มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2896
แดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจ กลางอากาศเหนือวังปีศาจเทียนหยาง ประตูปริภูมิสูงใหญ่สองบานตั้งตระหง่าน เงาร่างซึ่งมีรัศมีพลังแข็งแกร่งลอยออกมาจากประตูปริภูมิสายแล้วสายเล่า
ผู้คนที่ลอยออกมาจากบานประตูหนึ่งในนั้น ล้วนสวมในชุดเครื่องแบบที่เหมือนกัน ไอสังหารแผ่ซ่านอยู่รอบกาย กระแสพลังดุร้าย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นกำลังพลของชาเผ่าเฉว่ซ่า
ส่วนผู้คนที่ลอยออกมาจากประตูอีกบาน กระแสพลังของแต่ละคนนั้นแตกต่างไปจากนักยุทธ์ในโลกมหาศักดิ์แปดด้าน ที่สวมในชุดสีเหลืองคือคนที่ของสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนหวงที่มาจากโลกาฟ้าดินหลิงหลง ส่วนคนอีกกลุ่มซึ่งมีกระแสพลังที่แฝงไปด้วยความดุร้ายป่าเถื่อน คือผู้แข็งแกร่งที่มาจากโลกาเทพมังกรไท่ชู
เบื้องหลังของแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจคือโลกาฟ้าดินหลิงหลง เบื้องหลังของชนเผ่าเฉว่ซ่าคือโลกาเทพมังกรไท่ชู สงครามพ้นพิบัติของทั้งสามโลกายังไม่ทันเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ สำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนหวงกับโลกาเทพมังกรไท่ชูก็ได้ร่วมมือกันเสียแล้ว!
ตำแหน่งที่กำลังพลของทั้งสองฝ่ายมารวมตัวกัน ได้เลือกเป็นที่แดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจ ตอนที่บรรดามกุฎเทพจักรพรรดิเทพของแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจเห็นคนพวกนี้ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าเหนือวังปีศาจเทียนหยางต่างพากันหัวใจร้อนแผดเผา ทั้งตื่นเต้นทั้งประหลาดใจ
เรื่องที่สำนักอัมพรเทวศักดิ์สิทธิ์ถูกทำลาย ทำให้แดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจกับชนเผ่าเฉว่ซ่าไม่กล้าทำอะไรผลีผลาม สำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนหวงกับโลกาเทพมังกรไท่ชูก็ได้ตอบรับตามคำเรียกร้องของพวกเขา ส่งผู้แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่ง มาช่วยพวกเขาต่อสู้เอาชนะเมืองต้าฮวงโบราณ ยึดครองดินแดนโลกร้าง!
เมืองกองกำลังเสริมกลุ่มนี้ได้เพิ่มเขามา แดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจกับชนเผ่าเฉว่ซ่าก็มีความมั่นใจขึ้นมาเป็นทวีคูณ แล้วรวบรวมกองทัพกำลังพลอย่างรวดเร็ว เตรียมโจมตีเมืองต้าฮวงโบราณ
และเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ ได้ผ่านมาแล้วห้าปีหลังจากที่สำนักอัมพรเทวศักดิ์สิทธิ์ถูกทำลาย
แดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจแบ่งออกเป็นหยินหยางสองสำนัก วังปีศาจเทียนหยางก็คือวังของจ้าวปีศาจเทียนหยาง ซึ่งเป็นผู้นำสำนักหยาง(เอี๊ยง)
ด้านในวังปีศาจเทียนหยางในตอนนี้ มีเงาร่างสูงโปร่งซึ่งมีกระแสพลังอันลึกล้ำมิอาจคาดเดานั่งขัดสมาธิอยู่มากมาย และหนึ่งในนั้น ก็คือฮวงจวินนั่นเอง!
……
แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์แบ่งออกเป็นวัฏจักรแปดกับวัฏจักรเก้า ความแข็งแกร่งของหลัวซิวเทียบเท่ากับมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรแปดช่วงกลาง แต่ถ้าหากเปรียบเทียบกับมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรเก้าละก็ ไม่รู้ว่ายังด้อยกว่ามากเพียงใด
ยาเซียนวัฏจักรเก้า ก็คือยาเซียนที่ผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรเก้าใช้ฝึกฝน สำหรับหลัวซิวที่มีผลการฝึกตนในแดนมกุฎเทพช่วงปลายในตอนนี้ มันเหมาะให้เขานำมาเพิ่มระดับผลการฝึกตนพอดี
โดยทั่วไปแล้ว มหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรเก้าถึงจะสามารถใช้ยาเซียนวัฏจักรเก้าได้ เนื่องจากฤทธิ์ยาที่แฝงอยู่ในยาเซียนระดับนี้เป็นที่น่าทึ่ง นักยุทธ์ที่มีผลการฝึกตนไม่เพียงพอมิอาจต้านรับได้ แต่กลับจะได้ผลในทางตรงกันข้าม
แม้ว่าผลการฝึกตนของหลัวซิวจะไม่ตรงตามเงื่อนไขของการใช้ยาเซียนวัฏจักรเก้า แต่เขามีร่างเนื้อที่แข็งแกร่งพอ บวกกับความมหัศจรรย์ของพลังแห่งวิถีเซียน จึงไม่ต้องกังวลว่ายาเซียนจะเป็นอันตราย
สำหรับยาเซียนวัฏจักรสิบพวกนั้นที่ได้มาจากผู้เป็นอาจารย์ หลัวซิวทำได้แค่มองดู เพราะนั่นเป็นยาเซียนสำหรับให้ผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งใช้โดยเฉพาะ ต่อให้เขาฝึกฝนเคล็ดเซียนแปรเก้าจนถึงแดนแปรที่ห้า ยาเซียนเพียงเม็ดเดียวก็สามารถทำให้เขาร่างแตกตายได้
เวลาห้าปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลัวซิวอาศัยฤทธิ์ยาของยาเซียนวัฏจักรเก้า ทำให้เลื่อนขั้นถึงแดนมกุฎเทพขั้นสูงได้อย่างราบรื่น
จากมกุฎเทพช่วงปลายถึงขั้นสูง ทัณฑ์สายฟ้าพิโรธยังคงปรากฏเหมือนเดิม แต่กลับไม่สามารถทำอันตรายใด ๆ เขาได้เลย
หลังจากทัณฑ์สายฟ้าพิโรธสลายไป หลัวซิวก็ยืนสองมือไขว้หลัง สายตาทอดยาวไกลไปทางเมืองต้าฮวงโบราณ ปากกล่าวพึมพำ: “ห้าปีแล้ว แดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจกับชนเผ่าเฉว่ซ่าคงทนรอไม่ไหวแล้วกระมัง?”
ตามที่มกุฎเต๋าหวูจี๋ผู้เป็นอาจารย์ได้บอกกล่าว ศึกแห่งเมืองต้าฮวงโบราณในครั้งนี้ เขาไปขัดเกลาตนเอง อาศัยการเข่นฆ่าและแรงกดดันจากสนามรบ พยายามเพิ่มระดับผลการฝึกตนของตนให้ได้เร็วขึ้น
ผลการฝึกตนบรรลุถึงแดนมกุฎเทพขึ้นสูง เช่นนั้นปัญหาที่หลัวซิวต้องเผชิญในเวลาต่อมา ก็คือกฎเกณฑ์ของแดนใหญ่แล้ว
อาศัยทรัพยากรจำนวนมากที่มีอยู่ในมือของเขาในตอนนี้ ไม่มีปัญหาอะไรที่จะทะลวงกฎเกณฑ์ของแดนใหญ่ แต่เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะทะลวงแดนจักรพรรดิเทพขั้นปฐมภูมิทันทีหลังจากบรรลุแดนมกุฎเทพขึ้นสูงมาได้ไม่นาน
การฝึกยุทธ์นั้น ยึดหลักตามขั้นตอน ดังนั้นเขาต้องการเวลาเพื่อคุ้นเคยและมั่นคงผลการฝึกตนของจนเอง เอาแต่ไล่ตามเพื่อทะลวงแดนที่สูงยิ่งกว่า มีแต่จะทำให้รากฐานของตนเองไม่มั่นคง ส่งผลกระทบต่อความสำเร็จในอนาคต
ความผิดพลาดระดับต่ำเช่นนี้ หลัวซิวจะไม่ให้มันเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
“ยินดีกับศิษย์น้องที่เลื่อนขั้นอีกแล้ว”
ในตอนนี้เอง เสียงหัวเราะของคนผู้หนึ่งพลันดังลอยมา จากนั้นร่างของตู๋กูก็ปรากฏขึ้นข้างกายของหลัวซิว
“แดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจมีความเคลื่อนไหวแล้วหรือ?” เมื่อเห็นตู๋กูปรากฏตัว หลัวซิวก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
หลัวซิวรู้ดีว่าหากไม่มีเรื่องอะไรโดยทั่วไปแล้วศิษย์พี่คนนี้ของตนต้องไม่มาหาตนเองแน่ ทันทีที่เขามาหาตน เช่นนั้นย่อมต้องมาเรื่องอะไรอย่างแน่นอน
แดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจและชนเผ่าเฉว่ซ่าประกาศศึกกับเมืองต้าฮวงโบราณ การกระทำเช่นนี้เดิมทีก็อุกอาจมากแล้ว ดังนั้นระยะนี้ทั้งสองกองกำลังจึงได้ก่อความโกลาหลขึ้นมาไม่น้อย ใช้แดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจเป็นศูนย์รวมตัว หลายปีมานี้ได้รวบรวมกองกำลังต่าง ๆ มาโดยตลอด
เวลาห้าปีจะว่านานก็ไม่นาน หลัวซิวคาดการณ์ว่าคงใกล้ถึงเวลาแล้ว
ตู๋กูมองดูศิษย์น้องของตนคนนี้ด้วยแววตาชื่นชม พรสวรรค์และกำลังแฝงในการฝึกฝนเป็นเรื่องหนึ่ง การคาดการณ์และควบคุมสถานการณ์เช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปจะสามารถทำได้
“ศิษย์น้องกล่าวไม่ผิด กองทัพใหญ่ของแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจและชนเผ่าเฉว่ซ่าระดมพลเสร็จเรียบร้อย กองทัพใหญ่ได้ออกเดินทาง มุ่งหน้าไปยังเมืองต้าฮวงโบราณแล้ว”
ตู๋กูพยักหน้า กล่าว: “กองทัพใหญ่ของทั้งสองกองกำลังแข็งแกร่งมาก ระหว่างทางนั้นได้กำจัดตระกูลสำนักที่เมื่อก่อนไม่ยอมศิโรราบไปจำนวนมาก”
“คงจะไม่มีผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋าเข้ามาแทรกแซงใช่หรือไม่?” หลัวซิวมองไปยังตู๋กู ความจริงแล้วนี่ถึงเป็นปัญหาที่เขาใส่ใจที่สุด
“ศิษย์น้องพูดตลกแล้ว อย่าว่าแต่โลกมหาศักดิ์แปดด้านเลย ทั่วทั้งสามโลกาห้วงดาราก็มีประมุขเต๋าอยู่ไม่กี่คนเอง การดำรงอยู่อย่างประมุขเต๋าจะไม่ลงมือง่าย ๆ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้”
“ตามการคาดการณ์ของอาจารย์ การต่อสู้ครั้งนี้เป็นเพียงสงครามเล็ก ๆ เท่านั้น ระดับสูงที่สุดก็จะถูกจำกัดไว้ที่แดนผู้สูงส่งเท่านั้น” ตู๋กูกล่าวเช่นนี้
“เช่นนั้นหมายความว่าจะมีผู้แข็งแกร่งแดนผู้สูงส่งลงมือด้วยสินะ?” หลัวซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย เขานึกถึงผู้สูงส่งทั้งเจ็ดคนที่ได้พบในตำหนักหลักของตำหนักหลักเมืองต้าฮวงเมื่อห้าปีก่อน
ก็เหมือนกับคำพูดที่ว่าเทพทำสงคราม มนุษย์เป็นผู้รับเคราะห์ ต่อให้เป็นจักรพรรดิเทพวัฏจักรเจ็ดสำหรับผู้สูงส่งแล้ว ก็เป็นแค่มดที่ค่อนข้างแข็งแรงหน่อยเท่านั้นเอง
ทันทีที่สงครามวิวัฒนาการเป็นการต่อสู้ระหว่างผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่ง เช่นนั้นเพียงแค่ควันหลงจากการต่อสู้ของผู้สูงส่ง มันก็คือหายนะแห่งการทำลายล้างดี ๆ นี่เอง
ดังนั้น หากหลัวซิวจะไปร่วมต่อสู้ในสงครามครั้งนี้ เช่นนั้นเขาก็จะมีอันตรายถึงชีวิตได้ทุกเมื่อ
สำหรับประเด็น ใบหน้าของหลัวซิวไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เลย แม้แต่ตัวธรรมก้ไม่มีความสั่นคลอนใด ๆ สงบนิ่งดั่งน้ำ
เพราะไม่ว่าจะเป็นมกุฎเต๋าหวูจี๋หรือว่าหลัวซิว พวกเขาต่างก็เข้าใจเรื่องหนึ่งเป็นอย่างดี นั่นก็คือไม่ว่าเจ้าจะมีพรสวรรค์และกำลังแฝงที่สูงส่งเพียงใด หากอาศัยแค่เพียงทรัพยากรมาเพิ่มระดับผลการฝึกตนตามขั้นตอน เช่นนั้นไม่ว่าเจ้าจะฝึกตนได้สูงเพียงใด ก็ไม่มีทางที่จะประสบผลสำเร็จในขั้นสูงได้อย่างแน่นอน
ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงนั้น จักต้องผ่านการฝึกฝนขัดเกลาจากสนามรบอันโหดเหี้ยมทารุณ!
เหมือนดั่งเช่นหลัวซิวในชาติที่ยังเป็นไท่ซ่างฉิง ในยุคที่ผู้แข็งแกร่งโรยรา เขาได้นำพากองทัพแห่งหุบเขาสยบปีศาจให้แข็งแกร่งขึ้นมาจนไม่อาจต้านทาน เอาชนะศัตรูที่ร้ายกาจคนแล้วคนเล่า ถึงได้กลายเป็นคนแรกที่ฝึกตนจนบรรลุแดนผู้สูงส่งในปฐพี
แน่นอน คนแรกที่ว่านี้ เป็นเพียงการสรรเสริญเท่านั้น ผู้แข็งแกร่งที่ซ่อนตัวอยู่มากมาย ล้วนมีพลังที่สามารถเอาชีวิตของเขาได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่ตอนนั้นไท่ซ่างฉิงยังไม่ทันได้สัมผัสถึงขั้นนั้นเท่านั้นเอง
ไม่มีคำพูดฮึกเหิมอะไร หลัวซิวเพียงแค่บอกกล่าวกับตู๋กู แล้วกลายเป็นแสงกลเหาะลอยไป
“ศิษย์น้อง อยากรู้จริงว่าเจ้าจะสามารถเดินถึงขั้นใดกันแน่”
มองตามไปทางที่หลัวซิวจากไป แต่ให้เป็นตู๋กูที่ถูกขนานนามว่าเป็นยอดอัจฉริยะวิถีกระบี่ ภายในใจยังต้องยอมรับว่าศิษย์น้องเล็กคนนี้ของตน เป็นคนที่มีพรสวรรค์สูงสุดเท่าที่เขาพบเจอมา
หยุนอี้มีความรู้แจ้งที่สูงมาก แต่เขาก็มิอาจบุกเบิกวิถีเซียนได้มิใช่หรือ?
……
ตอนที่แดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจและชนเผ่าเฉว่ซ่าได้เคลื่อนไหว กงล้อเทพนับหมื่นที่ลอยอยู่เหนือเมืองต้าฮวงโบราณก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรงขึ้นตาม
“ทุกท่าน! สงครามได้เริ่มขึ้นแล้ว กองทัพใหญ่ทั้งสามเส้นทางฟังข้าบัญชาการ เคลื่อนทัพ!” เสียงทรงพลังของเจ้าเมืองต้าฮวงดังก้องไปทั่วปฐพี
“เคลื่อนทัพ!”
“เคลื่อนทัพ!”
“สู้! สู้! สู้! ……”
กองกำลังต่าง ๆ รวมพล แถมยังมีการสนับสนุนอย่างเต็มกำลังจากตระกูลเทียนฮวง เงาร่างผู้คนหนาแน่นในเมืองต้าฮวงโบราณลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ผลการฝึกตนต่ำสุดอยู่ในแดนเทพมารระดับเก้า มีกำลังพลนับแสนคน
“ครืนนนน!”
ในเวลาเดียวกันนั้น ฟ้าดินสั่นสะเทือน เมืองต้าฮวงโบราณอันโอ่อ่าใหญ่ทะมึนได้ผุดขึ้นมาจากพื้นดิน ลอยอยู่ในอากาศ เฉกเช่นอสูรร้ายที่พึ่งตื่น แยกเขี้ยวที่น่ากลัวของมันออกมาให้เห็น
แต่ไหนแต่ไรมามีตำนานโบราณอย่างหนึ่งในโลกร้าง เมืองต้าฮวงโบราณเป็นป้อมปราการศึกที่บรรพจารย์ฮวงในตำนานได้ทิ้งเอาไว้ ขณะตอนนี้สงครามกำลังจะบังเกิด เมืองแห่งนี้ก็กำลังจะแสดงบทบาทอันทรงพลังในฐานะป้อมปราการศึกของมัน
เดิมทีตามแผนการของเจ้าเมืองต้าฮวงคือต้องการแบ่งกองทัพใหญ่ออกเป็นสี่ทาง ทว่าเนื่องจากสำนักอัมพรเทวศักดิ์สิทธิ์ได้ถูกทำลายไป จึงเหลือกองทับใหญ่เพียงสามทางเท่านั้น
แต่การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ มันไม่มีผลกระทบใด ๆ ต่อแผนการโดยรวม
“เพื่อนผู้ยุทธ์หลัว เชิญเข้าเมือง!”
เจ้าเมืองต้าฮวงประสานมือให้กับหลัวซิวอย่างเกรงอกเกรงใจ ในฐานะผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่ง เขาสามารถทำถึงขั้นนี้ได้ก็ถือว่าหายากมากแล้ว
“ท่านเจ้าเมืองเกรงใจเกินไปแล้ว”
แม้ว่าจะเคยบาดหมางกันมาบ้าง แต่ในเมื่อศิษย์พี่ของตนได้เป็นตัวกลางไกล่เกลี่ย หลัวซิวย่อมไม่ใช่คนผูกพยาบาทเช่นนั้นอยู่แล้ว
ครั้งนี้ไม่ได้มีแค่เขาเท่านั้นที่มาเมืองต้าฮวงโบราณ กองกำลังต่าง ๆ ภายใต้บัญชาของอาณากระบี่หวูจี๋ก็ได้ส่งกำลังพลมาด้วยเช่นกัน ตอนนี้ล้วนได้อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของเขา
ทั้วทั่งเมืองต้าฮวงโบราณเป็นเหมือนดั่งของขลังขนาดใหญ่ชิ้นหนึ่ง แม้แต่สิ่งก่อสร้างเล็กน้อยในเมืองต่างก็เป็นของขลังชิ้นหนึ่ง ของขลังจำนวนมากรวมอยู่ด้วยกัน ถึงได้กลายมาเป็นเมืองต้าฮวงโบราณ
ขณะเดียวกันการเรียงและโครงสร้างในเมืองของของขลังพวกนี้ ยังสอดคล้องกับความลึกลับอัศจรรย์ของค่ายกล
การฟื้นคืนของเมืองต้าฮวงโบราณ สิ่งก่อสร้างในเมืองล้วนอยู่ในความควบคุมของเจ้าเมืองต้าฮวง ตำหนักหลักของตำหนักหลักเมืองลอยขึ้น ตั้งอยู่ในตำแหน่งที่สูงที่สุด
กองทัพต้าฮวง กองทัพเทียนฮวง กองทัพหวูจี๋ ตั้งทัพอยู่ในสามมุมของเมืองต้าฮวงโบราณ
ตำแหน่งที่ตั้งตำหนักหลักของตำหนักหลักเมืองมีค่ายกลป้องกันอยู่หลายชั้น สามารถดูสถานการณ์โดยรวมได้ที่นี่
“ครืนนน!……”
เมืองต้าฮวงโบราณลอยเหาะอยู่ในอากาศ ทุกที่ที่ผ่าน อนัตตาต่างถูกกดทับแหลกละเอียด ร่องรอยโกลาหลทะลักออกมาเป็นสาย ๆ เงามหึมาพาดผ่านผืนดิน ให้ความรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมากแก่ผู้คน
“มาแล้ว!”
ไม่นานหลังจากนั้น จุดสีดำจุดหนึ่งได้ปรากฏเข้าสู่สายตาของหลัวซิว เมื่อระยะห่างขยับใกล้เข้าหากันเรื่อย ๆ จุดสีดำจุดนั้นก็ค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้นในสายตาของเขา
ไม่ใช่แค่หลัวซิว ทุกคนในเมืองโบราณต้าฮวงต่างจับจ้องมองไป ขณะเดียวกันนั้นยังสัมผัสได้ถึงปราณปีศาจอันแรงกล้าและกลิ่นคาวเลือดของการเข่นฆ่า
“หุบเขาอสูรฟ้า?”
ยิ่งขยับใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ทุกคนต่างมองเห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของจุดสีดำ มันเป็นหุบเขาที่ลอยเหาะอยู่ในอากาศนั่นเอง
ทั่วทั้งหุบเขาถูกรายล้อมไปด้วยหมอกสีดำ ทำให้คนไม่อาจมองเห็นสถานการณ์ในหุบเขาได้ชัดเจน
หุบเขาอสูรฟ้า ว่ากันว่าเป็นที่ตั้งแห่งหนึ่งของแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจ เป็นสถานที่ดับสูญของอสูรฟ้าใหญ่ท่านแรกในสมัยโบราณกาล ก่อนที่อสูรฟ้าใหญ่จะดับสูญได้หลอมรวมผลการฝึกตนของตัวเองเข้าไปในหุบเขาแห่งนี้ ฝึกเซ่นจนกลายเป็นหุบเขาอสูรฟ้า
เมืองต้าฮวงโบราณเป็นป้อมปราการศึกระดับอาวุธเทพมหาศักดิ์ที่ทรงพลานุภาพชิ้นหนึ่ง หุบเขาอสูรฟ้าก็ไม่ได้ด้อยไปกว่า เพราะว่ากันว่าอสูรฟ้าใหญ่ก็เป็นผู้สูงส่งท่านหนึ่ง กระทั่งที่ว่าห่างจากประมุขเต๋าอยู่อีกเพียงน้อยนิด