ตลอดช่วงเวลาครึ่งปีที่ผ่านมา หลัวซิวสืบเสาะเบาะแสของพวกต้วนคงมาโดยตลอด ทว่ากลับไม่มีความคืบหน้าอะไรตลอดมา
เมืองต้าฮวงโบราณล่มสลายไปแล้ว ชนเผ่าฮวงที่เก่าแก่กลายเป็นประวัติศาสตร์ แดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นสุดยอดทั้งสองอย่างตระกูลเทียนฮวงรวมไปถึงอาณากระบี่หวูจี๋ก็กลายเป็นซากปรักหักพัง ราวกับประวัติศาสตร์ของทั้งห้วงดาราโลกร้างเข้าสู่ยุคสมัยใหม่
แท้จริงแล้วเกมการพนันของผู้แข็งแกร่งที่อยู่ส่วนยอดของพีระมิด ไม่ค่อยมีผลกระทบต่อจอมยุทธ์ที่อยู่ฐานพีระมิดมากเท่าไหร่นัก ภายใต้การกดอัดจากพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ เหล่าสำนักตระกูลที่เคยพึ่งพิงชนเผ่าฮวง ตระกูลเทียนฮวงรวมไปถึงอาณากระบี่หวูจี๋ก็ทำได้เพียงไปขอที่พึ่งจากกองกำลังที่เพิ่งเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาใหม่
พวกต้วนคงล้วนมีความเกี่ยวข้องกับอาณากระบี่หวูจี๋ การที่หลัวซิวสืบเสาะเบาะแสของพวกเขาอยู่ในโลกร้าง มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างอันตรายอย่างไร้ข้อสงสัยเลย เนื่องจากเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็มีโอกาสถูกมองว่าเป็นกากเดนของอาณากระบี่หวูจี๋สูงมาก
แม้จะอันตรายก็ตาม ทว่าหลัวซิวก็ต้องทำอยู่ดี ดังนั้นเมื่อเขาได้รับเบาะแสบางอย่างมา จึงรีบเร่งเดินทางไปทันที
เมืองเฟยฮวงเป็นคูเมืองที่เพิ่งก่อสร้างขึ้นมาใหม่ในโลกร้าง ซึ่งเข้ามาทดแทนตำแหน่งเดิมของเมืองต้าฮวงโบราณ ภายในห้องที่นั่งพิเศษบนชั้นสองของภัตตาคารแห่งหนึ่ง หลัวซิวได้พบกับสตรีที่ท่าทางอ่อนช้อยและมีเสน่ห์คนหนึ่ง
สตรีคนดังกล่าวดูมีอายุประมาณ 30 กว่า ร่างกายอุดมสมบูรณ์ สัดส่วนสมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ติ เสื้อผ้าหน้าผมก็ดูค่อนข้างชิลล์สบาย สวยต้องมนต์
“ได้ยินมาว่าเจ้ากำลังสืบเสาะคนเหล่านี้อยู่หรือ?”
ทันทีที่หลัวซิวเข้าไปภายในห้องพิเศษ สตรีที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็เอ่ยปากถามเข้าประเด็นโดยตรง นางโบกมือทีหนึ่ง ใช้แรงเต๋าแปลงรูปร่างลักษณะของคนกลุ่มหนึ่งออกมา
ในเมื่อหลัวซิวจะสืบเสาะเบาะแสของพวกเขา หลัวซิวย่อมต้องมีม้วนหยกที่มีรูปร่างลักษณะของพวกต้วนคงสลักอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้เมื่อเห็นกิริยาท่าทางดังกล่าวของฝ่ายตรงข้าม จึงไม่ได้ทำให้หลัวซิวรู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด
“ใช่ ได้ยินมาว่าเจ้ามีเบาะแสหรือ?”
การที่หลัวซิวสามารถพบหน้าสตรีนางนี้ที่นี่ได้นั้น ย่อมต้องมีคนกลางอยู่แล้ว ซึ่งคนกลางที่กล่าวถึงแท้จริงแล้วก็มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับสื่อกลาง หลัวซิวเป็นผู้นำข้อมูลของบุคคลที่ตนจะตามหาฝากฝังให้ผู้อื่นจัดการ
“เบาะแสน่ะ สามารถพูดได้เลยว่าทั้งมีและไม่มี”สตรีสวยยั่วยวนยิ้ม ริมฝีปากที่แดงก่ำโค้งงามได้รูปอย่างมีเสน่ห์
“ผู้เพื่อนยุทธ์กำลังล้อเล่นกับข้าหรือ?”เห็นได้ชัดเจนเลยว่าคำตอบที่กำกวมของฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถทำให้หลัวซิวรู้สึกพึงพอใจได้
ภายใต้กระแสสัมผัสตัวสำนึกของเขา แม้นสตรีคนนี้จะเก็บออร่าผลการฝึกตนเข้าไปแล้ว แต่หลัวซิวก็ยังสามารถดูออกได้อยู่ว่าอย่างน้อยผลการฝึกตนของฝ่ายตรงข้ามก็ไม่ต่ำกว่าระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อ ยิ่งกว่านั้นคืออาจสูงกว่านี้ก็เป็นได้
ต้องท้าวความก่อนว่าผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อเป็นต้นไปมันไม่ได้หากันง่าย ๆ เลยนะ การที่ฝ่ายตรงข้ามปรากฏที่นี่ ก็ทำให้หลัวซิวระแวดระวังขึ้นมาแล้ว
“แน่นอนอยู่แล้วว่าข้าไม่ได้ล้อเล่นกับเจ้า ข้าไม่รู้ว่ากลุ่มคนที่เจ้าจะตามหาอยู่ที่ใด แต่กลับรู้อยู่ว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่ ไม่ทราบว่าคำตอบนี้สามารถทำให้เจ้าพึงพอใจได้หรือไม่?”สตรีสวยยั่วยวนตอบกลับ
“อีกอย่าง ถ้าเกิดข้าเดาไม่ผิดละก็ สภาพ ณ วินาทีของเจ้าไม่ใช่โฉมหน้าที่แท้จริงของเจ้าสินะ? กลุ่มคนที่เจ้าต้องการตามหาล้วนมีความเกี่ยวข้องกับผู้ที่มีนามว่าหลัวซิว เช่นนั้นข้าควรก็จะเรียกแทนเจ้าว่าท่านชายหลัวหรือเปล่า?”
สตรีสวยยั่วยวนอมยิ้ม คำพูดที่นางพูดออกมาเป็นอะไรที่น่าทึ่งมาก
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
หลัวซิวนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของสตรีคนดังกล่าว สำหรับเรื่องที่ตัวตนของตัวเองถูกเปิดเผยนั้น สีหน้าอารมณ์เขากลับดูไม่ตะลึงและลนลานเลยแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้ามกลับยังคงเรียบนิ่งสุขุมอยู่เหมือนเคย
เหมือนอย่างที่สตรีนางนี้กล่าวมา สำหรับกลุ่มคนที่เขาต้องการตามหานั้น ขอให้เป็นคนที่ละเอียดรอบคอบก็ล้วนแต่จะสังเกตได้ว่าพวกเขาล้วนมีความเกี่ยวข้องกับเขา เช่นนั้นการที่ฝ่ายตรงข้ามสามารถนึกโยงมาถึงตัวตนของตัวเองได้นั้น มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
“โอ๊ะ? เจ้าไม่กลัวหรือ? โลกร้างในปัจจุบันอยู่ภายใต้การควบคุมของสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนหวงและเผ่ามังกรไท่ชูเชียวนะ อ้างอิงจากข้อมูลที่ข้าทราบ เจ้าเป็นหนึ่งในอัจฉริยะวิถีเซียนที่กองกำลังใหญ่ทั้งสองประกาศจับ”สตรีสวยยั่วยวนหรี่ตาลง เมื่อเห็นว่าสีหน้าอารมณ์ของหลัวซิวยังคงสุขุมเรียบนิ่งอยู่เช่นเคย จึงทำให้นางรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้
“ดูท่าเจ้าทราบเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับข้าเยอะมาก เจ้ารู้จักข้า แต่ข้ากลับไม่รู้จักเจ้า ยังไม่ได้ถามเลยว่าแม่นางชื่ออะไรหรือ?”หลัวซิวยิ้มอ่อนอย่างยี่หระ
“แม่นาง? พ่อคุ๊ณข้าดูเหมือนสาวน้อยคนหนึ่งหรือ?”นึกไม่ถึงเลยว่ารอยยิ้มของสตรีสวยยั่วยวนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามจะหายวับไปกะทันหัน ถลึงตาพลางพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์
“แล้วข้าควรเรียกแทนเจ้าว่าอะไร? วีรสตรี? ผู้เพื่อนยุทธ์? พี่สาว? หรือเรียกเจ้าว่าย่าน้อย?”หลัวซิวพูดหยอกล้ออย่างหาพบได้ยาก
เพราะเขาสัมผัสเจตนาร้ายจากตัวสตรีคนนี้ไม่ได้
“เจ้านี่มัน ทำแค่พอเหมาะพอควรก็ควรหยุดได้แล้วกระมัง?”
สตรีสวยยั่วยวนตบโต๊ะแล้วลุกพรวดขึ้นมา “อย่าลืมนะว่าเจ้ายังเป็นหนี้บุญคุณข้า!”
เมื่อนางเป็นฝ่ายพูดประโยคนี้ออกมาด้วยตนเอง รูม่านตาของหลัวซิวก็หดลงเล็กน้อย ภายในใจทราบแล้วว่าสตรีที่อยู่ฝั่งตรงข้ามคือผู้ใด
เขาไม่เคยเห็นหน้าสตรีคนดังกล่าวมากก่อนจริง ๆ แต่กลับเคยเห็นบุคลิกลักษณะครั้นเมื่อนางยังเป็นเด็กอยู่
“เหอะ ๆ ที่แท้ก็คือเทพธิดาหยุนเซวียนนี่เอง”
หลัวซิวบอกตัวตนของฝ่ายตรงข้ามออกมาภายในคำพูดเดียว
“หึ เจ้าเพิ่งรู้รึ?”สตรีที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเบ้ปาก ใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความไม่พอใจ
“ผ่านไปหลายปี เทพธิดาเติบโตขึ้นมาไม่น้อยเลยนะ”
หลัวซิวยิ้วพลางพูดหยอกล้ออีกประโยคหนึ่ง ในเมื่อทราบตัวตนของฝ่ายตรงข้ามแล้ว เขาจึงรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาไม่น้อยเลย เนื่องจากตั้งแต่วินาทีแรกที่เขาเจอเทพธิดาหยุนเซวียน ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้แสดงเจตนาร้ายใด ๆ ต่อเขา
ทว่าหลัวซิวกลับนึกไม่ถึงเลยว่าหลังจากที่เทพธิดาหยุนเซวียนเติบโตแล้ว นางจะกลายเป็นสตรีที่เร่าร้อนมีความเป็นผู้ใหญ่เช่นนี้ โฉมหน้าของนางไม่ด้อยกว่าเสิ่นปิงหยู ฉียู่หรงแล้วก็พวกเยว่เอ๋อร์ ซีโรว่ แต่กลับมีความโตเป็นผู้ใหญ่และน่าดึงดูดกว่าพวกนาง
“หึ เจ้ากล้าหาญไม่เบาเลยนี่ แม้แต่ข้าเจ้าก็กล้าหยอกล้อ”
เทพธิดาหยุนเซวียนเชิดอก หน้าอกทั้งสองลูกจึงเด้งขึ้นมาทันที นางคงอยู่มาไม่รู้กี่ยุคตรีภพ ซึ่งไม่มีการสงบเสงี่ยมดั่งสตรีทั่วไปแล้ว ต้องท้าวความก่อนว่านางเป็นผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในยุคสมัยเดียวกันกับมกุฎเต๋าทั้ง 14 เชียวนะ
หลัวซิวไม่ทราบเรื่องเหล่านี้ เขารู้แค่ว่าความเป็นมาของเทพธิดาหยุนเซวียนไม่ธรรมดา
“ข้ากล้าหาญมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว อดีตไม่เคยมีคนหยอกล้อเจ้ามาก่อนเลยรึ?”หลัวซิวเทเหล้าให้ตัวเองหนึ่งแก้ว พลางพูดประเด็นที่ไร้สาระ แต่ภายในใจเขากลับอยากทราบมากกว่าว่าเหตุใดเทพธิดาหยุนเซวียนจึงมาหาตัวเอง
“เหลวไหล! มีแต่ข้าเท่านั้นแหละที่หยอกล้อผู้อื่น! ผู้ใดบังอาจหยอกล้อข้า ก็ล้วนจะถูกกระทืบจนขาทั้งสามข้างหัก!”
เทพธิดาหยุนเซวียนถลึงตา จากนั้นนางก็ใช้มือกระชากคอเสื้อหลัวซิวกะทันหัน ความเร็วในการเคลื่อนที่รวดเร็วจนเห็นแค่เศษเงา ทำให้คนตอบสนองกลับมาไม่ทัน
หากเปลี่ยนเป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อคนอื่น คงต้านทานไม่ไหวแน่นอน ทว่าหลัวซิวกลับดื่มเหล้าไปพลาง ๆ โบกมือซ้ายครั้งหนึ่ง ก็ต้านทานมือของเทพธิดาหยุนเซวียนเอาไว้ได้แล้ว
“ปั้ง!”
เมื่อฝ่ามือของทั้งสองปะทะเข้าด้วยกัน ก็มีเสียงปั้งดังขึ้น ร่างกายที่งดงามของเทพธิดาหยุนเซวียนกระพริบทีหนึ่ง ก่อนจะกลับมานั่งบนที่นั่งฝั่งตรงข้ามอีกครั้ง ราวกับเมื่อครู่ไม่มีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นยังไงอย่างนั้น
ทั้งสองต่างควบคุมพลังได้ถึงขั้นที่ประณีตสวยวิจิตรอย่างยิ่ง ภายใต้การปะทะในเมื่อครู่นี้ ไม่ได้ทำให้พลังควันหลงใด ๆ กระเพื่อมออกไปแต่อย่างใด มากไปกว่านั้นคือแม้แต่อากาศบริเวณรอบ ๆ ก็ยังไม่สะทกสะท้านเลย พอจะพูดได้เลยว่าการควบคุมพละกำลังบรรลุถึงขั้นสูงสุดเลย
“โอ๊ะ? เจ้าไม่ธรรมดาเลยนี่ ฝึกตนเร็วเช่นนี้เลยอย่างนั้นหรือ?”
เทพธิดาหยุนเซวียนมองหลัวซิวด้วยแววตาที่แปลกใจเล็กน้อยรอบหนึ่ง นางจำได้อยู่ว่าครั้นเมื่อผลการฝึกตนของตัวเองเพิ่งฟื้นฟูกลับไปถึงแดนมกุฎเทพหกกงล้อ เหมือนเจ้าหมอนี่ยังบรรลุไม่ถึงราชาเทพห้ากงล้อด้วยซ้ำ นี่เพิ่งผ่านไปแค่ไม่กี่ปีเอง ผลการฝึกตนของเจ้าหมอนี่ก็สามารถเทียบเคียงกับตัวเองได้แล้วอย่างนั้นหรือ?
ไม่เพียงแค่เทพธิดาหยุนเซวียนเท่านั้นที่รู้สึกแปลกใจ ภายในจิตใจหลัวซิวก็รู้สึกตะลึงเล็กน้อยเช่นกัน เพราะจากการประมือในเมื่อครู่นี้ เขาพบว่าผลการฝึกตนของเทพธิดาหยุนเซวียนนี่ก็อยู่ที่มหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อขั้นสูงเหมือนกัน
เมื่ออยู่ภายใต้แดนเดียวกัน หลัวซิวยังไม่เคยเจอคู่ต่อสู้ที่สามารถต้านทานกระบวนท่าหนึ่งของตัวเองได้ ส่วนผลการฝึกตนของเทพธิดาหยุนเซวียนนี่กลับอยู่ในระดับเดียวกันกับตัวเอง ไม่นึกเลยว่าศักยภาพจะแตกต่างจากตัวเองเพียงเล็กน้อย ซึ่งนี่ก็หมายความว่าเทพธิดาหยุนเซวียนที่มีผลการฝึกตนมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อขั้นสูง ก็สามารถข้ามขั้นต่อกรกับผู้แข็งแกร่งผู้สูงส่งได้เหมือนกันมิใช่หรือ?
“เทพธิดาก็ไม่เลวเช่นกัน”หลัวซิวยิ้มตาหยีพลางพูด
“หึ เจ้าอย่าเพิ่งได้ใจไปหน่อยเลย ครั้นเมื่ออยู่ในดินแดนนอกนภา เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าเจ้าสัญญาอะไรกับข้าไว้?”เทพธิดาหยุนเซวียนเบ้ปาก จู่ ๆ นางก็เป็นฝ่ายเปลี่ยนประเด็นเอง
เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว หัวใจหลัวซิวก็สั่นไหวขึ้นมา ทว่าความรู้สึกบนใบหน้ากลับไม่มีการเปลี่ยนแปลง ยิ้มพลางผงกหัวพลางพูด: “ข้าน้อยย่อมต้องจำได้อยู่แล้ว”
การที่เขาสามารถซ่อมแซมฟื้นฟูฮู้เทวชิงเทียนได้นั้น ก็เป็นเพราะได้รับชิ้นส่วนสุดท้ายมาจากมือเทพธิดาหยุนเซวียนนี่แหละ จากศักยภาพเมื่อครานั้นของเทพธิดาหยุนเซวียน นางสามารถแก่งแย่งไปจากมือเขาได้อย่างง่ายดายเลย แต่นางกลับไม่ทำเช่นนั้น เพราะฉะนั้นแล้วเมื่อมองจากคุณค่าบางอย่าง หลัวซิวได้เป็นหนี้ฝ่ายตรงข้ามอยู่ครั้งหนึ่ง
วินาทีนี้เมื่อเทพธิดาหยุนเซวียนเป็นฝ่ายพูดถึงเรื่องนี้ด้วยตนเอง หลัวซิวก็รู้แล้วว่าถึงเวลาที่ตนควรตอบแทนหนี้บุญคุณนี้แล้ว
“ในฐานะที่เห็นว่าเจ้ายังถือว่ารักษาในคำมั่นสัญญาอยู่ เช่นนั้นข้าก็จะบอกเรื่องราวบางอย่างให้เจ้าทราบด้วยความหวังดีหน่อยก็แล้วกัน”เมื่อเทพธิดาหยุนเซวียนเห็นว่าหลัวซิวผงกหัว จึงมีรอยยิ้มที่พึงพอใจปรากฏบนใบหน้า
“ก่อนอื่นต้องบอกข่าวร้ายเรื่องหนึ่งให้เจ้าฟังก่อน นั่นก็คือขณะที่อาณากระบี่หวูจี๋ถูกล้มล้าง กลุ่มเทพมารที่เป็นเบื้องล่างเจ้าบาดเจ็บและเสียชีวิตไม่น้อย แต่ทว่าคนชื่อต้วนคงที่มีผลการฝึกตนประมุขเต๋านั่นยังไม่ตาย เขาพาคนส่วนน้อยที่เหลือรอด หนีออกไปจากห้วงดาราโลกร้างภายใต้การคุ้มครองจากอาจารย์มกุฎเต๋าหวูจี๋ของเจ้า”
เมื่อเห็นว่าหลัวซิวกำลังจะเอ่ยปากพูด เทพธิดาหยุนเซวียนก็โบกมือแล้วพูดโดยตรงว่า “ข้ารู้ว่าผู้ที่เจ้าเป็นห่วงมากที่สุดคือพวกคนรู้ใจของเจ้า แต่ต้องบอกกับเจ้าอย่างโชคร้ายว่า……”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เทพธิดาหยุนเซวียนก็หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง มีความโศกเศร้าเสี้ยวหนึ่งปรากฏบนใบหน้า จึงทำให้หัวใจของหลัวซิวดิ่งลงไปทันที
“พวกนางยังมีชีวิตอยู่”
เทพธิดาหยุนเซวียนหัวเราะฮ่าฮ่าเสียงดัง เห็นได้ชัดเจนเลยว่าสีหน้าโศกเศร้าในเมื่อครู่นี้เป็นเพียงการแสดง
“ข้าว่าเจ้าก็เพลา ๆ หน่อยเถิด อย่างไรซะก็เป็นผู้แข็งแกร่งที่คงอยู่มาหลายยุคตรีภพแล้ว ไม่นึกเลยว่าจะเล่นลูกไม้ปัญญาอ่อนเช่นนี้อีก”
หลัวซิวรู้สึกหมดคำจะพูดมากถึงมากที่สุดเลย เมื่อครู่เขาก็คิดว่าเป็นเรื่องจริงไปแล้วซะอีก
แต่นี่ก็ถือเป็นข่าวดีเรื่องหนึ่งจริง ๆ ในเมื่อพวกนางยังมีชีวิตอยู่ เช่นนั้นเมื่ออยู่ภายใต้การคุ้มครองของต้วนคง การที่พวกนางจะหลบหนีออกไปจากห้วงดาราของโลกร้าง น่าจะไม่มีปัญหาอะไร
ส่วนการตายและบาดเจ็บของกองทัพเทพมารนั้น หลัวซิวก็ไม่ได้นำมาใส่ใจมากเท่าไหร่นัก ไม่เคยไม่มีคนไม่ตายอยู่ภายใต้การเข่นฆ่าและต่อสู้ระหว่างจอมยุทธ์ แท้จริงแล้วแม้แต่ตัวหลัวซิวเองก็เตรียมใจเผชิญหน้ากับความตายได้ตั้งนานแล้ว
ในขณะเดียวกัน หลัวซิวก็สังเกตได้อีกด้วยว่าภายในคำพูดในเมื่อครู่นี้ของเทพธิดาหยุนเซวียน ได้กล่าวถึงเรื่องราวของมกุฎเต๋าหวูจี๋
เห็นได้ชัดเจนเลยว่านางรู้อยู่ว่ามกุฎเต๋าหวูจี๋คืออาจารย์ของตัวเอง
ดูเหมือนสตรีที่อยู่ฝั่งตรงข้ามจะทราบความในใจหลัวซิว นางจึงยิ้มอย่างมีเสน่ห์พลางพูด: “ครั้นเมื่ออยู่ในแดนเซียนนอกนภา เจ้าก็น่าจะเคยเห็นภาพฉากที่ราชาเซียนธรรมกถาแล้ว แม้นข้าจักไม่ใช่หนึ่งในทั้ง 14 คนนั้น แต่ข้ากลับมีตัวตนหนึ่งที่เจ้าไม่มีทางคาดคิดได้แน่นอน”
หลัวซิวหรี่ตาลง เขารู้สึกสงสัยมากจริง ๆ ว่าตกลงตัวตนของนางเป็นอย่างไรกันแน่