เวลาล่วงเลยไปหลายร้อยปีแล้ว ผลการฝึกตนของซูเสว่หลันก็บรรลุถึงแดนเทพมารระดับเก้าเช่นกัน หลังศีรษะมีกงล้อเทพปรากฏหนึ่งวง อีกทั้งคุณภาพของกงล้อเทพก็ไม่ต่ำด้วย ซึ่งเป็นกงล้อเทพชั้นสูงหนึ่งวง
การที่สามารถผนึกรวมกงล้อเทพชั้นสูงออกมาได้นั้น อนาคตหากไม่มีอะไรผิดพลาดละก็ อย่างน้อยนางก็สามารถฝึกถึงแดนราชาเทพสี่กงล้อ
“ถูโยวหมิงล่ะ?”หลัวซิวก้าวเท้าเดินไปสอบถามด้านหน้าซูเสว่หลัน
และในเวลานี้เอง จอมยุทธ์ที่ประมือกับซูเสว่หลันในเมื่อครู่นี้ก็ผันร่างเป็นแสงกลแล้วบินหนีไป เห็นได้ชัดเจนเลยว่าศักยภาพที่หลัวซิวแสดงออกมาในเมื่อครู่นี้ทำให้เขาตกใจแล้วหนีไป
หลัวซิวไม่ได้สนใจการจากไปของคนดังกล่าวแต่อย่างใด ไม่ว่าคนดังกล่าวจะมีบุญคุณความแค้นอะไรต่อซูเสว่หลันที่อยู่ตรงหน้า ล้วนไม่มีความเกี่ยวข้องกับเขา
สามารถพูดได้เลยว่าเมื่อปีนั้นหากไม่ใช่เพราะถูโยวหมิงมุ่งมั่นขนาดนั้น หลัวซิวไม่ค่อยชอบหน้าสตรีเจ้าเล่ห์คนนี้เท่าไหร่นัก
หลัวซิวสอบถามเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับถูโยวหมิงโดยตรง และนี่ก็อยู่ในการคาดหมายของซูเสว่หลันเช่นกัน อีกทั้งเมื่อนางเห็นว่าหลัวซิวปรากฏที่นี่ นางก็เตรียมใจเผชิญหน้ากับคำถามนี้แล้ว
ฉะนั้นเมื่อซูเสว่หลันได้ยินคำถามของหลัวซิว สีหน้านางจึงหม่นหมองลงไปภายในพริบตา
“โยวหมิงเขา……เขาตายแล้ว……”ใบหน้าของซูเสว่หลันเต็มเปี่ยมไปด้วยความหม่นหมองโศกเศร้า เบ้าตาก็แดงก่ำเล็กน้อย มีน้ำตาเป็นประกายอยู่ในดวงตาลาง ๆ
“ตายแล้ว?”
เมื่อหลัวซิวได้ยินคำตอบนี้ เขาก็ขมวดคิ้วลงอย่างควบคุมไม่ได้ เขาไม่รู้ว่าคำตอบนี้ของซูเสว่หลันจริงเท็จเท่าไหร่
แต่หลัวซิวสันนิษฐานว่าซูเสว่หลันนี่น่าจะไม่ถึงขั้นเอาเรื่องเช่นนี้มาล้อเล่น ถูโยวหมิงมีโอกาสตายแล้วจริง ๆ
อย่างไรเสียครั้นเมื่อถูโยวหมิงมาถึงโลกร้าง เขาก็เป็นเพียงเทพมารระดับหกเล็ก ๆ คนหนึ่งเท่านั้น บวกกับเขาถูกเรื่องอารมณ์ความรู้สึกพันธนาการ ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับสตรีที่ค่อนข้างเจ้าเล่ห์อย่างซูเสว่หลัน การที่เขายังมีชีวิตอยู่สิถึงจะเป็นเรื่องแปลก
มาตรแม้นได้ยินข่าวการตายของถูโยวหมิง สภาพจิตใจหลัวซิวก็ไม่มีการผันผวนเลยแม้แต่น้อย เนื่องจากจอมยุทธ์ทุกคนที่ย่างกรายสู่เส้นทางแห่งการฝึกยุทธ์ อันที่จริงต่างก็เตรียมใจเผชิญหน้ากับการดับสลายสูญสิ้นได้ตั้งนานแล้ว
แม้แต่ตัวหลัวซิวเอง แท้จริงแล้วเขาก็รู้แจ้งในเรื่องนี้ตั้งนานแล้ว
“เขาตายอย่างไร? ขณะที่เขาตายผลการฝึกตนอยู่ระดับใด?”หลัวซิวถามด้วยน้ำเสียงที่ต่ำทุ้ม หากถูโยวหมิงตายขณะที่ผลการฝึกตนไม่สูงละก็ หลัวซิวมั่นใจว่าสามารถย้อนเพลาไหลรวยทำให้เขาฟื้นคืนชีพกลับมาได้อยู่
“ข้าไม่ทราบ……”
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้หลัวซิวคาดไม่ถึงคือ ซูเสว่หลันส่ายหน้าแล้วตอบกลับ: “ครั้นเมื่อข้าและโยวหมิงเพิ่งมาถึงดาราทงซัง โยวหมิงร่วมขบวนกับคนกลุ่มหนึ่งเพื่อออกตามหาสมบัติในห้วงดารา หลังจากที่เขาจากไปแล้ว ก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย”
ในขณะที่หลัวซิวกำลังจะเอ่ยปากสอบถามอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีเสียงเสียงหนึ่งสะท้อนมา “หน็อยนางแซ่ซูตัวดี มึงคิดว่าตามผู้ช่วยมาคนหนึ่ง แล้วจะหนีเงื้อมมือท่านชายอย่างกูพ้นหรือ?”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง ชายวัยกลางคนคนหนึ่งก็บินออกมาจากเมืองหยุนซังที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล แล้วปรากฏตรงหน้าซูเสว่หลันทันที
ในขณะเดียวกัน หลัวซิวมองเห็นจอมยุทธ์ที่ประมือกับซูเสว่หลันในเมื่อครู่นี้ยืนอยู่ข้างกายชายวัยกลางคนคนนั้น
“โกวต๋า! มึงอย่าได้รังแกผู้อื่นมากเกินไปนัก! มึงทำให้สามีกูตายและแย่งสมบัติพวกกูไป มึงยังคิดที่จะทำอะไรอีก?”
เมื่อซูเสว่หลันเห็นชายวัยกลางคนปรากฏ ภายในดวงตาที่มีน้ำตาเออล้นก็มีความเคียดแค้นปรากฏทันที อารมณ์ความรู้สึกก็ฮึกเหิมขึ้นมาเช่นกัน
“ซูเสว่หลัน มึงอย่ามาใส่ร้ายป้ายสีนะ การตายของคู่ครองมึงไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับกู”
ชายวัยกลางคนทำเสียงหึอย่างเยือกเย็นทีหนึ่ง แววตาที่เยือกเย็นคู่นั้นกวาดมองหลัวซิวรอบหนึ่ง “สหายคนนี้เพิ่งมาดาราทงซังเป็นครั้งแรกสินะ? ฟังคำตักเตือนของแซ่โกวข้าหน่อยเถอะ เรื่องบางอย่างเจ้าอย่าริอ่านเข้ามายุ่งเกี่ยวจักดีกว่า มิฉะนั้นอาจสิ้นชีพได้”
ภายในคำพูดดังกล่าวของโกวต๋าเต็มเปี่ยมไปด้วยความข่มขู่ แต่หลัวซิวกลับไม่ได้เก็บมาใส่ใจเลยด้วยซ้ำ แม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งยังเคยตายอยู่ในเงื้อมมือตัวเอง แล้วเขาจะใส่ใจต่อคำข่มขู่ของเทพมารระดับเก้ากระจอก ๆ คนหนึ่งหรือ?
คนดังกล่าวแตกต่างจากซูเสว่หลันที่หลังศีรษะมีกงล้อเทพหนึ่งวง หลังศีรษะโกวต๋านี่มีกงล้อเทพถึงสี่วงถ้วน ถึงแม้คุณภาพของกงล้อเทพทั้งสี่วงนั้นจะไม่สูงก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่คนที่มีกงล้อเทพหนึ่งวงสามารถเทียบเคียงได้
เมื่อเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามไม่หันมามองตัวเองด้วยซ้ำ จึงทำให้โกวต๋ารู้สึกว่าตัวเองโดนมองข้าม สีหน้าจึงดูย่ำแย่ลงไปภายในพริบตา
ในขณะที่โกวต๋าวางแผนจะหาข้ออ้างมาอบรมสั่งสอนเจ้าเด็กใหม่คนนี้อยู่นั้น จู่ ๆ สายตาเขาก็สังเกตเห็นเหยียนเยว่เอ๋อร์ที่อยู่ข้างกายหลัวซิว
“ช่างเป็นสตรีที่งามเพลิศพริ้งยิ่งนัก!”
สายตาของโกวต๋าถูกเหยียนเยว่เอ๋อร์ที่อยู่ในชุดสีแดงล้วนดึงดูดไปในทันที เขาใช้ชีวิตอยู่ในดาราทงซังมานานเช่นนี้ ได้พบเห็นรู้จักโฉมงามมาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ แต่ถ้าเกิดพูดถึงออร่าและความงดงาม กลับไม่มีคนใดที่สามารถเทียบเคียงกับสตรีชุดแดงที่อยู่ตรงหน้านี้ได้เลย
“หื้ม?”
โกวต๋าใช้แววตาที่กำเริบเสิบสานกวาดมองภรรยาตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้า จึงทำให้สีหน้าของหลัวซิวเยือกเย็นขึ้นมาทันที
เขาค่อย ๆ หันหน้าไปมองชายวัยกลางคนผู้มีนามว่าโกวต๋านั่นเป็นครั้งแรก แววตาของเขาเรียบนิ่งมาก แต่ราวกับมีความเยือกเย็นที่ทะลุไปถึงกระดูก ทำให้โกวต๋ารู้สึกเหมือนตกลงไปในบ่อน้ำแข็ง ไม่ว่าจะเป็นร่างกายหรือวิญญาณช่องจิต ล้วนราวกับถูกแช่แข็งยังไงอย่างนั้น
ณ เสี้ยววินาทีนี้ โกวต๋าตกตะลึงพรึงเพริด เขาเป็นเทพมารระดับเก้าช่วงปลายที่ผนึกรวมกงล้อเทพออกมาได้สี่วงแล้วนะ ส่วนฝ่ายตรงข้ามดูเหมือนจะมีกงล้อเทพแค่วงเดียวเท่านั้น มากสุดก็เป็นเพียงเทพมารระดับขั้นปฐมภูมิ เหตุใดเขาแค่มองตัวเองเพียงครั้งเดียว ก็สร้างแรงกดดันที่มากมายมหาศาลเช่นนี้แก่ตนได้?
โกวต๋าถอยหลังกลับไปสิบกว่าก้าว หลังจากสติเขากลับคืนสู่ร่างแล้ว ก็พบว่าร่างกายตัวเองแทบจะท่วมเต็มไปด้วยเหงื่อ
การที่โกวต๋าสามารถใช้ชีวิตอย่างเลิศหรูในดาราทงซังได้นั้น เขาย่อมไม่ใช่คนโง่อยู่แล้ว เขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่าชายหนุ่มชุดดำที่อยู่ตรงหน้านี้ต้องเป็นคนที่น่ากลัวมากอย่างแน่นอน อย่างน้อยก็เป็นผู้ที่เขาสู้ไม่ไหว และรุกรานไม่ได้เช่นกัน
“ข้าน้อยล่วงเกินไปเอง นี่คือของชดเชยของข้า ลาก่อน!”
โกวต๋าถอดแหวนเก็บของบนนิ้วตัวเองลงมาอย่างเด็ดเดี่ยว วางลงด้านหน้าอย่างเคารพนอบน้อม จากนั้นก็ก้มคำนับคารวะ ก่อนจะหันหน้าผันร่างเป็นแสงกลแล้วบินหนีไป ไม่มีคำพูดไร้สาระและลีลาชักช้าเลยแม้แต่น้อย
แต่ทว่าปฏิกิริยาเช่นนี้ของโกวต๋ากลับเป็นสิ่งที่หลัวซิวคาดไม่ถึง เขาไม่มีทางให้ความสำคัญกับแหวนเก็บของของเทพมารระดับเก้าเล็ก ๆ คนหนึ่งอยู่แล้ว ในทางตรงกันข้ามเขากลับรู้สึกชื่นชมเจ้าโกวต๋านั่นเล็กน้อย หากเจ้าหมอนั่นไม่รีบก้มหน้ายอมรับผิดในทันที เช่นนั้นวินาทีนี้เขาคงได้กลายเป็นศพร่างหนึ่งไปแล้ว
ใช่ เมื่อครู่หลัวซิวเกิดจิตที่จะสังหารแล้ว ทว่าเขาแค่ยังไม่ได้ลงมือเท่านั้นเอง
ดังคำกล่าวที่ว่าให้อภัยคนได้พึงให้อภัย หลัวซิวก็ไม่ใช่ผู้ที่เสพติดการสังหารเช่นกัน มิหนำซ้ำตัวละครเล็ก ๆ ที่ไม่มีค่าพอที่จะให้พูดถึงอย่างโกวต๋า ไม่ว่าจะฆ่าหรือไม่ฆ่า มันก็ไม่ค่อยมีความหมายเท่าไหร่นัก
ซูเสว่หลันสังเกตดูอย่างระมัดระวังมาโดยตลอด เมื่อนางเห็นกิริยาท่าทางเหล่านั้นของโกวต๋า จิตใจนางก็รู้สึกแปลกใจมากเช่นกัน อย่างไรเสียโกวต๋าก็เป็นเทพมารระดับเก้าช่วงปลาย แต่สิ่งที่หลัวซิวตรงหน้านี้แสดงออกมากลับเป็นเพียงเทพมารระดับเก้าขั้นปฐมภูมิหนึ่งกงล้อเทพ
แต่เมื่อเห็นสภาพของโกวต๋าเหมือนหนูที่เจอแมว ก็มีความแปลกใจเสี้ยวหนึ่งกระพริบผ่านไปในแววตาซูเสว่หลัน นางสามารถยืนยันได้ว่าศักยภาพของหลัวซิวคนนี้ไม่มีทางธรรมดาเรียบง่ายเหมือนอย่างที่เขาแสดงออกมาแน่นอน
“ศิษย์พี่หลัว ไยท่านจึงปล่อยมันไปเจ้าคะ? มันเป็นฆาตกรที่ฆ่าโยวหมิงเชียวนะ!”ซูเสว่หลันพูดอย่างร้อนรน
“แม่นางซู ลำดับแรกคือความสัมพันธ์เราไม่ได้สนิทใกล้ชิดขนาดนั้น ดังนั้นเจ้าอย่าเรียกข้าว่าศิษย์พี่ รองลงมาคือคำพูดทั้งหมดที่เจ้ากล่าวมาในเมื่อครู่นี้ เป็นเพียงคำพูดข้างเดียว พูดตามตรงเลยว่าข้าไม่ได้เชื่อเจ้าแต่อย่างใด”
สีหน้าอารมณ์ของหลัวซิวเย็นชามาก คำพูดคำจาก็ไม่มีความเกรงใจเช่นกัน ไม่ได้คำนึงถึงการให้เกียรติและไมตรีจิตระหว่างกันเลยแม้แต่น้อย
“ท่าน……”
เหมือนอย่างที่คาดการณ์เอาไว้จริง ๆ ด้วย หลังจากหลัวซิวพูดคำพูดดังกล่าวออกมา สีหน้าอารมณ์ของซูเสว่หลันก็ดูย่ำแย่อย่างยิ่ง
“ข้าไม่ใช่ถูโยวหมิง”หลัวซิวมองซูเสว่หลันด้วยสายตาที่เรียบนิ่งรอบหนึ่ง ก่อนจะหกระเหินเดินฟ้า มุ่งหน้าตรงไปยังเมืองหยุนซัง
ร่างกายที่อ่อนช้อยของซูเสว่หลันสั่นเทาเล็กน้อย เมื่อนางได้ยินคำพูดดังกล่าวของหลัวซิว นางที่ชาญฉลาดก็เข้าใจความหมายของหลัวซิวแล้ว หลัวซิวกำลังบอกกับนางอยู่ว่าข้าไม่ใช่ถูโยวหมิง ดังนั้นเจ้าไม่ต้องใช้แผนล่อลวงที่ใช้กับถูโยวหมิงมาใช้กับข้า
เหยียนเยว่เอ๋อร์ติดตามอยู่ข้างกายหลัวซิว ตั้งแต่เริ่มต้นกระทั่งบัดนี้นางไม่เคยพูดอะไรเลยสักคำ นางก็เคยได้ยินหลัวซิวพูดถึงเรื่องราวที่เกี่ยวกับถูโยวหมิงเหมือนกัน มหาจักรพรรดิยุทธ์โยวหมิงที่เคยมีชื่อเสียงโด่งดังในมหาโลกาพันสามถึงกับตายอยู่ในห้วงดาราอย่างไม่กระจ่างชัดแจ้งอย่างนั้นหรือ
เมื่อหลัวซิวเดินเข้าไปในเมืองหยุนซัง ตัวสำนึกของเขาก็สัมผัสได้ตั้งนานแล้วว่าซูเสว่หลันก็ตามมาเช่นกัน
ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น ตัวสำนึกของหลัวซิวยังผนึกไปที่จอมยุทธ์ผู้มีนามว่าโกวต๋านั่นด้วย แต่โกวต๋าแค่ไม่รู้ตัวว่าถูกตนสะกดรอยตาม อย่างไรเสียตัวสำนึกของหลัวซิวก็เทียบเท่าผู้สูงส่งแล้ว อย่าว่าแต่โกวต๋าเลย ต่อให้เป็นเจ้าเมืองที่แข็งแกร่งที่สุดของเมืองหยุนซังก็ไม่มีทางค้นพบตัวสำนึกของหลัวซิว
สำหรับซูเสว่หลันที่อยู่ด้านหลังตัวเองนั้น หลัวซิวก็ไม่ได้ไปสนใจนางเช่นกัน เพราะถ้าเกิดไม่มีถูโยวหมิงละก็ เขาไม่มีทางได้คลุกคลีกับสตรีนางนั้นด้วยซ้ำ
อ้างอิงจากคำพูดของซูเสว่หลัน ถูโยวหมิงถูกโกวต๋าทำให้ต้องตาย เช่นนั้นไฟเทวชิงเทียนก็ต้องตกอยู่ในมือโกวต๋าอย่างไร้ข้อสงสัยแล้วล่ะ
แต่ทว่าไฟเทวชิงเทียนเป็นสมบัติระดับใด? จากผลการฝึกตนแค่เทพมารระดับเก้าช่วงปลายของโกวต๋า ไม่มีทางยึดครองมันไว้ในกำมือได้เลยด้วยซ้ำ ฉะนั้นหลัวซิวจึงสามารถยืนยันได้ว่าเบื้องหลังของโกวต๋านั่นน่าจะยังมีคนอื่นอยู่
ไม่ว่าอย่างไรระหว่างหลัวซิวและถูโยวหมิงก็ถือเป็นมิตรสหายอยู่ หากเป็นไปได้ละก็ เขาวางแผนที่จะไปหาสถานที่ที่ถูโยวหมิงดับสลายสูญสิ้น แล้วลองฟื้นคืนชีพเขาดู ส่วนสมบัติอย่างไฟเทวชิงเทียนนั้น หลัวซิวก็วางแผนที่จะยึดมันไปเป็นของรางวัลตอบแทนที่ตนฟื้นคืนชีพถูโยวหมิง
สำหรับถูโยวหมิงแล้ว สมบัติระดับอย่างไฟเทวชิงเทียนก็เป็นเหมือนคำกล่าวที่ว่า ราษฎรเดิมไม่มีความผิด แต่เพราะมีหยกติดตัวจึงมีความผิด
หลัวซิวเหมือนกำลังพาเหยียนเยว่เอ๋อร์เดินเล่นอยู่ในเมืองอย่างเรื่อยเปื่อย แท้จริงแล้วทิศทางการเคลื่อนไหวของเขาล้วนเปลี่ยนแปลงไปตามทิศทางของโกวต๋า
ทันใดนั้นเอง หลัวซิวก็สัมผัสได้ว่าตัวสำนึกของตัวเองถูกพลังเสี้ยวหนึ่งขัดขวาง โกวต๋าเข้าไปในอาคารพาณิชย์แห่งหนึ่งในเมืองหยุนซัง ขณะที่เขาเดินขึ้นไปบนชั้นที่สามของอาคารดังกล่าว บนชั้นสามมีค่ายกลที่ปิดกั้นการตรวจสอบของตัวสำนึก
ระดับของค่ายกลดังกล่าวไม่สูงเท่าไหร่นัก มากสุดก็แค่สามารถปิดกั้นการตรวจสอบของตัวสำนึกราชาเทพเก้ากงล้อ จากระดับความแข็งแกร่งในตัวสำนึกของหลัวซิว เขาไม่เพียงสามารถทะลุผ่านการขวางกั้นไปได้อย่างง่ายดาย ยิ่งกว่านั้นคือมันยังไม่ทำให้เจ้าของค่ายกลดังกล่าวรู้ตัวด้วย
บนชั้นสามของอาคารพาณิชย์คือห้องรับแขกที่พื้นที่ค่อนข้างกว้างใหญ่ การตกแต่งภายในห้องเลิศหรูแต่ก็ดูหรูหรา โกวต๋าในวินาทีนี้กำลังชันเข่าข้างหนึ่งลงไปกับพื้นอย่างเคารพนอบน้อม แล้วรายงานเรื่องราวบางอย่างต่อชายชุดแพรที่นั่งอยู่บนที่นั่งหลัก
“ท่านหัวหน้าแก๊ง ข้าน้อยไม่สามารถจับนางซูเสว่หลันชั้นต่ำนั่นกลับมาได้ ได้โปรดท่านหัวหน้าแก๊งลงโทษด้วยขอรับ”โกวต๋านำเรื่องราวที่ประสบพบเจอนอกเมืองหยุนซังบอกเล่าออกมา
อ้างอิงจากคำพูดของโกวต๋า ช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ซูเสว่หลันซ่อนตัวมาโดยตลอด ครั้งนี้กว่าจะสกัดกั้นนางไว้นอกเมืองหยุนซังได้มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่กลับนึกไม่ถึงเลยว่าจะมีชายหนุ่มชุดดำคนหนึ่งที่ลึกซึ้งจนไม่อาจคาดเดาได้โผล่ออกมากลางคัน
“เจ้าแน่ใจหรือว่าเป็นเพียงจอมยุทธ์ต่างแดนที่มีผลการฝึกตนเทพมารระดับเก้าขั้นปฐมภูมิคนหนึ่ง?”
ชายชุดแพรที่ถูกโกวต๋าเรียกขานว่าท่านหัวหน้าแก๊งอย่างเคารพนอบน้อมขมวดคิ้วลง บนดาราทงซัง มีเทพมารระดับเก้าคนหนึ่งกล้าเป็นศัตรูกับแก๊งทงซังของพวกเขาตั้งแต่เมื่อไหร่?