มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake – บทที่ 2945 ดักโจมตีผู็แกร่งเลิศ

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2945 ดักโจมตีผู็แกร่งเลิศ



“เจ้าแน่ใจหรือว่าเราสองคนร่วมมือกันแล้วจะสามารถกำจัดผู้แกร่งเลิศคนหนึ่งได้?”

หลัวซิวคิดได้แล้วว่าตัวเองต้องชดใช้หนี้บุญคุณเมื่อครั้นนั้น แต่กลับนึกไม่ถึงเลยว่าเงื่อนไขที่เทพธิดาหยุนเซวียนเสนอคือจะให้เขาไปจัดการคู่ต่อสู้ระดับผู้แกร่งเลิศคนหนึ่ง

แม้จะอยู่ในแดนผู้สูงส่งเหมือนกัน แต่ผู้แกร่งเลิศคือผู้สูงส่งขั้นสูงเชียวนะ เป็นผู้แข็งแกร่งที่แทบจะก้าวขาข้างหนึ่งเข้าไปยังระดับประมุขเต๋าแล้ว ต่อให้หลัวซิวจะมีความมั่นใจในตัวเองมากเพียงใด ด้วยผลการฝึกตนมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อขั้นสูงในปัจจุบัน ยังพอถูไถเทียบเคียงกับผู้สูงส่งช่วงปลายได้ หากได้ปะทะกับผู้แกร่งเลิศแล้ว ต้องไม่มีโอกาสที่สามารถชนะได้อย่างแน่นอน

ส่วนการใช้พลังแห่งเซียนที่อยู่ในขวดเซียนอัคคีหลอมจิตนั้น หลัวซิวกลับไม่ได้คำนึงถึงด้านนี้เลย เพราะการใช้พลังแห่งเซียนจัดการผู้แกร่งเลิศคนหนึ่ง มันเป็นการกระทำที่สิ้นเปลืองชัด ๆ

“เจ้ากลัวแล้วหรือ?”เทพธิดาหยุนเซวียนเหล่ตามองหลัวซิว

“ก็ไม่ถึงขั้นกลัวหรอก ลำดับแรกคือเจ้าต้องอธิบายให้ข้าเข้าใจก่อนว่าจุดประสงค์ในการทำเช่นนี้ของเจ้าคืออะไร? แล้วเจ้ามีความมั่นใจต่อเรื่องนี้มากเท่าไหร่?”หลัวซิวทำท่ายักไหล่พลางถาม

“เจ้าผนึกรวมพลังเซียนออกมาได้แล้ว เช่นนั้นจากผลการฝึกตนมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อขั้นสูงของเจ้า ภายใต้สภาวะที่ทุ่มสุดกำลังสามารถ สามารถปลดปล่อยกำลังรบที่เทียบเท่าผู้สูงส่งช่วงปลายออกมาได้ ผู้สูงส่งช่วงปลายสองคนจัดการผู้สูงส่งขั้นสูงคนหนึ่ง บวกกับมีการวางแผนล่วงหน้า ไม่ว่าอย่างไรอัตราสำเร็จก็ไม่ต่ำกว่าห้าส่วนแน่นอน”

เทพธิดาหยุนเซวียนทัดผมไว้หลังหู “ต่อให้เราสองคนจะสู้ไม่ไหว แต่ถ้าจะหลบหนีละก็ มันก็หยุดยั้งข้าและเจ้าเอาไว้ไม่ได้”

หากอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่หลัวซิวยังไม่ทราบตัวตนของเทพธิดาหยุนเซวียน เขาต้องไม่มีทางเห็นด้วยกับแผนการของเทพธิดาหยุนเซวียนแน่นอน แม้นเขาจะมั่นใจในศักยภาพของตัวเอง แต่กลับไม่คิดว่าเทพธิดาหยุนเซวียนจะมีกำลังรบที่สามารถเทียบทัดตัวเองได้

แต่หลัวซิวนึกไม่ถึงเลยว่าความเป็นมาของเทพธิดาหยุนเซวียนนี่จะยิ่งใหญ่เช่นนี้ ผลการฝึกตนอยู่ในระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อขั้นสูงเหมือนกัน ดูเหมือนเทพธิดาหยุนเซวียนที่มีอุปนิสัยตรงไปตรงมานี่จะมีศักยภาพที่เทียบทัดผู้สูงส่งช่วงปลายจริง ๆ หรืออาจจะแข็งแกร่งกว่านั้นก็เป็นได้

จวบจนปัจจุบัน สามารถพูดได้เลยว่านางเป็นคนแรกที่ทำให้หลัวซิวรู้สึกว่าเป็นผู้ที่สามารถเทียบทัดตนเองได้เมื่ออยู่ในแดนเดียวกัน

ส่วนตัวตนที่แท้จริงของเทพธิดาหยุนเซวียนนั้น……นางก็คือบุตรสาวแห่งราชาเซียน!

ราชาเซียนที่กล่าวถึงในที่นี้ ก็คือราชาเซียนที่ชี้แนะการฝึกตนให้แก่พวกมกุฎเต๋าหวูจี๋ทั้ง 14 ในยุคต้าเหยียนนั่นเอง

ราชาเซียนชี้แนะการเพ็ญตนให้พวกเขา แต่กลับไม่เคยรับพวกเขาเป็นศิษย์อย่างแท้จริงมาก่อน แต่ทว่าต่อมาพวกมกุฎเต๋าหวูจี๋แค่แสดงตัวเป็นศิษย์ของราชาเซียนเท่านั้นเอง

ส่วนเทพธิดาหยุนเซวียนกลับแตกต่างกัน นางเป็นบุตรสาวของราชาเซียน ซึ่งได้รับการถ่ายทอดสืบสานที่แท้จริงของราชาเซียน นางได้สืบทอดสายเลือดของราชาเซียน มีพรสวรรค์ปัญญาที่ไม่อาจเทียบเคียงตั้งแต่กำเนิด อีกทั้งวรยุทธ์ที่นางเริ่มฝึกตั้งแต่แรกก็เป็นวรยุทธ์ระดับราชาเซียนแล้ว

ส่วนพวกมกุฎเต๋าหวูจี๋ทั้ง 14 คน แค่ได้สืบทอดวรยุทธ์ธรรมดาของราชาเซียน ผลสำเร็จในอนาคตของพวกเขา ล้วนเกิดจากการอาศัยความพยายามของตัวเอง ต่างคนต่างเดินบนวิถีเส้นทางที่แตกต่างกัน

สามารถพูดได้เลยว่าราชาเซียนเป็นเพียงผู้นำทางของพวกเขา แค่โน้มนำให้พวกเขาก้าวสู่เส้นทางแห่งการฝึกยุทธ์ ส่วนด้านการถ่ายทอดสืบสานนั้น ราชาเซียนไม่ได้ถ่ายทอดอะไรให้พวกเขาจริง ๆ

ออกจากภัตตาคารแห่งนี้พร้อมกับเทพธิดาหยุนเซวียน ทั้งสองอำพรางออร่า ก่อนจะมาถึงสถานที่แห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากเมืองเฟยฮวงหลายล้านลี้

“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าก็เข้าใจเรื่องค่ายกลเช่นกัน เจ้าสามารถจัดวางค่ายกลระดับใดหรือ?”เทพธิดาหยุนเซวียนถามหลัวซิว

“ระดับผู้สูงส่งชั้นสูง”หลัวซิวตอบกลับ

โดยส่วนใหญ่แล้วค่ายกลที่อยู่ในระดับเดียวกันจะมีการแบ่งเป็นชั้นล่าง ชั้นกลาง ชั้นสูงและขั้นสุดยอดสี่ระดับ

ค่ายกลระดับผู้สูงส่งชั้นสูงที่กล่าวถึงนั้น ก็คือพลานุภาพของค่ายกลเทียบเท่าระดับผู้สูงส่งช่วงปลาย และเป็นขีดจำกัดของค่ายกลที่หลัวซิวในปัจจุบันสามารถจัดวางได้เช่นกัน

แน่นอนอยู่แล้วว่าถ้าเกิดแค่อาศัยการสลักวาดลายค่ายลงกลางอากาศละก็ พลานุภาพของค่ายกลที่เขาสามารถจัดวางต้องบรรลุไม่ถึงระดับนี้แน่นอน จากการที่ระดับของค่ายกลเพิ่มขึ้น การที่อยากจัดวางค่ายกลที่มีพลานุภาพทรงพลังออกมาได้นั้น ก็จำเป็นต้องใช้วัตถุดิบระดับสูงต่าง ๆ นานาถึงจะสามารถจัดวางได้

“เจ้าไม่เลวเลยนี่”เมื่อได้ยินคำพูดของหลัวซิว แววตาของเทพธิดาหยุนเซวียนก็เป็นประกายขึ้นมา เดิมทีนางคิดว่าการที่หลัวซิวสามารถจัดวางค่ายกลระดับผู้สูงส่งชั้นกลางได้ก็ถือว่าดีมาก ๆ แล้ว แต่นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าหมอนี่จะแข็งแกร่งกว่าที่นางจินตนาการเอาไว้เล็กน้อย

ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น เทพธิดาหยุนเซวียนก็ยื่นแหวนเก็บของให้หลัวซิวหนึ่งวงแล้วพูด: “ของที่อยู่ภายในคือวัตถุดิบที่ใช้ในการจัดวางค่าย เจ้าพยายามจัดวางค่ายกลให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ล่ะ”

“นี่เจ้าจับกุมข้ามาขายแรงงานหรือ?”

หลัวซิวยิ้มพลางรับแหวนเก็บของมา แผ่ตัวสำนึกเข้าไปสำรวจภายใน ก่อนที่สีหน้าจะแข็งทื่อลงไปในทันที

“เจ้าแน่ใจหรือว่าจะให้ข้าใช้วัตถุดิบทั้งหมดที่อยู่ในนี้มาจัดวางค่ายกล?”

“มีปัญหาอะไรหรือ?”

“เจ้าคิดว่ามีปัญหาไหมล่ะ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าการจัดวางค่ายกลระดับผู้สูงส่งชั้นสูงหนึ่งค่ายมันซับซ้อนมากเพียงใด? เจ้าเอาวัตถุดิบให้ข้าเยอะเช่นนี้ นี่เจ้าจักเอาให้ข้าเหนื่อยจนตาย หรือมาอวดความมั่งคั่งของเจ้า?”หลัวซิวพูดแขวะอย่างรู้สึกปลง

แหวนเก็บของที่เทพธิดาหยุนเซวียนให้เขา ภายในเต็มเปี่ยมไปด้วยวัตถุดิบต่าง ๆ นานา อีกทั้งยังเป็นวัตถุดิบระดับสูงที่สามารถนำมาจัดวางค่ายกลระดับผู้สูงส่งชั้นสูงด้วย

แต่ว่าอย่างไรเสียผลการฝึกตนของหลัวซิวก็เป็นเพียงมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อขั้นสูง ท้ายที่สุดแล้วผลการฝึกตนไม่เพียงพอก็เป็นข้อด้อยของเขา เขาสามารถจัดวางค่ายกลระดับผู้สูงส่งชั้นสูงได้ แต่มากสุดก็แค่สามารถจัดวางสองสามค่าย ผลการฝึกตนของเขาก็น่าจะแห้งเหือดแล้วล่ะ

เทพธิดาหยุนเซวียนก็ทำหน้าเกรงใจเล็กน้อยอย่างหาพบได้ยากเช่นกัน “อย่างไรเสียฝ่ายตรงข้ามก็เป็นผู้แข็งแกร่งระดับผู้แกร่งเลิศ แค่อาศัยพลานุภาพของค่ายกลระดับผู้สูงส่งชั้นสูงยังไม่เพียงพอ ดังนั้นเราจึงทำได้เพียงเอาชนะด้วยจำนวนค่ายกล”

แม้หลัวซิวจะอยากพูดแขวะมาก ๆ ว่าคนที่จัดวางค่ายกลไม่ใช่เจ้าสักหน่อย แต่เขาก็ยอมรับเช่นกันว่าสิ่งที่เทพธิดาหยุนเซวียนกล่าวมาเป็นความจริง

ผู้สูงส่งช่วงปลายและผู้แกร่งเลิศดูเหมือนจะห่างกันแค่หนึ่งแดนเล็ก ทว่าศักยภาพกลับแตกต่างราวกับฟ้ากับดินเลย หากดูตามทฤษฎีทั่วไป อย่างน้อยก็ต้องใช้ผู้สูงส่งช่วงปลายไม่ต่ำกว่า 20 คนกระตุ้นอัญประมุขเต๋าหนึ่งชิ้น หรือร่วมมือกันควบคุมผังค่ายระดับประมุขเต๋า ถึงจะสามารถต่อกรกับผู้แกร่งเลิศคนหนึ่งได้

เพราะฉะนั้นแล้วแค่อาศัยหลัวซิวและเทพธิดาหยุนเซวียนสองคน ไม่มีทางต่อกรกับผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในระดับผู้แกร่งเลิศได้ด้วยซ้ำ

แต่ถ้าเกิดสามารถจัดวางค่ายกลระดับผู้สูงส่งชั้นสูงจำนวนมาก เช่นนั้นก็สามารถอาศัยจำนวนตัวเลขที่เปลี่ยนแปลงก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านคุณภาพ

หลัวซิวไม่เข้าใจว่าเหตุใดเทพธิดาหยุนเซวียนจึงต้องคิดหาทุกวิถีทางเพื่อจัดการผู้แกร่งเลิศคนหนึ่ง แต่เขาก็ไม่ได้ถามอะไรมากเช่นกัน แค่ทราบมาจากปากเทพธิดาหยุนเซวียนว่าผู้แกร่งเลิศที่นางจะจัดการ คือคนที่ยอมศิโรราบต่อสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนหวงแล้ว

โชคดีที่หลัวซิวกลั่นยาเซียนไว้ไม่น้อย ทุกครั้งที่เขาจัดวางค่ายกลหลายค่ายแล้วผลการฝึกตนบริโภคไปในระดับที่แน่นอน เขาก็จะกินยาเซียนเพื่อฟื้นฟูร่างกาย อาศัยระดับความเร็วในการกลั่นแปรฤทธิ์ยาของเขา โดยส่วนใหญ่แล้วใช้เวลาแค่หนึ่งถึงสองชั่วโมงก็สามารถทำให้ผลการฝึกตนที่สูญเสียไปฟื้นฟูกลับคืนมาเจ็ดแปดส่วนแล้ว

มาตรแม้นว่าเป็นเช่นนี้ หลังจากหลัวซิวใช้วัตถุดิบทั้งหมดในแหวนเก็บของจนหมด ก็ใช้เวลาไปเจ็ดวันเช่นกัน ถึงจะจัดวางค่ายกลทั้งหมดเสร็จเรียบร้อย

ตลอดช่วงเวลาเจ็ดวันที่ผ่านมานี้ หลัวซิวจัดวางค่ายกลระดับผู้สูงส่งชั้นสูงได้ 70 กว่าค่าย หากสามารถระเบิดพลานุภาพของค่ายกลเหล่านี้ออกมาพร้อมกัน เช่นนั้นก็สามารถเทียบทัดพลังโจมตีของผู้สูงส่งช่วงปลาย 70 กว่าคน

เมื่อพลังโจมตีของผู้สูงส่งช่วงปลาย 70 กว่าคนรวมกันเป็นหนึ่ง เช่นนั้นปริมาณก็จะสามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ ซึ่งพลังโจมตีสามารถบรรลุถึงระดับที่เทียบเท่าผู้แกร่งเลิศได้อย่างแน่นอน!

จัดวางค่ายกลเสร็จสรรพ หลัวซิวก็สูญเสียผลการฝึกตนไปเยอะเช่นกัน โดยเฉพาะการสลักจารึกลายค่ายที่อยู่เหนือผลการฝึกตนของตนเอง เป็นสิ่งที่ทำให้เขาเปลืองตัวสำนึกมากที่สุดเลย

ใช้เวลาในการจัดวางค่ายกลเจ็ดวัน และแค่ช่วงเวลาที่ฟื้นฟูสภาพร่างกายให้กลับมาเป็นปกติโดยสิ้นเชิง หลัวซิวก็ใช้เวลาไปห้าวันแล้ว เมื่อรวมเวลาทั้งสองช่วงเข้าด้วยกัน แค่จัดวางค่ายกลก็กินเวลาไป 12 วันแล้ว

ทว่าเทพธิดาหยุนเซวียนกลับมีความอดทนสูงมาก นางไม่ได้เร่งหลัวซิวแต่อย่างใด เมื่อเห็นว่าธงค่ายทั้งหลายล้วนซ่อนเร้นหลอมรวมเข้าไปในอนัตตา ก็มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้านาง

เทพธิดาหยุนเซวียนไม่ชักช้าเลยแม้แต่น้อย หลังจากสภาวะของหลัวซิวฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ นางก็กำชับประโยคหนึ่ง ก่อนจะผันร่างเป็นแสงกล หายไปจากขอบฟ้าที่อยู่ห่างไกลออกไป

“ผู้แกร่งเลิศเชียวนะ ไม่นึกเลยว่ายังบรรลุไม่ถึงระดับผู้สูงส่งก็จะประมือกับผู้แกร่งเลิศแล้ว แค่คิดก็รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยแล้วเนี่ย”

เงาร่างของหลัวซิวค่อย ๆ หายไป อาศัยพลังแห่งปริภูมิที่แฝงซ่อนอยู่ในเข็มทิศสาสน์เต๋า เขาสามารถหลอมรวมเข้ากับปริภูมิที่อยู่รอบ ๆ อุบายเช่นนี้ดูเหมือนจะธรรมดาเรียบง่าย แต่กลับเพียงพอที่จะทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งจำนวนมากไม่พบพิรุธร่องรอยใด ๆ แล้ว

“ตู้มม!”

หลัวซิวรอคอยอยู่ที่นี่ไม่นานเท่าไหร่นัก หลังจากที่ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง เงาร่างของเทพธิดาหยุนเซวียนก็ปรากฏกลางนภา

หน้าอกทั้งสองข้างของนางเชิดขึ้น จังหวะในการหายใจถี่เล็กน้อย เห็นได้ชัดเจนเลยว่านางได้บินหนีมาด้วยความเร็วที่รวดเร็วที่สุด ซึ่งนางก็สูญเสียผลการฝึกตนไปไม่น้อยเช่นกัน

อ้างอิงจากแผนการที่นางวางไว้กับหลัวซิว หลังจากเทพธิดาหยุนเซวียนกลับมาถึงเขตพื้นที่ที่มีค่ายกลจัดวางอยู่แล้ว นางก็จะรีบมุดเข้าไปทันที เนื่องจากบนตัวนางมีของยืนยันที่กลั่นโดยหลัวซิว ดังนั้นค่ายกลหลายสิบค่ายที่ถูกจัดวางอยู่ที่นี่จึงไม่เป็นอุปสรรคใด ๆ ต่อนาง

ในขณะเดียวกัน ก็มีพลังออร่าที่แข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้จุติลงมา ลำดับแรกคือมีกงล้อเทพที่ใหญ่โตมโหฬารลอยอยู่บนท้องฟ้าสิบวง กงล้อเทพทุกวงล้วนผนึกรวมกันจนถึงขีดสุด ราวกับพระอาทิตย์สิบดวงอันแวววาวจับตาที่ลอยอยู่กลางนภาสูง

ด้านล่างของกงล้อเทพทั้งสิบวง มีเงาร่างที่สูงใหญ่ตามมาด้วย จิตสังหารมากมายมหาศาล

ซ่อนเร้นอยู่ในอนัตตา ณ เสี้ยววินาทีที่หลัวซิวมองเห็นผู้แกร่งเลิศคนนั้น ความรู้สึกบนใบหน้าเขาก็ผงะไปเล็กน้อยอย่างควบคุมไม่ได้ เพราะเขาก็บังเอิญรู้จักคนดังกล่าวเช่นกัน ซึ่งก็คือผู้สูงส่งอัมพรเทว หรือฮวงจวินในอดีตนั่นเอง

ตั้งแต่สำนักอัมพรเทวศักดิ์สิทธิ์ถูกตู๋กูล้มล้างด้วยกระบี่เดียว หอคอยฮวงก็ถูกหลัวซิวแก่งแย่งไป ภายใต้อารมณ์ที่โกรธเกรี้ยวของผู้สูงส่งอัมพรเทว จึงตัดสินใจออกจากโลกร้าง ขอสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนหวงพึ่งพิง

ผลการฝึกตนของเขาถดถอยเพราะถูกตู๋กูโจมตี แต่ทว่าภายใต้การสนับสนุนจากสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนหวง ช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้เขาก็ฟื้นฟูกลับคืนสู่แดนผู้แกร่งเลิศอีกครั้ง

โลกร้างในปัจจุบันถูกข้าศึกยึด ผู้สูงส่งอัมพรเทวย่อมต้องสามารถกลับไปยึดกุมโลกร้างได้อีกครั้งอยู่แล้ว กำลังอยู่ในช่วงชีวิตที่รุ่งเรือง

“ฆ่า!”

เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรู หลัวซิวไม่เคยลังเลใจเลยแม้แต่น้อย เงาร่างเขาหายไปจากอนัตตาภายในชั่วพริบตาเดียว เทเลพอร์ตโดยตรง แล้วมาถึงด้านหลังผู้สูงส่งอัมพรเทว

ในฐานะที่เป็นผู้แกร่งเลิศอนุกรมคนหนึ่ง ผู้สูงส่งอัมพรเทวย่อมไม่มีทางถูกจู่โจมง่าย ๆ อยู่แล้ว ณ เสี้ยววินาทีที่หลัวซิวปรากฏด้านหลังเขา ตัวสำนึกของผู้สูงส่งอัมพรเทวก็สัมผัสได้แล้ว

ทันทีที่โจมตีหลัวซิวก็ใช้ตรามหาหัตถ์ราชาเซียนเลย ส่วนผู้สูงส่งอัมพรเทวกลับปล่อยหมัดไปด้านหลัง ภายใต้ลมหมัดที่มโหฬารพันลึก ทำให้ปริภูมิที่อยู่รอบ ๆ บิดเบี้ยวเปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง

“ตู้มม!”

วินาทีที่พลังโจมตีทั้งสองประสานงากัน ก็มีพลังแว้งกัดที่เกะกะระรานสะท้อนมา ตรามหาหัตถ์ราชาเซียนที่หลัวซิวปล่อยออกไปแตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ ก่อนที่ตัวเขาจะหมุนติ้ว ๆ กระเด็นออกไป

“จริงด้วยแฮะ เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วศักยภาพของข้าและผู้แกร่งเลิศก็แตกต่างกันไม่น้อยอยู่ดี……”

หลัวซิวกระอักเลือดเฮือกหนึ่ง แต่กลับมีความตื่นเต้นดีใจเสี้ยวหนึ่งปรากฏบนใบหน้า เนื่องจากมีเพียงคู่ต่อสู้ที่สามารถทำให้เขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดัน ถึงจะสามารถทำให้เขาทลายพันธนาการและขีดจำกัดของตัวเองอย่างต่อเนื่อง

“เวิ่ง!”

มีแสงเซียนแย้มบานออกมาจากรอบกาย หลัวซิวพุ่งเข้าไปอีกครั้ง ในขณะเดียวกัน เทพธิดาหยุนเซวียนที่กินยาเซียนลงไปหนึ่งเม็ดจนผลการฝึกตนที่สูญเสียไปฟื้นฟูกลับมาเล็กน้อยก็ปรากฏตัวเช่นกัน มีกระบี่ยุทธ์ที่มีแสงเซียนเป็นประกายระยิบระยับปรากฏในมือนาง แสงเซียนฟาดฟันอนัตตา พุ่งสังหารเข้าไปทางผู้สูงส่งอัมพรเทว

“เจ้าหนู ยังไม่รีบเปิดค่ายกลอีกหรือ?”เทพธิดาหยุนเซวียนผนึกเสียงไว้ที่ตัวสำนึก แล้วถ่ายทอดไปยังตัวหยั่งรู้ของหลัวซิว

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

None

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท