหนึ่งกระจายไปทั่วปฐพี

สำนักอัมพรเทวศักดิ์สิทธิ์ ถูกล้างสำนักแล้ว!

ฮวงจวินที่ถูกขนานนามว่าเป็นอันดับหนึ่งในโลกร้าง ได้หลบหนีไปแล้ว!

เมื่อข่าวนี้กระจายออกไป ต่างพากันตกตะลึงไปทั้งโลก

“สวรรค์ เป็นไปได้อย่างไร? นั่นเป็นผู้สูงส่งแห่งโลกร้าง อยู่ในแดนผู้แกร่งเลิศเชียวนะ……”

คำวิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ นานาหลั่งไหลออกมาไม่หยุด กองกำลังต่าง ๆ ในปฐพีต่างพากันตื่นตระหนกขั้นมา

สุดยอดแดนศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งอย่างสำนักอัมพรเทวศักดิ์สิทธิ์ยังถูกคนกำจัดไปได้ แล้วจะไม่ให้ตระกูลสำนักอื่น ๆ รู้สึกถึงอันตรายได้อย่างไร?

“ใคร? เป็นฝีมือของใครกัน?”

แม้แต่แดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจกับชนเผ่าเฉว่ซ่าเมื่อได้ยินข่าวนี้ต่างก็ตะลึงงันไม่น้อย ภายใต้สถานการณ์ที่ประมุขเต๋าจะไม่ลงมือโดยง่ายอย่างในปัจจุบัน นับได้ว่าผู้แกร่งเลิศแทบจะไร้เทียมทานอยู่แล้ว

เดิมทีแผนการระดมพลโจมตีเมืองต้าฮวงโบราณในเวลาอันใกล้ ก็ถูกยกเลิกชั่วคราว เพราะข่าวที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้

“เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันขึ้นในโลกร้าง ทำให้โลกาฟ้าดินหลิงหลงกับโลกาเทพมังกรไท่ชูส่งยอดฝีมือมาช่วยเพิ่มมากขึ้น”

จ้าวปีศาจเทียนหยางแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจ และบรรพอาจารย์ของชนเผ่าเฉว่ซ่าได้ทำการตัดสินใจหลังจากพบปะหารือกัน

การปะทุของสงครามถูกเลื่อนออกไป แต่ทั่วทั้งโลกร้างก็ยังคงตกอยู่ในสถานการณ์คลื่นใต้น้ำที่พร้อมจะปะทุได้ทุกเมื่อ

……

หอคอยเล็ก ๆ สีทองลอยอยู่บนฝ่ามือข้างขวาของหลัวซิว หอคอยฮวงดั้งเดิมที่ซ่อนอยู่ในตัวหยั่งรู้ที่ตรงกลางระหว่างคิ้วของเขาแปลงเป็นลำแสงสีทองลอยออกมา พุ่งจมลงไปในหอคอยเล็กสีทองหลังนี้

หอคอยเล็กสีทองหลังนี้ ก็คือหอคอยฮวงนั่นเอง สมบัติที่เกิดจากการบ่มเพราะของธรรมดั้งเดิมชิ้นหนึ่ง หากแสดงอานุภาพออกมาอย่างเต็มที่ มันร้ายกาจยิ่งกว่าสมบัติแห่งมกุฎเต๋าเสียอีก เป็นลองแค่ภัณฑ์เซียนในตำนาน

กระทั่งที่ว่าเมื่อเทียบกับภัณฑ์เซียนในตำนานแล้ว สมบัติที่เกิดจากการบ่มเพราะของธรรมดั้งเดิมอย่างหอคอยฮวง ความจริงแล้วมีศักยภาพในการเติบโตสูงยิ่งกว่า หากผู้ครอบครองหอคอยฮวงบรรลุเป็นเซียน มันก็จะเลื่อนขั้นตาม กลายเป็นมณีวิถีเซียน ธรรมเวชกาลร้างที่แฝงอยู่ในหอคอยฮวง ก็จะเพิ่มระดับขึ้นตาม กลายเป็นวิถีเซียนอย่างหนึ่ง

“ช่างเป็นของดีชิ้นหนึ่งจริง ๆ”

หลัวซิวมือประคองหอคอยฮวง รักจนไม่อาจวางมือ เตาอลวนหวูจี๋ที่เขาเห็นเป็นที่พึ่งสูงสุดตลอดเวลามานั้น เมื่อเทียบกับหอคอยฮวงแล้ว มันไม่ต่างอะไรกับการเอาเม็ดฝุ่นมาเปรียบเทียบกับก้อนทอง ทั้งสองไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน

เนื่องจากได้รับผลกระทบจากผลการฝึกตนของหลัวซิวผู้เป็นเจ้าของหอคอยฮวง อานุภาพโดยส่วนมากของหอคอยฮวงจึงถูกผนึกตัวเอง ทว่าอาศัยความแข็งแกร่งของพลังวิถีเซียน หลัวซิวก็ยังคงแสดงอานุภาพที่ร้ายกาจยิ่งกว่าเตาอลวนหวูจี๋ของหอคอยฮวงออกมาได้

เขาประเมินว่าการโจมตีหนึ่งครั้งที่ถูกขับเคลื่อนออกมาจากหอคอยฮวง คงมีอานุภาพที่ไล่ทันการของผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรแปดช่วงปลายแล้ว

จักต้องรู้ว่าพลังการต่อสู้ในปัจจุบันของเขา เทียบเท่าได้กับมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรแปดขั้นปฐมภูมิ หรืออาจเหนือกว่านั้นอีกนิดหน่อย มีสมบัติที่ทรงพลังยิ่งกว่าในมือ ความสามารถโดยรวมจึงเพิ่มขึ้นมาอีกสองแดนเล็ก!

“โชคดีที่ข้าฝึกฝนวิถีกระบี่แต่ไม่ใช่ธรรมเวชกาลร้าง มิเช่นนั้นคงถูกเจ้าอิจฉาตาร้อนตายแน่” ตู๋กูกล่าวหยอกล้ออยู่ข้าง ๆ

“ยินดีด้วยขอรับเจ้าสำนักน้อย!”

จักรพรรดิเทพวัฏจักรเจ็ดสองร้อยกว่าคนได้มองหลัวซิวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเลื่อมใสศรัทธา แสดงคำนับด้วยความเคารพ

เจ้าแดนแข็งแกร่งมากแล้ว ส่วนเจ้าสำนักน้อยผู้นี้ก็เหมือนจะไม่ธรรมดา ยอดอัจฉริยะผู้ครอบครองหอคอยฮวงหากเติบโตขึ้นมา ในอนาคตจักต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่าเจ้าแดนอย่างแน่นอน

“ครั้งนี้ต้องขอคุณศิษย์พี่มาก” หลัวซิวยิ้มระรื่นพลางเก็บหอคอยฮวงเข้าไปตรงกลางระหว่างคิ้ว

“ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก หากไม่ใช่เพราะหอคอยฮวงยอมรับเจ้าเป็นผู้ครอบครอง ข้าก็ไม่อาจช่วยแย่งมันมาให้เจ้าได้”

ตู๋กูยิ้มพลางตบไหลหลัวซิว “อาจารย์ต้องการพบเจ้า กลับไปกับข้าเถิด”

ระหว่างที่พูดนั้น ตู๋กูได้ให้จักรพรรดิเทพวัฏจักรเจ็ดสองร้อยกว่าคนพากันกลับตระกูลสำนักของตนเองก่อนคอยรอฟังคำสั่งการ จากนั้นเขาก็พาหลัวซิวกลับหุบเขากระบี่ แล้วอาศัยค่ายวาร์ปที่ค่อนข้างแปลกประหลาดนั่น มายังโลกาอนัตตาอู๋จี๋อีกครั้ง

บนภูเขาอนัตตาอู๋จี๋ หลัวซิวได้พบกับศิษย์พี่ที่ชื่อหยุนอี้คนนั้นอีกครั้ง

“ศิษย์น้องตู๋กู ในที่สุดเจ้าก็บรรลุแดนวิถีเซียนขั้นสูงแล้วหรือ? บรรลุประมุขเต๋าคงอีกไม่นาน!”

เมื่อหยุนอี้เห็นตู๋กู ก็พบเห็นความเปลี่ยนแปลงบนร่างของเขาในทันที จึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวด้วยรอยยิ้ม

แดนธรรมดั้งเดิมขั้นสูง หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง การได้กลายเป็นประมุขเต๋านั้นเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว

“ศิษย์พี่หยุนอย่าหัวเราะเยาะข้าอีกเลย เทียบกับศิษย์พี่แล้ว ข้ายังห่างอยู่มากนัก” ตู๋กูกล่าวพลางเกาศีรษะอย่างเขินอาย

แม้ว่าผลการฝึกตนของเขาจะบรรลุแดนผู้สูงส่งขั้นสูงแล้ว แถมวิถีกระบี่ยังบรรลุแดนขั้นสูงอีกด้วย แต่สำหรับศิษย์พี่หยุนอี้ผู้นี้ เขามองไม่ออกถึงความตื้นลึกเลยสักนิด

“แน่นอนสิ เจ้าคิดตามข้าให้ทัน ยังต้องฝึกฝนอย่างหนักอีกหลายหลานปีถึงจะได้” หยุนอี้หัวเราะพลางตบไหล่ของตู๋กู

เขาพูดอย่างไม่แกรงใจเลยสักนิด ทว่าตู๋กูกลับไม่รู้สึกกระดากใจเลย เพราะเขาทราบดีว่าที่ศิษย์พี่หยุนอี้กล่าวมานั้นเป็นความจริง

ศิษย์ของมกุฎเต๋ามีความรู้แจ้งเป็นอันดับหนึ่ง ชื่อเสียงเช่นนี้มิได้กล่าวเล่น ๆ เท่านั้น ไม่พูดถึงความสูงต่ำของผลการฝึกตน แค่พูดถึงแดนแห่งเต๋า ในบรรดาลูกศิษย์ของมกุฎเต๋าหวูจี๋ หยุนอี้เป็นอันดับหนึ่งอย่างไร้ข้อโต้แย้ง

“ศิษย์น้องเล็ก? ไม่เลวนี่ ผลการฝึกตนรุดหน้าเร็วเช่นนี้เชียว?”

จากนั้น สายตาของหยุนอี้ก็สังเกตเห็นหลัวซิว ดวงตาเปล่งประกายขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและประหลาดใจ

ตู๋กูปิดขังฝึกตนครั้งหนึ่งทำให้ผลการฝึกตนและแดนฝึกตนต่างเพิ่มขึ้นหนึ่งขั้น หยุนอี้กลับไม่ได้แสดงท่าทางอะไรเป็นพิเศษเลยสักนิด ทว่าหลัวซิวกลับทำให้เขามีท่าทางเช่นนี้ เป็นที่ประจักษ์ว่าระยะนี้เขาเปลี่ยนไปมากเพียงใด

จักต้องรู้ว่าตอนหลัวซิวมาที่นี่และบังเอิญพบกับหยุนอี้ครั้งแรก ผลการฝึกตนของเขายังอยู่ในแดนราชาเทพระดับเก้า นี่เพิ่งผ่านไปเพียงไม่กี่ปี เขาก็มีผลการฝึกตนในแดนมกุฎเทพระดับเก้าช่วงปลายเสียแล้ว เพิ่มขึ้นมาหนึ่งแดนใหญ่เต็ม ๆ

ความเร็วของการฝึกตนเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่หยุนอี้ใส่ใจที่สุด เพราะเขาเคยพบเห็นอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์อันน่าทึ่งมามากมาย บางคนมีความเร็วในการฝึกตนเหนือมนุษย์ กระทั่งที่ว่าเร็วยิ่งกว่าหลัวซิวเสียอีก

แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเขาอย่างแท้จริง คือเขามองไม่ทะลุแดนยุทธ์ของหลัวซิว

น้อยคนมากที่จะรู้ว่าหยุนอี้ฝึกฝนธรรมดั้งเดิมชนิดไหนกันแน่ แต่ที่ไม่ต้องสงสัยก็คือ เขาได้ฝึกฝนธรรมดั้งเดิมอย่างน้อยสองชนิด แถมยังต่างก็บรรลุถึงแดนขั้นสูงเป็นอย่างน้อย กระทั่งที่ว่ามีธรรมดั้งเดิมหนึ่งชนิดหรือมากกว่านั้น ที่เขาได้ฝึกจนบรรลุแดนบริบูรณ์ ในแดนแห่งเต๋า เพียงพอที่จะเทียบเคียงกับมกุฎเต๋า!

“ตั้งแต่เกิดมามีเพียงสองคนเท่านั้นที่ข้ามองแดนการฝึกตนไม่ทะลุ คนหนึ่งคืออาจารย์ของพวกเรา ส่วนอีกคนคือศิษย์พี่ของพวกเรา ศิษย์น้องเล็กเจ้าเป็นคนที่สาม!”

สีหน้าท่าทางของหยุนอี้จริงจังมาก สามารถทำให้เขามีผลการประเมินเช่นนี้ได้ พูดได้ว่าเป็นคำยกย่องระดับสูงแล้ว

ตู๋กูยิ้มไม่พูดอะไรอยู่ด้านข้าง หากไม่ใช่ของอาจารย์เตือนเอาไว้ ความจริงแล้วเขาอยากบอกเรื่องที่หลัวซิวบุกเบิกวิถีเซียนให้หยุนอี้ได้รู้

บุกเบิกวิถีเซียน มันอยู่เหนือขอบเขตธรรมดั้งเดิมของแดนแห่งเต๋า ต่อให้หยุนอี้มีแดนการฝึกตนธรรมดั้งเดิมสูงส่งเพียงใด แต่หากใช้มุมมองของธรรมดั้งเดิมไปดูไปสัมผัส ย่อมไม่อาจมองทะลุความมหัศจรรย์ของวิถีเซียนได้อยู่แล้ว

“แปลก! แปลกมากจริง ๆ!”

สีหน้าท่าทางของหยุนอี้เคร่งเครียดขึ้นเรื่อย ๆ คนที่รู้จักเขาต่างก็รู้ว่า ทันทีที่เขามีสีหน้าท่าทางเช่นนี้ออกมา ต้องเป็นเพราะได้พบกับเรื่องราวที่เขาสนใจมากแน่ ๆ

“ศิษย์พี่หยุน คือว่า……ข้ากำลังจะพาศิษย์น้องไปพบอาจารย์” ตู๋กูรู้เป็นอย่างดีว่าหากศิษย์พี่หยุนคนนี้เกิดความอยากรู้อยากเห็นอะไรบางอย่างขึ้นมาจักต้องวิจัยค้นคว้าอย่างไม่จบสิ้น จึงได้แต่ยกอาจารย์ออกมาบังหน้าเพื่อหาโอกาสจากไป

เมื่อได้ยินเช่นนี้ หยุนอี้ก็เก็บความคิดลงไปทันที กล่าว: “ในเมื่ออาจารย์เรียกพบ เช่นนั้นก็อย่าให้ท่ารอนาน รับไปเถอะ”

“ขอรับ ลาก่อนศิษย์พี่หยุน”

“ลาก่อนขอรับศิษย์พี่”

จนกระทั่งเดินออกมาไกล ตู๋กูถึงได้วางใจลง เมื่อเห็นความสงสัยบนใบหน้าของหลัวซิว เขาก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย: “ตอนนี้ศิษย์พี่หยุนได้เกิดความสนใจในตัวเจ้าขึ้นมาแล้ว ต่อไปเจ้าต้องระวังให้มาก หากถูกศิษย์พี่หยุนตามตื๊อเข้า เจ้าต้องทรมานมากแน่”

“เอ๊ะ?” หลัวซิวงงงัน สำหรับบรรดาศิษย์พี่พวกนี้ มีแค่ตู๋กูที่เขาค่อนข้างสนิทด้วย สำหรับนิสัยใจคอของศิษย์พี่ท่านอื่น เขาไม่รู้สักนิดเลยจริง ๆ

คิดมาถึงตรงนี้ หลัวซิวก็รีบตามไปขอคำชี้แนะจากตู๋กูทันที

คุยกันไปหัวเราะไปในระหว่างทาง ตู๋กูได้พาหลัวซิวมาถึงด้านนอกตำหนักหวูจี๋

ยังคงเป็นในหุบเขาเล็ก ๆ ที่เป็นดั่งเช่นแดนสุขาวดี หลัวซิวได้พบกับผู้เป็นอาจารย์บนเกาะเล็ก ๆ ในทะเลสาบน้อย นั่นก็คือมกุฎเต๋าหวูจี๋

“ศิษย์กราบคารวะอาจารย์ ไม่ทราบอาจารย์เรียกศิษย์มามีเรื่องอันใดหรือขอรับ?” หลัวซิวก้าวออกไปทำความเคารพ

“ได้หอคอยฮวงมาแล้วหรือ?” มกุฎเต๋าหวูจี๋กล่าวพลางยิ้มอ่อน ๆ

“ขอรับ” หลัวซิวพยักหน้า เขาทราบดีว่าอาจารย์มีฤทธิ์เดชกว้างไกล เขาถึงกับคิดว่าที่ตนเองเอาหอคอยฮวงมาได้ ล้วนเป็นการจัดการของอาจารย์

เพราะเขาคิดมาเสมอว่า อย่างไรเสียหอคอยฮวงก็มีต้นกำเนิดมาจากชนเผ่าฮวง อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดสำหรับเขาหากต้องการหอคอยฮวงไม่ใช่ฮวงจวินแห่งสำนักอัมพรเทวศักดิ์สิทธิ์ ตรงกันข้ามกลับเป็นชนเผ่าฮวง

ตอนที่เรื่องราวพวกนี้ปรากฏขึ้นมาในสมองของหลัวซิวนั่นเอง มกุฎเต๋าหวูจี๋ก็ได้ให้คำตอบแก่เขาด้วยรอยยิ้ม

“เมื่อครู่อาจารย์ได้ไปสถานบรรพบุรุษชนเผ่าฮวงมา”

“สถานบรรพบุรุษ?” หลัวซิวชะงัก เขารู้โดยไม่ต้องคิดว่า สถานบรรพบุรุษที่อาจารย์กล่าวถึง ต้องไม่ใช่เมืองต้าฮวงโบราณอย่างแน่นอน

ผู้คนต่างคิดว่าเมืองต้าฮวงโบราณนั้นเป็นฐานทัพใหญ่ของชนเผ่าฮวง ชนเผ่าฮวงได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองสงครามแห่งนี้มาหลายชั่วอายุคน ตอนนี้ดูท่าแล้ว เหมือนว่าสถานบรรพบุรุษถึงเป็นรากฐานที่แท้จริงของชนเผ่าฮวง

ทว่ามกุฎเต๋าหวูจี๋ก็ไม่ได้อธิบาย ยิ้มอ่อน ๆ กล่าว: “อาจารย์ได้ทำข้อแลกเปลี่ยนกับเผ่าฮวง เงื่อนไขของการแลกเปลี่ยนก็คือนับจากวันนี้เป็นต้นไป เจ้าก็คือผู้ครอบครองหอคอยฮวง นอกเสียจากว่าเจ้าจะสิ้นชีพ ชนเผ่าฮวงถึงจะเก็บหอคอยฮวงกลับไป”

“ในขณะเดียวกัน อาจารย์ได้รับปากชนเผ่าฮวงอย่างหนึ่ง และคำสัญญานี้ต้องมีเจ้าเป็นผู้ทำให้สำเร็จในอนาคต”

“คำสัญยาอะไรหรือขอรับ?” หลัวซิวอยากรู้

“ต่อไปเจ้าจะรู้เอง นอกจากช่วยเจ้าเอาหอคอยฮวงมาแล้ว ยังมีสิ่งของอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งได้มาจากการที่เจ้าทำตามที่รับปากได้สำเร็จในอนาคตเช่นเดียวกัน”

ระหว่างที่พูดนั้น มกุฎเต๋าหวูจี๋ก็ได้ล้วงเอาแหวนเก็บของที่ทำจากหยกวงหนึ่งออกมามอบให้หลัวซิว

พื้นที่ในแหวนเก็บของวงนี้กว้างขวางจนน่าทึ่ง แทบจะเท่ากับคีตโลกาแห่งหนึ่งในแดนนปริศนาแล้ว

แต่สิ่งที่หลัวซิวสนใจยิ่งกว่าคือสิ่งที่อยู่ในแหวน สมบัติวิเศษชนิดต่าง ๆ มากมายหลายกอง ทำให้ดวงตาของเขาเปล่งประกายขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

“ยาเซียนวัฏจักรเก้า ยาเซียนวัฏจักรสิบ หินบรรพไท่ชู?”

สิ่งของมีเพียงสามอย่าง แต่ทุกอย่างกองรวมจนเป็นภูเขาขนาดเล็ก จำนวนมากมายจนน่าตกตะลึง

“เนื่องจากเจ้าบุกเบิกวิถีเซียนได้สำเร็จ มีกำลังแฝงมากมาย และก็เพราะมีกำลังแฝงมากมาย แต่งนั้นการเพิ่มระดับในแต่ละแดนของเจ้า จึงจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรมากกว่าคนอื่นถึงจะเลื่นขั้นได้” มกุฎเต๋าหวูจี๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม

สถานการณ์ที่อาจารย์กล่าวมานั้น หลัวซิวย่อมทราบดีกว่าคนอื่น ทรัพยากรสำหรับการฝึกตนที่อยู่ในแหวนเก็บของดูเหมือนมีจำนวนมาก แต่หากให้หลัวซิวนำไปฝึกตน อย่างมากก็ฝึกได้ถึงแค่แดนจักรพรรดิเทพขั้นสูง

แต่ทั้งหมดนี้สำหรับหลัวซิว ก็ถือว่ามากเพียงพอแล้ว ตอนนี้เขามีผลการฝึกตนในแดนมกุฎเทพระดับเก้า ช่วงปลาย พลังการต่อสู้ทัดเทียมกับมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรแปดขั้นปฐมภูมิ ทันทีที่เขาบรรลุถึงแดนจักรพรรดิเทพวัฏจักรเจ็ด จักต้องทัดเทียมได้กับสุดยอดมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรแปดอย่างแน่นอน ขยับเข้าใกล้ผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรเก้าอย่างไม่มีขอบเขต

หากสามารถบรรลุถึงแดนจักรพรรดิเทพขั้นสูง เช่นนั้นความสามารถของเขาก็จะถึงขั้นที่สามารถทัดเทียมได้กับมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรเก้าช่วงปลาย หรืออาจถึงมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรเก้าขั้นสูงก็เป็นได้!

ไม่ว่าอย่างไร ทรัพยากรจำนวนมากพวกนี้มาได้ทันเวลาพอดี ทำให้เขามีความหวังที่จะฝึกฝนให้ถึงแดนจักรพรรดิเทพวัฏจักรเจ็ดได้ภายในระยะเวลาอันสั้น

“ปัจจุบันมหาทัณฑ์เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ผลการฝึกตนคือจุดอ่อนของเจ้า ส่วนสิ่งที่เจ้าต้องทำก็คือพยายามชดเชยจุดอ่อนของตนเองให้ได้มากที่สุด ดังนั้นเจ้าจึงต้องรับการขัดเกลาฝึกฝนอีกมากมาย”

“สงครามเมืองต้าฮวงโบราณในครั้งเหมาะสำหรับให้เจ้าได้ฝึกฝนตนเอง เพิ่มระดับแดนการฝึกตนให้ได้โดยเร็ว ในเมื่ออาจารย์ได้เจรจากับชนเผ่าฮวงแล้ว ก็จะไม่เกิดเรื่องเหมือนที่เจ้าได้เผชิญที่เมืองต้าฮวงโบราณในก่อนหน้านี้อีก” มกุฎเต๋าหวูจี๋ได้เตรียมการเรื่องราวทั้งหมดเอาไว้เป็นที่เรียบร้อย

“ขอรับ อาจารย์” หลับซิวรับคำทันที

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

None

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท