มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2678 โแสถพลังเต๋ามกุฎฟ้า
เมื่อได้ยินว่าท่านนายต้องการกลั่นยา หงเหยียนและผู้อาวุโสใหญ่ต่างรู้สึกประหลาดใจ เพราะยาที่ท่านนายต้องการกลั่นไม่ใช่ยาธรรมดา แต่เป็นยาเซียนระดับแปด !
นักกลั่นยาที่บรรลุในระดับเทพระดับเจ็ดขึ้นไป เรียกว่าราชาโอสถ ระดับเจ็ดเรียกว่าราชาโอสถชั้นล่าง ระดับแปดเรียกว่าราชาโอสถชั้นกลาง และระดับเก้าเรียกว่าราชาโอสถชั้นสูง รวมไปถึงราชาโอสถมหาศักดิ์ในตำนาน !
ที่หงเหยียนรู้สึกประหลาดใจ เพราะว่านางรู้ดีว่าท่านนายนั้นเชี่ยวชาญวิถีค่ายเป็นอย่างยิ่ง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าท่านนายจะเชี่ยวชาญวิถียาด้วย ราวกับว่าทุกวิชาพลังอมตะในโลกนี้ ไม่มีอะไรที่ท่านนายผู้นี้ไม่รู้
ส่วนที่จงหลีโป๋รู้สึกประหลาดใจนั้น เพราะว่าตัวเขาเองก็เป็นนักยาเซียนคนหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นถึงราชาโอสถชั้นล่างอีกด้วย
แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่เคยได้ยินว่า มีใครสามารถอาศัยผลการฝึกตนในระดับเทพมารระดับห้า กลั่นยาเซียนระดับแปดออกมาได้
ยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่น หากทำให้ตัวเขามีผลการฝึกตนลดลงไปอยู่ในระดับเทพมารระดับห้า ต่อให้เขาเป็นถึงราชาโอสถชั้นล่าง ก็ไม่อาจกลั่นยาเซียนระดับเจ็ดออกมาได้
เรื่องที่น่าเหลือเชื่อในสายตาของผู้คนจำนวนมาก เมื่อเกิดขึ้นกับหลัวซิว กลับดูไม่น่าประหลาดใจอีกต่อไป อย่างน้อยเหยียนเยว่เอ๋อร์ เหยียนซีโรว่ และเสิ่นปิงหยู พวกนางต่างรู้สึกเคยชินนานแล้ว
“ท่านนาย ข้าขอสังเกตการณ์อยู่ข้าง ๆ ได้ไหม ?” จงหลีโป๋พูดขึ้นด้วยความตื่นเต้น
“ได้สิ”
หลัวซิวไม่ถือสาเรื่องนี้เท่าไรนัก หากจงหลีโป๋สามารถตระหนักรู้ได้จริง นั้นก็ถือเป็นผลสัมฤทธิ์ของตัวเขาเอง
“ฟิ้ว !”
หลัวซิวยกมือขึ้นชี้ เตากลั่นยาเปล่งประกายไปด้วยแสงเทวสีม่วงทองก็ปรากฏขึ้นมา เตากลั่นยานี้สูงหนึ่งจ้างสองฉื่อ บนเตากลั่นยามีสัญลักษณ์และโทเท็มที่ดูลึกลับอย่างยิ่งสลักอยู่นับไม่ถ้วน
เตากลั่นยาใบนี้ มีชื่อว่าเตากลั่นนภาจื่อเซียว เป็นเตากลั่นยาที่เขาใช้ในชาติไท่ซ่างฉิง
ส่วนประวัตความเป็นมาของเตาใบนี้ ย่อมได้มาจากกล่องเหล็กสีดำที่เขาทิ้งเอาไว้ในลานสวนของหุบเขาเทพจันทราใบนั้น
ในตอนแรกที่เขาตัดสินใจกลับชาติมาเกิดและฝึกตนใหม่ ก็รู้ดีว่าการฝึกตนใหม่ในอนาคต คงต้องใช้ทรัพยากรและยาจำนวนมากเพื่อยกระดับผลการฝึกตน ดังนั้นจึงทิ้งเตากลั่นยาเอาไว้ที่นี่
เพราะเขามีเตากลั่นยานภาจื่อเซียวอยู่ในครอบครองพอดี ทำให้เขามั่นใจว่าในขณะที่เขาอยู่ในแดนนี้ ก็จะสามารถกลั่นยาเซียนระดับแปดได้
เตากลั่นยาลอยอยู่กลางอากาศ กลิ่นหอมของสมุนไพรที่สดชื่น ค่อย ๆ ลอยฟุ้งออกมาจากเตากลั่นยา กลิ่นยาที่ลอยออกมานั้นราวกับควันจาง ๆ แค่สูดดมเพียงเล็กน้อย ก็ทำให้รู้สึกเหมือนผลการฝึกยุทธ์ของตนเองกำลังได้รับการขัดเกลา
“สวรรค์ นี่มันเตายาระดับไหนกัน ?” จงหลีโป๋ตาลุกวาว คนอื่น ๆ ไม่เข้าใจเรื่องการกลั่นยา จึงมองไม่ออกถึงความลึกลับ แต่จงหลีโป๋มีฐานะเป็นถึงราชาโอสถคนหนึ่ง ทันทีที่เตากลั่นยาใบนี้ปรากฏออกมา เขาก็สัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่ของเตากลั่นยา
“พรสวรรค์ระดับเก้า” หลัวซิวพูดขึ้นเบา ๆ
เมื่อจงหลีโป๋ได้ยินดังนั้น ก็แทบจะหยุดหายใจทันที และริมฝีปากก็เริ่มสั่นเทาขึ้นมา
พรสวรรค์ที่พูดถึงนี้ ไม่ได้หมายถึงของขลังพรสวรรค์หรือพรสวรรค์ศัสตราวุธในโลกแสงดาว ในโลกมหาศักดิ์แปดด้าน ความหมายของพรสวรรค์ก็คือ พรสวรรค์ที่มีมาแต่กำเนิด !
หรือพูดอีกอย่างว่า หากถูกเรียกขานว่าเป็นสมบัติพรสวรรค์ได้ นั่นหมายถึงว่า เป็นภัณฑ์เซียนที่กำเนิดขึ้นมาในกฎทวยเทพธรรม ก่อนที่ฟ้าดินจะกำเนิดและเปิดออกเสียอีก !
ภัณฑ์เซียนพรสวรรค์มีจุดที่เหมือนกันอย่างหนึ่ง นั่นก็คือสามารถเติบโตได้ จนถึงระดับเก้าซึ่งเป็นระดับสูงสุด หากพัฒนาอีกขั้นก็จะกลายเป็นมหาศักดิ์
ในชาติไท่ซ่างฉิง หลัวซิวได้รับสมบัติชิ้นนี้มาโดยบังเอิญ เรียกได้ว่าสมบัติชิ้นนี้มีความเกี่ยวข้องกับลาร์อีกด้วย ตอนที่เขาได้เตากลั่นยานภาจื่อเซียวใบนี้มา ก็คือตอนที่เขาบ่มเพาะลาร์ขึ้นมาในสถานตรีภพนั้น
ในชาติก่อน เตากลั่นนภาจื่อเซียวคอยติดตามเขามาหลายปี ตั้งแต่พรสวรรค์ระดับหนึ่ง จนเติบโตไปถึงพรสวรรค์ระดับเก้า หากไม่ใช่เพราะภายหลังเขาฟื้นคืนชีพวัฏจักร จนถึงตอนนี้ เตายาในมือของเขาใบนี้ คงอยู่ในพรสวรรค์ระดับมหาศักดิ์ไปนานแล้ว
หลัวซิวไม่พูดอะไรมากไปกว่านี้ เขายื่นมือออกไปลูบเตายาเบา ๆ ดูเหมือนมันจะสัมผัสได้ถึงเจ้านายเก่าที่ห่ายหายไปหลายปี จากนั้นเตายาขนาดมหึมาก็สั่นไหวอย่างรุนแรง
เตายาชั้นยอดอย่างเตากลั่นนภาจื่อเซียวนี้ หากต้องการใช้มันถือว่าไม่มีเงื่อนไขด้านพรสวรรค์มากนัก ที่สำคัญที่สุดก็คือต้องได้รับการยอมรับจากเตากลั่นยา เพราะเตาเซียนมีจิตวิญญาณ หากไม่ได้รับการยอมรับจากมัน ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งในแดนผู้สูงส่ง ก็ไม่อาจใช้มันในการกลั่นยาได้
หลัวซิวสะบัดนิ้วออกไป ชีวีอัคคีเทพซิวหลัวก็บินเข้าไปในเตาทันที จากนั้นภายในเตาก็มีไฟเผาผลาญลุกโชนขึ้นมา ภายในเตามีลายเส้นที่เกิดจากพรสวรรค์เพิ่มขึ้นมาสนับสนุน ทำให้เปลวไฟลุกโชนยิ่งขึ้น
เดิมทีอัคคีเทพชีวีของหลัวซิวอยู่เพียงแค่ในระดับเทพขั้นหกเท่านั้น แต่เมื่อได้รับการส่งเสริมจากเตากลั่นยา ก็บรรลุสู่อัคคีเทพระดับเจ็ดอย่างรวดเร็ว ถึงขั้นว่ายังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มระดับต่อไปเรื่อย ๆ
สุดท้ายแล้ว อัคคีเทพของเขาก็ยังไม่สามารถบรรลุถึงระดับเทพระดับแปดได้อยู่ดี อย่างไรเสียก็ยังเป็นเพราะผลการใกตนของเขาที่ต่ำเกินไป
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ก็อัคคีเทพระดับเจ็ดขั้นสูงก็นับว่าเพียงพอแล้ว ยาเซียนค่อย ๆ ถูกเขาใส่เข้าไปในเตาทีละเม็ด ๆ ยาเซียนหลากหลายประเภทถูกเผาไหม้อยู่ภายใต้อัคคีเทพ และค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นหยดยาอันบริสุทธิ์และใสแวววาวราวกับคริสทัล
ขั้นตอนการกลั่นยาในครั้งนี้ กินเวลาถึงเจ็ดคืนเจ็ดวัน หลังจากที่เก็บยาเม็ดสุดท้ายเสร็จเรียบร้อย ในมือของหลัวซิวก็มีขวดหยกเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งใบ ภายในบรรจุยาเซียนระดับแปดอยู่หกเม็ด
จงหลีโป๋ตกตะลึงอย่างสมบูรณ์ ในตอนแรกสิ่งที่ทำให้เขาต้องตกตะลึงก็คือ การปรากฏขึ้นของเตายาระดับเก้า แต่ในภายหลัง สิ่งที่ทำให้เขายิ่งตกตะลึงมากขึ้นไปอีกก็คือ วิชากลั่นยาของท่านนาย วิชากลั่นยานั้นนับว่าอยู่เหนือความคาดหมาย เป็นการถือครองลิขิตของสวรรค์ เขาถึงขั้นรู้สึกว่า บนโลกใบนี้ คงไม่มีวิชากลั่นยาที่ยอดเยี่ยมไปกว่านี้อีกแล้ว
เขาทดลองลอกเลียนวิชายาของหลัวซิวในตัวหยั่งรู้ของตนเอง ต่อให้เขาจะจะพยายามจดจำการเคลื่อนไหววิชายาและตราประทับของหลัวซิวอย่างแม่นยำ แต่ตอนที่เขาพยายามลอกเลียนแบบกลับพบว่า วิชายานี้ ต่อให้ใช้ความพยายามมากเพียงใด เขาก็ไม่อาจนำออกมาใช้ได้อยู่ดี
ที่เป็นเช่นนี้ เพราะวิชายาของหลัวซิวกำเนิดจากคัมภีร์โอสถ เป็นวิชายาที่เขาตระหนักรู้จากคัมภีร์โอสถ ซึ่งเหมาะสมกับตนเองมากที่สุด จึงย่อมไม่เหมาะสมกับจงหลีโป๋อย่างแน่นอน
“นำไปทำความเข้าใจให้ดี ๆ เถิด ด้วยคุณสมบัติของเจ้า ในภายหน้ายังมีสิทธิ์ที่จะกลายเป็นราชาโอสถชั้นสูงได้” หลัวซิวสะบัดมือ ม้วนหยกม้วนหนึ่งก็ลอยเข้าที่มือของจงหลีโป๋
ตอนนี้ในบรรดาคนที่อยู่รอบกายเขา มีเพียงจงหลีโป๋เท่านั้นที่มีพรสวรรค์ด้านการกลั่นยา ดังนั้นที่หลัวซิวมอบม้วนหยกนี้ให้กับเขา ก็เท่ากับสลักคัมภีร์โอสถแล้ว
แน่นอนว่า เขาไม่มีทางถ่ายทอดคัมภีร์โอสถทั้งหมดให้กับจงหลีโป๋ ในนั้นมีเพียงวิชากลั่นยา แต่ไม่มีเคล็ดเทวกลั่นวิญญาณที่นับว่าเป็นใจกลางที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นคัมภีร์ ฎีกาค่าย หรือว่าหนังสือยุทธภัณฑ์ สิ่งที่เกี่ยวข้องกับวิถียา วิถีค่าย และการหลอมภัณฑ์ที่อยู่ในนั้น สามารถเผยแพร่สู่ภายนอกได้ แต่สิ่งที่เป็นใจกลางจริง ๆ นั้น ไม่อาจเผยแพร่แก่ผู้อื่นได้โดยง่าย
คนที่อยู่รอบกายเขา มีเพียงเหยียนเยว่เอ๋อร์และเหยียนซีโรว่เท่านั้น ที่ได้รับการถ่ายทอดเคล็ดเทวกลั่นวิญญาณจากเขา ด้วยพรสวรรค์ของพวกนางทั้งสองคน ค่อนข้างก้าวหน้าไปอย่างช้า ๆ จึงไม่สามารถฝึกคู่วิชาค่ายสลัก รวมไปถึงวิชากลั่นร่างกลืนเศษณ์ได้
อย่างไรเสีย ไม่ใช่ว่าใครก็มีวิถีไร้ลักษณ์อยู่ในครอบครอง สามารถฝึกตนด้านใดด้านหนึ่งจนถึงระดับสูงสุดได้ ก็นับว่าเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่งแล้ว ส่วนคนอย่างหลัวซิวนั้น ถือเป็นข้อยกเว้น ที่ไม่อาจใช้มาตรฐานเดียวกันมาวัดได้
ยากลั่นสำเร็จแล้ว หลังจากนี้สิ่งที่หลัวซิวต้องทำก็คือการปิดขังฝึกตน ก่อนการปิดขังฝึกตน เขาต้องทำให้ผลการฝึกตนในแดนเทพมารระดับห้าขั้นสูงมั่นคงเสียก่อน หลังจากรอให้รากฐานมั่นคงแล้ว ก็จะถึงเวลาโจมตีเพื่อบรรลุกฎเกณฑ์เทพมารระดับหก !
สิ่งที่เขากลั่นออกมา มีชื่อว่าโแสถพลังเต๋ามกุฎฟ้า หากเป็นผู้แข็งแกร่งในระดับเทพมารระดับแปดกินเข้าไป ก็จะสามารถบรรลุหนึ่งแดนเล็กได้
หากคนที่มีพรสวรรค์ เพียงหนึ่งถึงสองเม็ดก็สามารถบรรลุได้ ส่วนคนที่พรสวรรค์ไม่ดีนัก อาจต้องการมากขึ้น ถึงขั้นว่าอาจไม่บรรลุก็ได้
โแสถพลังเต๋ามกุฎฟ้าหกเม็ด หลัวซิวเก็บเอาไว้เองสามเม็ด ส่วนอีกสามเม็ด ให้ลวี่โหลวหนึ่งเม็ด ให้นางใช้สำหรับบรรลุแดนเทพมารระดับแปดช่วงปลาย และยังให้หงเหยียนกับจงหลีโป๋อีกคนละหนึ่งเม็ด ต่อไปพวกเขาทั้งสองต้องบรรลุกฎเกณฑ์เทพมารระดับแปด ยาเป็นนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมาก
“ท่านนาย อีกสิบสามปี หุบเขาสยบปีศาจก็จะเปิดออกแล้ว”
ก่อนที่หลัวซิวจะปิดขังฝึกตน ลวี่โหลวมาถึงหุบเขาเทพจันทรา แล้วบอกข่าวเรื่องนี้กับเขา
เมื่อได้ยินชื่อของหุบเขาสยบปีศาจ เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว ก็ปรากฏขึ้นในภาพความทรงจำของหลัวซิวโดยไม่รู้ตัว หากจะพูดว่าภูเขาว่านเริ่นคือสถานที่รับช่วงแห่งแรกที่เขาในชาติก่อนทิ้งเอาไว้สำหรับชาตินี้ เช่นนั้นหุเขาสยบปีศาจก็คือที่ที่เขาต้องไปเป็นแห่งที่สอง
“ภายในสิบสามปี ข้าจะออกมาจากการปิดขังฝึกตน”
หลัวซิวพูดประโยคนี้จบ ก็เริ่มการปิดขังฝึกตน เขาตั้งใจรวบรวมสมาธิเพื่อทำให้ผลการฝึกตนมั่นคง และเตรียมตัวสำหรับการบรรลุกฎเกณฑ์แดนใหญ่
เวลาค่อยผ่านไปอย่างเงียบ ๆ เมื่อผลการฝึกตนมาถึงแดนนี้แล้ว หลายครั้งที่การปิดขังฝึกตน ระยะเวลาหลายปีหรือจนกระทั่งถึงสิบกว่าปี กลับผ่านไปรวดเร็วเพียงชั่วพริบตา
หลัวซิวไม่รู้ว่าระยะเวลาด้านนอกผ่านไปนานเท่าไร สถานที่ที่เขาปิดขังฝึกตนมีการตั้งค่ายกลเอาไว้ ทันทีที่เวลาสิบสามปีใกล้จะมาถึง ก็จะมีคลื่นพลังงานของค่ายกลช่วยเตือนให้เขาออกจากการปิดขังฝึกตนในทันที
หลังจากผลการฝึกตนมั่นคงแล้ว เขาก็เริ่มกินยาโแสถพลังเต๋ามกุฎฟ้า หลังจากยาเข้าไปในปาก ภายในร่างกายของเขาก็เกิดเสียงดังกึกก้องราวกับฟ้าผ่า พลานุภาพของยาแผ่กระจายไปทั่วภายในร่างกาย พลังจิตที่ไม่มีที่สิ้นสุดผสานเข้ากับกล้ามเนื้อและเลือดของเขาในทุกตารางนิ้ว
“เปรี้ยง !”
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร จู่ ๆ หลัวซิวก็ลืมตาขึ้น ร่างกายของเขาเปล่งประกายรัศมีเทวออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด รัศมีเทวแต่ละเส้นถักทอจนกลายเป็นห่วงโซ่แห่งกฎและพันอยู่รอบตัวเขา
จิตตั้งวิถียุทธ์ฝ่าเซียงปรากฏขึ้นด้านหลัง เมื่อยกมือซ้ายขึ้น ห่วงโซ่แห่งกฎจำนวนนับไม่ถ้วนก็เข้ามาอยู่ในมือ เมื่อยกมือขวาขึ้น สรรพวิถีล้วนว่างเปล่า กฎทุกอย่างล้วนจางหายไป
“เปรี้ยง !”
ในขณะเดียวกันนี้ ทัณฑ์สายฟ้าพิโรธที่น่ากลัวกว่าครั้งไหน ๆ ที่ผ่านมามาถึงแล้ว อัสนียังไม่ทันฟาดลงมา ภายใต้แสงสว่างพร่างพราวที่ไม่สิ้นสุดบนท้องฟ้า ค่ายกลที่เขาตั้งเอไว้โดยรอบค่อย ๆ พังทลายลง ไม่อาจแบกรับความกดดันของอำนาจฟ้าได้
หลัวซิวขยับตัวและหายวับไปในหุบเขาเทพจันทรา จากนั้นเขาก็กลายร่างเป็นแสงกล ออกจากภูเขาว่านเริ่น และโบยบินสู่ห้วงดาราด้านนอก
ทัณฑ์สายฟ้าพิโรธคราวนี้ แข็งแกร่งและน่ากลัวอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน หากข้ามผ่านทัณฑ์ในหุบเขาเทพจันทราแล้วละก็ เกรงว่าหุบเขาเทพจันทราคงถูกอำนาจฟ้าและอัสนีเทวทำลายจนราบเป็นหน้ากลองอย่างแน่นอน
พวกของลวี่โหลวเองต่างก็ตื่นตกใจ สัมผัสได้ถึงอำนาจของฟ้าอันน่ากลัว พวกนางรู้ดีว่า นี่คงเป็นเพราะท่านนายบรรลุผลการฝึกตนแล้วอย่างแน่นอน เพียงแต่พวกนางยังคงเป็นห่วงว่า ทัณฑ์สายฟ้าพิโรธที่กว้างใหญ่และน่ากลัวเช่นนี้ ท่านนายจะผ่านไปได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ ?
หลายวันให้หลัง หลัวซิวกลับมา และทำลายความกลัวในใจของพวกนางให้หมดไป
ตอนที่ลวี่โหลวพบหลัวซิวอีกครั้ง นางสัมผัสถึงอารมณ์และออร่าบนตัวเขาที่แตกต่างไปจากเดิมได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อก่อน ถึงแม้ในใจจะรู้ดีว่าท่านนายผู้นี้ยากเกินคาดเดา แต่ก็ยังสัมผัสถึงคลื่นพลังงานออร่าของผลการฝึกตน ที่อยู่บนตัวของท่านนายได้อย่างชัดเจน
แต่ตอนนี้ นางกลับพบว่าตนเองไม่สามารถมองเห็นผลการฝึกตนของท่านนายได้แล้ว ออร่าของเขากว้างใหญ่เหมือนหุบเหวสูง ตระหง่านดั่งขุนเขา
สิ่งนี้ทำให้นางรู้ว่า ท่านนายต้องมีการบรรลุที่ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน ความแข็งแกร่งของผลการฝึกตนของเขา ต้องก้าวเข้าสู่แดนใหม่ทั้งหมดแล้วอย่างแน่นอน
นางรู้ดีว่าท่านนายคงบรรลุถึงแดนเทพมารระดับหกแล้ว หากเป็นเพียงเทพมารระดับหก ยังสามารถทำให้แดนเทพมารระดับแปดอย่างนางไม่อาจมองทะลุได้ ถ้าหากในอนาคตหากท่านนายบรรลุถึงเทพมารระดับเก้า จะแข็งแกร่งขนาดไหนกัน ?