“ไม่ไล่มาแล้วหรือ?”
เมื่อพลังออร่าของหลัวซิวหายไปจากด้านหลัง มกุฎเต๋าวัฏสงสารที่ยืนอยู่บนของขลังกระสวยก็หรี่ตาลง
เขาไม่ได้หยุดลงแต่อย่างใด เนื่องจากเขาก็ไม่แน่ชัดเช่นกันว่าสาเหตุที่หลัวซิวทำเช่นนี้นั้น มันเป็นแผนการของหลัวซิวหรือไม่
“เห็นได้ชัดเจนเลยว่าที่ข้าคาดเดานั้นไม่มีผิด สภาวะเซียนของมันในวินาทีนี้แค่สามารถประคองได้ในระยะเวลาอันสั้น มันเข้าใจดีมาก ๆ ว่าไล่ตามข้าได้ยาก และทันทีที่สภาวะเซียนสิ้นสุดลง เช่นนั้นข้าก็จะสามารถสังหารมันได้อย่างง่ายดาย”
“และบัดนี้มันก็เป็นฝ่ายเลือกที่จะจากไปก่อน หากข้าไล่ตามไปละก็ น่าจะมีโอกาสสามารถสังหารมันได้สูงถึงเจ็ดในสิบเลย”
มกุฎเต๋าวัฏสงสารกำลังพิจารณา สาเหตุที่มองว่าอัตราสำเร็จสูงประมาณเจ็ดส่วนนั้น ก็เป็นเพราะการที่หลัวซิวเป็นฝ่ายถดถอยกลับไปด้วยตนเองนั้น มีโอกาสเป็นกลหลอกได้ถึงสามส่วน และทันทีที่เขาเป็นฝ่ายไล่ตามหลัวซิวไปละก็ มีโอกาสติดกับดักฝ่ายตรงข้ามสูงมาก
……
เมื่ออยู่ภายใต้สภาวะเซียน ความเร็วในการเคลื่อนที่ของหลัวซิวรวดเร็วอย่างยิ่ง เขาเทเลพอร์ตเพียงสามครั้งเท่านั้น ก็ย้อนกลับมายังแผ่นดินใหญ่ของโลกร้างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ไม่ได้ไล่ตามมาหรือ?”
ในกระแสสัมผัสของหลัวซิวไม่มีพลังออร่าของมกุฎเต๋าวัฏสงสารปรากฏแต่อย่างใด จากสภาวะในปัจจุบันของเขา ไม่มีทางมีคนสามารถตามสะกดรอยตนได้โดยที่เขาสัมผัสไม่ได้
แท้จริงแล้วขณะที่หลัวซิวตัดสินใจเลือกที่จะไม่ไล่ล่ามกุฎเต๋าวัฏสงสารต่อ เขาก็คาดเดาได้แล้วว่ามกุฎเต๋าวัฏสงสารอาจจะไล่ตามมา อย่างไรก็ตามมกุฎเต๋าวัฏสงสารกลับไม่ทำเช่นนั้น จึงแสดงให้เห็นเลยว่ามกุฎเต๋าที่เก่าแก่คนนั้นระมัดระวังอย่างยิ่ง ทั้งยังละเอียดรอบคอบด้วย
แน่นอนอยู่แล้วว่าการที่มกุฎเต๋าวัฏสงสารไม่ไล่ตามมา ย่อมต้องเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดต่อหลัวซิวอยู่แล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ละก็ ไม่ว่าเขาจะปฏิบัติการในเรื่องใดก็จะสะดวกสบายมากกว่าเดิม ยิ่งไม่ต้องมีเรื่องอะไรที่ต้องคอยพะวงหน้าพะวงหลังแล้ว
“จากสภาวะเซียน ณ ปัจจุบันของข้า ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะสามารถกลั่นแปรตัวต้องห้ามทั้งหมดที่อยู่ในขวดเซียนอัคคีหลอมจิตและเข็มทิศสาสน์เต๋าได้หรือไม่”
ทันใดนั้นเองจิตใจหลัวซิวก็หวั่นไหวขึ้นมา ก่อนจะรีบถ่ายเทพลังเซียนเข้าไปในเข็มทิศสาสน์เต๋า ภายใต้การทลายของพลังเซียนที่มากมายมหาศาล หลังจากที่ผ่านไปเพียงครู่เดียว ก็มีเสียงแคว็กดังขึ้น ตัวต้องห้ามขั้นที่สองของเข็มทิศสาสน์เต๋าถูกกลั่นแปรไปอย่างง่ายดาย
“พลังแห่งเวลาหรือ?”
มีความรู้สึกที่ล้ำลึกถ่ายทอดออกมาจากเข็มทิศสาสน์เต๋า ในฐานะที่เป็นเจ้าของเข็มทิศสาสน์เต๋า หลัวซิวย่อมต้องสัมผัสได้อยู่แล้ว
ทว่าหลัวซิวก็ขมวดคิ้วลงไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากแม้จะดูเหมือนว่าเขาสามารถกลั่นแปรตัวต้องห้ามขั้นที่สองของเข็มทิศสาสน์เต๋าไปได้อย่างง่ายดาย แต่กลับสัมผัสได้ว่าพลังเซียนที่อยู่ในร่างกายหายไปไม่น้อยเลยทีเดียว หากเขายังต้องการกลั่นแปรตัวต้องห้ามที่มากกว่า เกรงว่าสภาวะเซียนของเขาคงประคองได้ไม่ถึง 15 นาทีด้วยซ้ำ
ในขณะเดียวกัน ณ ส่วนลึกของห้วงดาราที่กว้างใหญ่ไพศาล มกุฎเต๋าวัฏสงสารที่เท้าเหยียบของขลังกระสวยก็หายไปภายในพริบตา
“หากข้าคาดเดาไม่ผิดละก็ หลัวซิวนั่นน่าจะไปห้วงดาราโลกร้างแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับการยอมเสี่ยงแล้วไล่ตามไป จะดีกว่าหากยืมกำลังแรงของหลัวซิว ทำให้พวกมดตัวจ้อยอย่างสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนหวงและเผ่ามังกรไท่ชูเสียเปรียบสักหน่อย”
ถึงมกุฎเต๋าวัฏสงสารและมกุฎเต๋าหวูซินจะเป็นพันธมิตรกับมกุฎมังกรไท่ชูทั้งสองคนแล้ว แต่อันที่จริงพันธมิตรที่กล่าวถึงไม่ได้แน่นแฟ้นแต่อย่างใด ขอแค่มีโอกาส ต่างฝ่ายก็จะวางแผนทำร้ายซึ่งกันและกัน
ซึ่งมันก็เหมือนอย่างที่มกุฎเต๋าวัฏสงสารคาดการณ์เอาไว้จริง ๆ ด้วย สาเหตุที่หลัวซิวย้อนกลับไปยังแผ่นดินใหญ่ของโลกร้าง จุดประสงค์ของเขาก็คือการกวาดล้าง!
พลังแห่งเซียนย่อมต้องแข็งแกร่งอย่างไร้ข้อสงสัยอยู่แล้ว เมื่ออยู่ภายใต้สภาวะเช่นนี้ มาตรแม้นว่าเป็นผู้แข็งแกร่งอย่างมกุฎเต๋าวัฏสงสารก็ทำได้เพียงหนีเอาชีวิตรอด ในเวลาประมาณเจ็ดนาทีสุดท้ายที่เหลืออยู่นี้ เพียงพอที่จะทำให้หลัวซิวกวาดล้างแผ่นดินใหญ่โลกร้างอย่างเอิกเกริกยิ่งใหญ่ได้แล้ว
“ตู้มม!”
มีฝ่ามือขนาดใหญ่ที่มีเพลิงอัคคีวนเวียนปรากฏเหนือนภาเมืองเฟยฮวง จอมยุทธ์ทั้งหมดที่อยู่คูเมืองด้านล่างล้วนสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่มากมายมหาศาล
“นั่นคืออะไร? เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“พระเจ้า ผู้ใดบังอาจลงมือต่อเมืองเฟยฮวง?”
“เมืองเฟยฮวงของเราถูกก่อตั้งโดยผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋าของสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนหวงเชียวนะ ผู้ใดบังอาจมากำเริบเสิบสานที่นี่?”
“……”
ผู้คนที่อยู่ในเมืองต่างตื่นตระหนก แต่ก็มีคนบางส่วนที่น้ำเสียและท่าทางเคร่งขรึม มีคนหนุนหลังอยู่จึงไม่เกรงกลัวใด ๆ
อย่างไรก็ตามไม่ว่าคนเหล่านี้จะมีความคิดอย่างไร มือใหญ่เพลิงอัคคีที่ปรากฏกลางนภานั่นก็ร่วงลงมาอย่างรวดเร็ว
“แย่แล้ว! เร็ว! รีบเปิดค่ายพิทักษ์เมือง!”
น้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความตะลึงและโกรธเกรี้ยวสะท้อนออกมาจากตำหนักหลักเมือง ทว่าทั้งหมดทั้งมวลกลับสายไปแล้ว
จากการที่มีเสียงระเบิดที่น่ากลัวดังก้องกังวานขึ้นมา ม่านแสงค่ายพิทักษ์เมืองที่เพิ่งเลื่อนขึ้นก็ถูกทลายจนแตกสลายภายในพริบตา
เพียงฝ่ามือเดียว เมืองเฟยฮวงก็หายไปแล้ว บนตำแหน่งดั้งเดิมของคูเมืองที่ยิ่งใหญ่ถูกฝ่ามือขนาดใหญ่เข้ามาทดแทน ราวกับเหวลึกยังไงอย่างนั้น ลึกมากจนมองไม่เห็นก้นเหว
ใช้เวลาประมาณห้านาที หลัวซิวก็กวาดล้างทั่วโลกร้างไปแล้วหนึ่งรอบ สังหารประมุขเต๋าคนหนึ่งของสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนหวง แล้วก็ประมุขเต๋าคนหนึ่งของเผ่ามังกรไท่ชู
ปกติประมุขเต๋าจะยโสโอหังอย่างยิ่ง ปัจจุบันเมื่ออยู่ต่อหน้าหลัวซิวที่อยู่ในสภาวะเซียน ก็ไม่ต่างอะไรจากมดตัวจ้อย เปราะบางมากจนไม่อาจทนต่อการโจมตี
ขณะที่สภาวะเซียนใกล้จะสิ้นสุดลง หลัวซิวก็เทเลพอร์ต หายไปจากห้วงดาราของโลกร้าง เหลือแค่เพียงความยุ่งเหยิงและศพที่นับไม่ถ้วน แล้วก็ซากปรักหักพัง
……
กลางห้วงดาราอันไกลโพ้น หลัวซิวนั่งท่าขัดสมาธิอยู่บนเข็มทิศสาสน์เต๋า หลังจากพลังแห่งเซียนที่อยู่บนตัวเขาหายไปแล้ว ตัวต้องห้ามขั้นที่สองของเข็มทิศสาสน์เต๋าที่ถูกกลั่นแปรไม่ได้หายไปแต่อย่างใด ซึ่งนี่ก็หมายความว่าวิธีการของเขาได้ผลอยู่ มิเช่นนั้นถ้าเกิดให้เขากลั่นแปรเองละก็ อย่างน้อยศักยภาพก็ต้องใกล้เคียงระดับประมุขเต๋าก่อน ถึงจะสามารถกลั่นแปรตัวต้องห้ามขั้นที่สองได้
แม้นห้วงดาราที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้จะถูกเรียกว่าโลกมหาศักดิ์ทั้งแปด แต่แท้จริงแล้วแผ่นดินใหญ่ของโลกสวรรค์ ใต้ดิน เสวียน เหลืองหรือหวง จักรวาล จักรภพ ล้นและร้างเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของทั้งห้วงดาราเท่านั้น
ในส่วนลึกของห้วงดารามืดมนที่กว้างใหญ่อย่างไร้ขอบเขตยังมีความลับที่เก่าแก่คงอยู่เยอะจนนับไม่ถ้วน และมีความเป็นไปได้ที่นับไม่ถ้วนคงอยู่เช่นกัน โอกาสที่นับไม่ถ้วน โชคที่นับไม่ถ้วน ในขณะเดียวกันก็มีความอันตราย รวมไปถึงความตายที่นับไม่ถ้วนเช่นกัน!
ไข่มุกเต๋าทั้งหลายที่อยู่ในมือเขาสลายกลายเป็นฝุ่นผง ดูดซับกลั่นแปรพลังดั้งเดิมที่บริสุทธิ์ไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ ผลการฝึกตนของหลัวซิวค่อย ๆ เข้าใกล้ขีดสูงสุดของมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อขั้นสูงแล้ว
เข็มทิศสาสน์เต๋ากำลังโบยบินอย่างไร้เป้าหมายอยู่ในห้วงดารา หลัวซิวก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรไปที่ใดดี เขารู้แค่ว่าภายในระยะเวลาอันสั้นนี้ ตัวเองน่าจะไม่สามารถย้อนกลับไปยังโลกร้างได้
หลังจากที่เขากวาดล้างโลกร้างไป เขาไม่เพียงสังหารประมุขเต๋าสองคนเท่านั้น ยังแก่งแย่งทรัพยากรสมบัติไปเป็นจำนวนมาก ทั้งสังหารกำลังคนจำนวนมากของสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนหวงและเผ่ามังกรไท่ชู
ต้องท้าวความก่อนว่าเขาในปัจจุบันไม่มีอุบายไพ้เด็ดอย่างพลังแห่งเซียนอีกต่อไปแล้ว หากไม่ทันได้ระวังถูกมกุฎเต๋าคนใดคนหนึ่งหมายตาเข้าละก็ เขามีแต่ต้องได้ตายสถานเดียวแน่นอน
ค่อย ๆ ยกนิ้วมือขึ้นมาหนึ่งนิ้ว เสียงฟู่วดังขึ้น จากนั้นก็มีเพลิงอัคคีดวงหนึ่งลอยขึ้นมาจากปลายนิ้วเขา สีของเพลิงอัคคีไม่ใช่สีแดงแต่อย่างใด แต่ราวกับโปร่งแสงยังไงอย่างนั้น หากไม่สังเกตดูดี ๆ ละก็ ยิ่งมองได้ไม่ชัดเจนเลยด้วยซ้ำว่านี่คือเพลิงอัคคีดวงหนึ่ง
หลัวซิวเรียกเพลิงอัคคีดวงนี้ว่าดวงอัคคีไร้ลักษณ์ หรืออัคคีชีวีของเขานั่นเอง
ในอดีตไม่ว่าเขาจะกลั่นยาหรือหลอมอาวุธ สิ่งที่ใช้ล้วนเป็นอัคคีเทพซิวหลัวที่ตัวเองเคยฝึกเซ่น
แต่ตั้งแต่ผลการฝึกตนของเขาแปรเปลี่ยนผนึกรวมกันเป็นพลังเซียนแล้ว ประโยชน์และประสิทธิผลของอัคคีเทพซิวหลัวก็ยิ่งอยู่ยิ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการ
ดังนั้นหลัวซิวจึงอ้างอิงจากวิถีเซียนไร้ลักษณ์ของตัวเอง ผนึกรวมอัคคีชีวีไร้ลักษณ์ออกมา
อนาคตหากเขาสามารถบรรลุเป็นเซียนละก็ เช่นนั้นเพลิงอัคคีดวงนี้ก็จะยกระดับตามผลการฝึกตนของเขา บรรลุเป็นเซียนอัคคีดวงหนึ่ง!
สาเหตุที่หลัวซิวผนึกรวมอัคคีชีวีนั้น ก็ไม่ได้ทำเพื่อฝึกวิถีเพลิงอัคคีหรอก แท้จริงแล้วของอย่างอัคคีชีวีไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับวิถีเพลิงอัคคี เพราะไม่ว่าจอมยุทธ์จะฝึกธาตุธรรมใด ๆ ก็สามารถผนึกรวมอัคคีชีวีที่เป็นของตัวเองออกมาได้
ต่อให้เป็นจอมยุทธ์ที่ฝึกธรรมเวชน้ำ ก็สามารถผนึกรวมอัคคีชีวีออกมาได้ แต่ทว่าAttrของอัคคีชีวีจะเป็นAttrน้ำด้วย
และจุดประสงค์ที่หลัวซิวผนึกรวมอัคคีชีวีนั้น ย่อมต้องเป็นเพราะเตรียมเพื่อการกลั่นยาหรือกลั่นวัตถุดิบชั้นยอดในอนาคตอยู่แล้ว เพราะถ้าสามารถบ่มเพาะอัคคีชีวีให้แข็งแกร่งได้ละก็ ก็สามารถกลายเป็นอุบายโจมตีที่ทรงพลังอย่างยิ่งเช่นกัน
จากการที่เวลาล่วงเลยไปอย่างรวดเร็ว ห้วงดาราที่อยู่รอบ ๆ ล้วนอยู่ในความมืดมิดมาโดยตลอด ทำให้คนสัมผัสไม่ได้ว่าตกลงเวลาล่วงเลยไปยาวนานเท่าไหร่แล้ว
กระทั่งวันนี้ ตัวสำนึกของหลัวซิวก็สัมผัสได้ถึงออร่าบางอย่างที่พิเศษ เขาที่นั่งอยู่บนเข็มทิศสาสน์เต๋าค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา
เงยหน้ามองขึ้นไป สายตาเขาราวกับมองข้ามผ่านการขวางกั้นของห้วงดาราที่ไร้ขอบเขต มองเห็นพสุดารากลุ่มหนึ่ง
พสุดาราที่อยู่ในห้วงดาราที่กว้างใหญ่ไพศาลเป็นเฉกเช่นเดียวกันกับดาราทั้งหลาย หากเปรียบเทียบห้วงดาราเป็นทะเลแห่งหนึ่ง เช่นนั้นพสุดาราและดาราก็คือเกาะบนทะเล
และกลุ่มพสุดาราที่กล่าวถึงนั้น ก็คือเขตพื้นที่ที่พสุดาราจำนวนมากรวมตัวเข้าด้วยกัน
แน่นอนอยู่แล้วว่าพสุดาราเหล่านั้นไม่มีทางกว้างใหญ่ปานดินแดนหลักอย่างโลกมหาศักดิ์ทั้งแปด เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วพสุดาราจะค่อนข้างเล็ก แต่จำนวนกลับเยอะมาก พวกมันอยู่แยกกันเหมือนจิ๊กซอ แล้วลอยอยู่กลางดาราจักรวาลที่มืดมน
และสามารถมองเห็นดาราลอยอยู่กลางกลุ่มพสุดาราเหล่านั้นเป็นครั้งคราว
จากการที่ยิ่งอยู่ยิ่งประชิดใกล้เข้าไป หลัวซิวก็ขมวดคิ้วลงเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้ เนื่องจากขอบข่ายของกลุ่มพสุดารานั่นกว้างใหญ่เช่นนี้ แต่สถานที่ส่วนใหญ่ล้วนรกร้างว่างเปล่า ราวกับเป็นซากปรักหักพังที่ผ่านการล้างบาปโดยสงคราม
ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น ห้วงดาราของที่นี่รวมไปถึงเกณฑ์พลังเต๋าของกฎทวยเทพธรรมก็ผันผวนอย่างยิ่ง บางพสุดาราคือน้ำแข็งนับหมื่นลี้ บางพสุดาราคือเลิกอัคคีที่ลุกโชน บางพสุดารามีสายฟ้าตัดสลับกันไปมา เสียงลมคำราม……
ราวกับสามารถมองเห็นภยันตรายได้ทุกแห่งหน บางทีในระหว่างที่เจ้าเคลื่อนไหวอยู่ด้านบน ปริภูมิผืนหนึ่งก็อาจจะแตกสลายกะทันหัน ซึ่งพลังทำลายล้างอันน่ากลัวที่เกิดจากการระเบิดของปริภูมิเพียงพอที่จะทำให้ผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์จำนวนมากเสียชีวิตได้เลย
เงียบเชียบ โชกโชน เงียบสงัด คือประเด็นหลักของกลุ่มพสุดาราแห่งนี้
แผ่ขยายตัวสำนึกออกไป ก่อนหลัวซิวจะสังเกตเห็นอย่างรวดเร็วว่ากลางกลุ่มพสุดาราเหล่านั้น บนพสุดาราขนาดเล็กแห่งหนึ่ง คือภาพฉากที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเจริญรุ่งเรือง
ปริมาตรของพสุดาราขนาดเล็กแห่งนั้นยังเทียบเทียงกับดาราทั่วไปไม่ได้เลย มีขอบเขตประมาณสามเท่าของเมืองต้าฮวงโบราณ ซึ่งเล็กกว่าดินแดนของอาณากระบี่หวูจี๋ด้วยซ้ำ
ทว่าแม้นพื้นที่จะเล็ก แต่ภายในกลับเป็นเรื่องเป็นราว ที่นี่มีจอมยุทธ์จำนวนมากที่ตั้งแผงขายของ และมีสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ นานา มีร้านค้าต่าง ๆ เปิดอยู่เยอะจนนับไม่ถ้วน
หลัวซิวควบคุมเข็มทิศสาสน์เต๋าบินตรงไป เมื่อเริ่มเข้าใกล้พสุดารา เขาก็โบกมือเก็บเข็มทิศสาสน์เต๋า ผันร่างเป็นแสงกลดวงหนึ่ง บินตรงไปทางพสุดาราขนาดเล็กนั่น
จอมยุทธ์ที่ไปมาหาสู่ในบริเวณใกล้เคียงของพสุดารามีเยอะมาก หลัวซิวที่ปนเปอยู่ในกลุ่มคนไม่โดดเด่นแต่อย่างใด ดังนั้นเมื่อเขาจุติลงมายังพสุดาราแห่งนี้ จึงไม่ได้รับความสนใจจากผู้คน
หลัวซิวไม่รู้ว่าสถานที่นี้เป็นสถานที่อย่างไร แม้นเขาในอดีตชาติจะเคยไปสถานที่ต่าง ๆ ในโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดมาเยอะมาก แต่ก็จำกัดอยู่แค่พสุธาห้วงดาราขนาดใหญ่ทั้งแปด รวมไปถึงห้วงดาราที่อยู่รอบ ๆ เท่านั้น
อย่างน้อยเขาก็ไม่รู้ว่าสถานที่ที่ตัวเองกำลังอยู่ ณ วินาทีนี้คือสถานที่ใด อย่างไรเสียอย่าว่าแต่เขาเลย มาตรแม้นว่าเป็นประมุขเต๋า ตลอดจนเหล่ามกุฎเต๋า ก็ไม่กล้าบอกว่าตัวเองเข้าใจทั้งจักรวาลนี้
ดาราจักรวาลไร้ขอบเขต ซึ่งมีสิ่งลึกลับและสิ่งนิรนามคงอยู่เยอะจนนับไม่ถ้วน แล้วเฝ้าคอยผู้คนในแต่ละยุคไปสืบเสาะอยู่เป็นระยะ……