มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake – บทที่ 2928 ตัวหยั่งรู้เปลี่ยนแปลง

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2928 ตัวหยั่งรู้เปลี่ยนแปลง

มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2928

ในสถานปรักเซียน ผู้สูงส่งยี่สิบคน มหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรเก้าสองร้อยคน เข่นฆ่ากันในการต่อสู้แย่งชิงสมบัติวิถีเซียนทั้งสามชิ้น

และตอนนี้ด้านนอกของสถานปรักเซียน ก็คือรอบนอกของแดนบรรพกาล เมื่อตัดเมืองต้าฮวงโบราณและเมืองหวูยวนที่เป็นตัวแทนของการเผชิญหน้าทางอากาศทิ้งไป รูปร่างที่ทำให้ผู้คนต้องสะดุดตามากที่สุด ก็คือรูปร่างที่กำยำของมกุฎเต๋าทั้งสี่

พลังอมตะของผู้แข็งแกร่งมกุฎเต๋ากว้างใหญ่ ถึงแม้ตอนนี้พวกเขายังไม่ได้อยู่ในสถานปรักเซียน แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในสถานปรักเซียน ซึ่งเป็นที่ตั้งของสมบัติวิถีเซียนทั้งสามชิ้น พวกเขาก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนราวกับมองเห็นดวงไฟ

“หวูจี๋ เด็กหนุ่มคนนั้นคือศิษย์ที่เจ้าเพิ่งรับเข้ามาใหม่ใช่หรือไม่ ? สายตาของเจ้าหลักแหลมไม่น้อยเลยนะ”

จู่ ๆ มกุฎเต๋าหวูซินก็เอ่ยปากขึ้นมา เด็กหนุ่มที่เขาพูดถึง ย่อมหมายถึงหลัวซิวอย่างแน่นอน

เพราะมกุฎเต๋าหวูซินจับสัมผัสได้แล้วว่า หนึ่งในสมบัติล้ำค่าสามชิ้นของสถานปรักเซียน รากเซียนน้ำไฟต้นนั้นถูกหลัวซิวเก็บไปแล้ว

“ผลการฝึกตนระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรเก้า ครอบครองพลังวิถีเซียน อีกทั้งพลังวิถีเซียนยังมีคุณลักษณะอย่างน้อยสามประการ ศิษย์เช่นนี้ เจ้าหวูจี๋ยังไม่อาจสั่งสอนออกมาได้หรอกใช่ไหม ?”

มกุฎมังกรคู่อิมไท่ชูส่งเสียงฟึดฟัดออกมาเบา ๆ ริมฝีปากสีแดงสดโค้งขึ้นอย่างมีเสน่ห์ เหลือบมองมกุฎเต๋าหวูจี๋ และพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม : “ดูเหมือนพลังวิถีเซียนที่จนเป็นอาจารย์อย่างเจ้าครอบครองอยู่ ดูเหมือนจะมีเพียงแค่หนึ่งคุณลักษณะสินะ ?”

“ทำไม ? มังกรอิม เจ้าอยากทดสอบกำลังเซียนของข้าหวูจี๋อย่างนั้นหรือ ?”

มกุฎเต๋าหวูจี๋ส่งเสียงฟึดฟัดออกมา และกลับส่งสายตาระแวดระวังมกุฎเต๋าหวูซินและมกุฎมังกรอิม

เพราะเขารู้ดีว่าหลัวซิวถูกทั้งสองคนนี้จับตามองแล้ว ทันทีที่ทั้งสองคนนี้คิดร้ายต่อหลัวซิว นั่นเป็นสิ่งที่รับมือได้ยากจริง ๆ

“หากเจ้ามีความสามารถก็สู้กับศิษย์พี่หวูซินสิ”

ดูเหมือนมกุฎมังกรอิมจะไม่หลงกลมกุฎเต๋าหวูจี๋ มีเพียงแค่นางร่วมมือกับพี่ใหญ่มกุฎมังกรเอี๊ยงเท่านั้น จึงจะแสงดความสามารถออกมาได้อย่างแข็งแกร่งที่สุด หากต่อสู้โดยลำพัง ย่อมรู้แก่ใจดีว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมกุฎเต๋าหวูจี๋

แต่มกุฎเต๋าหวูซินกลับไม่เหมือนกัน บำเพ็ญร่วมและผสมผสานเต๋าเสวียนเหลือง แม้จะไม่ได้เปลี่ยนเป็นกำลังเซียน พละเสวียนเหลืองของมกุฎเต๋าหวูซิน ก็เพียงพอจะรับมือกับหวูจี๋กำลังเซียนของมกุฎเต๋าหวูจี๋ได้

และด้วยเหตุนี้ มกุฎเต๋าหวูจี๋ถึงได้เกรงกลัวมกุฎเต๋าหวูซินเช่นนี้

แน่นอนว่า คุณลักษณะของแรงเต๋ายิ่งแข็งแกร่ง ยิ่งซับซ้อน คิดจะเปลี่ยนแปลงเป็นกำลังเซียนก็จะยิ่งยากขึ้น เหมือนกับมกุฎเต๋านอกนภาที่มีความสามารถพิเศษสูงที่สุด ในบรรดามกุฎเต๋าอย่างพวกเขา เป็นเพราะเขาฝึกตนเต๋าตรีภพโกลาหลที่ซับซ้อนที่สุด ดังนั้นจึงไม่อาจผนึกรวมกำลังเซียนออกมาได้เสียที หากมกุฎเต๋านอกนภาเลือกที่จะฝึกตนธรรมดั้งเดิมที่ค่อนข้างธรรมดา เกรงว่าคนกลายเป็นเซียนได้เสียนานแล้ว

และในขณะเดียวกัน เป็นเพราะรู้เรื่องเหล่านี้ ดังนั้นกำลังเซียนของหลัวซิวจึงแสดงคุณลักษณะสามประการออกมา แม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎเต๋าอย่างหวูซินและมกุฎมังกรอิมต่างก็รู้สึกว่าน่าเหลือเชื่อ

เป็นที่รู้กันดีว่า กำลังเซียนมีสามคุณลักษณะ นั่นหมายความว่า อย่างน้อยเขาฝึกตนธรรมดั้งเดิมทั้งสามประเภทนี้จนถึงแดนที่สูงอย่างยิ่ง อีกทั้ง ทั้งหมดล้วนบรรลุถึงความต้องการในการเปลี่ยนแปลงเป็นพลังวิถีเซียนแล้ว นี่จะเป็นไปได้หรือ ?

เมื่อเห็นว่ามกุฎเต๋าอย่างพวกเขาล้วนติดอยู่ในด่านนี้ ก็รู้แล้วว่าหากคิดจะผนึกรวมกำลังเซียนนั้นยากแค่ไหน ดังนั้น มกุฎเต๋าหวูซินและมกุฎมังกรอิมจึงมั่นใจอย่างยิ่งว่า ในตัวของหลัวซิวจะต้องมีความลับอะไรบางอย่างแน่นอน

ถึงขั้นว่าความลับนี้ อาจเหนือกว่าโอกาสที่จะกลายเป็นเซียนเสียอีก !

……

มีเจ้าเมืองร้างทั้งสามอย่างพวกเขา คอยสกัดกั้นผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งทั้งสามของฝ่ายศัตรูไว้ ทำให้หลัวซิวฝ่าวงล้อมการโจมตี ของผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรเก้าจำนวนยี่สิบกว่าคน ออกมาได้อย่างรวดเร็ว

เขาสูญเสียผลการฝึกตนไปมาก ดังนั้นจึงไม่ได้เลือกที่จะช่วยเจ้าเมืองร้างรับมือกับศัตรู แต่ได้กลายร่างเป็นแสงกล ใช้ปริภูมิและความเร็วในการเคลื่อนย้าย พารากเซียนน้ำไฟหายลับไปอย่างไร้ร่องรอยในชั่วพริบตา

ปริภูมิภายในสถานปรักเซียนกว้างใหญ่มาก หลังจากที่หลัวซิวสัมผัสได้ว่า ออร่าตัวสำนึกที่ผนึกอยู่บนตัวค่อย ๆ ถูกสลัดออกไป เขาก็รีบหาที่หลบซ่อนตัวโดยเร็วที่สุด จากนั้นก็ให้แสงกลร่วงลงสู่พื้น

ยกมือขึ้นโบก มีลำแสงพุ่งออกมาจากแหวนเก็บของ ลำแสงที่พุ่งออกมาทุกลำแสงล้วนเป็นธงค่าย ธงค่ายแต่ละต้นล้วนจัดเรียงอยู่บนอนัตตา ไม่ช้าก็จัดวางจนกลายเป็นค่ายกลซ่อนงำ ซ่อนทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวในทันที

ด้วยระดับของหลัวซิวในตอนนี้ ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งผ่านทางมา หากไม่สังเกตจริง ๆ ก็ไม่อาจค้นพบค่ายกลซ่อนงำที่เขาตั้งขึ้นตรงนี้ได้

นอกจากค่ายกลซ่อนงำ หลัวซิวยังตั้งค่ายกลคุ้มกันขึ้นมาอีกหลายค่าย จากนั้นก็หยิบยาออกมากิน และเริ่มฟื้นฟูผลการฝึกตนที่สูญเสียไป รวมไปถึงบาดแผลบนร่างกาย

ในขณะเดียวกันนี้ หินบรรพไท่ชูจำนวนมหาศาล ก็ถูกเขานำออกมาไม่หยุด เป็นจำนวนที่น่าตกใจ กองจนเป็นภูเขา

ครั้งนี้ในสถานปรักเซียน เขากำจัดมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรเก้าไปไม่น้อย ในแหวนเก็บของของมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรเก้าทุกคน มีหินบรรพไท่ชูจำนวนมากเก็บเอาไว้ เอาความมั่งคั่งจำนวนมหาศาลของมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรเก้ามารวมเข้าไว้ด้วยกัน จะทำให้หลัวซิวมีความเป็นไปได้และโอกาสที่จะพัฒนาต่อไปได้อีกขั้น

แน่นอนว่า แค่มีทรัพยากรที่เพียงพอนั้นยังไม่พอ ถ้าหากต้องการบรรลุจากมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรเก้าช่วงกลางเป็นช่วงปลาย ภายใต้ปริมาณของหินบรรพไท่ชูและยาเทพที่มากพอ อย่างน้อยหลัวซิวก็ต้องนั่งทำสมาธิอีกหลายสิบปี จึงจะสะสมผลการฝึกตนและตกตะกอนจนถึงขั้นบรรลุได้

การยกระดับของผลการฝึกตน เหมือนกับการกินข้าว ต้องกินทีละคำ ๆ จะกินเข้าไปคราวเดียวจนกลายเป็นคนอ้วนไม่ได้

หลัวซิวไม่คิดว่าจะทำให้ผลการฝึกตนของตนเองบรรลุอีกครั้งที่นี่ได้ ที่เขาเข้าสู่สถานะการฝึกตน เป็นเพียงแค่การตอบสนองตามสัญชาตญาณ ที่ไม่ปล่อยให้โอกาสที่จะได้ยกระดับการฝึกตนหลุดลอยไปได้แม้แต่น้อย

หลังจากที่ยาออกฤทธิ์ภายในร่างกายแล้ว ผลการฝึกตนที่สูญเสียมากเกินไปของหลัวซิวก็ฟื้นฟูกลับมาส่วนหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงพลิกมือ แล้วนำกล่องหยกที่บรรจุรากเซียนน้ำไฟออกมา

เปิดกล่องหยกออก พละเซียนน้ำไฟอันเข้มข้นก็แผ่ซ่านออกมา ในเวลาเพียงชั่วลมหายใจ ก็แทรกซึมผ่านรูขุมขนบนร่างกาย ทำให้หลัวซิวรู้สึกเหมือนผลการฝึกตนของตนเอง แอบมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

“เป็นของดีจริง ๆ”

หลัวซิวแสดงสีหน้ายินดีออกมา ถ้าหากเปลี่ยนเป็นนักยุทธ์คนอื่น มีเพียงผู้ที่ฝึกตนวิถีน้ำไฟเท่านั้น ที่จะดูดรับกำลังเซียนของคุณลักษณะน้ำไฟ เพื่อยกระดับผลการฝึกตนได้ แต่วิถีไร้ลักษณ์ของเขากลับสามารถแปลงได้ สามารถแปลงพลังของคุณลักษณะทุกอย่าง ให้กลายเป็นพลังที่ตนเองสามารถดูดรับกลั่นแปรได้

กำลังเซียนมีความบริสุทธิ์อย่างสูง หากดูดรับกำลังเซียนที่บริสุทธิ์เช่นนี้มาฝึกตนแล้วละก็ จะต้องให้ผลลัพธ์ที่เหนือกว่ายาเทพวัฏจักรเก้าและยาเทพวัฏจักรสิบหลายเท่าตัวนัก

“หากใช้หินบรรพไท่ชูมาฝึกตนแล้วละก็ ถึงแม้จะมีทรัพยากรที่เพียงพอ แต่อย่างน้อยข้าก็ต้องใช้เวลานับสิบปี จึงจะบรรลุถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรเก้าช่วงปลายได้ แต่ถ้าหากกลั่นแปรรากเซียนต้นนี้มาใช้ฝึกตนแล้วละก็ เวลานี้ก็จะสั้นลงโดยไม่มีที่สิ้นสุด !”

นี่เทียบได้ง่ายกับการกินข้าว หินบรรพไท่ชูเหมือนกับหมั่นโถว หลัวซิวอยากบรรลุถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรเก้าช่วงปลาย หากต้องกินหมั่นโถวร้อยลูกแล้วละก็ เช่นนั้นกำลังเซียนที่บริสุทธิ์ขนาดนั้น ก็เหมือนกับอาหารพลังงานสูง กินเข้าไปเพียงเล็กน้อย ก็จะได้ผลลัพธ์เช่นเดียวกับหมั่นโถวร้อยลูก

มีค่ายกลคอยปิดล้อมอยู่ ออร่าของกำลังเซียนไม่มีทางแพร่กระจายออกไปได้ ไม่นานนักปริภูมิในค่ายกลที่เขาอยู่ ก็ถูกหมอกสีแดงและขาวปกคลุม กำลังเซียนเข้มข้นเกินบรรยาย

และสิ่งที่ทำให้หลัวซิวสนใจยิ่งกว่าก็คือ หลังจากเขาดูดรับกำลังเซียนลำแสงหนึ่งเข้าไปแล้ว ก็รู้สึกได้ว่าญาณเทวดั้งเดิมที่อยู่ในตัวหยั่งรู้ของตนเอง ส่งสัญญาณของการยกระดับออกมาเล็กน้อย !

การค้นพบนี้ ทำให้หลัวซิวยิ่งรู้สึกยินดี พลังตัวสำนึกของเขา เรียกได้ว่าไม่มีการยกระดับมานานแล้ว สิ่งนี้ทำให้เขาเกิดความคิดที่จะสร้างพลังอมตะวิญญาณที่แข็งแกร่งขึ้นมาสองสามวิชา อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ด้วยพลังญาณเทวของเขาในตอนนี้ หากแสดงพลังวิญญาณอมตะแล้วละก็ อย่างมากก็สามารถข่มขู่ศัตรูในระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรเก้าช่วงปลายและขั้นสูงได้เท่านั้น แต่ศัตรูในระดับนี้ ต่อให้เขาไม่ใช่พลังอมตะวิญญาณ ก็สังหารได้อย่างสบาย

แต่หากประมือกับผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งแล้วละก็ พลังญาณเทวของเขาก็ไม่แข็งแกร่งเพียงพอ ถึงแม้จะใช้พลังวิญญาณอมตะ ก็ยากที่จะทำลายถึงตัวหยั่งรู้และช่องจิตดั้งเดิมของศัตรูได้

หากสามารถยกระดับดั้งเดิมของญาณเทวได้ เช่นนั้นเกรงว่าพลังของตัวสำนึกของหลัวซิวเอง ก็จะสามารถบรรลุถึงในระดับของผู้สูงส่งได้ เมื่อขับเคลื่อนพลังอมตะวิญญาณ ก็จะข่มขู่ศัตรูที่อยู่ในแดนผู้สูงส่งได้ !

การโจมตีวิญญาณยากจะป้องกัน ผู้แข็งแกร่งที่บรรลุวิถีกลั่นวิญญาณถึงแดนผู้สูงส่งได้นั้นมีอยู่น้อยมาก ทันทีที่ได้มาครอบครอง จะต้องเป็นวิธีการที่คมชัดและเป็นไพ่ไม้ตายที่ล้ำค่าอย่างยิ่งแน่นอน

เมื่อคิดได้ดังนี้ หลัวซิวก็ทนรอไม่ไหวที่จะเริ่มดูดรับพละเซียนน้ำไฟอันบริสุทธิ์ เขาไม่ได้นำกำลังเซียนที่กลั่นแปรมาใช้ยกระดับการฝึกตน แต่นำทั้งหมดมาใช้ในการชุบตัวสำนึกของตนเอง

“เปรี้ยง !”

บางทีอาจเป็นเพราะหลัวซิวใจร้อนเกินไป ดังนั้นการที่เขาดูดรับพละเซียนน้ำไฟจำนวนมหาศาลเข้าไปในคราวเดียว กำลังเซียนที่บริสุทธิ์เช่นนี้ สำหรับคนที่มีผลการฝึกตนในระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรเก้าอย่างเขาแล้ว ระดับพลังงานนั้นสูงเกินไป ดังนั้นเขาคิดไปเองว่าดูดรับเพียงเล็กน้อย แต่กลับยังทำให้ร่างกายของเขายากที่จะรับได้

พรวด ! พรวด ! พรวด !……

บาดแผลบนร่างกายของเขาที่เพิ่งสมานได้เพียงไม่นาน ก็ปริแตกออกมาอีกครั้ง โดยเฉพาะตัวหยั่งรู้ที่เขาชุบใหม่ ตอนนี้เหมือนถูกฉีกออกจนละเอียด

“แย่แล้ว ดีใจจนเหลิงเสียแล้ว”

บนหน้าผากของหลัวซิวเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ แต่เหงื่อของเขากลับเป็นสีเลือด เขาคิดไม่ถึงเลยว่า การดูดรับกำลังเซียนมาฝึกตนจะอันตรายถึงเพียงนี้ หากเขาไม่อาจฝืนทนได้ละก็ เขาอาจจะกลายเป็นคนแรกในโลก ที่ถูกกำลังเซียนส่งเสริมจนตาย ?

ผลลัพธ์เช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่หลัวซิวจะยอมรับได้ ถึงขั้นว่า หากปล่อยให้คนอื่นรู้เข้าว่า เขาถูกกำลังเซียนส่งเสริมจนเกือบตาย จะต้องทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎเต๋าเหล่านั้น หัวเราะเยาะอย่างแน่นอน สามารถดูดรับกลั้นแปรกำลังเซียนบริสุทธิ์ได้นั้นมีค่าแค่ไหน ? นั่นเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งกว่าพลังสืบทอดที่เซียนทิ้งเอาไว้ให้เสียอีก

กำลังเซียนไร้ลักษณ์ถูกหลัวซิวขับเคลื่อนจนถึงขีดจำกัด ในปากของหลัวซิวมีเสียงคำรามของสัตว์ร้ายเกิดขึ้น เขาปิดรูขุมขนทั่วร่างกาย ไม่กล้าดูดรับกำลังเซียนเพิ่มอีกแม้แต่น้อย อีกทั้งยังปิดกล่องหยก ไม่ให้กำลังเซียนของรากเซียนแผ่ซ่านออกมาได้อีก

เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะกลั่นแปรกำลังเซียนของร่างใน ตัวหยั่งรู้ส่วนหนึ่งที่ไม่อาจทนต่อกำลังเซียนได้ แผ่ซ่านออกมาและถูกร่างเนื้อกลั่นแปร เขารู้ดีว่าตนเองมีเพียงสองจุดจบเท่านั้น นั่นก็คือ หากไม่อาศัยกำลังเซียนนี้ทะลวงให้บรรลุไปได้ ก็ต้องระเบิดตายอย่างแน่นอน !

เปรี้ยง !

เสียงระเบิดครั้งแรกมาจากตัวหยั่งรู้ของเขา หลัวซิวรู้สึกว่าตัวหยั่งรู้ของตนเองถูกส่งเสริมจนระเบิดแล้ว พละเซียนน้ำไฟกลายเป็นสายน้ำวนที่น่ากลัว บดขยี้ปริภูมิตัวหยั่งรู้ของเขาจนว่างเปล่า

หลิวซิวคิดว่าตนเองต้องตายแน่นอน แต่กลับพบว่าตนเองไม่สูญเสียสติสัมปชัญญะไป ถึงแม้ตัวหยั่งรู้จะแตกสลาย แต่ญาณเทวดั้งเดิมของเขายังอยู่ !

ในขณะเดียวกันนี้ เขาก็ค้นพบอย่างรวดเร็วว่า ตัวหยั่งรู้ของตนเองไม่ได้แตกสลายไปจริง ๆ แต่เป็นปริภูมิของตัวหยั่งรู้ที่กว้างขวางขึ้น ดังนั้นจึงทำให้เขาเกิดภาพลวงตาของตัวหยั่งรู้ที่แตกสลาย

“นี่……”

หลัวซิวตกตะลึงจนอ้าปากค้าง ตอนนี้เขาลองสัมผัสถึงตัวหยั่งรู้ของตนเอง เขาก็พบว่าปริภูมิของตัวหยั่งรู้ของตัวเอง ไม่ใช่เพียงแค่ขยายกว้างขึ้นหลายเท่าเท่านั้น ?

หากเปรียบเทียบปริภูมิตัวหยั่งรู้ของเขาก่อนหน้านี้กับห้วงดารา เช่นนั้นตัวหยั่งรู้ของเขาในตอนนี้ ก็เทียบได้กับด้านหนึ่งของจักรวาลอย่างแท้จริงแล้ว ไร้ขอบเขต กว้างใหญ่ไม่สิ้นสุด !

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

None

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท