มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake – บทที่ 2942 เผ่าญาติวิหดเพลิง

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2942 เผ่าญาติวิหดเพลิง



ความสนใจของหลัวซิวล้วนเพ่งเล็งไปที่ตัวหยั่งรู้ของตัวเอง กำลังพิจารณาความเกี่ยวข้องระหว่างหอคอยฮวงที่สั่นเทิ้มเล็กน้อยและมกุฎเต๋าบรรพฮวง

ต่อให้เขาจะไม่ได้สังเกตลาดเลารอบกาย แต่เมื่อสตรีงามเพริศพริ้งคนหนึ่งปรากฏในละแวกใกล้เคียง ตัวสำนึกที่พเนจรอยู่ด้านนอกของหลัวซิวก็สัมผัสออร่าของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างว่องไวและเฉียบแหลมอยู่ดี

“เยว่เอ๋อร์ ระวัง!”

ทันใดนั้นเอง สีหน้าของหลัวซิวก็เปลี่ยนไป เนื่องจากมีมือใหญ่เพลิงอัคคีข้างหนึ่งปรากฏกะทันหัน แล้วขยำมาทางเหยียนเยว่เอ๋อร์ที่อยู่ข้างกายเขาโดยตรง

“โครม!”

พลังออร่าที่บ้าระห่ำพรั่งพรูออกมาจากตัวหลัวซิว ภายใต้ผลกระทบจากพลังออร่าที่บ้าระห่ำนี้ ทำให้อนัตตาที่อยู่รอบ ๆ แตกร้าวและพังทลายลงไป

แสงเซียงดวงหนึ่งพุ่งทะยานขึ้นฟ้า เหมือนดั่งดาบกระบี่ เฉือนสับมือใหญ่เพลิงอัคคีที่ขยำมาทางเหยียนเยว่เอ๋อร์จนแตกสลาย

หลัวซิวสัมผัสได้ว่าเหยียนเยว่เอ๋อร์กำลังกุมมือตัวเองเอาไว้แน่น ๆ มีความประหม่าปรากฏบนใบหน้านางเล็กน้อย เห็นได้ชัดเจนเลยว่าหากไม่ใช่เพราะหลัวซิวสังเกตได้ทันท่วงที นางคงถูกฝ่ายตรงข้ามจับกุมไปตั้งนานแล้ว

เฟิ่งจิ่นมองหลัวซิวด้วยความตะลึงงันเล็กน้อย เดิมทีตัวนางก็เป็นผู้แข็งแกร่งแดนผู้สูงส่งอยู่แล้วนะ แม้นจะเป็นพลังโจมตีที่ปลดปล่อยออกไปอย่างสบายมือ ก็ไม่ใช่สิ่งที่มหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อคนหนึ่งสามารถต้านทานได้

“ตาย!”

หลัวซิวกัดฟันแน่นพลางพูดอย่างเยือกเย็น ภายในแววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตสังหารที่รวดเร็วและดุดัน

หากฝ่ายตรงข้ามจู่โจมตน บางทีจิตสังหารของหลัวซิวอาจไม่รุนแรงเช่นนี้ แต่ฝ่ายตรงข้ามถึงกับลงมือต่อเยว่เอ๋อร์ที่อยู่ข้างกายเขา ซึ่งเท่ากับได้แตะต้องขีดจำกัดของเขาแล้ว

ทันทีที่มีความตะลึงปรากฏบนใบหน้าเฟิ่งจิ่น เงาร่างของหลัวซิวก็เทเลพอร์ตปรากฏตรงหน้านางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากนั้นกำปั้นของหลัวซิวก็ม้วนซัดลงมา ภายใต้การกดอัดอัดของกำปั้นนี้ ทำให้มีเสียงแตกร้าวดังมาจากปริภูมิที่อยู่รอบ ๆ เศษปริภูมิที่นับไม่ถ้วนลอยขึ้น ประกอบเป็นลักษณะของระลอกคลื่นลูกหนึ่ง แล้วพันธนาการอยู่บนกำปั้นของหลัวซิว

ในฐานะที่เป็นผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่ง เฟิ่งจิ่นตอบสนองกลับมาได้ภายในพริบตา เห็นเพียงนางยกมือโบกครั้งหนึ่ง แสงไฟสองดวงจึงบินออกไป พุ่งชนเข้ากับกำปั้นของหลัวซิว

ตู้มม!

พลังควันหลงที่บ้าระห่ำม้วนซัดออกไป มีพลังที่เกะกะระรานระเบิดออกมาจากแสงไฟสองดวงที่เฟิ่งจิ่นปล่อยออกไป พลังนี้แม้แต่ตัวหลัวซิวเองก็ต้านทานได้ยากมาก ก่อนที่ร่างกายจะกระเด็นออกไปอย่างควบคุมไม่ได้

ส่วนเฟิ่งจิ่นกลับถอยหลังเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น ก็ทลายพลังโจมตีในกำปั้นของหลัวซิวได้แล้ว

“ผู้สูงส่งช่วงปลาย!”

หลัวซิวทรงตัวให้นิ่ง รูม่านตาหดลงกะทันหัน เขานึกไม่ถึงเลยว่าตัวเองยังไม่ได้เข้าสู่ห้วงดาราโลกร้าง ก็ได้ประสบพบเจอกับการจู่โจมของผู้แข็งแกร่งผู้สูงส่งช่วงปลายคนหนึ่งแล้ว

ส่วนผู้ที่ตะลึงมากกว่ากลับเป็นเฟิ่งจิ่น นางสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนเลยว่าชายหนุ่มชุดดำที่ประมือกับตัวเอง ผลการฝึกตนของเขาไม่มีทางบรรลุถึงแดนผู้สูงส่งอย่างแน่นอน และเป็นเพราะเหตุนี้นี่เองถึงทำให้นางรู้สึกตะลึงงันมากกว่าเดิม

ต้องท้าวความก่อนว่าผลการฝึกตนของนางคือผู้สูงส่งช่วงปลาย อย่าว่าแต่มหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อเลย ต่อให้เป็นผู้สูงส่งขั้นปฐมภูมิและช่วงกลาง ก็ไม่กล้าต่อกรกับตัวเองโดยตรง ส่วนชายหนุ่มที่แม้แต่ผู้สูงส่งยังบรรลุไม่ถึงกลับทำเช่นนั้นได้ คนประเภทนี้ต้องเป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะอย่างแน่นอน อนาคตหากคนประเภทนี้สามารถย่างกรายสู่แดนผู้สูงส่ง แล้วคู่ต่อสู้ทั้งปวงที่อยู่ต่ำกว่าประมุขเต๋า จักยังมีผู้ใดที่เป็นคู่ต่อสู้ของเขาอีก?

ถึงแม้เมื่อครู่เฟิ่งจิ่นจะไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดของตัวเองก็ตาม แต่นางก็สามารถสัมผัสได้อยู่ว่าชายหนุ่มชุดดำคนนี้ก็มีการออมแรงเช่นกัน นางคาดการณ์ว่าแม้นตนจักเป็นผู้สูงส่งช่วงปลาย มากสุดก็แค่สามารถสยบฝ่ายตรงข้าม หากต้องการสังหารคนดังกล่าวนั้น คาดว่าน่าจะไม่มีทางเป็นไปได้

และสำหรับอัจฉริยะที่มีศักยภาพในการเจริญเติบโตเช่นนี้นั้น ทันทีที่ผูกอาฆาตแล้วไม่สามารถสังหารฝ่ายตรงข้ามได้ละก็ อนาคตเกรงว่าตนคงจะอยู่ไม่สุขแล้วล่ะ

“โปรดฟังข้าพูดอะไรก่อนได้หรือไม่?”เฟิ่งจิ่นไม่ได้ลงมือต่อ แต่เป็นการตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากถาม

“ทำไม? เจ้าจะกำชับคำสั่งเสียอะไรหรือ?”หลัวซิวทำเสียงหึอย่างเยือกเย็นทีหนึ่ง จิตสังหารที่อยู่บนตัวไม่ได้ลดน้อยลงเลยแม้แต่น้อย

“หรือเจ้าคิดว่าตัวเองสามารถสังหารข้าได้จริง ๆ?”ใบหน้าของเฟิ่งจิ่นก็หม่นหมองลงไปเช่นกัน นางยอมรับว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นจอมยุทธ์ที่ไม่ธรรมดาคนหนึ่ง แต่หากบอกว่าสามารถสังหารตัวเองได้นั้น นางกลับไม่เชื่อ

“จู่ ๆ เจ้าก็ลงมือต่อข้าอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง ไม่ว่าจะสามารถสังหารเจ้าได้หรือไม่ได้ ข้าก็จะพยายามลองดูอย่างสุดกำลังสามารถ”หลัวซิวแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็นพลางตอบกลับ

ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น ร่างกายของหลัวซิวก็หายวับไปกับที่อีกครั้ง สำหรับหลัวซิวแล้ว ตั้งแต่วินาทีที่ฝ่ายตรงข้ามลงมือต่อเหยียนเยว่เอ๋อร์อย่างไร้เหตุผล ทั้งสองฝ่ายก็ไม่มีพื้นที่ที่สามารถปรับความเข้าใจกันได้อีกแล้ว

แต่ทว่าในขณะเดียวกันหลัวซิวก็รู้สึกสงสัยเช่นกัน เหตุใดสตรีนางนี้จึงต้องจับกุมตัวเหยียนเยว่เอ๋อร์?

แม้จะสงสัยมากก็ตาม แต่หลัวซิวกลับไม่มีความคิดที่จะสอบถาม ต่อให้จะถามก็ต้องรอเขาอบรมสั่งสอนฝ่ายตรงข้ามก่อน ค่อยว่ากันอีกที

“ตราสรรพสิทธิ์!”

ด้วยAttrปริภูมิที่เปลี่ยนแปลงโดยอาศัยพลังเซียน หลัวซิวเทเลพอร์ตมาถึงด้านหลังเฟิ่งจิ่นภายในพริบตา วิชาตราประทับหนึ่งถูกปลดปล่อยออกไปจากฝ่ามือเขา เพียงพริบตาเดียวก็มีแสงเซียนที่ไร้ขอบเขตปะทุ วิวัฒนาการพลังอมตะหมื่นแสนออกมา

จากศักยภาพ ณ ปัจจุบันของหลัวซิว พลังอมตะวิชาหนึ่งที่ปลดปล่อยออกไปอย่างสบายมือล้วนสามารถเทียบเท่าพลานุภาพของผู้แข็งแกร่งผู้สูงส่งช่วงกลาง แต่ตราสรรพสิทธิ์กลับวิวัฒนาการพลังอมตะนับหมื่นแสนออกไปในทีเดียว อำนาจบารมีเช่นนี้ถือว่าน่าสยดสยองอย่างยิ่ง

พลังอมตะวิชานี้เป็นพลังที่เขาอนุมานริเริ่มด้วยวิถีไร้ลักษณ์ จากการที่แดนผลการฝึกตนของเขาเพิ่มขึ้น พลานุภาพของตราสรรพสิทธิ์ก็ยิ่งอยู่ยิ่งแข็งแกร่งเช่นกัน

ภายใต้การโจมตีของพลังอมตะจำนวนมาก เกราะป้องกันและอุปสรรคทั้งปวงล้วนจะถูกฉีกกระชากจนกลายเป็นฝุ่นผง

เมื่อเผชิญหน้ากับพลังอมตะเช่นนี้ สีหน้าของเฟิ่งจิ่นก็ดูเข้มงวดขึ้นมาเช่นกัน นางนึกไม่ถึงเลยว่าฝ่ายตรงข้ามจะสามารถปลดปล่อยพลังอมตะที่ทรงพลังเช่นนี้ออกมาได้ ยิ่งกว่านั้นคือมันแข็งแกร่งกว่าพลังอมตะสายเลือดที่นางยึดกุมเสียอีก

“ฮี่!”

เสียงคำรามของหงส์ที่ก้องกังวานดังขึ้นกะทันหัน เสียงคำรามหงส์ดังก้องอยู่ในห้วงดารา เงาลวงเซียนหงสาตัวหนึ่งที่ยาวหลายร้อยเมตรปรากฏด้านหลังเฟิ่งจิ่น

มีแสงเซียนที่ขมุกขมัวเป็นประกายอยู่บนตัวเซียนหงสาตัวนี้ ถึงแม้แสงเซียนดังกล่าวจะเบาบางอย่างยิ่ง แต่กลับมีท่วงเซียนเสี้ยวหนึ่งแฝงซ่อนอยู่!

โครม!

หลังจากปลดปล่อยพลังอมตะสายเลือดออกมาแล้ว เพียงพริบตาเดียวพลังออร่าของเฟิ่งจิ่นก็แข็งแกร่งขึ้นเยอะมาก เงาลวงเซียนหงสาลอยวนเวียนอยู่ด้านหลัง กงล้อเทพสิบวงลอยอยู่กลางท้องฟ้า ในช่วงจังหวะที่นางโบกมือก็มีเพลิงอัคคีที่มีท่วงเซียนปนอยู่จาง ๆ ลอยขึ้น ทำให้ห้วงดาราถูกแผดเผาจนทรุดตัวพินาศลงไปอย่างต่อเนื่อง

เมื่อเผชิญหน้ากับเฟิ่งจิ่นที่ศักยภาพพุ่งพรวด หลัวซิวก็ไม่กล้าใช้ร่างเนื้อต้านทานการแผดเผาของเพลิงอัคคีที่มีท่วงเซียนนั่นเหมือนกัน เข็มทิศสาสน์เต๋าถูกเขาเรียกออกมาลอยอยู่หลังศีรษะ พลังแห่งปริภูมิโคจร หลัวซิวใช้ร่างกายเป็นจุดศูนย์กลาง ประกอบเป็นหลุมดำระลอกคลื่นที่มีรัศมีร้อยเมตร

เมื่ออยู่ภายในขอบเขตร้อยเมตรที่ถูกหลุมดำระลอกคลื่นปกคลุม พลังโจมตีทั้งปวงล้วนจะถูกดูดกลืน ซึ่งนี่ก็คือพลังแห่งปริภูมิของเข็มทิศสาสน์เต๋า

มีการคุ้มกันจากเข็มทิศสาสน์เต๋า หลัวซิวจึงพุ่งสังหารเข้าไปข้างหน้า เพียงพริบตาเดียวก็ประมือกับเฟิ่งจิ่นไปไม่รู้ตั้งกี่หนแล้ว มีเพียงเสียงระเบิดที่น่ากลัวดังก้องอย่างไม่หยุดหย่อนอยู่ในห้วงดารา

จากการที่เวลาผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง เงาร่างของหลัวซิวถอยหลังกลับไปห้าหกก้าว มีเลือดไหลออกมาจากมุมปาก

“ดูท่าผลการฝึกตนของข้าก็ยังต่ำเกินไปอยู่ดี”

หลัวซิวใช้มือเช็ดคราบเลือดตรงมุมปากทิ้ง แค่ประมือกันครึ่งชั่วโมง เขาก็สัมผัสได้ว่าผลการฝึกตนของตัวเองหายไปเกือบครึ่ง แต่ฝ่ายตรงข้ามคือผู้สูงส่งช่วงปลาย ซึ่งมีผลการฝึกตนที่สูงกว่าเขามาก ผลการฝึกตนที่สูญเสียไปเล็กน้อยมากจนแทบจะไม่มีค่าพอที่จะให้พูดถึง

เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว แม้นหลัวซิวจะสูญเสียผลการฝึกตนมากกว่า แต่เมื่อเผชิญหน้ากับพลังโจมตีที่ดุดันของตราสรรพสิทธิ์ สถานการณ์ของเฟิ่งจิ่นก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไหร่นัก ต่อให้มีพละเซียนหงสาคุ้มกันร่าง ก็ถูกพลังอมตะโจมตีติดต่อกันไปไม่รู้ตั้งกี่รอบแล้ว จนกระอักเลือดเฮือกหนึ่ง

“เทพสังหาร!”

ทันใดนั้นเอง หลัวซิวก็โคจรตัวสำนึก ปลดปล่อยพลังอมตะโจมตีวิญญาณ

พลังโจมตีที่ไร้รูปไร้ลักษณ์ของตัวสำนึกระเบิด ราวกับประกอบเป็นดาบมารเล่มหนึ่ง แล้วผ่าสับเข้าไปในตัวหยั่งรู้ของเฟิ่งจิ่นโดยตรง

วินาทีนี้เฟิ่งจิ่นตกตะลึงมากจนหน้าถอดสี นางคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าฝ่ายตรงข้ามจะชำนาญเคล็ดวิชาวิญญาณด้วย นางยิ่งคิดไม่ถึงว่าฝ่ายตรงข้ามต่อสู้กับตัวเองมานานเช่นนี้แล้ว แต่เพิ่งจะปลดปล่อยพลังอมตะนี้ออกมาเวลานี้

อย่างไรก็ตามสิ่งที่เฟิ่งจิ่นยิ่งคิดไม่ถึงคือแม้แต่พลังอมตะเทพสังหารที่เขาปลดปล่อยออกมาในวินาที ก็ไม่ใช่ท่าไม้ตายของเขาเช่นกัน

อย่างไรเสียผลการฝึกตนของเฟิ่งจิ่นก็เป็นผู้สูงส่งช่วงปลาย ส่วนตัวสำนึกของหลัวซิวก็เทียบเท่าผู้สูงส่งช่วงปลายด้วย แม้นพลังอมตะเทพสังหารจะสามารถสร้างภัยคุกคามให้แก่เฟิ่งจิ่น แต่กลับไม่สามารถสังหารนางได้

ดังนั้นขณะที่หลัวซิวปลดปล่อยพลังอมตะโจมตีวิญญาณ เขาก็ได้เทเลอพอร์ตอีกครั้ง และท่าไม้ตายที่แท้จริงของเขาก็คือพลังอมตะที่ทรงพลังที่สุดของเขา เข้าล็อกเดิม!

ตราเข้าล็อกเดิมคือรูปแบบยกระดับของตราสรรพสิทธิ์ ถ้าเกิดบอกว่าตราสรรพสิทธิ์สามารถวิวัฒนาการพลังอมตะนับหมื่นแสน โค่นล้มคู่ต่อสู้ได้ด้วยจำนวนพลังอมตะ เช่นนั้นตราเข้าล็อกเดิมก็คือการรวมสรรพวิชาให้เป็นหนึ่ง หลอมรวมอานุภาพของพลังอมตะนับหมื่นแสนเข้าด้วยกัน แล้วกลายเป็นพลังอมตะวิชาหนึ่งที่ทรงพลังมากกว่าเดิมหลายเท่าตัว!

ตราสรรพสิทธิ์สามารถโจมตีได้เป็นพันเป็นหมื่นครั้ง แต่ทว่าพลานุภาพของทุกพลังโจมตีกลับไม่ได้แข็งแกร่งมากเท่าไหร่นัก ส่วนตราเข้าล็อกเดิมกลับแตกต่างออกไป พลานุภาพของวิชาตราประทับนี้คือพลังโจมตีที่ได้รับการยกระดับจนถึงขีดสุด ความเกะกะระรานของอานุภาพนี้ แม้แต่ตัวหลัวซิวเองก็ยังรู้สึกกลัวเลย!

“ท่านสวามี อย่าฆ่านาง”

และในเวลานี้เอง เหยียนเยว่เอ๋อร์ก็เอ่ยปากพูดกะทันหัน ทำให้หลัวซิวหยุดท่าทางประสานวิชาตราประทับลงอย่างอดไม่ได้

หากผู้พูดคือผู้อื่น หลัวซิวเบื่อที่จะไปสนใจด้วยซ้ำ แต่เยว่เอ๋อร์คือภรรยาของเขา จากความเชื่อใจของตนที่มีต่อภรรยา หลัวซิวจึงไม่ได้ปลดปล่อยตราเข้าล็อกเดิมที่ทรงพลังออกไป

ชัวะ!

หลัวซิวเทเลพอร์ตอีกครั้ง แล้วมาปรากฏข้างกายเยว่เอ๋อร์ ในขณะเดียวกันเขาก็สังเกตเห็นด้วยว่าตรงหว่างคิ้วของเยว่เอ๋อร์มีตราเพลิงอัคคีที่มีแสงเซียนเป็นประกายปรากฏ

อีกทั้งด้านหลังเยว่เอ๋อร์มีโลกาใบหนึ่งที่เกิดจากการตัดสลับกันของเพลิงอัคคี ตรงกลางของโลกาเพลิงอัคคีมีไข่หนึ่งใบที่มีแสงเซียนเข้มข้นกว่าอดีต บนเปลือกไข่มีสัญลักษณ์แสงเซียนที่ถี่ยิบปรากฏ

วินาทีนี้ หลัวซิวรู้แล้วว่าเหตุใดเยว่เอ๋อร์จึงให้ตนอย่าสังหารสตรีนางนั้น เพราะเขาสัมผัสออร่าสายเลือดที่พิเศษได้จากตัวเยว่เอ๋อร์ ซึ่งเป็นออร่าสายเลือดเหมือนออร่าที่อยู่บนตัวสตรีนางนั้นทุกประการ

แม้นผลการฝึกตนของเหยียนเยว่เอ๋อร์จะอ่อนกว่าสตรีนางนั้นไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ ทว่าออร่าสายเลือดของนางกลับเข้มข้นกว่าสตรีนางนั้นมาก ๆ

หลัวซิวนึกถึงครั้นเมื่ออยู่ในโลกแสงดาว ซึ่งก็เป็นเพราะปลุกตื่นสายเลือดหงส์โบราณนี่แหละ เยว่เอ๋อร์จึงถูกคนในเผ่าหงส์หมายตา ปัจจุบันดูท่าน่าจะเป็นเพราะเยว่เอ๋อร์ปลุกตื่นพลังสายเลือดระดับสูง ดังนั้นจึงถูกกองกำลังที่อยู่เบื้องหลังสตรีนางนั้นหมายตาไว้เช่นกัน

ผลกระทบจากพลังโจมตีวิญญาณที่มีต่อตัวหยั่งรู้ทำให้สีหน้าของเฟิ่งจิ่นขาวซีดเล็กน้อย ภายในจิตใจนางเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัว นางมั่นใจมาก ๆ ว่าเมื่อครู่หากไม่ใช่เพราะสาวน้อยที่ปลุกตื่นสายเลือดเซียนหงสานั่นบอกให้เขายั้งมือ ชายหนุ่มชุดดำคนนั้นต้องมีอุบายบางอย่างที่สร้างภัยคุกคามให้แก่ชีวิตนางได้อย่างแน่นอน

ในฐานะที่เป็นผู้แข็งแกร่งผู้สูงส่งช่วงปลายคนหนึ่ง นางไม่อยากจะเชื่อเลยว่าชายหนุ่มที่แม้แต่ผู้สูงส่งยังบรรลุไม่ถึง จักมีอุบายที่สามารถสังหารตัวเองได้ ทว่าในขณะเดียวกันสัญชาตญาณของผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งก็บอกกับนางว่า เมื่อครู่นางได้ไปเดินวนที่ประตูนรกมาแล้วรอบหนึ่งจริง ๆ

“ข้าคิดว่าระหว่างเราน่าจะมีเรื่องเข้าใจผิดกัน สาเหตุที่ข้าลงมือในทันทีนั้น ก็เพื่ออยากพาสตรีที่อยู่ข้างกายเจ้าไป เพราะนางเป็นเฉกเช่นเดียวกับข้า ต่างปลุกตื่นสายเลือดของเผ่าญาติวิหดเพลิง”

เฟิ่งจิ่นสงบสติอารมณ์ ก่อนจะอธิบายกับหลัวซิวและเหยียนเยว่เอ๋อร์ทั้งสองคน

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

None

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท