เพียงหนึ่งใจ – ตอนที่ 361-389

ตอนที่ 361-389

361 ข้าจะไปตามหมอให้เจ้า

 

 

หลังจากผ่านช่วงเทศกาลปีใหม่ไปไม่กี่วัน ก็เป็นวันแต่งงานของหลานเอ๋อร์และมู่เหยียน ซึ่งงานแต่งของพวกเขาจัดขึ้นที่พระตำหนักของอี้หวัง เนื่องจากเรือนนอนที่หลานเอ๋อร์อยู่เป็นของสตรี ส่วนเรือนนอนของมู่เหยียนก็เป็นของบุรุษ จะให้ย้ายไปอยู่เรือนนอนของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ดูไม่เหมาะสม ดังนั้นเพื่อความสะดวกเฟิงหลีเลี่ยจึงสั่งให้พ่อบ้านผู้เฒ่าเก็บกวาดเรือนหลังหนึ่งยกให้พวกเขาสองคนได้อยู่อาศัย

 

 

แววตามู่เยี่ยนหมองหม่นเมื่อเห็นคนทั้งสองในชุดวิวาห์สีแดงทั้งตัวยืนอยู่ด้วยกัน แล้วคนทั้งสองก็คำนับซึ่งกันและกัน ใบหน้าภายใต้ผ้าคลุมสีแดงนั่นจะต้องงดงามมากเป็นแน่ แต่เมื่อคิดถึงว่าคนที่จะได้เปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวไม่ใช่ตัวเองแล้ว สองมือพลันกำหมัดแน่น

 

 

เมื่อเฟิงหลีเลี่ยและมู่หรงชูอวิ๋นกล่าวเป็นประธานเรียบร้อยแล้วก็ขอตัวจากไป เดิมทีมู่หรงชูอวิ๋นอยากอยู่เล่นสนุกต่อ ทว่าเฟิงหลีเลี่ยเป็นห่วงและหวงนาง อย่างไรแล้วแขกที่มาก็ล้วนเป็นผู้ชายที่มากินดื่มในงานเลี้ยงฉลองทั้งนั้น ความงามของพระชายาของเขาต้องเป็นเขาที่ได้มองและครอบครองได้เพียงคนเดียว

 

 

ในคืนนั้นไม่รู้ว่ามู่หรงชูอวิ๋นคิดอย่างไร นางงอแงไม่หยุดอยากจะไปมีส่วนร่วมในการปลุกห้องเจ้าสาว[1]ด้วย เฟิงหลีเลี่ยจึงแบกนางขึ้นบ่า แล้วนำไปปล่อยตัวลงบนเตียง จากนั้นก็ ‘อธิบาย’ ให้นางเข้าใจว่าอะไรคือการปลุกห้องเจ้าสาว สุดท้ายมู่หรงชูอวิ๋นได้แต่นอนทำหน้าตาน่าสงสารอยู่บนเตียง เอ่ยสัญญาว่าจะไม่งอแงอีกแล้ว เฟิงหลีเลี่ยถึงได้ยอมปล่อยนาง แม้จะยังไม่อยากหยุดแกล้งนางก็ตาม กระทั่งเช้าวันถัดมามู่หรงชูอวิ๋นหมดเรี่ยวแรง แม้แต่แขนก็ยกไม่ขึ้น ด้วยเหตุนี้นางจึงรู้สึกหวาดกลัวกับการปลุกห้องเจ้าสาว ขอเพียงมีคนพูดถึงการปลุกห้องเจ้าสาว นางก็จะวิ่งหนีทันที

 

 

อย่างไรแล้วที่นี่ก็มีคนเข้มงวดอย่างเฟิงหลีเลี่ยอยู่ทั้งคน ทุกคนจึงไม่กล้าทำอะไรสะเพร่า แล้วมู่เหยียนนั้นก็เป็นผู้ช่วยคนสำคัญของเขา แน่นอนว่าเขาก็อยากให้งานแต่งงานนั้นออกมาดีที่สุด

 

 

กระทั่งถึงเวลาชนจอกเหล้ามงคล มู่เยี่ยนที่ดื่มมาพอประมาณได้เดินไปตบหัวไหล่ของมู่เหยียนกล่าวว่า “ดูแลนางให้ดีนะ” ไม่เช่นนั้นเขาจะแย่งนางกลับคืนมาโดยไม่สนใจว่าจะด้วยวิธีการใด

 

 

ในใจของมู่เหยียนมีความรู้สึกทั้งหวานทั้งขม ดีใจเสียใจปะปนกันไปหมด “ขอบใจมาก” ขอบใจที่เจ้าไม่ได้มาทำลายเรื่องนี้ทุกวิถีทางเพราะความชอบที่เจ้ามีต่อนาง มู่เหยียนไม่รับประกันว่าตนเองจะเอาชนะมู่เยี่ยนได้ เพราะเขาเป็นคนซื่อบื้อ เอาใจไม่เก่ง ดังเช่นเฟิงหลีเลี่ยเคยให้พวกเขาแสดงความคิดเห็นเรื่องส่งของกิน เขามักจะคิดถึงของง่ายๆ แค่หมั่นโถวกับซาลาเปา แต่มู่เยี่ยนนั้นมักจะเสนอให้ส่งขนมไปให้

 

 

เมื่อถึงเวลาที่เขาต้องเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาว ก็ได้เห็นดวงตาเขินอายของหลานเอ๋อร์ กะพริบปรับสายตาเพื่อรับแสงที่แยงตาเข้ามา เป็นแววตาที่เปล่งประกายดั่งน้ำใส เห็นแล้วเป็นต้องหลงใหล

 

 

“หลานเอ๋อร์…”

 

 

หลานเอ๋อร์ถูกสายตาของเขาจ้องมองจนต้องก้มหน้าหลบเพราะความเขินอาย

 

 

เมื่อแกะผ้าคาดเอวออก เสื้อผ้าบนกายของหลานเอ๋อร์พลันหลุดออก เผยให้เห็นผิวขาวดั่งหิมะและเรือนร่างอรชร ดวงตาของมู่เหยียนหรี่ลงเขม้นมองไปที่นาง หลานเอ๋อร์ถูกจ้องจนเขิน ใบหน้าแดงก่ำไปหมด

 

 

วันถัดมา กว่าจะตื่นขึ้นมาก็เป็นเวลาเที่ยงแล้ว หลานเอ๋อร์รู้สึกปวดเมื่อยเนื้อตัวไปหมด ขยับตัวแทบไม่ได้ เมื่อเลิกผ้าห่มออกเห็นเรือนร่างตนเองมีรอยเขียวช้ำ ในที่สุดก็ได้เข้าใจแล้วว่าเหตุใดวันนั้นมู่หรงชูอวิ๋นจึงเป็นเช่นนี้ โชคดีที่เฟิงหลีเลี่ยใจดีอนุญาตให้นางลาหยุด วันนี้นางจึงไม่ต้องไปปรนนิบัติมู่หรงชูอวิ๋น ไม่เช่นนั้นนางคงจะลุกไม่ไหวจริงๆ

 

 

มู่เหยียนเดินเข้ามาเห็นหลานเอ๋อร์กอดผ้าห่มท่าทางเหม่อลอย จึงวางถาดอาหารในมือลง ก่อนจะเอ่ยถาม “เป็นอะไรหรือ ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”

 

 

หลานเอ๋อร์เขินจนหน้าแดง มือกุมผ้าห่มไว้แน่น ไม่กล้าขยับตัว หรี่ตามองค้อนใส่เขาไปที เหตุผลก็กระจ่างแจ้งแก่ใจ ยังจะมาถามตรงๆ เช่นนี้อีก ช่างเป็นเจ้าทึ่มเสียจริงๆ

 

 

มู่เหยียนถูกนางมองด้วยสายตาเช่นนี้ก็กลืนน้ำลายลงคอ แล้วภาพเหตุการณ์เมื่อคืนก็ฉายชัดขึ้นมาตรงหน้า พลันรู้สึกคอแห้งกลืนน้ำลายไม่ลงในทันที

 

 

“ไม่เป็นอันใด” ทว่านางพยุงตัวจะลุกขึ้นได้ไม่เท่าไรก็ล้มลงไป คิ้วขมวดด้วยรู้สึกไม่ค่อยสบายตัว

 

 

“ไม่ได้การ ข้าจะไปตามหมอให้เจ้า” มู่เหยียนเห็นว่าท่าทางของนางไม่ไหวแล้ว คิ้วงามขมวดเป็นรอยไปหมด จึงรีบวิ่งออกไปทางประตู

 

 

หลานเอ๋อร์มือไม่ไวจึงคว้าเขาไว้ไม่ทัน เห็นเขาวิ่งไปเกือบถึงหน้าประตูแล้ว “คนโง่ หยุดเดี๋ยวนี้นะ”

 

 

มู่เหยียนหยุดชะงักฝีเท้าอย่างพาซื่อและเชื่อฟัง

 

 

“ไม่ได้เป็นอันใดมากเสียหน่อย เพียงแต่…อ่อนเพลียอยู่บ้าง” ประโยคสุดท้ายที่พูดเสียงพลันแผ่วลงไป

 

 

 

 

 

[1] ปลุกห้องเจ้าสาว หมายถึง วิธีการหนึ่งที่แขกในงานกระทำต่อคู่บ่าวสาวอย่างสนุกสนานครื้นเครง ทั้งนี้ หากต่างพื้นที่ ต่างประเพณี การปลุกห้องเจ้าสาวก็จะแตกต่างไปด้วย

362 โจร 1

 

 

พ่อบ้านผู้เฒ่ามองดูรถม้าที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวไกลออกไป แล้วเช็ดหางตาที่มีริ้วรอยอย่างชัดเจน หันมองพระตำหนักอี้หวังหลังมโหฬารทางด้านหลังตัวเอง พลันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจ เกรงว่าบรรยากาศคึกคักในตำหนักอ๋องคงต้องกลับมาเงียบเหงาอีกครั้งแล้ว ทว่าเขาจะต้องทำตัวเองให้ร่าเริงขึ้นมา เพราะอย่างไรแล้วเขาจะต้องช่วยดูแลพระตำหนักแทนท่านอ๋องและพระชายาให้ดี

 

 

หวังว่าเมื่อพวกเขากลับมาแล้วจะไม่ได้มีเพียงสองคนอีกต่อไป แต่จะต้องมีลูกน้อยเพิ่มขึ้นมาด้วย เช่นนั้นเขาก็คงจะตายตาหลับได้เสียที

 

 

เมื่อไม่นานมานี้เฟิงหลีเลี่ยได้ร่างจดหมายถวายแด่ฮ่องเต้ เนื่องจากยังไม่อาจกำหนดวันกลับที่แน่นอนได้ และไม่อาจรับประกันได้ว่าจะกลับมาเมื่อใดด้วย อีกอย่างเฟิงหลีเลี่ยก็รู้ข้อมูลจากปากของหมอเทพเพียงว่ายานั่นอยู่ที่ใด จึงต้องเดินทางแสนยาวไกล ซึ่งฮ่องเต้ยังทรงหยิบยกเรื่องนี้มาเสียดสีเขาอยู่รอบหนึ่ง ทว่าสุดท้ายก็ทรงพระราชทานอนุญาตปล่อยเขาไปด้วยพระทัยที่กว้างขวาง อย่างไรแล้วพ่อตาของเฟิงหลีเลี่ยก็ยังประจำการอยู่ที่ชายแดน ช่วยพระองค์ต่อสู้แทนเพื่อแผ่นดิน ฮ่องเต้จึงไม่มีเวลาไปสนพระทัยเรื่องของเฟิงหลีเลี่ยมากนัก เพียงแค่เรื่องในราชสำนักก็วุ่นวายพอแล้ว ไหนจะราชกิจอีกเป็นกองรอให้พระองค์จัดการ ส่วนคนที่จะมาช่วยแบ่งเบาได้ก็ช่างหายากเหลือเกิน

 

 

หลานเอ๋อร์และมู่เหยียนนั่งบนรถม้าคันเดียวกัน การเดินทางในครั้งนี้ให้คนติดตามไปด้วยไม่เท่าไร เพื่อการเดินทางที่สะดวกและคล่องตัว จึงเลือกคนติดตามไปเพียงไม่กี่คนเท่านั้น อย่างไรแล้วหากมีคนจำนวนมากในขบวนเดินทางจะกลายเป็นจุดสนใจมากเกินไป ทว่าเขาก็ยังมีองครักษ์ลับซ่อนตัวคอยคุ้มกันอยู่อีกไม่น้อย ส่วนมู่เยี่ยนขึ้นไปนั่งเป็นคนขับรถม้าให้กับพวกเขา

 

 

หมอเทพได้ร้องไห้ร่ำลากับเจ้าลาของเขา หน้าตาเศร้าเสียใจเป็นที่สุด ใครไม่รู้จะคิดได้ว่าเป็นการลาจากกันชั่วชีวิตเสียอีก

 

 

มู่หรงชูอวิ๋นทอดมองทิวทัศน์ข้างนอกด้วยความตื่นเต้น ภาพทิวทัศน์สลับสับเปลี่ยนไปมาตลอดทาง ทำให้มองเท่าใดก็ไม่รู้จักเบื่อหน่าย เป็นความเพลิดเพลินอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อเดินทางผ่านแล้วเห็นอะไรที่น่าสนุก พวกเขาก็จะแวะพักเดินเล่นกันสักครู่หนึ่ง เมื่อพอใจแล้วถึงได้เดินทางต่อ

 

 

บนท้องฟ้ายังมีปุยหิมะโปรยปรายลงมาบ้างเป็นครั้งคราว

 

 

เฟิงหลีเลี่ยปล่อยให้นางได้เล่นสนุก อย่างไรแล้วก็ถูกขังอยู่ในเมืองหลวงอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด เว้นเสียแต่เขามีเวลาว่างถึงจะได้พานางออกไปเที่ยวเล่นบ้าง แต่โอกาสเช่นนั้นนับวันก็ยิ่งมีน้อยลงไปทุกที แล้วการเดินทางในครั้งนี้พวกเขาไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ ทั้งยังสามารถเลี่ยงจากน้ำโคลนในเมืองหลวงนั้นได้ทันเวลาพอดี ทว่าเขาปล่อยให้นางได้ลงไปเที่ยวเล่นพอสมควรแล้วก็รีบพานางกลับขึ้นรถม้า เพราะสภาพอากาศด้านนอกยังคงหนาวเย็นอยู่มาก

 

 

ทางด้านเฟิงหลีเย่ได้ฟังการตัดสินใจของเฟิงหลีเลี่ยเช่นนี้ ก็คิดอยากจะติดตามมาด้วย โดยให้เหตุผลว่าจะได้เรียนรู้โลกกว้างมากขึ้น ทว่าพระสนมเซียวกลับโมโหจึงสั่งขังลูกไม่รู้จักโตคนนี้เอาไว้ในตำหนัก แล้วตัดสินใจจะหาพระชายามาแต่งให้เขาในทันที จะได้จัดการดูแลเขาให้ดี ไม่ให้เขาทำอะไรตามอำเภอใจได้อีก

 

 

พวกเขาเดินทางได้ระยะหนึ่งแล้วก็หยุดแวะพัก เวลาผ่านไปหนึ่งเดือนแล้วทว่ายังเดินทางไปได้ไม่ถึงครึ่งทาง หมอเทพอดไม่ได้บ่นไปหลายครา เขาไม่ได้มาเที่ยวชมภูเขาลำธารเสียหน่อย ปกติหากเขาเดินทางคนเดียว ระยะเวลาเท่านี้เขาสามารถเดินทางไปกลับได้รอบหนึ่งแล้ว ทว่าไม่มีใครสนใจเขา หมอเทพทำท่าทางเกรี้ยวโกรธขึงขังอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ไปเอง รู้สึกเพียงว่าคนกลุ่มนี้เป็นพวกไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่

 

 

วันนี้พวกเขาเดินทางผ่านเส้นทางภูเขาอันคดเคี้ยว ที่มีหุบเขาลึกสองลูกขนาบกั้นเป็นทางเดิน รอบด้านมีแต่หินหน้าตาแปลกประหลาด เส้นทางที่เดินเข้าไปก็ยิ่งแคบเล็กลงเรื่อยๆ ดูจากคำแนะนำบนแผนที่แล้ว บริเวณที่แคบที่สุดสามารถให้รถม้าผ่านได้เพียงครั้งละหนึ่งคันเท่านั้น ก้อนเมฆลอยเคลื่อนล้อมรอบหุบเขา มีลมแรงพัดหวน เวลาเดินผ่านจึงต้องหรี่ตาไว้ ทำให้ไม่อาจมองเห็นว่ายอดเขานั้นมีสภาพเป็นเช่นไร ทุกคนจึงเพิ่มการระวังตัวมากขึ้น เฟิงหลีเลี่ยใบหน้าคมเข้มดวงตาแหลมคมดั่งเหยี่ยวจริงจังขึ้นมาก แม้แต่มู่หรงชูอวิ๋นที่ชอบแกล้งชอบก่อกวนยังรู้สึกถึงความไม่ปกติของบรรยากาศเช่นนี้ได้ จึงนั่งซบอยู่ในอ้อมแขนของเฟิงหลีเลี่ยอย่างเชื่อฟัง ไม่กระดุกกระดิกตัวไปไหน แม้แต่ม่านหน้าต่างนางก็ยังไม่ไปเปิดมอง มีเพียงลมหายใจร้อนผ่าวที่รินรดต้นคอเรียวยาวของเฟิงหลีเลี่ยอยู่เป็นครั้งคราว

 

 

ทว่าพวกเขาไม่อาจหยุดเดินทางได้ในตอนนี้ เพราะในช่วงสองสามวันมานี้หิมะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ เชื่อว่าอีกไม่นานจะต้องมีกองหิมะปิดกั้นเส้นทางบนภูเขาทั้งลูกเป็นแน่ ถึงเวลานั้นคิดอยากจะออกไปจากหุบเขานี้ได้ก็คงต้องรอให้ถึงฤดูใบไม้ผลิเสียก่อน ซึ่งอย่างน้อยๆ ก็ต้องอีกสองสามเดือนเห็นจะได้ ดังนั้นไม่ว่าจะอย่างไรวันนี้พวกเขาก็จะต้องผ่านเส้นทางนี้ไปให้ได้

363 โจร 2

 

 

ตุ้บ! มีเสียงของหนักอย่างหนึ่งตกลงมา มู่เยี่ยนดึงบังเ**ยนม้าในมือไว้แน่นบังคับให้รถหยุด สายตาแหลมคมกวาดมองสภาพโดยรอบ มือขวาจับด้ามกระบี่ พร้อมจะชักออกมาได้ตลอดเวลา

 

 

มู่หรงชูอวิ๋นตกใจ ลุกขึ้นนั่งหลังตรงตัวแข็งทื่อไปหมด

 

 

เฟิงหลีเลี่ยดึงมู่หรงชูอวิ๋นที่เป็นนกตื่นธนู[1] เข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของตนเอง พลางลูบแผ่นหลังปลอบขวัญนาง ก่อนจะจูบผมสลวยของนาง แล้วจ้องดวงตาดำขลับใสเปล่งประกายของนางพลางเอ่ยปลอบว่า “ไม่ต้องกลัว ไม่มีเรื่องอันใดหรอก” มีเขาอยู่ด้วย ไม่มีใครจะมาทำร้ายมู่หรงชูอวิ๋นได้

 

 

น้ำเสียงของเขาเรียบและทุ้มต่ำ เปี่ยมด้วยพลังที่แสดงถึงความสุขุมเยือกเย็น ให้ความรู้สึกปลอดภัย ช่วยให้รู้สึกสงบจิตใจลงได้เป็นอย่างมาก ภายใต้การปลอบโยนของเขาทำให้มู่หรงชูอวิ๋นผ่อนคลายลงไปไม่น้อย

 

 

มู่หรงชูอวิ๋นฟังเสียงหัวใจตรงหน้าอกของเฟิงหลีเลี่ยที่กำลังเต้นอย่างรุนแรง พลางพยักหน้า

 

 

“จะมาปล้นข้าทำไม ข้าเป็นเพียงคนแก่ยากจนก็เท่านั้น” ด้านนอกมีเสียงตกใจอกสั่นขวัญแขวนของหมอเทพดังขึ้นมา

 

 

เดิมทีมู่หรงชูอวิ๋นอยากจะเปิดผ้าม่านออกดู ทว่าเฟิงหลีเลี่ยห้ามไว้ก่อน พร้อมกับช่วยสวมหมวกให้กับมู่หรงชูอวิ๋น ผ้าผืนยาวห้อยลงมาถึงหน้าอกของมู่หรงชูอวิ๋น ทำให้การมองเห็นของนางพร่ามัวมองอะไรได้ไม่ชัด

 

 

“เหตุใดยังตามข้ามาอีก ช่วยข้าด้วย…”

 

 

หมอเทพกุมศีรษะวิ่งหลบซ้ายหลบขวา ภายใต้การคุ้มกันขององครักษ์ลับและเหล่าทหาร ทว่าเขาถูกเหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้ตกใจเสียขวัญ จนลืมไปว่าตนเองก็ยังพอมีวรยุทธ์แมวสามขาอยู่บ้าง

 

 

เสียงหินก้อนใหญ่ที่กลิ้งตกลงมาจากยอดเขาเมื่อครู่นี้ ได้ปิดเส้นทางทั้งหมดของพวกเขาไว้ จากนั้นรถม้าคันที่หมอเทพนั่งมาก็ได้รับอันตราย ถูกโจรกระหน่ำยิงธนูใส่จนหลังคาพังเสียหาย หากไม่ใช่เพราะตอนนั้นมู่เยี่ยนปฏิกิริยาตอบสนองว่องไว ดึงเขาออกไปได้ทันเสียก่อน ไม่เช่นนั้นเขาก็คงจะถูกยิง ต้องสังเวยชีวิตไปเสียแล้ว

 

 

เสียงคมดาบฟาดฟันกันดังแสบแก้วหู แว่วดังขึ้นข้างหูของมู่หรงชูอวิ๋นไม่หยุด ทว่าก็ไม่มีใครสักคนเข้ามาใกล้รถม้านี้ได้ แม้แต่ในบริเวณวงแคบสามฉื่อ[2]ก็ยังไม่อาจบุกเข้ามาได้ ดังนั้นกลิ่นคาวเลือดจึงไม่ได้เข้มข้นมากนัก บรรยากาศในรถม้าของนางมีกลิ่นหอมอ่อนๆ โชยอยู่ภายใน เป็นกลิ่นหอมของน้ำชาใสนั่นเอง

 

 

รอกระทั่งเหตุการณ์สงบลง หมอเทพที่ตกใจกลัวอกสั่นขวัญหายก็ไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งนั้น เขาเดินมาอยู่ตรงหน้ารถม้าของเฟิงหลีเลี่ยด้วยท่าทางโมโหฉุนเฉียว แล้วตะโกนเสียงดังไปยังม่านหน้าต่างของรถม้า “เฟิงหลีเลี่ย เจ้ามันร้ายกาจนักนะ ชีวิตของข้ามันไร้ค่าเพียงนั้นเลยหรือ?” หมอเทพไม่สงวนท่าทีหรือเก็บอาการตัวเองเลยสักนิด เหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้เขาเกือบเอาตัวไม่รอดอยู่หลายครั้ง

 

 

เขายังนึกเอะใจว่าเหตุใดเฟิงหลีเลี่ยถึงได้ใจดีขึ้นมา ที่แท้เมื่อวานที่เฟิงหลีเลี่ยยอมเปลี่ยนรถม้ากับเขาก็เพราะแบบนี้ หมอเทพโวยวายว่าพวกเขาเดินทางชักช้าเช่นนั้นเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเดือนไหนปีไหนจะไปถึงที่หมายเสียที เขานั่งรถม้าสั่นสะเทือนจนปวดก้นไปหมดแล้ว เฟิงหลีเลี่ยไม่รู้ว่าจะเถียงกับคนหัวรั้นนี้อย่างไร จึงบอกปัดไปว่าจะยอมเปลี่ยนรถม้ากับเขา ซึ่งในตอนนั้นก็ทำให้หมอเทพตะลึงกะพริบตาปริบๆ อย่างเหลือเชื่อไปเลยทีเดียว เขายังรู้สึกว่าในตอนนั้นเฟิงหลีเลี่ยเป็นคนที่มีคุณธรรมอย่างมาก เดิมทีคิดอยากจะปฏิเสธ ก็รถม้าคันของเขาคับแคบ ให้เขานอนคนเดียวยังรู้สึกอึดอัดเลย ทว่าเพราะเดินทางมาเหนื่อยจริงๆ จึงตอบตกลงไปอย่างกึ่งรับกึ่งสู้ ใครจะไปล่วงรู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ดั่งเช่นวันนี้ เหตุที่พวกโจรเหล่านั้นยิงธนูใส่หลังคารถคันที่เขานั่งอยู่ก่อนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะรถคันนั้นดูหรูหราโอ่อ่ากว่าคันอื่น ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าพวกโจรย่อมต้องเลือกลงมือกับเขาก่อน ใครจะไปปล้นขอทานหัวเหม็นที่ขี่ลาตัวน้อยกันเล่า หากว่าหมอเทพได้รู้ความคิดของโจรเช่นนี้ เขายอมที่จะขี่ลาตัวเล็กของตัวเอง ดีกว่ามานั่งรถม้ากับพวกเขา ที่พากันคิดไปเองว่าจะปลอดภัย

 

 

เกรงแต่ว่าเฟิงหลีเลี่ยได้คำนวณทุกอย่างไว้หมดแล้ว รู้ว่าบริเวณนี้ไม่ค่อยน่าไว้ใจจึงได้ยอมเปลี่ยนรถกับเขา อีกทั้งจะเปลี่ยนทั้งทีก็ไม่เปลี่ยนเสียเนิ่นๆ แต่เพิ่งจะมาเปลี่ยนเมื่อไม่นานนี้ เพราะเห็นแก่ความสบายเพียงเล็กน้อย หมอเทพเกือบได้เอาชีวิตของตัวเองไปทิ้งเสียแล้ว หนำซ้ำยังหลงกลอุบายอย่างโง่เขลาเช่นนี้ อยู่มาทั้งชีวิตเขายังไม่เคยถูกใครเล่นงานเช่นนี้ เพียงแค่คิดก็โมโหจนแทบอยากจะฉีกเฟิงหลีเลี่ยเป็นชิ้นๆ

 

 

 

 

[1] นกตื่นธนู เป็นสำนวนจีน ใช้เปรียบเทียบคนที่เคยผ่านเหตุการณ์ไม่ดีมา เมื่อภายหลังมีอะไรมากระทบเล็กน้อยก็จะตื่นกลัวอย่างมาก

 

 

[2] ฉื่อ (尺) หน่วยวัดระยะของจีน ความยาวประมาณ 1 ฟุต

364 สละชีวิตเพื่อคุณธรรม

 

 

เฟิงหลีเลี่ยได้ยินเสียงหมอเทพตะโกนโวยวายอยู่ด้านนอก แต่ก็หาได้รู้สึกไม่พอใจ เพียงยิ้มมุมปากพลางพูดผ่านทางม่านหน้าต่างปลิวไสวนั้น “ท่านอาวุโสจะเคืองโกรธไปไย ช่วยคนให้พ้นภัย สละชีพเพื่อคุณธรรม มีจิตใจแห่งความเมตตาโดยแท้ บนผืนแผ่นดินนี้ยากจะหาคนที่ข้ายอมยกย่องนับถือเช่นนี้ได้ ท่านอาวุโสก็เป็นหนึ่งในนั้น”

 

 

มู่เยี่ยนแอบชื่นชมเจ้านายของตัวเองอยู่ในใจ สามารถเปลี่ยนดำให้เป็นขาว พูดจากผิดเป็นถูกได้เช่นนี้ อีกทั้งยังพูดออกมาได้อย่างสง่างามจนใครก็ไม่อาจคัดค้านได้ เกรงว่าคงมีแต่นายท่านของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะทำได้ถึงขั้นนี้

 

 

เมื่อวานตอนที่เปลี่ยนรถม้า พวกเขาต่างแอบรู้สึกสงสารอยู่ในใจลึกๆ มองดูหมอเทพผู้ไม่รู้เรื่องราวอะไร หอบห่อผ้าของตนเองไปเปลี่ยนตำแหน่งกับเฟิงหลีเลี่ยอย่างดีอกดีใจ

 

 

เมื่อหมอเทพได้ยินเช่นนี้แล้วก็ถึงกับสะอึก เกือบสำลักเลือดที่กำลังพลุ่งพล่านของตัวเองตาย โกรธตัวสั่นชี้ไปทางม่านหน้าต่างผืนหนานั้นอยู่นานทว่าก็พูดอะไรไม่ออก เขาไม่อยากได้คุณธรรมอะไรพวกนี้สักหน่อย มิเกือบต้องเอาชีวิตไปทิ้งเสียแล้วหรอกหรือ ยังจะให้เอาสิ่งลวงตาเหล่านี้มาทำประโยชน์อันใด อย่างไรแล้วเรื่องทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะเฟิงหลีเลี่ยหลอกตน ประเดี๋ยวรอให้ได้รู้สถานะของเขาก่อนเถิด ถึงตอนนั้นเขาจะให้เฟิงหลีเลี่ยมาคำนับเรียกเขาว่า ‘ท่านปู่’ อย่างนอบน้อมเลยคอยดู

 

 

หลังจากนั้นมา ไม่ว่าหมอเทพจะพบหน้าเฟิงหลีเลี่ยกี่ครั้งก็ไม่คิดสบตา บางคราก็มองเขาด้วยสายตาไม่ชอบใจ มักจะปรายตามองอย่างเกียจคร้าน ทำสีหน้ารังเกียจเป็นที่สุด

 

 

“นายท่าน ทั้งหมดเป็นโจรภูเขาขอรับ” มู่เหยียนรายงานด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

 

 

หมอเทพมองค้อนใส่พวกเขาทุกคน แล้วเดินจากไปด้วยท่าทีโมโห ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่มีที่จะอยู่แล้ว รถม้ามีทั้งหมดสามคัน คันของเขาเสียหายไปแล้ว เมื่อกวาดตามองโดยรอบสุดท้ายจึงขึ้นไปนั่งเบียดบนรถม้าของหลานเอ๋อร์ เขาชำเลืองมองหลานเอ๋อร์ไปทีเห็นนางมีท่าทางตกใจ บีบฝ่ามือไว้แน่นจนไร้เลือดฝาด เขาจึงเลือกจะเข้าไปนั่งซุกตัวอยู่ข้างหนึ่งแล้วหลับตาลงเสีย

 

 

เพียงครู่บรรยากาศในรถม้าก็สงบลงไป ตอนที่โจรภูเขาโผล่ออกมา มู่เหยียนก็ลงจากรถม้าไปจัดการ ขณะที่กำลังจะออกไปนั้นได้หันมามองหลานเอ๋อร์ด้วยสายตาเป็นห่วง หลานเอ๋อร์ยิ้มให้แทนความหมายว่า ‘วางใจเถิด’ มู่เหยียนถึงได้ตัดใจยอมจากไป

 

 

ก่อนหน้านี้หลานเอ๋อร์ตกใจจนแทบหยุดหายใจ มีโจรคนหนึ่งยื่นมือเข้ามาในรถม้า ทว่าสุดท้ายมือนั่นก็ถูกตัดขาดตรงหน้าของนาง เลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว ก่อนจะตกลงไปใต้รถ ในตอนนั้นนางหวังยิ่งกว่าใครๆ อยากให้มู่เหยียนมาอยู่ข้างกายนาง แต่นางก็รู้ว่ายากนัก เพราะพวกเขาล้วนแต่เป็นข้ารับใช้

 

 

มู่เหยียนหายไปนานก็ยังไม่เห็นจะกลับมา ด้านนอกมีเพียงเสียงเคลื่อนไหวแว่วอยู่ไกลๆ ทว่าไม่มีเสียงพูดคุยเลยสักนิด พลันอดเป็นห่วงความปลอดภัยของมู่เหยียนไม่ได้ นางทำได้เพียงนั่งหวาดหวั่นอยู่ในรถเท่านั้น มู่เหยียนออกไปต่อสู้อยู่ข้างนอก ไม่รู้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บหรือไม่ นางอยากจะเปิดม่านออกไปดู ทว่าตำแหน่งที่หมอเทพนั่งอยู่ตรงหน้าต่างพอดี ทั้งยังนั่งบังหน้าต่างไว้มิดชิด ไม่เหลือแม้เพียงช่องเล็กๆ ให้นางได้สอดส่องมองดู

 

 

นางจึงเอ่ยปากกับหมอเทพที่นั่งตัวตรงไม่ขยับ “ท่านอาวุโส ด้านนอกเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?” นางกลั้นหายใจ ราวกับกลัวว่าตนเองจะพลาดอะไรไป

 

 

หมอเทพลืมตาขึ้นมา เห็นนางมีสีหน้ากลัดกลุ้มคิ้วขมวดย่น จึงตอบไปว่า “เขาไม่เป็นอันใด” เขาเป็นคนแยกแยะบุญคุณความแค้นได้ ถึงแม้จะไม่พอใจเฟิงหลีเลี่ย แต่ก็จะไม่เอาความคับแค้นนั้นมาลงที่ผู้บริสุทธิ์เด็ดขาด อีกอย่างหลานเอ๋อร์ก็ปฏิบัติกับเขาอย่างดี เวลามีของอร่อยก็จะนำมาให้เขา แม้ว่าของเหล่านั้นจะเป็นของเฟิงหลีเลี่ยและมู่หรงชูอวิ๋นก็ตาม

 

 

หลานเอ๋อร์พลันโล่งใจขึ้นมาได้บ้าง หน้าตาผ่อนคลายลงมาก ยังดีที่เขาไม่เป็นอันใด แล้วพนมมือหลับตาอธิษฐาน

 

 

หมอเทพกวาดตามองท่าทางของนาง พลันกระตุกมุมปากก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง การกระทำเช่นนี้เขาเห็นมามากแล้ว มีบางคนเพื่อต้องการรักษาโรคให้หาย ก็ได้แต่อธิษฐานขอพรกับสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงเหล่านี้ ทว่าเขาก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะอย่างไรแล้วสิ่งนั้นก็เป็นที่พึ่งทางจิตใจอย่างหนึ่ง หากว่าไม่มีที่พึ่งทางใจนี้แล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะมีคนอีกมากมายเท่าไรที่ไม่อาจปล่อยวางทุกสิ่งอย่างได้

365 ตั้งครรภ์ 1

 

 

ครั้นมู่หรงชูอวิ๋นลงจากรถม้า ทุกอย่างก็หายไปหมดแล้ว เศษแขนเศษขาต่างก็ถูกจัดการเก็บกวาดจนเกือบหมดสิ้น เพียงแต่หากใช้เท้าเขี่ยเบาๆ บนพื้นหิมะผิวบางนั้น ก็ยังสามารถมองเห็นคราบเลือดจางๆ ที่ยังไม่ทันละลายจางหายไปได้บ้าง มู่หรงชูอวิ๋นย่นจมูกอย่างไม่ค่อยชินกับกลิ่นคาวเลือดที่ฟุ้งตลบอยู่รอบตัวนาง ทำให้นางรู้สึกพะอืดพะอมเป็นที่สุด จึงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาปิดปาก คิ้วขมวดหนักขึ้น ท่าทางอยากจะอาเจียน

 

 

หลานเอ๋อร์ที่เพิ่งจะได้รับอนุญาตให้ลงมาจากรถม้าได้ อย่างไรแล้วหญิงสาวทั้งสองก็ไม่เคยเห็นภาพเช่นนี้มาก่อน เพื่อไม่ให้พวกนางต้องรู้สึกตกใจกลัว พวกนางจึงไม่ได้รับอนุญาตให้ลงจากลงม้า จนกว่าสถานการณ์ด้านนอกจะเรียบร้อย หลานเอ๋อร์เห็นท่าทางเช่นนั้นของมู่หรงชูอวิ๋น จึงรีบเข้าไปช่วยพยุงมู่หรงชูอวิ๋นไว้ พลางช่วยลูบแผ่นหลังให้เบาๆ “คุณหนู ไม่เป็นอะไรใช่ไหมเจ้าคะ”

 

 

จะว่าไปเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ก็เป็นครั้งแรกที่พวกนางได้พบเจอ ก่อนหน้าที่มู่หรงชูอวิ๋นจะแต่งงาน ฮูหยินผู้เฒ่าและคนทั้งตระกูลมู่หรงได้ดูแลฟูมฟักนางอย่างดี ให้นางอยู่แต่ในห้องอันอบอุ่น หลังแต่งงานกับเฟิงหลีเลี่ยแล้ว เขาก็คอยปกป้องดูแลนางอยู่ตลอด ไหนเลยจะเคยพบเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้ได้ แม้แต่ตัวเองก็ยังหวาดกลัวจนแทบจะเป็นลมล้มพับไป

 

 

มู่หรงชูอวิ๋นเพิ่งจะยิ้มขึ้นมาได้ ทว่าอยู่ๆ ก็หน้าซีดโดยฉับพลัน กุมหน้าอกแน่นแล้วเบี่ยงศีรษะก้มลงไปอาเจียนอยู่ที่พื้น นางพะอืดพะอมอยู่นานแต่ก็ไม่ได้อาเจียนอะไรออกมา เพียงรู้สึกคลื่นเ**ยนเท่านั้น น้ำตาไหลอย่างรู้สึกทรมาน ท่าทางน่าสงสารยิ่งนัก

 

 

เสียงอุทานของหลานเอ๋อร์ดึงสายตาของทุกคนให้หันมามอง เฟิงหลีเลี่ยที่อยู่ห่างไปไม่ไกล เมื่อได้ยินเสียงของพวกนางก็หาได้สนใจแล้วว่าเรื่องที่จัดการอยู่เสร็จเรียบร้อยหรือไม่ เขารีบสาวเท้าเข้ามาช่วยประคองมู่หรงชูอวิ๋นไว้ ความรู้สึกสงสารเอ่อล้นขึ้นมาในใจ “เป็นอะไรไป อวิ๋นเอ๋อร์?” หากว่ามู่หรงชูอวิ๋นเป็นอะไรขึ้นมา เขาก็ไม่รังเกียจที่จะจับพวกโจรไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำพวกนั้นมาสับเป็นหมื่นพันชิ้น

 

 

เดิมทีมู่หรงชูอวิ๋นอยากจะส่ายหน้าบอกเฟิงหลีเลี่ยว่านางไม่เป็นอันใด ทว่ายังไม่ทันได้อ้าปากพูด อาการพะอืดพะอมนั้นก็กลับมาอีกครั้ง ให้ความรู้สึกทรมานอย่างมาก แต่ก็ยังไม่มีอะไรอาเจียนออกมาเช่นเดิม

 

 

เฟิงหลีเลี่ยประคองนางไว้ ช่วยลูบหลังให้นางเบาๆ พลางกวาดสายตาเย็นชามองไปยังหมอเทพที่นั่งแทะน่องเป็ดอยู่ข้างกองไฟด้วยท่าทางสบายอารมณ์

 

 

หมอเทพพลันรู้สึกเย็นเสียวที่สันหลังเหมือนมีลมเย็นยะเยือกพัดโชยมา เขาคงไม่ได้ไปล่วงเกินท่านพญายมเข้าใช่ไหม พระองค์จึงได้สั่งให้ยมทูตเฮยไป๋อู๋ฉาง[1]มาเก็บชีวิตของเขาไปเสีย สายตาระแวดระวังหวาดกลัวกวาดมองโดยรอบ พลันประสานเข้ากับดวงตาดำเข้มของเฟิงหลีเลี่ยที่เปล่งประกายสีม่วงเข้มเล็กน้อย มองแล้วดูลึกล้ำน่าหวาดหวั่น รู้สึกได้ถึงความเย็นชาวาบไหวในแววตาคู่นั้น ถึงว่าเหตุใดหมอเทพจึงรู้สึกเหมือนมียมทูตเฮยไป๋อู๋ฉางมาอยู่ข้างกาย ที่แท้ก็เป็นเพราะเด็กหนุ่มคนนี้นี่เอง

 

 

เดิมคิดอยากจะเมินใส่เขาเสียหน่อย แต่เหลือบไปเห็นมู่หรงชูอวิ๋นที่พิงกายอยู่ในอ้อมอกของเฟิงหลีเลี่ยด้วยสภาพไร้เรี่ยวแรง พลันหัวคิ้วกระตุก ปรับสีหน้าทำทีบึ้งตึงแล้วเดินเข้าไปช่วยดูอาการ ไม่แปลกที่เมื่อครู่ตนนั่งกินน่องเป็ดอยู่จึงรู้สึกว่าไม่อร่อย ที่แท้ก็เพราะไม่มีคนแย่งกิน

 

 

เมื่อเดินมาถึงข้างกายพวกเขาแล้ว เขาก็ยังทำหน้าบึ้งตึง ไม่วายเชิดหน้าทำท่ารังเกียจรังงอนอยู่เช่นเดิม

 

 

หมอเทพวัดชีพจรที่ข้อมือของมู่หรงชูอวิ๋นอยู่นาน ด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าใดนัก

 

 

“มีอะไรหรือ”

 

 

“เจ้าทำความดีบ้างไหม”

 

 

เฟิงหลีเลี่ยจับต้นชนปลายไม่ถูก เขาเข้าใจว่าเป็นเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ทำให้มู่หรงชูอวิ๋นล้มป่วย จึงหันไปถลึงตาจ้องมองพวกโจรภูเขาที่ถูกจับมัดเชือกไว้ นั่งคุกเข่าอยู่ข้างกำแพงหินด้วยท่าทีหวาดกลัวตัวสั่นเทา

 

 

หมอเทพรู้สึกหมดคำจะพูด บังเกิดความรู้สึกสงสารแทนพวกโจรที่เมื่อครู่เกือบจะตัดศีรษะเขาไปเสียแล้ว ปล้นใครไม่ปล้น ต้องเลือกมาปล้นยมบาลตัวเป็นๆ เช่นนี้ ก่อนจะกลอกตาขาวใส่เฟิงหลีเลี่ยไปหนหนึ่ง “นางตั้งครรภ์แล้ว” หากว่าลูกศิษย์โง่ของเขามีท่าทางเช่นนี้ เขาคงจะบีบคอลูกศิษย์นั่นให้ตายไปแล้ว เฟิงหลีเลี่ยมีกำลังน่าเกรงขาม เย็นชาเหมือนกับก้อนน้ำแข็ง หมอเทพพลันรู้สึกเจ็บหน้าอกจนหายใจไม่ออก เงยหน้าขึ้นมองเกล็ดหิะที่กำลังโปรยปรายลงมา อดไม่ได้ที่จะรู้สึกคิดถึงลูกศิษย์โง่ที่ชอบทำให้เขาโมโหจนอยากจะบีบคอให้ตายคนนั้น อยู่ที่นี่มีแต่คนรังแกเขา สู้ลูกศิษย์โง่ของเขาไม่ได้สักคน ยอมให้เขารังแกได้เพียงคนเดียว คิดแล้วน้ำตาก็เกือบจะไหลอาบแก้ม

 

 

 

 

 

[1] เฮยไป๋อู๋ฉาง (黑白无常) เป็นชื่อเรียกยมทูตสององค์รวมกัน องค์หนึ่งสวมชุดดำ จับดวงวิญญาณที่เป็นคนจิตใจชั่วร้าย อีกองค์หนึ่งสวมชุดขาว จับดวงวิญญาณที่เป็นคนดีมีศีลธรรม

366 ตั้งครรภ์ 2

 

 

เฟิงหลีเลี่ยตะลึงจนลืมหายใจ มีเสียงหวีดหวือดังก้องอยู่ในหู คล้ายกับอาการหูหนวกฟังอะไรไม่ได้ยินทั้งนั้น ในหูมีเพียงคำพูดประโยคเมื่อครู่ของหมอเทพดังวนซ้ำไปซ้ำมาอยู่เช่นนั้น

 

 

หลานเอ๋อร์ดีใจแทบคลั่ง น้ำตาแห่งความปลื้มปีติพลันไหลลงมา กุมมือของมู่เหยียนยิ้มดีใจอย่างที่สุด

 

 

มู่เหยียนก็ดีใจ ไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันดีอะไร เขาไม่ได้ดีใจเพราะนายท่านมีลูก แต่เป็นเพราะหลานเอ๋อร์มาจับมือเขาอย่างไม่รู้สึกเขินอายต่างหาก มือทั้งสองกุมกระชับกันแน่น แม้ว่าพวกเขาจะเคยสัมผัสใกล้ชิดกันมาแล้ว แต่เวลาปกติคนทั้งสองก็มักจะยังเก้อเขินและเกรงใจกันและกันอยู่ หลานเอ๋อร์รู้สึกเช่นไรก็มักจะแสดงออกทางสีหน้า เขาจึงไม่กล้ารุ่มร่ามเกินเหตุ กว่าว่านางจะโมโหเอาได้

 

 

“ท่านพูดอีกครั้งสิ” น้ำเสียงของเฟิงหลีเลี่ยฟังดูไม่ได้ต่างจากยามปกติทั่วไป ทว่าก็ยังรับรู้ได้ถึงความตื่นเต้นเล็กๆ ในน้ำเสียงนั้น แม้แต่มือที่ประคองมู่หรงชูอวิ๋นอยู่ก็สั่นไหวเบาๆ สายตาจดจ้องไปที่ปากของหมอเทพ

 

 

หมอเทพก็ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยกับเขาแล้ว เพราะไม่รู้อีกประเดี๋ยวตนจะโดนเขาทำร้ายอย่างไรอีกบ้าง “ข้าบอกว่า สาวน้อยคนนี้ตั้งครรภ์ เจ้ามีลูกแล้ว ถึงบัดนี้ตั้งครรภ์ได้สามเดือนแล้ว” ชะงักอยู่ครู่หนึ่งก็พูดต่อไปว่า“อีกอย่าง อย่าให้ข้าต้องพูดเป็นครั้งที่สาม” เชื่อว่าพูดขนาดนี้แล้วเขาต้องเข้าใจ ตนเพียงอยากจะรีบรักษาอาการของมู่หรงชูอวิ๋นให้เสร็จโดยเร็ว จะได้กลับไปใช้ชีวิตดีๆ ของตัวเอง ท่องไปในยุทธภพอีกครั้ง

 

 

เฟิงหลีเลี่ยได้คำตอบที่ตัวเองต้องการแล้ว ก็โยนเขาทิ้งไปข้างหลังไม่สนใจอีก เฟิงหลีเลี่ยไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร รอบกายดั่งมีเปลวไฟลุกโชนไปหมด ร้อนรุ่มจนเขาแทบจะหายใจไม่ออก เขาต้องการที่ระบายความรู้สึก เขาอยากจะแหงนหน้าตะโกนให้ก้องฟ้า ทว่าก็กลัวมู่หรงชูอวิ๋นจะตกใจ ในที่สุดเขาก็มีลูกแล้ว ทั้งยังเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขระหว่างเขากับมู่หรงชูอวิ๋น ทว่าเมื่อหันหน้ากลับมาเห็นมู่หรงชูอวิ๋นมีสภาพทรมานเจียนตาย ก็รีบเอ่ยถามหมอเทพทันที “แล้วเหตุใดนางจึงดูทรมานเช่นนี้”

 

 

“กลิ่นคาวเลือดฟุ้งถึงเพียงนี้ แม้แต่คนแก่อย่างข้าก็ยังทนไม่ไหว นับประสาอะไรกับสาวน้อยที่กำลังตั้งครรภ์ ครรภ์นั้นก็มีรอบของครรภ์ และที่ทนไม่ได้ที่สุดก็คือกลิ่นคาวแบบนี้ ระวังเรื่องเหล่านี้ไว้ก็จะดีเอง” ต่อไปเจ้ายังต้องมีเรื่องให้ทรมานมากกว่านี้อีก ตอนนี้เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น เพียงแต่เขาไม่ได้พูดออกไป

 

 

ระหว่างวันมู่หรงชูอวิ๋นกินอะไรไม่ได้เลย ปกตินางเป็นคนที่ชอบกินมาก ทว่ายังไม่ทันเห็นว่าเป็นอะไร เพียงแค่ได้กลิ่นนางก็อยากจะอาเจียนแล้ว แม้แต่น่องเป็ดของโปรดที่นางชอบกินที่สุดก็ไม่ต่างกัน ทำเอาเฟิงหลีเลี่ยกลัดกลุ้มจนผมแทบหงอกแล้ว เฝ้าแต่ถามหมอเทพว่ามู่หรงชูอวิ๋นเป็นอะไรกันแน่ เช่นนี้จะมีปัญหาใดตามมาหรือไม่ สุดท้ายหมอเทพอดรำคาญไม่ได้ จึงพูดประชดไปคำว่า “เอาออกก็หมดเรื่องแล้ว” เพียงเท่านี้ก็จะช่วยแก้ไขปัญหาทั้งหมดได้ ไหนเลยจะต้องทรมานให้มากมายอีก หมอเทพพูดคำนี้ออกไปแม้แต่ตัวเองก็ยังตกตะลึง จรรยาบรรณสำคัญของผู้เป็นหมอก็คือมนุษยธรรม ทว่าคำพูดนี้ของเขาคือข้อห้ามสูงสุด เพราะต่อให้เป็นเด็กในท้องของคนที่สมควรตายมานอนอยู่ตรงหน้าแล้ว ผู้เป็นหมอก็ยังต้องช่วยชีวิตก่อน เพราะอย่างไรแล้วผู้ที่กระทำความผิดก็คือผู้ใหญ่ ไม่ใช่เด็กเช่นนี้ หากว่าท่านอาจารย์ของเขาได้ยินที่เขาพูดเมื่อครู่ จะต้องโมโหจนลุกขึ้นจากโลงมาบีบคอเขาเป็นแน่ ทว่าโชคดีที่อาจารย์ของเขาลาโลกนี้ไปนานแล้ว

 

 

มู่หรงชูอวิ๋นได้ยินอย่างนั้นก็รีบกอดท้องของตัวเองไว้ มองพวกเขาด้วยสายตาตื่นตกใจ ราวกับว่าพวกเขาจะโหดร้ายทารุณเอาลูกของนางออกจริงๆ

 

 

มู่เยี่ยนรีบดึงตัวหมอเทพออกไปอยู่ห่างๆ เขากลัวว่าพริบตาเดียวนายท่านของเขาจะบั่นคอของหมอเทพไปเสียก่อน เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ควรเอามาพูดเล่น ต่อให้นายท่านของเขาไม่บั่นคอหมอเทพเสีย พวกเขาเองก็ยังรู้สึกอยากลงมือ นี่เป็นนายน้อยของพวกเขาเชียวนะ ต้องเฝ้ารอมานานแรมปี ไม่ง่ายเลยที่จะมีได้ พวกเขาสัญญาว่าจะยังไม่ฆ่าหมอเทพทิ้งตอนนี้ เพื่อพระชายาและนายน้อยแล้ว พวกเขาจะยอมปล่อยให้ตาแก่นี่ได้ไปท่องโลกกว้างต่ออีกสักหน่อยก็แล้วกัน

367 ตั้งครรภ์ 3

 

 

มู่หรงชูอวิ๋นกอดหน้าท้องแบนราบจนดูไม่ออกว่าตั้งครรภ์ หันมองไปทางเฟิงหลีเลี่ยอย่างหวาดกลัว “พี่ชายใหญ่ ท่านคงไม่ได้ไม่ต้องการเขาใช่ไหมเจ้าคะ” นี่คือลูกน้อยของเขา เขาจะไม่ต้องการได้อย่างไร นี่เป็นถ้อยคำที่ทำร้ายจิตใจที่สุดในชีวิตของมู่หรงชูอวิ๋น

 

 

หัวใจของเฟิงหลีเลี่ยราวกับถูกทุบตีอย่างแรง เจ็บปวดเหมือนตายทั้งเป็น เดิมทีมู่หรงชูอวิ๋นก็ยังเป็นเพียงเด็กน้อย ทว่าก็ยังรู้ว่าควรปกป้องลูกของตัวเองอย่างไร เขายื่นมือไปดึงนางเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด มู่หรงชูอวิ๋นขัดขืนอยู่เล็กน้อย “อวิ๋นเอ๋อร์ พี่ชายใหญ่ไม่ทำเช่นนั้นแน่ เด็กคนนี้คือลูกของพวกเรา เหตุใดข้าจะไม่ต้องการเขาได้เล่า” เขาเฝ้ารอการมาของลูกน้อยคนนี้ยิ่งกว่าใครๆ

 

 

“จริงนะเจ้าคะ?” มู่หรงชูอวิ๋นยังรู้สึกไม่ค่อยเชื่อมั่น ดวงตากลมโตและดำขลับของนางปรากฏแววตาเป็นระลอกคลื่นทอประกาย น่าหลงใหลเป็นที่สุด

 

 

เฟิงหลีเลี่ยจูบลงไปอย่างห้ามใจไม่อยู่ “จริงสิ อวิ๋นเอ๋อร์จำข้อนี้ไว้ก็พอแล้ว แม้ข้าจะต้องโกหกคนทั้งโลก แต่จะไม่ขอโกหกอวิ๋นเอ๋อร์เป็นอันขาด ต่อให้เป็นเพียงการปิดบังก็จะไม่มี คนอื่นจะพูดอย่างไรกับเจ้าจงอย่าได้สนใจ ทั้งหมดเป็นเพียงคำหลอกลวงเท่านั้น”

 

 

นางเป็นยอดดวงใจของเขา หากขาดนางไปก็คงต้องเจ็บปวดที่สุด หากไม่มีนางหัวใจของเขาก็จะว่างเปล่า ขอเพียงจับมือนางไว้แน่นๆ ให้อยู่ข้างกายตัวเองเอาไว้ เขาถึงจะสบายใจ ถึงจะรู้สึกว่าตัวเองก็เป็นคนมีหัวใจเช่นกัน หาใช่ร่างเปล่าไร้จิตใจไม่

 

 

มู่หรงชูอวิ๋นถึงได้ยอมผ่อนคลายลงบ้าง ไม่ได้ตัวแข็งทื่อต่อต้านเขาเหมือนเมื่อครู่นี้แล้ว “อืม!” ทว่าไม่รู้เหตุใดน้ำตาจึงไหลทะลักออกมาดั่งเขื่อนแตก ไหลพรากไม่หยุด ต่อให้ทำอย่างไรก็หยุดไม่ได้สักที ทำเอาอกเสื้อของเฟิงหลีเลี่ยเปียกชื้น นางร้องไห้อยู่นานไม่ยอมหยุด ราวกับว่าจะร้องจนน้ำตาของทั้งชีวิตนี้แห้งเหือดไปถึงจะยอมเลิกรา เฟิงหลีเลี่ยจึงอุ้มนางขึ้นรถม้า ให้นางมาอิงซบอยู่ในอ้อมอกของตนเอง ด้านนอกลมแรงเกินไป อีกอย่างนางก็กำลังท้องอยู่ด้วย หากเป็นหวัดขึ้นมาจะต้องอาการหนักเป็นแน่

 

 

กระทั่งม่านราตรีมาเยือน ทุกอย่างจึงเข้าสู่สภาวะปกติเช่นเดิม ทว่ามู่หรงชูอวิ๋นที่แม้นอนหลับสนิทแต่ก็ยังมีสะอึกสะอื้นอยู่บ้างครั้งสองครั้ง เขาลูบหลังปลอบใจมู่หรงชูอวิ๋นอยู่เป็นครั้งคราว ดูท่าจะต้องรีบออกจากที่นี่ให้ได้โดยเร็ว มู่หรงชูอวิ๋นโดนคำพูดกระทบกระเทือนจิตใจจึงมีสภาพเช่นนี้ แม้ว่าหมอเทพจะบอกว่าร่างกายของนางไม่ได้มีปัญหาอะไร ทว่าเฟิงหลีเลี่ยก็ยังไม่อาจวางใจ ด้านนอกอากาศหนาวเย็น ออกไปเดินไม่เท่าไรก็ตัวแข็งเป็นก้อนน้ำแข็งแล้ว

 

 

หมอเทพโมโหแทบตาย หลังจากที่เขาเสียรถม้าไปแล้ว ตกกลางคืนก็ยังไม่สามารถอยู่ในรถม้าคันเดียวกับหลานเอ๋อร์เหมือนช่วงกลางวันได้อีก เพราะต่อให้เฟิงหลีเลี่ยไม่ฆ่าเขา แต่เจ้าทึ่มอย่างมู่เหยียนคงได้จับเขาหั่นเป็นหมื่นเป็นพันชิ้นแทน เขาจึงต้องมานอนอยู่ในกระโจมที่พวกทหารกางไว้ พอให้ใช้เป็นที่กำบังหลบลมหนาวเช่นนี้คนเดียว

 

 

วันนี้ไม่รู้ว่าเป็นวันพิเศษอะไรของเขา ระหว่างกลางดึกที่กำลังนอนหลับฝันหวานอยู่นั้น หิมะก้อนใหญ่พลันหล่นลงมาทับกระโจมของเขา ทั้งยังกลบเขาไว้ข้างใต้ เมื่อหมอเทพหลุดออกมาได้ก็หงุดหงิดด่าทอเจ้าหิมะก้อนนั้นอยู่นาน ช่างโชคร้ายเหลือเกินวันนี้ ถูกลอบฆ่าก็เกินพอแล้ว ตกกลางคืนจะนอนก็ยังไม่อาจนอนหลับได้อย่างสุขสงบอีก ขณะที่กำลังก่นด่าเสียยาวเหยียดนั้น พลันมีของแหลมคมบางอย่างเฉียดผ่านข้างใบหูของเขาไป เมื่อหันหน้าไปมองก็เห็นว่าเป็นมีดเล่มหนึ่งปักแน่นอยู่กับกำแพงหิน แทงทะลุพื้นหินลึกสามเฟิน[1]

 

 

หมอเทพลูบจมูกอย่างตกตะลึง เขาไม่ได้บาดเจ็บอะไรทว่ากลับรู้สึกเจ็บปวดเหมือนใกล้ตาย ทุกคนต่างรีบก้มหน้า ทำเหมือนว่ามองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น

 

 

เดิมทีเฟิงหลีเลี่ยก็ปล่อยเขาทำตามใจ อยากโวยวายอะไรก็โวยวายไป ทว่าเมื่อเห็นมู่หรงชูอวิ๋นขยับตัวกระสับกระส่าย นอนหลับไม่สบาย เขาจึงขว้างมีดเล่มนั้นออกไป

 

 

ก้อนหินที่ปิดขวางเส้นทางอยู่ก้อนนั้นไม่ใช่ก้อนหินธรรมดา เนื่องจากพวกโจรภูเขากลัวว่าพวกเขาจะผ่านไปได้โดยง่าย จึงได้เลือกก้อนหินที่ใหญ่เป็นพิเศษ ใช้คนสิบกว่าคนช่วยกันออกแรงก็ยังไม่สามารถขยับหินก้อนนั้นให้เลื่อนออกไปได้ หากไม่ใช่เพราะหมอเทพบอกว่าเขาจะต้องสร้างผลบุญเพื่อลูกน้อยในครรภ์ เฟิงหลีเลี่ยคงจะสั่งฆ่าโจรพวกนี้ไปแล้ว ไหนเลยจะเก็บไว้ให้ขวางหูตาขวางตาเช่นนี้

 

 

 

 

 

[1] เฟิน (分) เป็นหน่วยวัดความยาวของจีน โดย 1 เฟิน ยาวประมาณ 0.33 เซนติเมตร

368 จราจล1

 

 

เฟิงหลีเลี่ยเปิดม่านออก เห็นมู่หรงชูอวิ๋นลูบท้องมีรอยยิ้มอ่อนโยนเป็นที่สุด เขาพลันกลืนน้ำลายเคลื่อนลงคอ

 

 

มู่หรงชูอวิ๋นสัมผัสได้ถึงไอเย็นที่พัดเข้ามา เงยหน้าขึ้นมาเห็นว่าเป็นเฟิงหลีเลี่ย เอ่ยเรียกอย่างรู้สึกเบิกบานใจ “พี่ชายใหญ่”

 

 

หลังจากเฟิงหลีเลี่ยตื่นนอน เขาเห็นว่ามู่หรงชูอวิ๋นยังคงหลับอยู่จึงออกมาก่อน คนของเขาเคลื่อนย้ายหินก้อนใหญ่ที่ปิดทางอยู่ก้อนนั้นออกไปได้ไม่น้อยแล้ว ใช้เวลาอีกสักครึ่งวันก็จะสามารถผ่านไปได้

 

 

เฟิงหลีเลี่ยปิดม่านลงกั้นลมฝนที่พัดมาจากด้านนอก “อืม”

 

 

“พี่ชายใหญ่ ท่านว่าตั้งชื่อให้ลูกของเราว่าอะไรดีเจ้าคะ? โตว่โตว่ หรือว่าน่องไก่ดีเจ้าคะ?”

 

 

มู่เยี่ยนที่ยืนอยู่ข้างนอกยังไม่ทันได้จากไปทำหน้าตกใจอย่างมาก หากว่านายน้อยโตขึ้นมารู้ความเรื่องชื่อของตัวเอง ไม่ต้องร้องไห้โวยวายหรอกหรือ คงอยากจะเปลี่ยนพ่อแม่เป็นแน่ แต่ยังนับว่าโชคดีที่มีนายท่านที่พอเป็นที่พึ่งได้

 

 

“อวิ๋นเอ๋อร์ชอบก็พอแล้ว” เมื่อคำพูดนี้ดังเขาหูของเขา มู่เยี่ยนพลันรู้สึกสับสนไปหมด คิดเพียงว่าเอาตัวเองออกห่างจากตรงนี้เสียดีกว่า

 

 

……

 

 

ทางด้านพระสนมเซียวรีบร้อนเดินขึ้นหน้ามาดึงมือของเฟิงหลีเย่ รีบเอ่ยถามอย่างร้อนใจ “เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

 

 

วันนี้นางตื่นขึ้นมาไม่คิดว่าจะได้ยินข่าวเรื่องท่านอ๋องสิบแปดก่อกบฎ เขาเป็นพระอนุชาที่ฮ่องเต้ทรงโปรดที่สุด หลายปีที่ผ่านมาพระองค์ทรงปฏิบัติต่อเขามาด้วยดีเสมอ นางจึงไม่อยากจะเชื่อว่าเกิดเช่นเรื่องนี้ขึ้นจริง

 

 

“เสด็จแม่ เป็นเรื่องจริงพ่ะย่ะค่ะ ทรงมีรับสั่งให้กวาดล้างคนชั่วข้างกายฮ่องเต้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

พระสนมเซียวตระหนกตกใจเซถอยหลังไปหลายก้าว ส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อ “เป็นไปไม่ได้ เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้” ในปีนั้นที่ฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ ได้มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งพร้อมทั้งตราประทับจากฮ่องเต้พระองค์ก่อนจริงๆ ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นคนชั่วข้างกายฮ่องเต้ที่ต้องถูกกวาดล้างเช่นนี้ ช่างน่าขันยิ่งนัก

 

 

“เสด็จแม่เรื่องนี้ผู้ใดให้ความชัดเจนไม่ได้ทั้งนั้นพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ตอนนี้พี่สี่ไม่อยู่ ไม่รู้ว่าเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง?” เขาไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เพราะตอนที่เขาเกิดมาเรื่องทุกอย่างก็สงบเรียบร้อยแล้ว หรือแม้แต่เรื่องราวของเสด็จพ่อไต่เต้าขึ้นมาจนได้ขึ้นครองราชย์นั้นมีความเป็นมาอย่างไร เขาก็ยังไม่รู้อะไรเลยสักนิด สิ่งที่ผู้บันทึกประวัติศาสตร์เขียนไว้ล้วนแต่สรรเสริญการกระทำอันกล้าหาญของเสด็จพ่อเท่านั้น ส่วนเสด็จลุงเสด็จอาพระองค์อื่นล้วนแต่ต้องจบชี;bตไปเพราะคิดการกบฏทั้งสิ้น หากไม่ใช่เพราะก่อนที่เฟิงหลีเลี่ยจะออกจากเมืองหลวงไปได้บอกกับเขาไว้ว่า เหตุผลของเรื่องบางเรื่องไม่สามารถตัดสินได้ด้วยสิ่งที่เห็นหรือสิ่งที่ได้ยินมาเท่านั้น เพราะมันไม่มีอะไรที่เป็นจริงและไม่มีอะไรที่เป็นเท็จ ทุกอย่างเป็นเพียงเรื่องของความสำเร็จเท่านั้น เขาคงไม่อาจทำความเข้าใจได้เช่นนี้

 

 

เกรงแต่พี่สี่ของเขาคงจะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าต้องเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เพียงแต่ไม่คิดว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นหลังจากสี่เดือนที่พวกเขาออกจากเมืองหลวงไปแล้ว ทว่าต่อให้คิดเช่นไรก็ไม่อาจเข้าใจถึงเหตุผลของเฟิงหลีเลี่ย เหตุใดจึงช่วยเฟิงหรงสวี่แทนที่จะช่วยเสด็จพ่อ พระองค์เป็นถึงเสด็จพ่อของพวกเขา ดั่งคำโบราณว่าไม่มีความแค้นชั่วข้ามคืนระหว่างพ่อกับลูก แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยฉลาด แต่เขาก็ไม่สามารถเปิดเผยออกมาได้ว่าเฟิงหลีเลี่ยทราบเรื่องนี้อยู่ก่อนแล้ว ไม่เช่นนั้นเรื่องนี้คงไม่ได้เกี่ยวโยงเพียงพี่สี่ของเขาคนเดียว แต่จะรวมถึงตระกูลมู่หรงท้ังตระกูลด้วย คนพวกนั้นล้วนเป็นผู้ที่ยอมอุทิศชีวิตตัวเองเพื่อแคว้นชังหมิงทั้งนั้น

 

 

วันนี้ฮ่องเต้ทรงกริ้วอย่างมากรับสั่งให้ปลดลูกหลานตระกูลมู่หรงทั้งสามคนออกจากราชการในทันที ด้วยสาเหตุที่มู่หรงจางเป็นอาจารย์ของเฟิงหรงสวี่ ทว่าพระองค์ไม่สามารถสั่งคุมขังพวกเขาได้ ไม่เช่นนั้นหากมู่หรงไป๋ที่อยู่ชายแดนตอนเหนือโกรธแล้วต่อต้านพระองค์ขึ้นมา ตำแหน่งของพระองค์ในตอนนี้คงจะไม่มั่นคงอีกต่อไป

 

 

เฟิงหรงสวี่เคลื่อนพลอยู่ทางตอนใต้ วีรบุรุษของฮ่องเต้พระองค์ก่อนต่างขอติดตามเขา อีกทั้งพระองค์ยังทรงทราบอีกว่าในมือของเขามีกองกำลังทหารลึกลับชุดหนึ่งซึ่งเคยเป็นทหารลับของฮ่องเต้พระองค์ก่อนอีกด้วย

 

 

กระทั่งเฟิงหรงสวี่เคลื่อนพลอย่างดุดันและน่าเกรงกลัว ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งเดือนก็สามารถทำลายแนวป้องกันทั้งหมดทางตอนใต้ลงได้ ยึดครองดินแดนหนึ่งในสี่ส่วนของแคว้นชังหมิงเอาไว้ในมือได้สำเร็จ พระสนมเซียวหวั่นใจว่าหลังจากเฟิงหรงสวี่ทำลายรังศัตรูได้ชัยชนะ ก็จะไม่มีที่อยู่สำหรับพวกนางแล้ว เพราะอย่างไรเสียพวกนางก็คือสตรีและบุตรของฮ่องเต้

 

 

เฟิงหลีเย่ตบหัวไหล่ปลอบใจนาง “เสด็จแม่ทรงอย่าเป็นกังวลใจไปเลยพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อท่านทรงจัดการได้แน่”

 

 

ตอนนี้เขาก็คงคิดได้เพียงเท่านี้

 

 

 

ตอนที่ 369-370

 

ตอนที่ 369 จราจล2

 

 

“เลี่ยเอ๋อร์ เจ้าคิดว่าก้าวต่อไปพวกเราควรไปที่ใดหรือ?” เฟิงหรงสวี่เอ่ยถามด้วยท่าทางมีชัยชนะอยู่ในมือ

 

 

เฟิงหลีเลี่ยกวาดมองแผนที่ตรงหน้าที่ปักธงสีแดงไว้หลายแห่ง

 

 

“เกรงว่าเสด็จอาทรงคิดเอาไว้ก่อนหน้าแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เฟิงหลีเลี่ยเดิมทีอยากจะพามู่หรงชูอวิ๋นเดินทางไปแก้พิษ ทว่าใครจะรู้ว่ามู่หรงชูอวิ๋นมาตั้งครรรภ์เสียก่อน อีกทั้งหมอเทพได้เอ่ยอย่างลำบากใจ การถอนพิษออกนั้นไม่ส่งผลดีทั้งต่อแม่และลูก ซึ่งก็พอดีกับเฟิงหรงสวี่ก่อกบฏและเขาก็ได้รับจดหมายแจ้งข่าวจากเฟิงหรงสวี่ เพื่อให้มู่หรงชูอวิ๋นสามารถคลอดลูกได้อย่างปลอดภัย เขาจึงตัดสินใจมาหาเฟิงหรงสวี่ อีกทั้งได้พ่วงหมอเทพมาด้วยกัน และทิ้งให้อยู่เป็นหมอทหารในค่ายทหารเสียเลย

 

 

ด้วยคำพูดของเฟิงหลีเลี่ยที่ว่า เนื่องจากมู่หรงชูอวิ๋นยังไม่ได้รับการถอนพิษออกจากตัว เขาจึงยังไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น หากต้องการจะไปให้ทิ้งชีวิตเอาไว้ที่นี่

 

 

ทุกวันนี้สิ่งที่หมอเทพต้องทำเป็นประจำทุกวันก็คือการด่าเฟิงหลีเลี่ย เวลากินข้าวไม่ถูกปากก็จะด่า เวลาต้องไปช่วยรักษาคนก็จะด่า…หรือเพียงแค่ปากว่างเมื่อใดก็จะด่า

 

 

เดิมทีเฟิงหรงสวี่อยากให้หมอเทพคอยดูแลพวกเขาไม่กี่คนก็พอแล้ว ใครจะรู้ว่าเฟิงหลีเลี่ยกลับเอ่ยปากเช่นนี้ ผู้ที่เกียจคร้านไม่ทำงาน สมควรเลี้ยงให้เปลืองข้าวเช่นนั้นหรือ สู้เอาไปสับเป็นปุ๋ยใส่ต้นไม้เสียดีกว่า เฟิงหรงสวี่ถึงจะเห็นใจหมอเทพแต่ก็ยากจะช่วยอะไรได้ อย่างไรเสียเขาก็ต้องเอาใจเฟิงหลีเลี่ย ไม่อาจทำให้ความพยายามที่ทุ่มเทลงไปต้องสูญเสียไปเปล่าๆ เพียงเพื่อคนนอกเพียงคนเดียว ซึ่งเป้าหมายของเขาก็คือ ทำให้เฟิงหลีเลี่ยยอมเรียกขานเขาว่า ‘พ่อ’ แต่โดยดี

 

 

“เจ้าเด็กนี่ จะยอมอ่อนข้อให้เสด็จอาของเจ้าบ้างเลยไม่ได้หรือ” เฟิงหรงสวี่พูดออกไปอย่างหน้าไม่อาย หยุดอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยด้วยสีหน้าเศร้าใจ “ความจริงข้าอยากให้เจ้าเรียกข้าว่าเสด็จพ่อสักคำ หรือจะเรียกว่าพ่อเฉยๆ ก็ได้”

 

 

คำพูดประโยคนี้จบลง เฟิงหลีเลี่ยก็ลุกพรวดขึ้นไม่พูดไม่จา หน้าตาบึ้งตึงแล้วเดินจากไปทันที โดยไม่สนใจด้วยซ้ำว่าตนเป็นแขกที่เฟิงหรงสวี่เชิญมา

 

 

เฟิงหรงสวี่มองดูเงาแผ่นหลังยืดตรงของเฟิงหลีเลี่ย พลางลูบจมูกตัวเองด้วยความรู้สึกน้อยใจอยู่บ้าง เขาไม่ได้พูดอะไรผิดเสียหน่อย สองแม่ลูกคู่นี้ล้วนแต่เอาใจยากจริงๆ นิสัยปากแข็งเหมือนกันทั้งคู่ ทว่าเป็นเช่นนี้ถึงจะมีความหมาย เมื่อคิดถึงคนที่รอเฟิงหลีเลี่ยอยู่ในกระโจม เขาก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาในทันที

 

 

ในปีนั้นเฟิงหรงสวี่มีเรื่องกลัดกลุ้มอยู่ในใจ เดิมคิดอยากจะออกไปเดินเล่นให้ผ่อนคลายอารมณ์เสียบ้าง ไม่ทันระวังได้เดินไปชนเข้ากับน่าหลันฉิงที่เสื้อผ้ามอมแมม สติฟั่นเฟือง พูดจาฟังไม่รู้เรื่อง เดิมคิดจะชักดาบมาฆ่าให้ตายไปเสีย ทว่าเมื่อเหลือบมองคนที่กองอยู่กับพื้น แม้ว่าจะมีเส้นผมปิดบังใบหน้า ทว่าก็ยังมองเห็นว่านางเป็นคนที่มีความทุกข์ทรมานและความเกลียดชัง คิดไม่ถึงเลยว่านางจะเคยเป็นพระสนมฝ่ายในแห่งตำหนักหรงฉ่งหกตำหนัก เขายังจำได้ว่าครั้งแรกที่ได้พบน่าหลันฉิงนั้น นางงดงามเพียงใด แม้ว่าเขาจะเคยพบเจอสาวงามมากมายในแต่ละท้องที่มาแล้วนับจำนวนไม่ถ้วน ก็ยังอดใจสั่นให้กับความงามของนางไม่ได้ แม้แต่ความงามของมู่หรงชูอวิ๋นในตอนนี้ยังไม่อาจเทียบความงามของนางได้ หามีใครจะล่วงรู้ได้ไม่ว่านางจะกลายมาเป็นสภาพเช่นทุกวันนี้ พลันรู้สึกใจอ่อนอยากช่วยเหลือนางออกมา เขาสั่งให้องครักษ์ลับคอยเฝ้าอารักขาอยู่ที่พระตำหนักเย็น กระทั่งได้พบว่ามีเฟิงหลีเลี่ยอยู่ด้วย ในตอนที่แม่นมใบ้กำลังจะฆ่าเฟิงหลีเลี่ยนั้น เขาได้สั่งให้คนเปลี่ยนขวดยาพิษ และช่วยใส่ยาถอนพิษให้เฟิงหลีเลี่ยได้ทันเวลา ด้วยเหตุนี้จึงสามารถรักษาชีวิตน้อยๆ ของเฟิงหลีเลี่ยเอาไว้ได้หลายปีเช่นนี้ เดิมทีเขาอยากจะรักษาน่าหลันฉิงให้หายเป็นปกติ เพื่อใช้นางเป็นเครื่องมือต่อกรกับฮ่องเต้ในอนาคต

 

 

ทว่าช่วงเวลาที่เขาช่วยรักษาน่าหลันฉิงนั้น ได้เห็นความดิ้นรนต่อสู้อันแสนเจ็บปวดในแววตาของนาง อีกทั้งเมื่อนางฟื้นขึ้นมาแล้วกลับคุกเข่าตรงหน้าของเขา ร้องขอให้เขาฆ่านางทิ้งเสีย เขาโกรธจัดตบหน้านางไปที เขาต้องลำบากมากมายเพียงใดกว่าจะรักษานางให้หายเป็นปกติได้ ทว่านางกลับอยากจะตายเสียเอง ความจริงเขาก็รู้ว่าในใจของน่าหลันฉิงทุรนทุรายเพียงใด เพราะตอนที่นางล้มป่วยอยู่นั้น เขาพอจะได้ยินคำพูดฟั่นเฟืองของนางมาบ้าง และเมื่อนำมาปะติดปะต่อรวมเข้าด้วยกันแล้ว ก็พอจะเดาออกว่านางได้ทำอะไรกับเด็กน้อยผู้น่าสงสารอย่างเฟิงหลีเลี่ยไปบ้าง พลันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนาวเหน็บหัวใจ เด็กนั่นเป็นลูกที่นางอุ้มท้องมานานสิบเดือน กว่าจะคลอดออกมาได้ต้องลำบากยากเข็ญเพียงใดเชียวนะ

 

 

 

 

ตอนที่ 370 เสด็จแม่1

 

 

เฟิงหลีเลี่ยกลับมาถึงกระโจม เห็นหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างมู่หรงชูอวิ๋น ในมือของนางถือพัดผ้าไหมเล่มเล็กดั่งดอกจำปี เข็มขัดหยกพันรอบเอวขับเน้นความเพรียวบางและเรือนร่างสง่างาม งดงามดุจนางสวรรค์ลงมายังโลกมนุษย์ รอยยิ้มบริสุทธิ์สดใสยิ่งกว่าดวงดาราอันโชติช่วง เดิมทีใบหน้าอ่อนโยนกลับเคร่งขรึมขึ้นมาในทันที ดวงตาหงส์อันงดงามพลันเย็นชาดั่งตระกรันน้ำแข็ง

 

 

ไม่มีผู้ใดเคยคาดคิด ระหว่างที่ไม่ได้ใส่ใจกาลเวลาลื่นไหลผ่านไป ความชราภาพก็ปรากฎขึ้นมาบนเส้นผมให้ประจักษ์ ทว่าความงามหาใดเปรียบแห่งยุคได้ของนางกลับยิ่งมากขึ้น บรรดาหญิงสาวที่ชิงดีชิงเด่นกับนางในสมัยนั้นคงจะแก่ตัวลงไปไม่น้อย หากได้มาเห็นความงดงามของนางเช่นนี้ เกรงว่าคงจะโมโหจนต้องสำลักโลหิต

 

 

สีหน้าของเฟิงหลีเลี่ยยังคงเรียบเฉย ไร้การเปลี่ยนแปลงใดๆ เฉกเช่นเคย

 

 

เมื่อนางเห็นคนที่หน้าประตูค่อยๆ เดินเข้ามา ความตื่นเต้นดีใจพลันปรากฎขึ้นบนใบหน้า “เลี่ยเอ๋อร์…” เอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงสั่นเคลือ มือที่กุมผ้าเช็ดหน้าอยู่นั้นเผลอกำแน่นขึ้นอยู่หลายส่วน

 

 

เฟิงหลีเลี่ยไม่ได้ตอบอันใด แม้แต่สายตาของเขาก็ยังไม่เคยมองมาที่ใบหน้าของนาง แน่นอนว่าเขาพลาดกับแก่นแท้แห่งความผิดหวังและความโดดเดี่ยวในแววตาของนางไป

 

 

ดวงตาของเขาคู่นั้นดำขลับเปล่งประกาย ทั้งมีสายตาแหลมคมประหนึ่งจะแทงทะลุทุกสิ่งอย่าง ด้วยเหตุนี้น่าหลันฉิงจึงไม่เคยกล้าสบตากับเฟิงหลีเลี่ย

 

 

ทว่าเมื่อดวงตาคู่นั้นมองลงมาที่มู่หรงชูอวิ๋นและท้องนูนของนางแล้ว พลันอ่อนโยนขึ้นเป็นพิเศษ แววตาคู่นั้นเก็บซ่อนความรักและเอ็นดูมากมายอย่างที่ไม่อาจประเมินได้.“วันนี้สบายดีหรือไม่?”

 

 

มู่หรงชูอวิ๋นหาได้มองระลอกคลื่นความรู้สึกของพวกเขาทั้งสองออกได้ไม่ นางเอ่ยตอบอย่างมีความสุข “พี่ชายใหญ่ วันนี้ข้าได้กินน่องไก่ชิ้นโตแสนอร่อยด้วยเจ้าค่ะ มันหอมมากเลย น่าเสียดายที่ท่านไม่อยู่ จึงอดชิมด้วยเลย”

 

 

เฟิงหลีเลี่ยหยักโค้งมุมปาก “เช่นนั้นอวิ๋นเอ๋อร์ก็ชิมเผื่อพี่ชายใหญ่เถิด” นี่เป็นกลเม็ดที่มู่หรงชูอวิ๋นมักจะใช้เป็นประจำ หลังจากมู่หรงชูอวิ๋นผ่านอาการแพ้ท้องไปแล้ว นางก็กลับมากินได้มากขึ้น บางครั้งนางกินจนหมดแล้วถึงเพิ่งจะนึกได้ว่าเฟิงหลีเลี่ยยังไม่ทันได้กินเลย ซึ่งนางมักจะอ้างเหตุผลเช่นนี้เสมอ

 

 

น่าหลันฉิงที่นั่งอยู่ด้านข้างพลันรู้สึกยินดี พลางเอ่ยอย่างดีใจ “เลี่ยเอ๋อร์ หากลูกชอบกินแม่…จะทำให้เจ้าอีก” พูดคำว่า ‘แม่’ ออกไปโดยสัญชาตญาณ เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเฟิงหลีเลี่ยยังไม่เคยพูดว่าเขายอมรับแม่ใจร้ายเช่นนางเลยสักครั้ง

 

 

เวลาที่พบหน้ากับเฟิงหลีเลี่ย นางมักจะวางตัวอย่างระมัดระวัง มีครั้งหนึ่งเฟิงหรงสวี่ไม่พอใจตวาดใส่เฟิงหลีเลี่ยไปที เป็นเหตุให้น่าหลันฉิงเมินเฉยใส่เขาถึงสามวัน หลังจากนั้นมาเฟิงหรงสวี่จึงได้แต่บอกตนเองว่าตนไม่เห็นอะไรที่เกิดขึ้นทั้งนั้น ทำเช่นนี้ตนจะได้ไม่โกรธจนตวาดใส่เฟิงหลีเลี่ยอีก

 

 

เดิมทีก่อนที่น่าหลันฉิงจะเข้าไปอยู่ในวังเย็นนั้นนางไม่ได้เสียสติ เพียงแต่ท้อแท้หมดกำลังใจก็เท่านั้น ในใจแบกรับความเครียดแค้นของเผ่าแมนจู และความทุกข์ที่ชำระแค้นไม่ได้ นางเป็นคนที่ชอบสนทนาพาที น้ำเสียงไพเราะฟังเสนาะหูดั่งนกขมิ้นเหลืองทองบนกิ่งไม้ ทว่าตลอดทั้งวันจะหาใครสักคนมาพูดคุยด้วยก็หามีไม่ การที่ฮ่องเต้ทรงส่งแม่นมใบ้คนหนึ่งมาคอยดูแลนาง ก็เพียงเพื่อต้องการบอกให้นางรู้จักเจียมเนื้อเจียมตัว และเมื่อนางได้รู้ว่าตนเองท้องเฟิงหลีเลี่ยอยู่นั้น นางก็รู้สึกเหมือนดั่งทุกสิ่งทุกอย่างได้โจมตีนางให้พ่ายแพ้ เพราะนางเคยคิดอยากตาย ทว่าเวลานี้ไม่สามารถตายได้อีกแล้ว

 

 

ครั้งแรกที่นางสัมผัสถึงวินาทีที่เฟิงหลีเลี่ยดิ้นอยู่ในท้องของนางนั้น นางก็ได้บอกกับตัวเองว่านางหาใช่ตัวคนเดียวอีกต่อไปไม่ น้ำตาร้อนผ่าวแห่งความซาบซึ้งไหลรินลงมา หลังจากนั้นนางก็ไม่เคยคิดอยากจะตายอีกแล้ว ทุกวันปฏิบัติตัวเรียบร้อยเพราะกลัวว่าเฟิงหลีเลี่ยในท้องจะหลุดไปอย่างไม่คาดคิด ทว่าไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าการได้อุ้มท้องลูก ก็ยังไม่สามารถเอาชนะความทุกข์ที่ฝังอยู่ในใจได้ นางเสียสติขึ้นมาและเห็นเฟิงหลีเลี่ยเป็นคนที่เกลียดชังที่สุด มีอยู่วันหนึ่งนางตื่นขึ้นมาเห็นหน้าเฟิงหลีเลี่ย เหมือนกับได้เห็นใบหน้าของคนคนนั้น จึงบีบคอของเฟิงหลีเลี่ยไว้แน่น ใบหน้าเปี่ยมด้วยความเกลียดชัง หากไม่ใช่เพราะแม่นมใบ้เข้ามาเห็นเหตุการณ์นี้พอดี เฟิงหลีเลี่ยคงได้ตายไปนานแล้ว ครั้นที่นางได้สติขึ้นมาเห็นเฟิงหลีเลี่ยหน้าแดงเทือก ลมหายใจรวยรินเหมือนคนใกล้จะตาย นางพลันรู้สึกกลัวมาก ไม่กล้ายื่นมือบาปหนาคู่นั้นของตนไปแตะต้องเขาอีก จากนั้นมาสติของนางเลือนลางลงไปทุกวัน ดังนั้นเฟิงหลีเลี่ยจึงไม่เคยได้รับความรักของแม่จากนางสักครั้ง มีเพียงภาพของผู้หญิงบ้าที่บางครั้งบางคราจะทุ่มกำลังทั้งหมดตรงเข้ามาบีบคอของเขาที่ฝังลึกอยู่ในสมองเช่นนั้น

 

 

 

ตอนที่ 371-372

 

ตอนที่ 371 เสด็จแม่2

 

 

เวลาผ่านไปนานน่าหลันฉิงก็ยังไม่เห็นเฟิงหลีเลี่ยจะมีท่าทีหันมามองนางบ้าง ทำราวกับนางไม่มีตัวตน รู้ทันทีว่าวันนี้คงไม่มีโอกาสแล้ว จึงก้มหน้าแล้วเดินออกไปทางประตูอย่างผิดหวัง นั่งอยู่ที่นี่ก็มีแต่จะเป็นส่วนเกินของพวกเขาเสียเปล่า

 

 

“ช้าก่อนพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

จังหวะที่นางเดินไปเกือบถึงหน้าประตูแล้ว ข้างหูพลันได้ยินเสียงทุ้มต่ำฟังดูผ่อนคลายทว่ายังดูไร้ตัวตนของเฟิงหลีเลี่ยแว่วดังขึ้นมา ใบหน้าของนางเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มหวานหันหน้ากลับไป คล้ายกับดอกกุหลาบบานสะพรั่ง “เลี่ยเอ๋อร์”

 

 

เฟิงหลีเลี่ยไม่เคยคิดว่าจะมองสบตากับสายตาคู่นี้เช่นนี้ พลันตกใจอยู่บ้าง แต่เพียงครู่เดียวก็ได้สติขึ้นมา “ขอบพระทัยที่มาอยู่เป็นเพื่อนนางพ่ะย่ะค่ะ” นี่เป็นคำขอบคุณจากใจจริงของเขา ในค่ายทหารแห่งนี้มีสตรีอยู่เพียงไม่กี่คน การที่นางมาอยู่เป็นเพื่อนมู่หรงชูอวิ๋น ทำให้เขารู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก ส่วนความรู้สึกที่มีต่อน่าหลันฉิงนั้น เขาก็ไม่รู้ว่าควรจะไปเผชิญหน้าอย่างไร เขาเลยวัยที่ต้องการการปกป้องดูแลจากมารดามานานแล้ว นางไม่ได้ปรากฎตัวขึ้นมาให้เห็นอย่างกระทันหันเช่นนี้หลายปีแล้ว สิ่งที่เขารู้สึกมีเพียงความกลัดกลุ้มและทำอะไรไม่ถูก คิดเพียงแต่อยากจะหลบหน้าหนีไปเท่านั้น เขาไม่ได้โกรธเกลียดเรื่องที่น่าหลันฉิงทำไว้กับเขา อย่างไรแล้วทุกคนล้วนแต่มีเหตุผลของตัวเองทั้งสิ้น หากว่าเขาเป็นน่าหลันฉิง บางทีเขาอาจไม่ยอมให้เด็กในท้องเกิดออกมาก็เป็นได้ ดังนั้นเขาจึงรู้สึกซาบซึ้งและขอบคุณน่าหลันฉิงเป็นอย่างมากที่ให้เขาได้เกิดมา ทำให้เขาได้พบกับมู่หรงชูอวิ๋น

 

 

อารมณ์ดีใจแทบบ้าของน่าหลันฉิงถูกทำลายไปในทันที “เลี่ยเอ๋อร์ นั่นเป็นสิ่งที่ข้าสมควรทำ ใยต้องขอบคุณ” นั่นคือหลานชายในอนาคตของนาง คนที่นางเฝ้ารอให้เขาลืมตาดูโลก อีกอย่างนางคือแม่ของเฟิงหลีเลี่ย การที่มาดูแลลูกสะใภ้ของตัวเองก็เป็นสิ่งที่สมควรอยู่แล้ว น้ำเสียงห่างเหินของเฟิงหลีเลี่ยแว่วผ่านหัวใจของนางทุกถ้อยคำ เจ็บปวดจนนางแทบหายใจไม่ออก

 

 

เฟิงหลีเลี่ยเม้มริมฝีปาก ไม่ได้พูดอันใดอีก

 

 

น่าหลันฉิงจึงเดินออกไปพลางช่วยปิดประตูอย่างเงียบๆ แทนพวกเขา มองดูแสงสว่างอันสดใส นางได้แอบให้กำลังตัวเอง อย่างน้อยเฟิงหลีเลี่ยก็พูดกับนางแล้ว ซึ่งสิ่งนี้ก็หมายถึงการเริ่มต้นที่ดี นางอย่าได้โลภจนเกินไปเลย นางจะต้องค่อยๆ ชดเชยความผิดที่ตนเองก่อเอาไว้ ไม่เช่นนั้นต่อให้เฟิงหลีเลี่ยจะให้อภัยนางแล้ว แต่ว่านางก็ยังไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้ อย่างไรแล้วสิ่งที่ผู้เป็นแม่แท้ๆ อย่างนางทำลงไปนั้น แม้แต่แม่เลี้ยงยังไม่สามารถทำได้ ก็สมน้ำหน้าแล้วที่นางต้องโดนเช่นนี้

 

 

เฟิงหลีเลี่ยเอามือมาวางทาบบนท้องของมู่หรงชูอวิ๋น สัมผัสถึงการถีบดิ้นครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างแรงในท้องของนาง เขายังจำได้ว่าครั้งแรกที่สัมผัสได้ถึงการดิ้นของลูกน้อย คือในวันนั้นเขากำลังนอนหลับสะลึมสะลืออยู่ ด้วยความเคยชินเอามือไปโอบบนท้องของมู่หรงชูอวิ๋น ตอนนั้นเขายังไม่ทันรู้สึกตื่นดีพลันต้องสะดุ้งตกใจตื่นขึ้นมาเพราะแรงดิ้นของลูกน้อยนั้น ได้ลุกขึ้นมาประสานสายตากับมู่หรงชูอวิ๋นที่เพิ่งตื่นพอดี จึงสั่งให้มู่เยี่ยนที่เฝ้าอารักขาอยู่หน้าประตูรีบไปตามหมอเทพเข้ามา

 

 

การปล่อยไก่ในครั้งนั้นทำให้หมอเทพโมโหมาก จึงเอาตำรานรีเวชขั้นพื้นฐานมาให้เขาศึกษา เพื่อที่ตัวเองจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขบ้าง หากยังถูกเฟิงหลีเลี่ยทรมานต่อไปเช่นนั้น เกรงว่าคงต้องสิ้นใจไปก่อนวัยอันควรแน่ หากว่าเป็นเมื่อหลายสิบปีก่อนเขาจะต้องขอบคุณเฟิงหลีเลี่ยเป็นอย่างมากที่ทำให้เขาจากไปโดยเร็ว ทว่าตอนนี้เขารู้สึกว่าตนเองนั้นยังใช้ชีวิตไม่คุ้ม ยังมีอีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้เห็น ถึงเวลาที่ต้องลาจากโลกไปแล้วจะเอาอะไรไปเล่าให้ภรรยาของเขาฟังได้ เกรงว่าแม้แต่เรื่องจะเล่าให้ลูกของตัวเองฟังก็ยังไม่มี

 

 

“พี่ชายใหญ่เจ้าคะ เสด็จแม่โกรธหรือไม่เจ้าคะ ดูท่าทางนางไม่ค่อยมีความสุขเลย” มู่หรงชูอวิ๋นจับคางเอ่ยถามอย่างเป็นทุกข์

 

 

เฟิงหลีเลี่ยรู้สึกเหมือนถูกค้อนทุบที่หน้าอกอย่างแรง “อวิ๋นเอ๋อร์ เหตุใดจึงเรียกนางว่าเสด็จแม่?”

 

 

ราวกับพูดถึงเรื่องที่ทำให้มู่หรงชูอวิ๋นเสียใจเข้าแล้ว “ข้าแพ้พนันให้กับเฟิงเยี่ยนเฉิง เขาจึงให้ข้าเรียกนางว่าเสด็จแม่เจ้าค่ะ”

 

 

เงยหน้าขึ้นมากระทันหันพลางเอ่ยกับเฟิงหลีเลี่ย “พี่ชายใหญ่ ท่านต้องช่วยข้านะเจ้าคะ ข้าแพ้ตลอดเลย ไม่เคยชนะสักครั้งเลยเจ้าค่ะ”

 

 

“ได้” ขอเพียงนางบอกมา ไม่ว่าอะไรเขาก็รับปากทั้งนั้น ต่อให้จะทำไม่ได้ก็ตาม

 

 

 

 

 

ตอนที่ 372 เสด็จแม่3

 

 

เฟิงเยี่ยนเฉิงเป็นโอรสของเฟิงหรงสวี่และน่าหลันฉิง ปีนี้อายุสิบขวบพอดี เป็นวัยที่กำลังดื้อซุกซน

 

 

ตั้งแต่เด็กมาเฟิงเยี่ยนเฉิงก็รู้ว่าตนเองมีพี่ชายแท้ๆ คนหนึ่ง และน่าหลันฉิงได้สอนเขาอยู่เสมอว่า หากวันหนึ่งเขาได้พบกับเฟิงหลีเลี่ยจะต้องปฏิบัติกับเขาให้ดี ทว่าเฟิงเยี่ยนเฉิงกลับไม่ชอบเฟิงหลีเลี่ย ถึงขนาดที่พูดได้ว่าเป็นความเกลียดชัง เพราะว่าเขาจะเห็นเสด็จแม่แอบร้องไห้คนเดียวอยู่หน้ารูปวาดของเฟิงหลีเลี่ยคนนั้นเสมอ บางครั้งก็ร้องไห้หนักจนตาพร่ามัว อีกอย่างเฟิงหลีเลี่ยก็ไม่เหมือนพี่ชายของคนอื่น ที่จะออกมาปกป้องน้องชายเวลาที่ถูกคนอื่นรังแก นอกจากรูปวาดของเขาแล้ว เฟิงเยี่ยนเฉิงไม่เคยเห็นตัวจริงของเขาสักครั้ง บางคราเขาก็เข้าใจว่าเฟิงหลีเลี่ยไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว เสด็จแม่จึงได้เสียใจถึงเพียงนั้น เขาเคยถามเสด็จพ่ออยู่หลายครั้งว่าเหตุใดเสด็จแม่จึงเป็นเช่นนี้ เสด็จพ่อก็ได้แต่ยิ้มพลางลูบหน้าผากตัวเอง ถอนหายใจอย่างเศร้าใจ หนี้ที่ติดค้างอย่างไรแล้วก็ต้องชำระ

 

 

มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาเคยแอบเอารูปวาดของเฟิงหลีเลี่ยทุกภาพไปซ่อน ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เฟิงเยี่ยนเฉิงได้เห็นเสด็จแม่ตะคอกใส่เขา โกรธเขาเป็นฟืนเป็นไฟ จากนั้นนางก็ไม่สนใจเขากับเสด็จพ่อนานถึงหนึ่งเดือนเต็ม ทำเอาเฟิงหรงสวี่ผู้ที่เป็นคนตามใจภรรยาดั่งชีวิตอยากจะดึงลูกชายตัวแสบที่ทำให้เขาต้องซวยไปด้วยมาตีให้หนักสักรอบ โทษฐานที่ทำให้เขาเดือดร้อนไปด้วยราวกับปลาติดหลังแหอย่างไรอย่างนั้น เสด็จแม่ของเขาเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนที่สุด แม้แต่จะพูดจากับผู้อื่นด้วยเสียงดังยังเป็นอะไรที่ยากมาก แม้แต่เสด็จพ่อที่เป็นคนจู้จี้จุกจิกที่สุดยังเอ่ยชมว่าเสด็จแม่เป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนที่สุดและเป็นหนึ่งเดียวบนโลกใบนี้ด้วย

 

 

เมื่อไม่นานมานี้เขาได้ยินว่าเฟิงหลีเลี่ยจะมาที่นี่ เขาตั้งใจเชิดหน้าบึ้งตึงบอกว่าเขาจะไม่ไปพบเฟิงหลีเลี่ย น่าหลันฉิงก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะให้เขาไป เพราะแม้แต่ตัวนางเองยังกระวนกระวายลุกนั่งไม่ติด ทว่าเมื่อถึงวันที่เฟิงหลีเลี่ยมาถึงแล้ว ทุกคนต่างก็ไปพบเฟิงหลีเลี่ยทั้งนั้น เขาอดใจไม่อยู่ก็ติดตามไปด้วยเช่นกัน กระทั่งได้เห็นคนที่มีรูปโฉมดั่งเทพบุตรปรากฎตัวอยู่ตรงหน้าของเขาคนนั้น อีกทั้งรัศมีเย็นชาที่ทำให้รู้สึกไม่กล้าเข้าใกล้ที่แผ่ซ่านออกมาเช่นนั้น เขาเห็นสิ่งที่พวกเขามีคล้ายกันบนใบหน้าของเฟิงหลีเลี่ย จึงอดใจไม่ไหวขยับขึ้นหน้าเข้าไปใกล้ ตะโกนเรียกเสียงดัง “เสด็จพี่”

 

 

ทว่าเมื่อเฟิงหลีเลี่ยมองมายังเด็กน้อยตัวเท่าเอวของเขาแล้ว เพียงแต่กวาดสายตาเรียบเฉยมองเขาไปที จากนั้นก็พยักหน้าให้กับเสด็จพ่อของเขาแล้วเดินเข้าด้านใน ไม่แม้แต่จะเหลือบมองเสด็จแม่ของเขาเลยสักนิด

 

 

เฟิงเยี่ยนเฉิงโมโห หน้าซาลาเปาพองปูดด้วยความบูดบึ้ง เอ่ยขึ้นด้วยความเกรี้ยวกราด “เจ้าคนนี้เหตุใดจึงเสียมารยาทเช่นนี้ เสด็จแม่ของข้าพูดอยู่กับเจ้านะ เจ้าเป็นใบ้หรือไรถึงไม่รู้จักตอบ” เขาโกรธที่เฟิงหลีเลี่ยไม่เห็นหัวเขา นี่เป็นครั้งแรกสำหรับเด็กน้อยเช่นเขาที่ถูกคนอื่นไม่แยแสเช่นนี้

 

 

เขาเป็นพระโอรสคนเดียวของเฟิงหรงสวี่ ตั้งแต่วัยเยาว์มีแต่คนคอยตามใจ เป็นนายน้อยที่มีอิทธิพลมาโดยตลอด แม้แต่เฟิงหรงสวี่ยังน้อยครั้งที่จะพูดจารุนแรงกับเขา ไฉนเลยจะเคยเจอกับการเย็นชาใส่เช่นนี้ได้ อีกอย่างเสด็จแม่ทรงเป็นทุกข์เสียใจเพราะเฟิงหลีเลี่ยอยู่ทุกครั้ง

 

 

น่าหลันฉิงได้ยินคำพูดของเขาเช่นนี้ ตกใจรีบเอามือมาปิดปากไม่มีหูรูดของเขาไว้แน่น รีบร้อนอธิบายกับเฟิงหลีเลี่ยทันที “เฉิงเอ๋อร์เขาไม่ได้ตั้งใจ เจ้าอย่าถือโทษโกรธเลย หากจะโทษให้โทษข้าก็พอแล้ว” ทว่านางกลับรู้สึกเหมือนว่าตัวเองพูดอะไรผิดไป ลนลานทว่าก็ไม่รู้ควรอธิบายอย่างไรดี ร้อนใจแทบอยากจะร้องไห้ อย่างไรแล้วการที่นางปกป้องเฟิงเยี่ยนเฉิงเช่นนี้ ก็เหมือนว่านางเป็นแม่ที่ให้ท้ายลูกของตัวเอง แต่อีกฝ่ายก็คือลูกชายที่นางทำผิดต่อเขามานานหลายปี

 

 

“เลี่ยเอ๋อร์ เดินทางมาเหน็ดเหนื่อยแล้ว รีบไปพักผ่อนก่อนเถิด” เฟิงหรงสวี่ที่อยู่ด้านข้างรีบเอ่ยหงายไพ่เป็นคนดีในทันที

 

 

เฟิงหลีเลี่ยเป็นคนเย็นชาไม่แยแสผู้ใดมาแต่กำเนิด ไม่ใช่ว่าผู้ใดก็สามารถเข้าไปอยู่ในหัวใจของเขาได้โดยง่าย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมารดาที่ทำลายวัยเด็กของเขาด้วยเลย ส่วนมู่หรงชูอวิ๋นนั้นไม่มีอะไรนอกจากเรียกว่าโชคดีที่ได้เข้าไปอยู่ในใจเขา

 

 

เฟิงหลีเลี่ยพยักหน้ารับคำ เข้าไปยังรถม้าแล้วอุ้มมู่หรงชูอวิ๋นที่เหนื่อยจนผล็อยหลับไปคนนั้นออกมา ตอนที่สายตาของเขามองไปที่มู่หรงชูอวิ๋นนั้น พลันเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นมาในทันที

 

 

น่าหลันฉิงมองเห็นท้องนูนเล็กๆ ของหญิงสาวร่างเล็กอรชนในอ้อมแขนของเฟิงหลีเลี่ยแล้ว น้ำตาอุ่นพลันเอ่อล้นขึ้นมา นางหันหลังให้กับทุกคนแล้วน้ำตาแห่งความปิติยินดีก็ไหลออกมา มุมปากผลิยิ้มดั่งบุปผาเบ่งบาน สะพรั่งเช่นนั้นอยู่นาน ลูกชายของนางมีความสุขแล้ว

 

 

ตอนที่นางได้เห็นเฟิงหลีเลี่ยมาปรากฎตัวตรงหน้าของตนนั้น ความประหม่าพลันผุดขึ้นมาชั่วขณะ แทบอยากจะหลบหน้าหนีไป หากไม่ใช่เพราะความอุ่นที่ส่งผ่านมาจากฝ่ามือของเฟิงหรงสวี่ เกรงว่านางคงยืนหยัดเอาไว้ไม่อยู่ ได้เห็นความเย็นชาที่เผยออกมาจากใบหน้าและแววตาคู่นั้น คล้ายกับบุปผาที่แช่เย็นอยู่ในน้ำค้างแข็ง เป็นความเย็นชาที่นางไม่เคยเห็นในรูปวาดมาก่อนเลย นางยังคงจดจำได้คลับคล้ายคลับคลาถึงภาพในพระตำหนักเย็น ครั้งที่นิ้วทั้งสิบของนางบีบที่ลำคอบางเล็กของเขา ซึ่งเฟิงหลีเลี่ยก็ไม่เคยร้องเจ็บแม้เพียงนิด ดวงตาที่จดจ้องมองนางคู่นั้นยังคงชัดเจนและกระจ่างใส

 

 

แท้จริงแล้วเฟิงหรงสวี่เป็นห่วงว่านางจะยิ่งรู้สึกผิดขึ้นไปอีก หากนางได้รู้ว่าเฟิงหลีเลี่ยเปลี่ยนไปเป็นเช่นนี้จึงได้ส่ังให้คนปิดรูปคิ้วแหลมคมของเฟิงหลีเลี่ยไปเสีย

 

 

มาถึงวันนี้แม้แต่จะเรียกชื่อเฟิงหลีเลี่ย นางยังไร้ซึ่งความกล้า เพราะแม้แต่การถักเสื้อผ้าให้เฟิงหลีเลี่ยสักชุดนางก็ยังไม่เคยมีให้ หลายปีมานี้นางได้ทุ่มเทความรักและความรู้สึกผิดที่มีต่อเฟิงหลีเลี่ยให้กับเฟิงเยี่ยนเฉิงเป็นเท่าทวี

 

 

 

ตอนที่ 373

 

เป็นอาคนได้แล้ว

 

 

 

 

มู่หรงชูอวิ๋นเพิ่งจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ของตัวเองให้กับเฟิงหลีเลี่ยฟังจบ เด็กน้อยตัวกระเปี๊ยกสูงไม่ถึงเอวของเฟิงหลีเลี่ยก็พุ่งพรวดเข้ามา ขนคิ้วดกเข้มหยักขึ้นมาเล็กน้อยอย่างเป็นปฏิปักษ์ ภายใต้ขนตางอนยาวมีดวงตาคู่นั้นที่ชัดใสดั่งน้ำค้างยามรุ่งอรุณ จมูกเป็นสันหล่อเหลา ใบหน้าของเขามีส่วนคล้ายคลึงกับเฟิงหลีเลี่ยอยู่เจ็ดแปดส่วน ล้วนแต่สืบทอดมาจากน่าหลันฉิงมารดาของพวกเขาทั้งนั้น ประจวบกับฮ่องเต้และเฟิงหรงสวี่เป็นพี่น้องโดยสายเลือดกันด้วยแล้ว ทำให้พวกเขายิ่งดูคล้ายกันขึ้นไปอีก ดูไม่ยากว่านี่จะเป็นเหตุสร้างความสับสนให้กับผู้คนได้ในอนาคต มู่เยี่ยนคุกเข่าที่พื้นยอมรับผิดที่ปล่อยให้เฟิงเยี่ยนเฉิงเข้ามาโดยพลการ หากไม่ใช่ว่าเขาคือพระอนุชาแท้ๆ ของนายตนเอง มู่เยี่ยนก็ไม่รังเกียจที่จะอัดเด็กน้อยหัวเหม็นที่ยโสโอหังหน้าเชิดตามองฟ้าสูง ทุกครั้งมักจะเชิดคอเดิน เขาล่ะเห็นแต่โพรงจมูกดำของเด็กนั่นแล้ว น่ารังเกียจเป็นที่สุด

 

 

เฟิงหลีเลี่ยโบกมือแทนความหมายให้เขาถอยออกไปได้

 

 

เฟิงเยี่ยนเฉิงเข้ามาสักพักก็ไม่เห็นมีผู้ใดจะสนใจตน ความรู้สึกที่ถูกคนอื่นเมินเฉยเป็นอะไรที่แย่มาก พลันรู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมา ชี้ไปทางมู่หรงชูอวิ๋นเอ่ยพูดเสียงเรียบ “ข้ามาเยี่ิยมเด็กในท้องของนาง ไม่ได้มาเยี่ยมท่าน”

 

 

ผู้ใดได้ยินเช่นนี้ต้องรู้ว่าแล้ว นี่เป็นคำพูดของคนที่ปากไม่ตรงกับใจ มาเยี่ยมมู่หรงชูอวิ๋นแล้วมันต่างอันใดกับมาเยี่ยมเฟิงหลีเลี่ย สามีภรรยาเปรียบเสมือนคนคนเดียวกัน ไม่แยกข้าหรือเจ้า การที่เขามาเยี่ยมมู่หรงชูอวิ๋นไม่ได้เป็นการมาเยี่ยมเฟิงหลีเลี่ยไปด้วยหรอกหรือ

 

 

มู่หรงชูอวิ๋นเบือนหน้าหนี หยิบผ้าห่มมาคลุมท้องของตัวเองไว้มิดชิด “ไม่ให้เจ้าเยี่ยม” ใครบอกให้เขาชอบหลอกนาง เมื่อวานตกลงกันดิบดีหากนางแพ้พนันจะยอมเรียกน่าหลันฉิงว่าเสด็จแม่ แล้วเขาจะนำขนมรากบัวมาให้นาง ถึงวันนี้ยังไม่มีอะไรสักอย่าง

 

 

มู่หรงชูอวิ๋นเข้าใจผิดแล้ว ความจริงนั้นเฟิงเยี่ยนเฉิงนำขนมมาให้แล้ว ทว่าเฟิงหลีเลี่ยให้คนเก็บขนมไปซ่อนเสียก่อน นางกำลังท้องอยู่ไม่อยากให้กินขนมเหล่านี้มากเกินไป เมื่อตอนครั้งแรกที่เฟิงเยี่ยนเฉิงได้พบกับมู่หรงชูอวิ๋นนั้น ได้เห็นท่าทางหวาดผวาของนางถึงกับทำให้เขาตกตะลึงจนตาค้างพูดอะไรไม่ออก

 

 

ได้แต่เอ่ยออกไปอย่างไม่ทันคิด “เสด็จแม่ นางเป็นคนปัญญาอ่อนพ่ะย่ะค่ะ” หากนางปัญญาอ่อน เช่นนั้นว่าที่หลานชายหรือไม่ก็หลานสาวที่ยังไม่ได้ออกมาดูโลกของเขา อาจจะปัญญาอ่อนไปด้วย พลันคิดถึงภาพที่มีเด็กน้อยตัวกระเปี๊ยกน้ำมูกน้ำลายไหลยืดตะโกนเรียกเขาว่า ‘เสด็จอา’ อยู่ข้างหลังเขา

 

 

นัยน์ตาของมู่หรงชูอวิ๋นวาบไหวประกายความเสียใจ แม้นางจะเคยชินแล้วกับการที่คนอื่นบอกว่านางปัญญาอ่อน ทว่าก็เป็นเรื่องยากที่จะซ่อนความเศร้าจากก้นบึ้งของหัวใจเอาไว้ได้ ด้วยเหตุนี้มู่หรงชูอวิ๋นจึงไม่ชอบให้เฟิงเยี่ยนเฉิงมาเยี่ยมลูกในครรภ์ของนาง

 

 

ในตอนนั้นเฟิงหลีเลี่ยไม่ได้พูดกระไร กระทั่งทุกคนออกไปแล้วจึงสั่งให้มู่เยี่ยนไปจัดการสั่งสอนเฟิงเยี่ยนเฉิงให้หนัก และสั่งห้ามไม่ให้เขาเข้ามายังกระโจมของตนอีก

 

 

แม้แต่น่าหลันฉิงและเฟิงหรงสวี่ก็ยังถูกขวางไว้ให้รอด้านนอกเช่นกัน เมื่อเฟิงหรงสวี่ที่รักภรรยายิ่งชีพได้เห็นภรรยาเสียใจเช่นนี้ ก็ได้จัดการกับลูกชายที่โดนคนอื่นจัดการมาแล้วอีกรอบหนึ่ง

 

 

“ไม่ยอมให้ข้าเยี่ยม เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าจะอัดเจ้า” ชูกำปั้นขึ้นมาโดยสัญชาตญาณ แต่เมื่อมองสายตาเย็นเยียบของเฟิงหลีเลี่ยแล้วก็ต้องคลายกำปั้นเก็บลงไปเงียบๆ เขาลืมไปเสียสนิทว่ามู่หรงชูอวิ๋นมีเฟิงหลีเลี่ยเป็นบรรพตสนับสนุนอยู่ข้างหลัง หากเขาได้ล่วงเกินภรรยาสุดที่รักของเฟิงหลีเลี่ยแล้วล่ะก็ ไม่อาจแน่ใจว่าเสด็จพ่อและเสด็จแม่จะยังยืนอยู่ข้างเขา

 

 

เพราะตอนนี้ทุกคนต่างก็ไม่แยแสเขาทั้งนั้น

 

 

มู่หรงชูอวิ๋นไม่ยอม ดึงแขนเสื้อของเฟิงหลีเลี่ยพลางเอ่ยอย่างน้อยใจ “พี่ชายใหญ่ เขาจะตีข้าเจ้าค่ะ”

 

 

เฟิงเยี่ยนเฉิงโมโหจนพูดจาละล่ำละลัก “เจ้า…เจ้ายังมีหน้าอยู่หรือไม่? โตถึงเพียงนี้แล้วยังจะไปหลบอยู่ในอ้อมแขนของเสด็จพี่ข้าอีก”

 

 

เรียกเสด็จพี่ออกมาได้เต็มปากเต็มคำ หาได้มีความกระดากอายสักนิดไม่ว่าเฟิงหลีเลี่ยยังไม่ได้ยอมรับพวกเขา

 

 

“ข้าชอบ”

 

 

เฟิงเยี่ยนเฉิงได้ยินคำพูดของเฟิงหลีเลี่ยเช่นนี้ เพียงครู่เดียวก็เหมือนเป็นเด็กดื้อเอาแต่ใจเอ่ยไปว่า “พวกเจ้าร่วมมือกันรังแกเด็กคนเดียว” เขาไม่ได้เป็นเด็กถึงเพียงนั้น เหตุใดพวกเขาจึงใจร้ายเช่นนี้ เสด็จพี่เป็นคนเย็นชา ปกติเวลาที่เขาถามอะไร หากเสด็จพี่อยากตอบถึงจะตอบรับ “อืม” มาคำเดียว

 

 

แต่คำพูดจงใจหาเรื่องอย่างไม่มีเหตุผลของมู่หรงชูอวิ๋น เสด็จพี่กลับบอกว่าเขาชอบ เรื่องเช่นนี้ทำให้เฟิงเยี่ยนเฉิงรู้สึกอิจฉาเป็นที่สุด

 

 

“โตจนเป็นอาคนได้แล้ว ไม่ใช่เด็กอีกแล้วนะ”

 

 

“ไม่ถูกเจ้าค่ะพี่ชายใหญ่ ลูกของข้าไม่ต้องการอาที่เป็นคนไม่ดีเช่นนี้”

 

 

เดิมทีได้ยินคำพูดของเฟิงหลีเลี่ยพลอยช่วยคลายความเศร้าเสียใจลงไปได้ไม่น้อย ในที่สุดเฟิงหลีเลี่ยก็ยอมรับว่าเขาเป็นน้องชายแล้ว ทว่าคำพูดหักมุมของมู่หรงชูอวิ๋นประโยคนั้นทำให้เขาหัวร้อนแทบอยากร้องไห้ เขาเป็นคนไม่ดีตรงไหน การที่คนหน้าตาดีอย่างเขายอมมาเป็นอาให้กับลูกในท้องของนาง ที่ไม่รู้ว่าจะออกมาอัปลักษณ์หรือไม่เช่นนี้ นางกลับปฏิเสธไปเสียอย่างนั้น อีกอย่างเสด็จพี่ของเขาก็ยิ่งไม่มีหลักการ ไม่ว่ามู่หรงชูอวิ๋นพูดอะไรก็เชื่ออย่างนั้น ไหนเลยจะคิดถึงคนเป็นอาแสนดีอย่างเขาบ้าง เวลาเห็นของอร่อยบนท้องถนนเขามักจะนำมาฝากนางเป็นคนแรก แม้ความจริงแล้วเขาจะเห็นแก่เด็กในท้องนางก็ตามที ทว่าเมื่อนางกินหมดก็กลับลำทำเป็นไม่รู้จักกันเสียแล้ว

 

 

“ได้”

 

 

เฟิงเยี่ยนเฉิงรู้สึกเหมือนถูกสายฟ้าตีแสกหน้า ทำเขาตกตะลึงจนไม่รู้ว่าควรพูดกระไร นิ่งอยู่นานกว่าจะเค้นมาได้ประโยคเดียว “ข้าเกลียดพวกเจ้า”

 

 

ตะโกนจบแล้วก็วิ่งออกไป คนหนึ่งก็ปัญญาอ่อน ส่วนอีกคนก็เป็นพวกไม่มีความคิดเป็นของตนเอง เขาไม่อยากเป็นเสด็จอาให้ลูกของพวกเขาเสียหน่อย และก็ไม่อยากเป็นเสด็จอาของคนปัญญาด้วย

 

 

 

ตอนที่ 374

 

ท่านย้ายออกไปก็พอแล้ว

 

 

 

“หยุดก่อกวนเถิดเพคะ ประเดี๋ยวคนอื่นเข้ามาเห็นจะดูไม่งาม” น่าหลันฉิงครวญด้วยเสียงกระซิบแผ่วเบา นางไม่รู้ว่าวันนี้เฟิงหรงสวี่เป็นอะไร ตั้งแต่เข้ามาก็ดูไม่ปกติแล้ว

 

 

เฟิงหรงสวี่หาได้สนใจสายตาของคนทั้งโลกไม่ ทำตามใจปรารถนา น่าหลันฉิงก็ห้ามอะไรเขาไม่ได้

 

 

เฟิงหรงสวี่เหลือบมองประตูที่ปิดสนิท เอ่ยออกไปอย่างหาได้สนใจไม่ “ผู้ใดจะกล้าเข้ามา อีกอย่างข้าแสดงความรักกับภรรยาแล้วไปขัดหูขวางตาใครหรือ” ประคองใบหน้าของน่าหลันฉิง แล้วจูบอย่างหนักน่วง เกิดเป็นเสียงชื้นแฉะ แม้แต่หญิงงามวัยกลางคนอย่างน่าหลันฉิงยังรู้สึกเขินอาย ไม่รู้ว่าเขาไปเอาความกล้าหน้าหนามาจากที่ใด

 

 

ทุกครั้งที่เฟิงหรงสวี่ได้เห็นน่าหลันฉิง เขาก็ไม่อาจควบคุมความคิดของตัวเองได้ เป็นความรู้สึกอยากเข้าใกล้นางอย่างอดไม่ได้ อยากจะข่มเหงรังแกนาง กระทั่งน้ำตาดอกแพร์ร่วงหล่นเอ่ยอ้อนวอนขอร้อง เขาถึงมาพิจารณาว่าควรปล่อยนางไปดีหรือไม่ เมื่อครู่เดินเข้าห้องมาได้เห็นน่าหลันฉิงหน้าตาเป็นทุกข์ ผมเผ้ายุ่งเหยิงอยู่บ้างร่วงมาปิดรวงแก้มของนาง เห็นแล้วก็ยิ่งรู้สึกรัก อดไม่ได้ที่เขาจะผุดความคิดอยากจะข่มเหงนางขึ้นมา

 

 

เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองชอบน่าหลันฉิงตรงไหน อายุของน่าหลันฉิงมากกว่าเขาถึงสามปี หากเป็นสมัยก่อนที่จะได้พบกับนาง เพียงแค่บอกให้เฟิงหรงสวี่แต่งงานกับหญิงสาวที่อายุมากกว่าเขาปีเดียว เขาจะต้องทำเสียงฮึดฮัด ไม่เท่ากับเป็นการให้เขาแต่งมารดากลับจวนหรอกหรือ แต่ยามที่เขาได้เห็นน่าหลันฉิงกลับรู้สึกว่านางเป็นสาวน้อยน่ารักคนหนึ่ง ไม่ว่าจะขยับตัวเคลื่อนย้ายอย่างไรล้วนแต่อ่อนโยนเป็นที่สุด เฉกเช่นดรุณีน้อยวัยสิบแปด ผิวพรรณละเอียดอ่อนดั่งสายธารใสและอ่อนนุ่ม อีกทั้งช่วงเวลานั้นที่เขาและนางได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน ยิ่งทำให้เขาหลงรักนางอย่างหมดหนทางเยียวยา เขาไม่สนใจด้วยว่าสายตาของคนทั้งโลกในอนาคต จะยอมรับคนที่แต่งผู้หญิงของพี่ชายเช่นเขาหรือไม่ เขารู้เพียงอย่างเดียวว่าเขาขาดน่าหลันฉิงไม่ได้

 

 

“เสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

น่าหลันฉิงหันหน้าทันควันมองไปยังเฟิงเยี่ยนเฉิงที่เหมือนเทพบุตรตัวน้อย พลันตั้งสติขึ้นมาได้ จึงปัดมือของเฟิงหรงสวี่ออกไปวางบนหน้าอกของเขาเงียบๆ จ้องมองบุตรชายที่กำลังเดินเข้ามาหานาง

 

 

เฟิงหรงสวี่รีบดึงปกคอเสื้อของน่าหลันฉิงที่ย้อยลงไปให้ปิดขึ้นมา ต่อให้คนที่เข้ามาจะเป็นบุตรชายของเขาเอง ทว่าเขาก็ไม่อยากให้ใครได้เห็น เมื่อตอนที่ลูกชายคนนี้ยังเด็กได้แย่งความสุขของเขาไป เขายังไม่ได้ทวงคืนเลย ในใจแอบสบถไปคำ สมควรตายนัก เมื่อครู่เข้ามาด้วยความตื่นเต้นดีใจ จึงลืมไปว่ายังมีเจ้าเด็กที่ชอบทำให้พ่อซวยไปด้วยคนนี้อยู่ ไม่เช่นนั้นเขาคงจะลงกลอนประตูให้ดีไปนานแล้ว

 

 

น่าหลันฉิงหน้าแดงก่ำคล้ายกับไข่ไก่ที่ต้มจนสุก มาแสดงความรักกลางวันแสกๆ ก็พอทนแล้ว ยังจะมาทำให้ลูกเห็นเช่นนี้อีก ช่างขายหน้าไปถึงตระกูลเสียจริง อดไม่ได้ถลึงตาใส่เฟิงหรงสวี่ไปที ใครกันที่พูดว่าไม่มีคนอื่นเห็น

 

 

เฟิงหรงสวี่ใบหน้าขาวกระจ่างพลันเคร่งขรึม มีความหล่อคมเข้ม ดวงตาดำขลับลึกล้ำประกายสีสันให้ชวนน่าหลงใหล คิ้วเข้มจมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากมีเสน่ห์ ไม่ว่าจะมองส่วนไหนล้วนดูสง่างามและสูงศักดิ์ เขาเอ่ยขึ้นว่า “มีมือเอาไว้ทำสิ่งใด จะเข้ามาเหตุใดจึงไม่เคาะประตู? ไร้ซึ่งมารยาท” อดกลั้นความโมโหไว้จนหน้าผากมีเหงื่อละเอียดผุดซึมขึ้นมา สักวันเขาคงต้องบ้าตายเพราะเจ้าลูกพาซวยคนนี้เป็นแน่ ไม่รู้เหตุใดตอนนั้นถึงได้อยากให้เขาเกิดมา ออกมาแล้วก็มาทรมานตนเอง

 

 

เฟิงเยี่ยนเฉิงไม่ได้เห็นเขาอยู่ในสายตา “เวลาเสด็จพ่อเข้ามาก็ไม่เคยเคาะประตูนะพ่ะย่ะค่ะ? ข้าก็เรียนรู้จากท่าน การไม่อบรมลูกให้ดีเป็นความผิดของบิดา” อีกอย่างเสด็จพ่อมักจะจับเขาโยนออกจากห้องไปทุกครั้ง เขาได้ยินคนพูดกันว่าสมัยที่เขาเป็นเด็กเสด็จพ่อมักจะโยนเขาออกไปนอกห้อง แล้วครอบครองเสด็จแม่ของเขาเพียงคนเดียว

 

 

เฟิงหรงสวี่กลืนน้ำลายลงคอ ทั้งยังมีเหตุผลมากล่าวอ้าง “ข้ามาหาภรรยาของข้า การเข้ามาห้องตัวเองมีปัญหาใดเช่นนั้นหรือ?”

 

 

“ข้าก็มาหาเสด็จแม่ของข้า เข้ามาห้องของเสด็จแม่มีปัญหาใดเช่นนั้นหรือ?” เฟิงเยี่ยนเฉิงโก่งคอเถียงกลับไปอย่างไม่ยอม ทุกคนต่างรู้จักแต่จะรังแกเด็กเช่นเขา ให้สู้อย่างไรเขาก็เอาชนะคนอย่างพวกเขาไม่ได้ ความรู้สึกน้อยใจที่ได้มาจากเฟิงหลีเลี่ยพลันถูกกระตุ้นขึ้นมาอีกครั้ง

 

 

“มีปัญหา เพราะว่าที่นี่ก็คือห้องของข้า”

 

 

เป็นห้องของเขาและภรรยา

 

 

“เช่นนั้นท่านย้ายออกไปก็สิ้นเรื่องแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เฟิงหรงสวี่กัดฟันกรอดเอ่ยไปว่า “เจ้าเด็กหัวเหม็น ไหนเจ้าลองพูดอีกทีสิ” เขาไม่รังเกียจที่จะทำหน้าที่ของพ่อเสียหน่อย กล้ามาบอกให้เขาย้ายออกไปเช่นนั้นหรือ นับตั้งแต่วินาทีที่เขาเข้ามาในห้องภรรยาของเขาแล้ว ผู้ใดก็ไม่สามารถกีดกันให้เขาแยกจากภรรยาไปได้ จะให้แยกห้องยิ่งเป็นไปไม่ได้

 

 

เฟิงเยี่ยนเฉิงหดตัวอยู่ในอ้อมแขนของน่าหลันฉิงอย่างหวาดกลัว ใบหน้าซาลาเปาน้อยหงิกงอพลางเอ่ยอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “เสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อทรงจะตีลูกให้ตาย หรือว่าลูกเป็นเหมือนพี่ชายใหญ่ที่ไม่ใช่ลูกในไส้ของเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ” เศร้าใจเกือบต้องเช็ดน้ำตาแล้ว ไหนเลยจะเรียกว่าแม่หม้ายสามีทิ้ง

 

 

เฟิงหรงสวี่มีสีหน้าเคร่งเครียดดั่งมีเมฆครึ้มลอยอยู่เหนือศีรษะ[1] ตัวเองเถียงไม่ได้แล้วยังมาฟ้องว่าคนอื่นผิด “วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าเห็นอะไรที่เรียกว่าพ่อเลี้ยง” เป็นคำพูดจากลูกในไส้ของตัวเองโดยแท้ เสียดายข้าวสุกที่ป้อน เสียดายความรักที่ทุ่มเทให้ตลอดหลายปีที่ผ่านมาจริงๆ เลี้ยงสุนัขมันยังรู้จักกระดิกหางให้เจ้านาย โมโหจนแทบอยากจะจับเจ้าลูกชายตัวดี ยัดเข้าท้องของน่าหลันฉิงกลับเข้าเตาไปหลอมกลับมาใหม่เสียเหลือเกิน

 

 

 

 

[1] เมฆครึ้มลอยอยู่เหนือศีรษะ อุปมาความชั่วร้ายกำลังจะสำแดงออกมา

 

 

 

ตอนที่ 375-376

 

ตอนที่ 375 ลูกชายแสนดี

 

 

“พอแล้ว หยุดโวยวายกันเสียที” น่าหลันฉิงมองค้อนใส่เฟิงหรงสวี่ อายุขนาดนี้แล้วยังจะมาต่อล้อต่อเถียงกับลูกชายของตัวเองอีก ไม่รู้จักอายบ้างเลย พลางลูบศีรษะของเฟิงเยี่ยนเฉิงที่กำลังโกรธขึงขังด้วยความอ่อนโยน “เฉิงเอ๋อร์ เกิดเรื่องอันใดหรือ?”

 

 

“จะมีเรื่องอันใด คงเป็นเรื่องที่พี่ชายยังไม่ยอมรับเขาน่ะสิ” ทุกครั้งก็จะถูกเล่นงานกลับมาเช่นนี้ ทว่าเฟิงหรงสวี่รู้สึกเหมือนว่าตนเองพูดอะไรผิดไป พลางเหลือบมองน่าหลันฉิงด้วยสายตาระแวดระวัง ไม่ใช่เฟิงเยี่ยนเฉิงคนเดียวที่เฟิงหลีเลี่ยไม่ยอมรับ แต่น่าหลันฉิงต่างหากที่เป็นตัวการสำคัญ คิดได้แล้วจึงถูจมูกตนเองอย่างไม่รู้จะเอ่ยอันใด

 

 

ดวงตางดงามของน่าหลันฉิงประกายความโศกเศร้าซึ่งเฟิงหรงสวี่ก็จับได้ แต่ไม่รู้ว่าควรปลอบใจอย่างไรดี เรื่องนี้เป็นคดีที่ตัดสินยากมาก และไม่ใช่อะไรที่จะแก้ปัญหาได้ในเวลาเพียงวันสองวัน

 

 

น่าหลันฉิงประคองใบหน้าเล็กของเฟิงเยี่ยนเฉิง “เฉิงเอ๋อร์ พี่ของเจ้าได้รับความไม่เป็นธรรมมากมายมาตั้งแต่เด็ก คนที่แม่รู้สึกผิดไปตลอดชีวิตก็คือเขา แม่ไม่เคยดูแลเขาให้ดีเลยสักนิด เจ้ารับปากแม่ได้หรือไม่ว่าจะไม่ถือโทษโกรธพี่เขา รับปากว่าจะช่วยแม่ดูแลเขาให้ดี” นางรู้ว่าช่วงนี้ตนเองเฝ้าแต่คิดหาวิธีชดเชยให้กับเฟิงหลีเลี่ย จึงได้ละเลยเขาไปบ้าง เป็นการลำเอียงเลือกปฏิบัติ ทว่าเวลาที่นางได้เห็นหน้าเฟิงหลีเลี่ย ความรู้สึกผิดก็จะแผ่ซ่านออกมาจากในใจ ทำให้นางลืมทุกสิ่งอย่าง แม้แต่เฟิงหรงสวี่ยังต้องขยับไปยืนอยู่ทางด้านข้าง

 

 

เฟิงเยี่ยนเฉิงทำปากบึ้ง เอ่ยออกไปอย่างไม่สบอารมณ์ “แต่ว่าเขาไม่ชอบพวกเรา ปฏิบัติกับยัยปัญญาอ่อนนั่นดีกว่าพวกเราเสียอีกนะพ่ะย่ะค่ะ” เขายังคงฝังใจกับคำพูดในวันนี้ของมู่หรงชูอวิ๋น

 

 

พวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกันแท้ๆ แต่ยัยปัญญาอ่อนนั่นเป็นสะใภ้ที่เสด็จพี่แต่งเข้ามา

 

 

“อวิ๋นเอ๋อร์นางเป็นพี่สะใภ้ของเจ้า จงอย่าได้พูดจาเช่นนี้” แม้นางจะรู้สึกเช่นกันว่ามู่หรงชูอวิ๋นไม่คู่ควรกับเทพบุตรผู้ชาญฉลาดและรูปงามอย่างลูกชายของนาง ทว่าเมื่อได้เห็นพวกเขาเข้ากันได้อย่างเป็นธรรมชาติไม่มีความรู้สึกขัดแย้งแต่อย่างใด อีกอย่างเฟิงหลีเลี่ยจะเผยความอ่อนโยนออกมาเฉพาะเวลาที่อยู่ต่อหน้ามู่หรงชูอวิ๋นเท่านั้น นางรู้สึกว่าเพียงแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว บางทีหญิงที่เฉลียวฉลาดอาจจะไม่สามารถกระเทาะหน้ากากน้ำแข็งที่ผนึกอยู่บนใบหน้าของเขาได้

 

 

“แต่ว่า…”

 

 

“แต่ว่าอะไรนักหนา เสด็จแม่บอกเช่นไรก็เช่นนั้น” เฟิงหรงสวี่ขัดจังหวะขึ้นมาอย่างไม่พอใจ เขาเป็นคนใหญ่คนโตถึงเพียงนั้นทว่ากลับถูกเมินทิ้งไว้เสียนาน

 

 

……

 

 

ณ พระราชวังเหลืองทองแวววาว

 

 

“เจ้าบอกว่าคนตระกูลมู่หรงไม่อยู่แล้วเช่นนั้นหรือ” ฮ่องเต้ถลึงพระเนตรดวงโตดั่งระฆังเงินทอดพระเนตรองครักษ์เงาที่อยู่เบื้องล่าง “เราให้พวกเจ้าคอยจับตาดูไว้ เหตุใดช่วงเวลาเพียงข้ามคืนจึงหายตัวไปหมดได้เช่นนี้”

 

 

ฮ่องเต้ทรงเป็นกังวลพระทัยว่ามู่หรงไป๋จะแปรพักตร์ในชั่วคราว มู่หรงจางกุมกำลังทหารฝีมือดีอยู่ในมือหนึ่งแสนนาย ยังมีทหารทางด้านตะวันตกที่เป็นลูกน้องที่ภักดีอีกนับไม่ถ้วน คนเหล่านั้นล้วนแต่เคารพบุคคลไม่เคารพสัญลักษณ์ ด้วยเหตุนี้พระองค์ถึงได้กักขังตระกูลมู่หรงให้อยู่แต่ในวังหลวง ผู้ใดจะล่วงรู้ว่าช่วงเวลาเพียงหนึ่งคืนทุกคนในตระกูลมู่หรงจะหายตัวไปได้เช่นนี้ พูดถึงความจงรักภักดีต่อองค์ฮ่องเต้รุ่นต่อรุ่นนั้น พวกเขาก็คือคนที่จงรักภักดีที่สุด เกิดเรื่องเช่นนี้แล้วจะไม่ให้พระองค์ทรงพิโรธได้อย่างไร

 

 

“ตอนนี้เฟิงหลีเลี่ยอยู่ที่ใด?” สายพระเนตรแผ่รังสีอำมหิตออกมา ขอเพียงจับตัวลูกรักของตระกูลมู่หรงมาได้ พระองค์ไม่มีทางเชื่อว่าพวกเขาจะกล้าทรยศ พระองค์ไม่ทรงรังเกียจที่จะทำลายมู่หรงไป๋แม้แต่หน่อรากก็ไม่ให้เหลือไว้

 

 

องครักษ์เงาก้มหน้าพลางกราบทูล “ทูลฝ่าบาท ขาดการติดตามตั้งแต่หนึ่งเดือนก่อนแล้วพ่ะย่ะค่ะ ทุกคนที่ส่งไปติดตามล้วนถึงแก่ความตายทั้งสิ้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เนื่องจากเส้นทางยาวไกล พวกเขาก็เพิ่งทราบข่าวเมื่อไม่นานมานี้ เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเฟิงหลีเลี่ยจะปกปิดซ่อนเร้นได้มิดชิดเยี่ยงนี้ เขาคิดมาตลอดว่าเฟิงหลีเลี่ยเป็นเพียงอี้หวังที่ไร้ความสามารถเท่านั้น

 

 

“บัดซบ!” ฮ่องเต้กริ้วโกรธทรงขว้างสาร์นกราบทูลลงกับพื้น พระหัตถ์ขวากำหมัดแน่นกดลงบนหน้าโต๊ะ พลางตรัสวาจาประชดเสียดสี “ที่แท้เขาก็เป็นลูกชายแสนดีของเรา รู้ว่าจะต้องต่อต้านเราอย่างไร”

 

 

พระองค์ควรจะบีบคอเขาให้ตายไปเสียแต่แรก ไม่ใช่เก็บชีวิตไร้ค่าของเขาเอาไว้ หากพระองค์เดาไม่ผิดล่ะก็ เกรงว่าเฟิงหลีเลี่ยคงจะบากหน้าไปขออาศัยอยู่กับเฟิงหรงสวี่เสียแล้ว

 

 

 

 

ตอนที่ 376 พบหน้า

 

 

มู่หรงไป๋สองมือไขว้หลัง ลมโชยพัดท่ามกลางหมู่ไม้เขียวขจีดังสวบสาบ กลิ่นหอมขจรจากบุปผาสองฝากฝั่ง ทุกสิ่งอย่างล้วนเป็นไปอย่างน่าพอใจและเงียบสงบ สายลมพัดผ่านเส้นผมนุ่มลื่นของเขา ทอดมองขบวนรถที่เคลื่อนมาแต่ไกล มุมปากพลันโค้งยิ้ม

 

 

เมื่อรถม้าหยุดนิ่งลง เขาก็รีบเข้าไปช่วยพยุงฮูหยินผู้เฒ่าและคนอื่นๆ ลงจากรถม้า

 

 

“คารวะท่านพ่อท่านแม่ขอรับ เดินทางมาลำบากแล้ว” มู่หรงไป๋ทำความเคารพต่อฮูหยินผู้เฒ่าและมู่หรงจางด้วยความสุภาพอ่อนน้อม เขาเฝ้าเป็นกังวลว่าพวกฮูหยินผู้เฒ่าจะถูกคนของฮ่องเต้ตรวจพบ กระทั่งวินาทีที่ได้เห็นหน้าพวกเขา ความกลัดกลุ้มในใจจึงค่อยๆ วางกลับลงก้นบึ้งหัวใจ

 

 

ก่อนที่เฟิงหรงสวี่จะเริ่มต้นต่อสู้ทางการเมืองได้ส่งสาส์นมาถึงพวกเขาแล้วหนึ่งฉบับ พวกเขาเองก็เดาได้ว่าต่อไปตระกูลมู่หรงจะเป็นเช่นไร จึงได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว เมื่อเกิดการปฏิวัติของฮ่องเต้ขึ้น หลังจากที่พวกเขากลับมาถึงจวนก็ได้ทำตัวเป็นปกติ กระทั่งฮ่องเต้คลายความสงสัยในตัวพวกเขาลงไปแล้ว สุดท้ายพวกเขาก็อาศัยเส้นทางลับใต้ดินของตระกูลมู่หรงหนีออกมาในยามวิกาล ท้ายที่สุดก็เดินมาถึงยังพื้นที่คุ้มกันของมู่หรงไป๋

 

 

มู่หรงจางรู้เรื่องที่เฟิงหรงสวี่ต้องการเริ่มต้นต่อสู้ทางการเมืองมาตั้งแต่ต้น อีกทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการนี้ด้วย เหตุผลเพราะองค์รัชทายาทของฮ่องเต้พระองค์ก่อนก็คือเฟิงหรงสวี่เพียงผู้เดียว การที่เฟิงหรงสวี่ออกท่องเที่ยวภูเขาลำธารนั้นก็เพื่อลบล้างความคิดที่ฮ่องเต้มีต่อเขาไปให้สิ้น ทำให้พระองค์เข้าใจว่าเฟิงหรงสวี่ไม่มีความสนใจในตำแหน่งฮ่องเต้เลยแม้แต่น้อย ฮ่องเต้พระองค์ก่อนทรงคาดการณ์ไว้ว่าฮ่องเต้จะต้องลงมือกับพระองค์อย่างแน่แท้ ดังนั้นก่อนที่พระองค์จะสวรรคตได้นำพระราชโองการสืบทอดราชบัลลังก์มาเก็บไว้ในมือของมู่หรงจาง รับสั่งให้เขาคอยช่วยเหลือเฟิงหรงสวี่ พวกเขาต้องกล้ำกลืนความอัปยศช่วยงานของฮ่องเต้ ก็เพื่อที่จะดำเนินการให้ภารกิจที่หนักอึ้งนั้นสำเร็จ พวกเขารู้สึกรังเกียจฮ่องเต้ที่ฆ่าพระบิดาสังหารพี่น้องเช่นนี้เป็นที่สุด เพราะฮ่องเต้พระองค์ก่อนยังทรงมีพระวรกายแข็งแรงทว่าต้องมาสวรรคตก่อนวัยอันควร

 

 

คนรุ่นหลังของตระกูลมู่หรงหาได้มีใครทราบเรื่องนี้แม้แต่น้อย เรื่องของหมู่บ้านเจวี๋ยซีก็เป็นฝีมือลูกน้องคนหนึ่งของมู่หรงจาง สุ่มฝึกซ้อมกำลังทหารเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการทวงคืนบัลลังก์ของเฟิงหรงสวี่ในอนาคต ทว่าผู้ใดจะได้ทันคาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติจากธรรมชาติและจากมนุษย์ขึ้นเช่นนี้ เพื่อไม่ทำให้ผู้อื่นสังเกตเห็น อีกทั้งพวกเขาก็ไม่สะดวกที่จะเข้าไปจัดการ เฟิงหรงสวี่จึงสั่งให้มู่หรงจางวางแผนให้เฟิงหลีเลี่ยเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องนี้ด้วย เพราะอย่างไรแล้วในมือของเฟิงหลีเลี่ยยังมีกองกำลังทหารที่แม้แต่เฟิงหรงสวี่ยังต้องระมัดระวัง สำหรับความแข็งแกร่งมากเพียงใดนั้นไม่มีผู้ใดทราบได้ ทำได้เพียงดึงเขาเข้ามาอยู่ในกองกำลังด้วยถึงจะสบายใจ ผู้ใดจะคาดคิดเป็นเพราะเรื่องของมู่หรงชูอวิ๋นที่ทำให้เรื่องทั้งหมดผูกเข้าด้วยกันได้จริง ทั้งยังตัดไม่ขาดด้วย

 

 

ทางด้านฮูหยินผู้เฒ่าที่เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ต้องเร่งรีบเดินทางนานครึ่งเดือนเต็มกว่าจะมาถึงค่ายประจำการของมู่หรงไป๋ เนื่องจากร่างกายไม่ได้แข็งแรงเหมือนสมัยเป็นสาวแล้ว จึงรู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ปวดเมื่อยเนื้อตัวไปจนถึงกระดูก ทว่าความปิติยินดีที่ได้มาพบหน้ารวมตัวกันอีกครั้งก็ได้ชะล้างความเหน็ดเหนื่อยไปจนสิ้น ได้พบหน้าของมู่หรงไป๋เห็นผิวที่กว่าจะขาวขึ้นได้ไม่ง่ายต้องกลับมาดำอีกครั้ง “ลำบากเจ้าแล้ว”

 

 

ทางด้านซูซื่อที่หายใจหอบเหนื่อย แต่ไหนแต่ไรมานางก็ไม่เคยนั่งรถนานถึงเพียงนี้ เกิดอาการเมารถอาเจียนตลอดทาง นางคิดไม่ถึงเลยว่าตระกูลมู่หรงจะคิดเป็นปรปักษ์เช่นกัน ตอนที่นางทราบเรื่องถึงกับตกใจชะงักอึ้งไปเลย ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี เป็นกังวลว่าตระกูลซูจะต้องมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยหรือไม่ ทว่านางก็เข้าใจหากตัวเองยังคงอยู่ ก็จะกลายเป็นบุคคลที่เป็นภัยคุกคามของคนตระกูลมู่หรงได้ ซึ่งนางเชื่อว่าฮ่องเต้จะต้องเห็นแก่จางจื่อฉีพระชายาขององค์ชายรอง ไว้ชีวิตคนสกุลซูบ้าง

 

 

“ท่านแม่ขอรับ”

 

 

มองเห็นมู่หรงมู่ร่างกายแข็งแรงกำยำขึ้นกว่าตอนอยู่เมืองหลวง ผิวหน้าขาวผ่องเปลี่ยนเป็นหมองคล้ำอยู่มาก รัศมีที่แผ่ซ่านจากกายมีความสุขุมเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ในคราหนีตายนั้นสุดแสนจะจนตรอก หวาดกลัวว่ายังไม่ถึงที่หมายจะต้องพบกับเหล่าทหารที่ฮ่องเต้ทรงรับส่ังให้ไล่ติดตามเสียก่อน สุดกลั้นน้ำตาที่อัดอั้นมานาน โผเข้าไปกอดมู่หรงมู่น้ำตาหลั่งริน “มู่เอ๋อร์…” ในครานี้มีเพียงมู่หรงมู่เท่านั้นที่จะปลอบใจนางได้

 

 

มู่หรงมู่เก้กังทำตัวไม่ถูก ใบหน้าหล่อเหลาเผยความเก้อเขิน อย่างไรแล้วคนที่ติดตามพวกเขามายังมีพี่น้องที่มักจะไปเที่ยวสนุกกับเขามาด้วย

 

 

มู่หรงอิงเห็นมู่หรงมู่สุขุมเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก จิตใจพลันสงบลงไปไม่น้อย ยังดีที่ไม่ได้มาเป็นตัวถ่วงที่นี่

 

 

มู่หรงจางย่นคิ้วขมวด ช่างวางตัวไม่สุภาพเรียบร้อยเอาเสียเลย ทว่าก็ไม่ได้สนใจพวกเขาอีก ก่อนจะเดินเข้าไปยังค่ายทหารพร้อมกับฮูหยินผู้เฒ่า เดิมทีการเดินทางครั้งนี้พวกเขาควรมาถึงตั้งแต่สิบวันก่อนแล้ว หากไม่ใช่เพราะซูซื่อไม่ค่อยสบาย จึงต้องหยุดพักให้นางได้ปรับตัว การเดินทางจึงต้องล่าช้าออกไป

 

 

 

ตอนที่ 377-378

 

ตอนที่ 377 ให้กำเนิดแต่ไม่เลี้ยง

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าหลับยาวตลอดทั้งช่วงบ่ายเรี่ยวแรงถึงจะฟื้นคืนกลับมาเป็นปกติได้ พลางนวดรอบเอวที่ยังปวดเมื่อยอยู่บ้าง ลอบทอดถอนใจ แก่แล้วจริงๆ จะใช้งานเหมือนแต่ก่อนไม่ได้แล้ว

 

 

เมื่อก่อนในคราที่นางติดตามมู่หรงจางลงสู่สนามรบ ต้องบุกน้ำลุยไฟนานหลายเดือนก็ไม่เห็นจะรู้จักความเหน็ดเหนื่อยสักนิด กลับแข็งแรงปราดเปรียวมีพลังชีวิตเหมือนเสือและมังกร มาวันนี้ถึงคราวที่ต้องยอมให้กับความแก่ชราแล้ว

 

 

นางหันหน้ามาเห็นมู่หรงไป๋นั่งอยู่บนเก้าอี้ คิ้วขมวดย่นหน้าตากลัดกลุ้ม ไม่รู้ว่าเขามานั่งอยู่ที่นี่นานเท่าใดแล้ว นั่งเหม่อลอยอยู่เงียบๆ คนเดียวเช่นนั้น แม้นางจะตื่นขึ้นมาแล้วก็ยังไม่ทันสังเกตเห็น หากเป็นศัตรูไม่รู้ว่านางต้องตายไปแล้วไม่รู้กี่ครั้ง

 

 

ถึงวันนี้ได้เข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว หลังจากที่พวกคนป่าถูกมู่หรงไป๋ปะทะอย่างหนัก ผ่านมาหนึ่งเดือนกว่าก็ยังไม่มีวี่แววจะย่างก้าวเข้ามาในดินแดนของแคว้นชังหมิงอีกเลย

 

 

“ไป๋เอ๋อร์”

 

 

มู่หรงไป๋ดึงความคิดออกมาจากภวังค์ของตนเอง มองฮูหยินผู้เฒ่าพลางเอ่ยอย่างชะงักงัน “ท่านแม่”

 

 

เอ่ยเรียกแล้ว ก็เงียบไม่พูดจาอยู่นาน

 

 

“มีเรื่องอันใดก็พูดมาเถิด อ้ำอึ้งทำเป็นน้ำท่วมปากไปได้” นางเป็นมารดาของเขา หาใช่พยาธิในท้องของเขาไม่ จะได้เดาออกทุกเรื่อง ไม่รู้ว่าลูกคนนี้ไปเรียนแบบมาจากใคร เก็บคำพูดซ่อนไว้ในใจ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ในสมองของฮูหยินผู้เฒ่าก็ปรากฎภาพคนคนนั้นขึ้นมา

 

 

มู่หรงไป๋จ้องมองดวงตาของฮูหยินผู้เฒ่ายังคงกระจ่างใสเปล่งประกายเหมือนสมัยที่เขายังเป็นหนุ่ม รู้สึกขาดความมั่นใจในทันที “ท่านแม่ ข้ามีเรื่องจะคุยด้วย แต่ท่านแม่โปรดอย่าโกรธเคืองนะขอรับ”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้รับปากเขา เพียงแต่มองเขาด้วยสายตาเย็นเยียบ

 

 

มู่หรงไป๋กัดฟัน รู้แก่ใจดีหากเขาไม่บอกว่าเป็นเรื่องอันใด ฮูหยินผู้เฒ่าไม่มีทางรับปากเขาเป็นแน่ จึงกลั้นใจพูดออกไปว่า “ท่านแม่ อวิ๋นซินนางยังมีชีวิตอยู่ขอรับ” พูดออกไปแล้วก็เหลือบมองวิเคราะห์สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าอย่างระแวดระวัง ฝ่ามือชุ่มเปียกไปด้วยเหงื่อ ร้อนใจจนเขาไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี หลายปีแล้วที่เขาไม่ได้มีความรู้สึกเช่นนี้

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าใจหายวาบ คิ้วขมวดในทันที ครู่หนึ่งจึงเอ่ยออกมาอย่างเย็นชา “นางเคยกลับมาหรือไม่”

 

 

มู่หรงไป๋มีความตื่นตกใจผุดขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ เขาคิดว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะต้องดีใจ อย่างไรแล้วสะใภ้ที่นางโปรดปรานที่สุดก็คือฉินอวิ๋นซิน แม้จะไม่เข้าใจความหมายของฮูหยินผู้เฒ่า ทว่าเขาก็พยักหน้าตอบกลับไป

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยพูดกึ่งประชด “นางช่างมีจิตใจโหดร้ายเสียจริง” น้ำเสียงคมชัดขึ้นหลายส่วน

 

 

ปีนั้นที่ฉินอวิ๋นซินล้มป่วยลาจากโลกนี้ไป แม้ว่ามู่หรงชูอวิ๋นจะยังเป็นเด็กไม่รู้ความ แต่นางก็เป็นเด็กที่ติดแม่มาก เมื่อไม่เห็นแม่ของตัวเองอยู่นาน ก็วิ่งตามหาแม่ทุกที่อย่างตื่นตระหนก ร้องไห้เสียใจตลอดเช้าค่ำ ไม่ว่าผู้ใดจะมาปลอบก็ไม่มีประโยชน์ ร้องไห้เสียใจจนล้มป่วยอาการสาหัส หากไม่ใช่เพราะพวกเขาใช้ใจปกป้องดูแลนาง ไหนเลยจะมีมู่หรงชูอวิ๋นในวันนี้ ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกผิดกับฉินอวิ๋นซินมาโดยตลอด ที่นางไม่ได้ดูแลมู่หรงชูอวิ๋นให้ดี แต่มาตอนนี้ฉินอวิ๋นซินยังมีชีวิตอยู่ ความจริงเรื่องนี้ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ายากจะยอมรับได้ในช่วงเวลาอันสั้น และนางก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดมู่หรงไป๋จึงยากจะเอ่ยปากพูด

 

 

“ท่านแม่ นางมีเรื่องที่ยากจะพูดออกมาได้…” เห็นว่าฮูหยินผู้เฒ่าเข้าใจผิดฉินอวิ๋นซิน มู่หรงไป๋ก็รีบแก้ตัวแทนฉินอวิ๋นซินทันที เขาเข้าใจได้หากท่านแม่จะไม่สามารถยอมรับได้ เพราะในตอนแรกที่เขารู้เรื่องนี้ก็เป็นเช่นเดียวกัน ส่วนเรื่องที่ยากจะบอกจนถึงวันนี้เขาก็ยังไม่ทราบว่าเป็นเรื่องใด เพราะฉินอวิ๋นซินยังคงปิดบังไม่ยอมบอกเขา

 

 

“ฮึ! มีเรื่องที่ยากจะพูดหรือ คิดว่าพูดเพียงแค่นี้จะสามารถลบล้างความทุกข์ที่มู่หรงชูอวิ๋นได้รับตลอดหลายปีที่ผ่านมาได้เช่นนั้นหรือ” มุมปากผุดรอยยิ้มเย็นชา ฮูหยินผู้เฒ่ายังคงจดจำเรื่องราวที่มู่หรงชูอวิ๋นตกสระน้ำได้อย่างดี ตอนที่นางได้รับการช่วยเหลือขึ้นมาจากสระ ภาพที่แม้ว่านางจะนอนหายใจรวยรินอย่างน่าเวทนาอยู่ในอ้อมแขนของตน ทว่าปากยังคงพึมพำไม่หยุด “ข้าก็มีแม่เหมือนกัน” หากว่านางมีแม่คอยปกป้องดูแลก็คงไม่ต้องโต้เถียงกับคนอื่นจนตกลงไปในสระน้ำเย็นเฉียบนั่น ฮูหยินหาเหตุผลมาเข้าใจไม่ได้จริงๆ เหตุใดฉินอวิ๋นซินถึงได้ใจร้ายทิ้งลูกสาวของตัวเองไปเช่นนี้

 

 

มู่หรงไป๋หดหู่ลงไปในทันที พูดถึงมู่หรงชูอวิ๋นแล้วพวกเขาล้วนแต่ทำผิดต่อนางกันทั้งนั้น ให้กำเนิดแต่ไม่เลี้ยงดู ไหนเลยจะใช้เพียงคำว่ารู้สึกผิดมาอธิบายได้

 

 

 

 

 

ตอนที่ 378 ข้าไม่มีลูกชายสกุลเจียง

 

 

เงียบอยู่เป็นเวลานาน “อีกประเดี๋ยวเจ้าให้นางเข้ามาเถิด”

 

 

มู่หรงไป๋ตกใจ “ท่านแม่!” ไม่รู้ว่าท่าทางของฮูหยินผู้เฒ่าเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร เขาไม่กล้าให้ฉินอวิ๋นซินเข้ามาเลยจริงๆ

 

 

“เจ้าไม่ต้องพูดอันใดแล้ว ไม่เช่นนั้นแม้แต่เจ้าข้าก็จะไม่ยอมรับ” เห็นมู่หรงไป๋ปกป้องฉินอวิ๋นซิน อารมณ์โมโหก็ผุดขึ้นมา ไม่รู้ว่าเขาลืมไปแล้วหรือไร ในตอนนั้นเขาเศร้าเสียใจขังตัวเองอยู่แต่ในห้องก็เพราะใคร

 

 

ตอนนี้นางเพียงอยากทำความเข้าใจเรื่องทุกอย่างก็เท่านั้น ไม่ได้คิดจะรังแกภรรยาของเขาเสียหน่อย จำเป็นต้องปกป้องกันถึงเพียงนี้หรือ พลันอดรู้สึกน้อยใจไม่ได้

 

 

เชียนเย่รีบส่งสายตาบอกเป็นนัยให้มู่หรงไป๋ นางเป็นห่วงว่าหากเขายังดื้อรั้นที่จะพูดอะไรอีก บางทีแม้แต่หน้าของฉินอวิ๋นซินฮูหยินผู้เฒ่าก็อาจไม่อยากมอง การที่นางยอมมองหน้าก็ถือว่ายังพอมีทางหนีทีไล่อยู่บ้าง

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าหลุบเปลือกตาลง กวาดมองไปยังคนที่กำลังเดินเข้ามา ยิ้มเย้ยอยู่ในใจ เป็นนางจริงๆ นางยังรู้สึกว่าแปลกใจนักเพราะปกติมู่หรงชูอวิ๋นไม่เคยเรียกใครซี้ซั้ว เหตุใดจึงเรียกทักบุรุษว่าเป็นมารดาได้ ในตอนนั้นนางยังคิดว่าลูกชายของตนไม่ชอบสตรีแล้ว รู้สึกเป็นกังวลอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เรื่องนี้ผู้ใดจะคาดคิดได้

 

 

ฉินอวิ๋นซินมองฮูหยินผู้เฒ่าที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ สีหน้าไม่เป็นมิตร กลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะเรียกเสียงแผ่วเบา “ท่านแม่” อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด นางเห็นสีหน้าของมู่หรงไป๋ตอนที่กลับมา ก็รู้แล้วว่าเป็นเรื่องยากพอตัว ทว่านางเชื่อว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะต้องให้อภัยนางได้ อย่างไรแล้วคนที่ฮูหยินโปรดปรานที่สุดก็คือมู่หรงชูอวิ๋น เมื่อรักใครแล้วก็จะรักสิ่งหรือคนที่เกี่ยวข้องกับมู่หรงชูอวิ๋นด้วย

 

 

นางเดาไว้ไม่ผิด ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนที่เมื่อรักใครแล้วก็จะรักสิ่งหรือคนที่เกี่ยวข้องกับคนคนนั้นด้วย เพียงแต่ตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่ายังโกรธอยู่เท่านั้น

 

 

“ไม่กล้ารับได้” มีรอยยิ้มเย้ยหยันวาบขึ้นที่มุมปาก ดวงตาหรี่ลงราวกับไม่อยากจะมองหน้านางแม้สักนิด

 

 

ฉินอวิ๋นซินรู้สึกขมขื่นใจ ดูท่านางคงจะคิดภาพสวยหรูเกินไป “ข้าขอโทษเจ้าค่ะ” ฉินอวิ๋นซินคุกเข่าลงกับพื้น นางไม่กล้าขอร้องฮูหยินผู้เฒ่าให้ยกโทษให้ อย่างไรแล้วตัวนางเองก็เป็นแม่ที่ไม่ดีจริงๆ

 

 

“คุณชายเจียง ท่านทำเช่นนี้เพื่อเหตุใด? พวกเราไม่ได้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทกัน ท่านทำเช่นนี้ไม่เท่ากับทอนอายุคนแก่อย่างข้าหรือ ข้ายังอยากมีชีวิตอยู่อีกหลายปี” พลางสื่อความหมายให้เชียนเย่ช่วยประคองนางลุกขึ้นยืน

 

 

ฉินอวิ๋นซินนั่งติดกับพื้นทำอย่างไรก็ไม่ยอมลุกขึ้น “ท่านแม่ ข้ารู้ว่าข้าทำไม่ถูก ไม่กล้าพอจะขอให้ท่านยกโทษให้ได้”

 

 

“เช่นนั้นเจ้ามาทำอันใด?”

 

 

ไม่ต้องการให้นางยกโทษให้ แล้วมาอยู่ให้ขวางตาเพื่อเหตุใด?

 

 

ฉินอวิ๋นซินตกตะลึง นางอยู่ตระกูลมู่หรงมาหลายปี ไม่เคยเห็นฮูหยินผู้เฒ่าจะใช้วาจาข่มตนถึงเพียงนี้ ใบหน้าของนางจะมีรอยยิ้มอยู่เสมอ ได้เห็นใบหน้าเย็นชาของฮูหยินผู้เฒ่าเช่นนี้ ทำหัวใจของนางเต้นรัวเหมือนตีกลองแล้ว

 

 

เชียนเย่ชักมุมปาก ดูท่าครั้งนี้ฮูหยินผู้เฒ่าจะโกรธจริงแล้ว ครั้งล่าสุดที่เห็นนางเป็นเช่นนี้ ก็เป็นเหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อนที่นางไปทวงความยุติธรรมให้กับมู่หรงชูอวิ๋นที่บ้านสกุลซู ทั้งไม่สนด้วยว่านั่นเป็นจวนของญาติพี่น้องที่เกี่ยวดองกัน ในสายตาของนางมีเพียงมู่หรงชูอวิ๋นคนเดียว เรื่องนี้ทำให้ซูซื่อตกใจจนไม่กล้ากลับบ้านเกิดนานถึงสองปี เพราะกลัวว่าฮูหยินจะเคืองโกรธ แล้วขับไล่สะใภ้อย่างนางออกจากจวน เชียนเย่ทำได้เพียงมองฉินอวิ๋นซินอย่างเห็นใจ นางไม่ได้ช่วยพูดแทนฉินอวิ๋นซินเพราะนางก็ไม่อาจเข้าใจ มีเรื่องอันใดที่ไม่อาจแก้ไขได้ถึงขั้นต้องแกล้งตายเช่นนี้ หากว่ามู่หรงจางนั่งอยู่ที่นี่ตอนนี้ด้วย แล้วฉินอวิ๋นซินเป็นชายล่ะก็ นางคิดว่าเขาคงจะซ้อมฉินอวิ๋นซินปางตายเป็นแน่ ตอนนั้นพวกเขารักและเอ็นดูฉินอวิ๋นซินมากเพียงใด ตอนนี้ก็เกลียดชังมากเพียงน้ัน

 

 

“ท่านแม่ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนี้…”

 

 

“เช่นนั้นเจ้าหมายถึงเช่นไร? อีกอย่างอย่ามาเรียกข้าว่าท่านแม่ ข้าไม่มีลูกชายสกุลเจียง”

 

 

ฉินอวิ๋นซินหน้าเสียอย่างเห็นได้ชัด รู้สึกทำหน้าไม่ถูกแล้ว นางพบว่าไม่ว่าตนเองจะพูดอย่างไรล้วนผิดไปหมด ในตอนนั้นนางไม่ควรกลับไปจวนมู่หรงเสียจะดีกว่า มาถึงวันนี้จึงไม่รู้ว่าควรอธิบายอย่างไรดี

 

 

เชียนเย่ซ่อนรอยยิ้มที่มุมปาก นายหญิงไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ ความสามารถลึกล้ำเช่นนี้ของฮูหยินผู้เฒ่า เก่งกาจมาตั้งแต่สามสิบกว่าปีก่อนแล้ว ไหนเลยที่ฉินอวิ๋นซินจะเทียบชั้นกับฮูหยินผู้เฒ่าได้ เรียกว่าคำพูดของนางนั้นพิฆาตคนทั้งเป็นได้เลย

 

 

 

ตอนที่ 380

 

ให้อภัย

 

 

 

นางเข้าใจว่าตนเองปฏิบัติต่อสะใภ้ทั้งสองเป็นอย่างดี ไม่ได้ทำเหมือนครอบครัวอื่นที่ให้สะใภ้ต้องมาตื่นแต่เช้าตรู่คอยรอปรนนิบัติ และไม่เคยหาภรรยาน้อยให้ลูกชายทำให้พวกนางต้องอึดอัดใจ สมัยนั้นการที่นางดูแลฉินอวิ๋นซินมากกว่าซูซื่อ นั่นเป็นเพราะมู่หรงไป๋ไปอยู่ชายแดน ในบ้านมีเพียงพวกนางสองคนแม่หม้ายและลูกสาว

 

 

เชียนเย่เข้าใจว่าฮูหยินผู้เฒ่ากำลังเอ่ยเสียดสีซูซื่ออยู่ แม้แต่นางก็ยังไม่ยากจะเชื่อ เพียงเพราะเห็นแก่ชื่อเสียงจอมปลอมเล็กน้อยเหล่านั้น ถึงกับบีบให้อีกคนต้องจากไปอย่างไม่ลังเลได้ พวกนางเป็นพี่สะใภ้และน้องสะใภ้กันแท้ๆ หากที่จวนมีลูกชายมากกว่านี้ ครอบครัวจะไปหาความสงบสุขที่ไหนได้ เชียนเย่รู้สึกเดาทางไม่ถูก ไม่รู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าวางแผนจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร เพราะอย่างไรแล้วเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องเพียงซูซื่อคนเดียว แต่ยังมีครอบครัวของมู่หรงไป๋ด้วย หากว่าจัดการได้ไม่ดี บางทีจิตใจของพวกลูกๆ อย่างมู่หรงมู่อาจคิดว่าฮูหยินผู้เฒ่าทำรุนแรงกับมารดาของพวกเขาได้

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเสียงเคร่งขรึม “เรียกมู่เอ๋อร์มาพบข้าที”

 

 

อย่างไรเสียนางก็คือภรรยาของเขา แม้ปกติพวกเขาทั้งสองจะดูไม่ค่อยถูกกันเสียเท่าไร ทว่าผู้ใดจะรู้พวกเขาอาจจะมีความรักระหว่างกันอยู่ก็เป็นได้ หากตนทำอะไรลงไปโดยพลการ จะเป็นการทำร้ายจิตใจของลูกชายตนเองเสียเปล่า ไม่ว่าจะคนนอกหรือคนในล้วนก็เป็นคนของนาง สู้ให้เขาไปจัดการเรื่องนี้เองเสียดีกว่า ปล่อยให้เป็นการตัดสินใจของเขาเอง

 

 

มู่หรงอิงเข้ามายังที่พักของฮูหยินผู้เฒ่า เมื่อได้เห็นสีหน้าของนางและฟังเรื่องราวแล้ว หัวใจของเขาเหมือนกับถูกกระเทาะ จิตใจว้าวุ่นไม่สงบสุข ยามราตรีดวงจันทร์เพิ่งจะลอยเด่นเหนือท้องนภา เหล่าทหารเดินลาดตระเวนเมื่อได้เห็นสีหน้าซีดขาวอย่างที่สุดของมู่หรงอิง ต่างพากันเดินหลบห่างออกไปไกล

 

 

ฝีเท้าสาวเดินรวดเร็วราวกับเหาะมุ่งหน้าไปยังห้องพัก เมื่อกลับถึงห้องพักมู่หรงอิงไม่เห็นเงาร่างของซูซื่อ เอ่ยถามเสียงเย็นชา “ฮูหยินล่ะ?”

 

 

สาวใช้ที่คอยรับใช้ซูซื่อรีบเอ่ยตอบ “วันนี้ฮูหยินอยู่ที่ห้องของคุณชายรองตลอดทั้งวันเจ้าค่ะ” ซูซื่อเป็นกังวลว่ามู่หรงมู่จะไม่สะดวกสบาย มีเรื่องสนทนาตลอดกระทั่งถึงยามนี้ก็ยังพูดไม่หมด

 

 

มู่หรงอิงได้คำตอบที่ตนเองต้องการแล้ว เดินพรวดพราดไปยังกระโจมค่ายของมู่หรงมู่ ผลักประตูเปิดออก ทำคนด้านในสะดุ้งตกใจ

 

 

มู่หรงมู่เห็นมู่หรงอิงทำหน้าบูดบึ้ง พลันรู้สึกขนลุกในหัวใจ “ท่านพ่อมาได้อย่างไรขอรับ?” มู่หรงอิงเป็นคนที่สุภาพเรียบร้อยกับทุกอย่าง แม้แต่คำพูดจารุนแรงยังเห็นได้น้อยครั้ง ทว่าสีหน้าเช่นตอนนี้เห็นทีคงจะมีเรื่องอะไรเป็นแน่ ตามหลักการแล้วพวกเขาเพิ่งจะมาถึงชายแดน จึงไม่น่าใช่เรื่องที่นี่ เว้นเสียแต่เป็นเรื่องราวก่อนหน้า

 

 

มู่หรงอิงไม่เห็นหัวของมู่หรงมู่เลยสักนิด พลันเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เป็นฝีมือของเจ้าใช่หรือไม่?”

 

 

ซูซื่อเดิมทีอารมณ์ดีอยู่ พลันรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาบ้าง เม้มริมฝีปากพลางเอ่ย “มู่หรงอิง ท่านหมายความว่าอย่างไร ข้าทำสิ่งใดอีก?” วันนี้ทั้งวันนางก็อยู่ที่นี่กับมู่หรงมู่มาตลอด เหตุใดจึงถูกใส่ร้ายอะไรอย่างไม่มีเหตุผลเช่นนี้อีก

 

 

“ท่านพ่อ มีเรื่องอันใดก็ค่อยๆ พูดจากันเถิดขอรับ…”

 

 

มู่หรงอิงชี้หน้าซูซื่อพลางพูดออกไปอย่างเดือดดาล “เจ้าคงไม่รู้ว่านางทำเรื่องอันใด ยิ่งเสียกว่าเลวทรามไร้ซึ่่งมโนธรรม”

 

 

มู่หรงมู่ตกตะลึง เลวทรามไร้ซึ่่งมโนธรรม เว้นเสียแต่ฆ่าคนวางเพลิงแล้ว ไหนเลยจะใช้คำพูดเช่นนี้ได้

 

 

“ครึ่งชีวิตนี้ของข้าพยายามตั้งใจเป็นสะใภ้ที่ดีของสกุลมู่หรงมาตลอด ท่านกลับใช้คำพูดเช่นนี้มาทำให้ข้าเกิดความอัปยศ” น้ำเสียงของนางแหลมเสียดแทงขึ้นหลายส่วนอย่างอดไม่ได้

 

 

“อัปยศหรือ น้องสะใภ้รองในปีนั้นจากไปด้วยเหตุใดเจ้าจะอธิบายได้หรือไม่?”

 

 

ซูซื่อแค่นเสียงหัวเราะเย็นชา​ “ข้ายังคิดว่าเหตุใดท่านจึงไม่พอใจเครียดแค้นถึงเพียงนี้ ที่แท้ก็เพราะผู้หญิงคนนั้น นางตายไปสิบปีแล้ว ท่านยังจะคิดถึงไม่เคยลืม น้องชายแสนดีของท่านจะคิดอย่างไรหากได้รู้ว่าพี่ชายแท้ๆ ที่ตนเคารพรัก แท้จริงแล้วในใจคิดถึงผู้หญิงของเขาอยู่ อีกอย่างนางก็ตายไปแล้ว อยากจะรู้ว่านางตายเช่นไร เหตุใดไม่ไปถามนางเอง?”

 

 

“เจ้า!” มู่หรงอิงอ้าฝ่ามือขึ้นมาด้วยความโกรธจัด

 

 

“ท่านตบเลย” ซูซื่อยื่นหน้าไปท้าทายฝ่ามือของมู่หรงอิง “ละอายจนโกรธเคืองเลยสินะ ถูกข้าเปิดเผยจิตใจสกปรกที่เก็บซ่อนอยู่ก้นบึ้งของหัวใจมานานหลายปี”

 

 

“หลายปีที่ผ่านมานี้ในสายตาของท่านมีเพียงผู้หญิงที่ตายไปแล้วคนนั้น ข้าทำเพื่อสกุลมู่หรงของพวกท่านมากมายเพียงนั้น พวกท่านกลับเห็นความตั้งใจดีเป็นเจตนาร้าย เพียงเพราะเรื่องทะเลาะกันของพวกเด็กๆ อย่างมู่หรงชูอวิ๋น พวกท่านก็ตำหนิโทษตระกูลของข้าอย่างไม่ยอมอ่อนข้อ เพื่อคล้อยตามพวกท่านแล้ว ข้าไม่กล้ากลับไปเยี่ยมบ้านแม่ตัวเองอยู่หลายปี เพราะกลัวว่าพวกท่านจะคิดว่าข้าเป็นคนเช่นนั้น ยามที่มู่เอ๋อร์และสิงเอ๋อร์ป่วย พวกท่านก็ไม่มีใครทำอันใดสักอย่าง แต่พอคนขี้โรคอย่างมู่หรงชูอวิ๋นป่วย พวกท่านล้วนรู้สึกเหมือนฟ้าจะทลายลงมา หยิบป้ายคำสั่งเข้าวังไปกราบทูลเพื่อขอพระราชทานหมอหลวง ทุกคนต่างห้อมล้อมรอบตัวนาง ข้าต่างหากที่ให้กำเนิดลูกชายได้สืบสกุลถึงสองคน ผู้หญิงตระกูลของข้าอภิเษกสมรสกับองค์ชายรอง พวกท่านต่างก็สั่งห้ามไม่ให้ข้าเข้าใกล้สนิทสนมกับพวกเขา ทว่ามู่หรงชูอวิ๋นกลับอภิเษกกับเฟิงหลีเลี่ย ท่านว่าพวกท่านน่าขันมากเพียงใด? คิดเอาเองว่าสูงส่ง” น้ำตาซูซื่อร่วงรินลงมาพร้อมกับรอยยิ้มเย็นชา ไหลเข้าปากลิ้มรสความขมขื่นยิ่งกว่ายาขมใดๆ หลายส่วน

 

 

มองดูชายตรงหน้าแม้ขาดความเยาว์แห่งชายหนุ่มที่ทำให้นางหลงรักตั้งแต่แรกเห็น ทว่ายังคงความหล่อเหลาเช่นเดิม

 

 

พลางเอ่ยขึ้นด้วยถ้อยคำเยาะเย้ยตัวเอง “ดั่งคนไม่รู้จักกัน” หากนางไม่ติดตามพี่ชายไปที่งานเลี้ยงวันนั้น เรื่องทั้งหมดก็คงไม่เป็นเช่นนี้

 

 

มู่หรงมู่รู้สึกคอแหบแห้ง มองดูคนทั้งสองที่รักกันเหมือนแรกเริ่มทว่าต่างคนต่างไม่พอใจกัน เขาไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี

 

 

“หากไม่ใช่ข้า เกรงแต่ว่าพี่ชายฉลาดมากประสบการณ์ของเจ้าคงจะ…ไปนานแล้ว”

 

 

“เช่นนั้นข้าก็ขอยอมรับ”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าเดินมาถึงหน้าประตูได้ยินถ้อยคำประโยคนี้พอดี ที่แท้คนเรามิควรละโมบจริงๆ บางทีนางอาจไม่เคยได้รับน้ำหนึ่งใจเดียวกันของมู่หรงอิงตั้งแต่วัยหนุ่มเลยก็ว่าได้ ไม่เช่นนั้นคงไม่เศร้าโศกเหมือนตอนนี้ นางย่อมเข้าใจลูกชายของตัวเองมากกว่าผู้ใด ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่เชื่อว่าเขาจะมีใจให้น้องสะใภ้ของตัวเอง

 

 

เดิมทีนางไม่ได้คิดจะเดินมาที่นี่ เพียงแต่พวกเขาทะเลาะกันเสียงดังเกินไปจริงๆ หากว่าที่นี่ไม่ใช่ค่ายทหาร เกรงว่าตอนนี้คงมีชาวบ้านมาล้อมวงดูสามชั้นนอกสามชั้นในไปแล้ว

 

 

“ในเมื่อไปกันต่อไม่ได้แล้ว ก็แยกทางกันเสียเถิด”

 

 

ซูซื่อตกตะลึง น้ำในตาที่ไหลรินยิ่งทะลักหนักขึ้นอีก การที่นางพูดประโยคนี้ออกไปเพียงเพราะเห็นชายเสื้อของฮูหยินผู้เฒ่าโผล่มาก็เท่านั้น

 

 

ต่อให้นางจะต่อว่ามู่หรงอิง ทว่าก็ไม่เคยมีความคิดจะแยกทางกับเขาเลย อายุถึงขั้นนี้ให้แยกทางกันไปจะมีประโยชน์อันใด

 

 

มู่หรงอิงตกตะลึงเช่นกัน ทว่าไม่นานก็ดึงสติกลับมาได้ แม้ว่าเขาจะรู้สึกผิดหวังในตัวซูซื่อมาก แต่ก็ไม่เคยคิดจะเลิกกับซูซื่อ อย่างไรแล้วคนที่ถูกทอดทิ้งหรือถูกขอแยกทาง กลับไปอยู่บ้านมารดาไหนเลยจะหนีพ้นคำดูถูก

 

 

ตอนที่ 381 ตามหาคน1

 

 

ได้ยินเสียงการต่อสู้โกลาหลด้านนอก มู่หรงมู่และคนอื่นๆ ทิ้งเรื่องการโต้แย้งไปก่อน แล้วรีบออกไปดู

 

 

เห็นเพียงคนที่มาผมดำเงาเหยียดตรง คิ้วกระบี่เฉียง นัยน์ตาดำขลับแฝงไปด้วยความคมกริบ ริมฝีปากเรียวบาง รูปร่างสง่างาม บุคลิกดุจดั่งเหยี่ยวในยามราตรี หยิ่งทะนงเย็นชาและน่าเกรงขาม มีความแข็งกร้าวที่ดูหมิ่นโลกแผ่ออกมาจากความสันโดษนั่น เขาถูกทหารคบเพลิงล้อมตัวเอาไว้ได้

 

 

มู่หรงไป๋เอ่ยอย่างไม่เป็นมิตร “เจ้าเป็นใคร?” ถึงกล้าบุกเข้ามาในค่ายทหารเพียงลำพัง

 

 

บุรุษหนุ่มหาได้แยแสไม่ กวาดตามองทหารที่ล้อมเขาอยู่ ไม่มีท่าทีหวาดกลัวลนลานแม้สักนิด ทำราวกับว่าคนพวกนี้เป็นเพียงเรื่องเล็กสำหรับเขา

 

 

“ตามหาคนในเผ่าของข้า”

 

 

“เกรงว่าองค์ชายท่านนี้คงจะมาผิดที่แล้ว ที่นี่คือค่ายทหารชายแดน ไหนเลยจะมีญาติของท่านได้”

 

 

บุรุษหนุ่มหยักมุมปาก แล้วพูดกับคนข้างหลังของมู่หรงไป๋ “น้องหญิงเล็กมานี่”

 

 

ทุกคนอดไม่ได้ต่างมองหน้ากันไปมาอย่างไม่เข้าใจ ขณะที่ฝูงชนกำลังอึ้งตะลึงอยู่นั้น ฉินอวิ๋นซินได้ก้าวขึ้นหน้าออกมา “พี่ใหญ่”

 

 

มู่หรงมู่ทำหน้าตะลึงงัน กุนซือเจียงคนที่เขายกย่องนับถือแท้จริงแล้วเป็นสตรีหรือ บุรุษหนุ่มผู้นั้นดูท่าทางอายุยี่สิบกว่า อีกทั้งหน้าตาของพวกเขาก็ไม่ได้ละม้ายคล้ายคลึง จึงยากที่จะเชื่อได้จริงๆ

 

 

ผู้ที่มาคือฉินสุยพี่ชายแท้ๆ ของฉินอวิ๋นซิน

 

 

“เช่นนี้ก็ขอตัวลา”

 

 

“ค่ายชายแดนของข้าเป็นที่ที่เจ้าคิดจะมาก็มา จะไปก็ไปได้เช่นนั้นหรือ” กระบี่ของมู่หรงไป๋ขวางลำคอเรียวยาวของบุรุษหนุ่มไว้ “จะไปย่อมได้ แต่นางต้องอยู่ที่นี่” ใครก็อย่าคิดจะมาพรากนางไปจากเขาได้อีก แม้แต่พญายมราชก็ต้องหลีกทาง

 

 

ฉินสุยหยักมุมปากโค้งด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน “คนอย่างเจ้า หาได้ประเมินกำลังตนไม่”

 

 

มีดสั้นปลายแหลมทยานออกไป เฉียดลำคอของมู่หรงไป๋

 

 

มู่หรงจางที่อยู่ทางด้านหลังรับมีดสั้นที่พุ่งออกมานั้น ดวงตาดำขลับลึกลำ้จดจ้องมีดสั้นที่รับไว้ระหว่างสองนิ้วของเขา “ตระกูลฉิน”

 

 

“ท่านโหวผู้เฒ่ารอบรู้ไปเสียทุกอย่างจริงๆ แม้แต่เรื่องเล็กน้อยไร้ความสำคัญก็ยังรู้ได้ สมแล้วที่เป็นวีรชนในช่วงเวลานั้น”

 

 

มู่หรงจางหาได้รู้สึกว่าเขากำลังเอ่ยชมตนแต่อย่างใด คนตระกูลฉินมีนิสัยประหลาดอย่างหนึ่ง นั่นคือไม่เคยเอ่ยชมผู้อื่นโดยง่าย เย่อหยิ่งเทียมฟ้า “ไม่ทราบว่าหัวหน้าเผ่าฉินลงเขามาครั้งนี้ด้วยเรื่องอันใด?” เขาไม่คิดว่าฉินสุยจะออกมาเพื่อตามหาฉินอวิ๋นซินเพียงคนคนเดียว ตระกูลฉินในสมัยนั้นได้ร่วมล่าอาณานิคมกับฮ่องเต้อดีตราชวงศ์ก่อน คนตระกูลฉินล้วนมีความสามารถแต่งต่างกัน ทั้งยันต์แปดทิศ วิชากาย การทหาร…ชำนาญไปเสียทุกเรื่อง ให้ใครก็ได้สักคนในตระกูลฉินก็สามารถล้มแม่ทัพคนหนึ่งได้แล้ว เล่ากันว่าสมัยนั้นเป็นเพราะฮ่องเต้อดีตราชวงศ์ก่อนตระบัดสัตย์ ทรงทำตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ไม่ได้ ตระกูลฉินเคืองโกรธ ปิดบังชื่อที่แท้จริงของตระกูลต่อโลกภายนอก หากไม่ใช่เพราะเฟิงหรงสวี่ให้ข้อมูลแนะนำเรื่องนี้กับเขาไว้บ้าง ไฉนเลยที่เขาจะเดาความจริงเรื่องนี้ได้

 

 

ทว่ากฎระเบียบของตระกูลฉินได้กำหนดไว้อย่างชัดเจน ห้ามเข้ามารุกล้ำดินแดนของพวกเขาตามอำเภอใจ เว้นเสียแต่เกิดเรื่องเหตุอย่างเช่นล้มล้างตระกูล ซึ่งนี่เป็นคำมั่นสัญญาที่พวกเขาให้ไว้กับฮ่องเต้อดีตราชวงศ์ เกรงว่าการมาในครั้งนี้จะต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่เป็นแน่

 

 

“ท่านโหวผู้เฒ่า เมื่อครู่ข้าได้บอกไปแล้วว่าข้ามาตามหาคนคนหนึ่ง”

 

 

มู่หรงจาง “ไม่ทราบว่าคนที่ท่านตามหาคือผู้ใด? บางทีข้าอาจช่วยได้”

 

 

ฉินสุยอดถอนหายใจไม่ได้ ชายชราผู้นี้ช่างอาวุโสจริงๆ สมแล้วที่เป็นคนที่อดีตฮ่องเต้ทรงเชื่อพระทัยที่สุด

 

 

“เช่นนั้นคงต้องรบกวนท่านโหวผู้เฒ่าแล้ว เรื่องนี้จำเป็นต้องให้ท่านช่วยเหลือจริงๆ คนที่ข้าตามหาก็คือ…”

 

 

“พี่ใหญ่ พวกเราไปกันเถิด” ฉินอวิ๋นซินรีบพูดขัดเขาทันที นางรู้ว่าเมื่อถึงเวลาที่เขาจะมาก็ต้องมา แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะมาตามหาถึงที่นี่ ทั้งยังมาตัวคนเดียวเช่นนี้อีก

 

 

รูม่านตาลึกล้ำของฉินสุยเปล่งประกายคลื่นแสง

 

 

มู่หรงไป๋ขมวดคิ้วย่น เขาไม่ได้พลาดที่จะมองเห็นความหวาดกลัวของนาง เรื่องใดกันที่ทำให้นางต้องปกปิดเอาไว้นานถึงเพียงนั้น

 

 

 

 

 

ตอนที่ 382 ตามหาคน2

 

 

สายตาของทุกคนจดจ้องมายังฉินอวิ๋นซินอย่างอดไม่ได้ พินิจพิเคราะห์ปนกับความสงสัยเคลือบแคลง

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ามองฉินอวิ๋นซินที่มีท่าทีกระสับกระส่ายไม่รู้ควรทำอย่างไรดี เกรงว่าฉินอวิ๋นซินคงรู้ว่าคนที่ฉินสุยตามหาคือผู้ใด ทว่านางกลับขัดขวางสารพัดอย่าง ดูไม่ยากว่าคนผู้นั้นต้องสำคัญกับนางมาก บางทีอาจสำคัญย่ิงกว่าชีวิตนางก็เป็นได้ ฮูหยินผู้เฒ่ากวาดตามองโดยรอบ แล้วสายตาก็ไม่จดจ้องอยู่ที่มู่หรงไป๋ นอกจากมู่หรงไป๋แล้วก็เหลือเพียงคนคนเดียว หากว่าเป็นอย่างที่นางคิดไว้จริงๆ นางก็ไม่รู้ว่าควรจะปฏิบัติต่อลูกสะใภ้คนนี้อย่างไรแล้ว

 

 

“คนที่บนกายมี…บนกายมี…ปานบุปผาหงส์ไฟใช่หรือไม่” ซูซื่อพึมพำก่อนจะพูดโพล่งเสียงดังออกมา

 

 

ภายใต้บรรยากาศที่เงียบกริบนี้ เสียงของนางได้ดึงความคิดของทุกคนกลับมาจากภวังค์ บรรยากาศรอบด้านพลันจมลงสู่ความอ้างว้าง ราวกับเวลาเพียงครู่เดียวทำบรรยากาศตกลงสู่จุดเยือกแข็ง หนาวเสียดแทงกระดูกย่ิงกว่าลมหนาวในฤดูเหมันต์

 

 

ฉินสุยกวาดตามองฉินอวิ๋นซินที่ยืนอยู่ข้างกายเขา ริมฝีปากพลันผลิยิ้มขึ้นมา ที่แท้ก็เป็นอย่างที่เขาคิดเหตุใดตระกูลฉินจึงพ่ายแพ้เมื่อมาอยู่ในมือของเขา การมาครั้งนี้ไม่เสียแรงเปล่าจริงๆ ฉินอวิ๋นซินปกปิดการมีอยู่ของนาง ถึงแม้จะคลอดนางมาแล้ว คงกลัวครอบครัวจะไม่ละเว้นนาง ถึงขั้นนี้แล้วนางยังไม่รู้ว่าควรจะเดินทางไหนอยู่อีกหรือ รอยแผลเป็นบนใบหน้ายังไม่สามารถทำให้นางจดจำได้ดีอีกหรือ มู่หรงไป๋ที่จ้องตาเขม็งใส่เขาคนนี้ มีดีถึงขนาดทำให้คนคนหนึ่งยอมติดตามอย่างหมดหัวใจถึงเพียงนั้นหรือ

 

 

ฉินอวิ๋นซินใบหน้าซีดขาว นัยน์ตามีเส้นเลือดแดงขึ้นมา ริมฝีปากแห้งมานานทำให้แตกเป็นรอยแผล ผมเผ้าหยุงเหยิงอยู่บ้าง ท่าทางเช่นนี้ของนางราวกับหากมีลมพัดมาคงจะพัดร่างกายที่ผอมแห้งของนางให้ล้มไปกับสายลมได้

 

 

ฉินสุยผุดรอยยิ้มขึ้นมา เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฮูหยินท่านนี้ ยังพอจำได้หรือไม่ว่าตอนนี้นางอยู่ที่ใด?”

 

 

ซูซื่อเหมือนจะเพิ่งรู้สึกตัว ส่ายหน้าสุดชีวิต “ข้าไม่รู้ว่าบุปผาหงส์ไฟคือสิ่งใด ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าและคนอื่นๆ ต่างมีเปลี่ยนทันที หากว่าซูซื่อพูดออกไปจริงๆ เห็นทีคงหนีเรื่องหนังสือหย่าไม่พ้น

 

 

ฉินสุยยิ้มเย็นชาในใจ หากเขาไม่ได้หาข้อมูลมาจนรู้แล้วว่านางเป็นใคร วันนี้คงไม่มาถึงที่นี่ได้ การที่เขามายืนอยู่ที่นี่ก็เพื่อหวังจะให้ตระกูลมู่หรงยอมส่งตัวนางออกมา

 

 

“ร่างกายของนางมีพิษชนิดหนึ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิด ไม่ว่าจะเป็นหมอทั่วไปหรือหมอหลวงก็ไม่อาจสังเกตเห็นพิษนี้ได้ พิษชนิดนี้มีฤทธิ์กดสติปัญญาคน หากดูแล้วจะเหมือนว่าเกิดมาปัญญาอ่อน” พลางรู้สึกพอใจที่ทุกสายตาทอดมองมายังตัวเขา “พิษชนิดนี้มีเพียงตระกูลฉินเท่านั้นที่จะถอนพิษได้ มิเช่นนั้นก็ไม่มีทางรักษา อีกทั้งเมื่อถึงวัยที่กำหนดแล้ว สารพิษจะค่อยๆ สั่งสมและสิ่งที่ตามมาก็คือความตาย”

 

 

คำพูดนี้ของฉินสุยได้กระตุ้นระลอกความรู้สึกนับจำนวนไม่ถ้วนในใจของคนจำนวนไม่น้อย

 

 

มู่หรงมู่รู้สึกร้อนผ่าวที่เบ้าตา เขาได้ยินว่ามู่หรงชูอวิ๋นสามารถรักษาหาย นางจะสามารถกลับมาใช้ชีวิตเหมือนคนปกติได้ แทบอยากจะพุ่งตัวเข้าไปถามฉินสุยว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ทว่าสติปัญญาได้ยับยั้งการกระทำของเขาไว้เสียก่อน อย่างไรเสียฮูหยินผู้เฒ่าหวังยิ่งกว่าใครที่อยากให้มู่หรงชูอวิ๋นหายดี ทว่าไม่เห็นนางจะมีท่าทีเคลื่อนไหวแต่อย่างใด ซึ่งนี่ก็แสดงว่าเรื่องนี้ไม่ได้ง่ายดายอย่างนั้น

 

 

“หัวหน้าเผ่าฉินพูดเช่นนี้เพื่ออันใด?” ฮูหยินผู้เฒ่าทำหน้าเคร่งขรึมพูดออกไปอย่างเย็นชา นางไม่คิดว่าบนโลกใบนี้จะมีของที่ได้มาโดยไม่ต้องแลกเปลี่ยนอย่างใด อีกทั้งยังนำมาวางตรงหน้าอย่างสวยหรู รอให้เจ้าเข้าไปลิ้มลองโดยง่าย เกรงแต่มู่หรงชูอวิ๋นคงจะมีประโยชน์อะไรบางอย่างสำหรับพวกเขา ถึงได้มุ่งมั่นต้องการตามหาตัวนางเพียงนี้

 

 

“ความหมายของข้าก็คือนางคือคนตระกูลฉินที่ข้าต้องการตามหา” เป็นคนสำคัญของตระกูลฉิน

 

 

ฉินอวิ๋นซินส่ายหน้าอย่างหวั่นวิตก “คงไม่ใช่ นางไม่ใช่ พวกท่านอย่าได้…”

 

 

“อวิ๋นซิน เจ้าลืมไปแล้วหรือ”

 

 

คำพูดของฉินสุยทำให้ฉินอวิ๋นซินสั่นเทาไปทั้งตัว น้ำตาไหลนองทำให้การมองเห็นของนางพร่ามัว นางจับมือของฉินสุยเอาไว้แน่น “พี่ ข้าขอร้องท่านเถิดนะ อย่าได้… โปรดปล่อยนางไปได้หรือไม่?”

ตอนที่ 383 ตามหาคน3

 

 

มู่หรงจางโบกมือให้ทหารที่ล้อมอยู่ถอยไป เพราะเขารู้สึกว่าฉินสุยไม่น่าจะกล้าสร้างความวุ่นวาย

 

 

เหล่าทหารต่างคิดว่าในเมื่อเขาเป็นพี่ชายของท่านกุนซือเจียง ก็ไม่น่าจะมีเรื่องอันใด จึงถอยหลังไปสิบกว่าก้าว ทว่ายังคงให้ความระแวดระวังอยู่

 

 

คืนนี้พวกเขาปล่อยให้ฉินสุยลอบเข้ามาในค่ายได้ หากไม่ใช่เพราะเขาตั้งใจตัดธงสัญลักษณ์ พวกเขาก็ไม่มีทางรู้เรื่องนี้ได้ เห็นชัดว่าฉินสุยเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง

 

 

ฉินสุยลูบเส้นผมที่ยุ่งเหยิงจากอาการตื่นตกใจของฉินอวิ๋นซินด้วยความรู้สึกสงสาร ทัดเก็บเส้นผมที่หล่นลงมาปกคลุมรวงแก้มไว้หลังหูให้นาง ราวกับไม่รู้สึกถึงสายตาสังหารของมู่หรงไป๋ มือของเขาขาวบริสุทธิ์ไร้ตำหนิผุดผ่องดั่งหยกงามชิ้นหนึ่ง มือเรียวยาวไร้สิ่งสกปรกคู่นี้มีความเย็นเยียบ ราวกับไร้ซึ่งความอบอุ่น เมื่อสัมผัสแล้วทำให้รู้สึกหนาวใจ ฉินอวิ๋นซินสัมผัสได้กับหนาวสั่น “ข้าทำไปเพราะหวังดีกับนาง อวิ๋นซินนี่เจ้ากำลังทำอันใด ข้าเป็นลุงของนาง จะทำร้ายนางได้หรือ เด็กโง่เอ๋ย เพิ่งจะจากบ้านมานานสักเท่าไรกันเชียว เหตุใดเจ้าถึงลืมเสียแล้ว”

 

 

ใบหน้าของฉินอวิ๋นซินมีแต่ความหวาดกลัว น้ำตาหลั่งริน “พี่ใหญ่” นางกลัวหากว่ามู่หรงชูอวิ๋นเข้าไปยังสถานที่แห่งนั้นแล้ว นางจะเปลี่ยนไปเป็นอีกคน จะไม่ใช่มู่หรงชูอวิ๋นคนเดิมอีกต่อไป นางยังจำพี่สาวแท้ๆ คนที่รักและเอ็นดูนางที่สุดได้เป็นอย่างดี คนอ่อนโยนมีอนาคตไกลยากจะหาศัพท์ไหนมาบรรยายได้คนหนึ่ง พวงแก้มผลท้อมีแต่รอยยิ้ม พูดน้อยสงวนถ้อยคำ งดงามดั่งกล้วยไม้ ยิ้มเมื่อใดดอกไม้นานาชนิดบานสะพรั่ง อดไม่ได้อยากจะเข้าใกล้นาง ทว่าหลังจากช่วงเวลาสั้นๆ ไม่ถึงสามเดือนที่นางเข้าไปยังสถานที่แห่งนั้น กลับออกมาก็กลายเป็นคนเย็นชา หัวคิ้วเป็นน้ำค้างแข็ง ภายใต้คิ้วเรียวสวยมีดวงตาสีเงินไม่แยแสคู่หนึ่ง ส่วนลึกของดวงตาเย็นชาไร้ซึ่งอารมณ์ใด ฉินอวิ๋นซินไม่กล้าจินตนาการภาพของมู่หรงชูอวิ๋น หากในอนาคตนางกลายเป็นสภาพเช่นนั้นจะเป็นอย่างไร หวังเพียงให้ฉินสุยเปลี่ยนคนใหม่ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสิ่งนั้นแล้ว คำว่า ‘ท่านลุง’ ของความเป็นญาติราคาถูกเพียงไหนใครก็ทราบ ไม่คุ้มค่าให้พูดถึงด้วยซ้ำ พี่สาวแท้ๆ ของนางถูกท่านพ่อส่งเข้าไปในนั้นด้วยมือของท่านเองไม่ใช่หรอกหรือ ในตอนนั้นหาได้มีความลังเลใจแม้เพียงนิด ต่อให้พี่สาวของนางจะร้องไห้จนเสียงแหบแห้ง ลูกตาแทบจะทะลักออกมา ท่านพ่อยังไม่เคยใจอ่อน เพราะนี่คืออุปนิสัยของคนสกุลฉิน แล้วเพียงแค่ ‘ท่านลุง’ ราคาถูกคนหนึ่ง ไหนเลยที่นางจะกล้าคาดหวังอะไรได้สูงนัก

 

 

“อวิ๋นซินมานี่ อวิ๋นเอ๋อร์ยังมีข้าทั้งคน” มู่หรงไป๋รู้สึกสงสารจับใจ เขาเก็บท่าทางอ่อนแออยู่ในฐานะต่ำต้อยของฉินอวิ๋นซินไว้ในสายตาแล้ว เดิมทีเขาคิดว่าในเมื่อฉินสุยเป็นพี่ชายของฉินอวิ๋นซิน ตนก็จะไม่ถือสาเรื่องที่เขาบุกเข้ามายังค่ายทหาร และจะปฏิบัติต่อเขาด้วยความสุภาพ

 

 

ใครจะรู้ฉินสุยไม่พูดพร่ำทำเพลงก็จะพรากภรรยาที่แต่งงานผูกผมของเขาไปเสียแล้ว ถึงตอนนี้ก็จะพรากลูกสาวของเขาไปอีก ฝันมากเกินไปแล้ว เห็นคนอย่างมู่หรงไป๋เป็นลูกพลับคิดอยากจะบีบเมื่อใดก็ได้เช่นนั้นหรือ อีกอย่างเฟิงหลีเลี่ยก็ไม่ได้เป็นพวกกินพืช[1] พวกเขาไม่เคยกลัวคนสกุลฉินจะแข็งข้อขึ้นมา กลัวแต่จะแอบทำความเสื่อมเสียให้ชื่อเสียงที่ไม่ใช่สาระสำคัญมากกว่า

 

 

ฉินสุยกวาดตามองฝูงชนที่ตั้งท่าอยู่พร้อมแล้ว พลันหยักมุมปาก “พวกท่านพิจารณาเงื่อนไขของข้าก่อนก็ได้ ข้าคิดว่าคนที่อยู่ในเมืองหลวงจะให้ความร่วมมือได้” จังหวะเวลาในตอนนี้ไม่ค่อยถูกต้องเท่าไร การที่เขาออกมาปรากฎตัวเช่นนี้ก็เพื่อแจ้งเตือนตระกูลมู่หรงเท่านั้น

 

 

ทันใดนั้นระเบิดควันลูกหนึ่งได้ปกคลุมไปทั่วทั้งผืน กระทั่งควันขาวเข้มฟุ้งได้จางหายไป มู่หรงไป๋มองดูฉินอวิ๋นซินยังคงอยู่ในอ้อมอกป้องกันของตัวเองอยู่ถึงได้รู้สึกสบายใจ ตอนที่ฉินสุยทิ้งระเบิดควันนั้น เขารีบคว้าฉินอวิ๋นซินเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของตัวเองก่อน พลางขยับเอียงตัวไปด้านข้างหลายส่วน เลี่ยงไม่ให้ฉินสุยพรากฉินอวิ๋นซินไปได้

 

 

ทางด้านฉินอวิ๋นซินคิ้วเรียวงามของนางขมวดเป็นรอยบางๆ ใบหน้ารูปไข่ละเอียดปราณีตของนางปรากฎความกังวลอยู่จางๆ ทำให้โฉมหน้าเดิมทีงดงามจนน่าแปลกใจของนางเพิ่มความรู้สึกให้หัวใจเต้นจากความรักเมื่อพบหน้าขึ้นไปอีก

 

 

ตอนนี้มู่หรงไป๋ไม่มีอารมณ์ใดทั้งสิ้น นอกจากความทุกข์ใจ เขาเชื่อว่าฉินสุยไม่มีทางปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ แน่

 

 

เมื่อคนสกุลฉินลงจากเขาแล้ว สิ่งที่พวกเขาต้องการจะทำจำเป็นต้องทำให้สำเร็จ ไม่เช่นนั้นจะไม่ได้รับอนุญาตให้กลับไป

 

 

“เจ้าตามพวกข้าเข้ามา” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยน้ำเสียงเย็นชากับฉินอวิ๋นซิน

 

 

 

 

 

[1] ไม่ใช่พวกกินพืช หมายถึง เป็นคนกินเนื้อ มีนิสัยดุร้ายพอตัว

 

 

 

 

 

ตอนที่ 384 ให้กำเนิด1

 

 

หลังจากที่ฉินสุยไปแล้ว ทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไป ซึ่งในตอนที่แยกย้ายกันนั้นไม่มีใครสักคนจะเหลือบสายตามองมาที่ซูซื่อ แม้ว่าสิ่งที่นางทำไปเมื่อครู่จะไม่ได้มีเจตนา แต่ในเมื่อไม่มีผู้ใดพูดเรื่องนี้ออกมา เหตุใดนางจึงพูดขึ้นมาคนเดียวเช่นนี้ มู่หรงมู่ได้แต่เม้มริมฝีปากแน่นไม่กล้าพูดแก้ต่างให้นาง อย่างไรเสียเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ เขาเองก็เห็นประจักษ์ชัดแจ้งกันทั่วทุกคน

 

 

จุดประสงค์การมาของฉินสุยนั้นไม่บริสุทธิ์ แต่ว่าถึงตอนนี้เขายังมองเรื่องราวอะไรได้ไม่ชัดเจน ราวกับถูกดึงลงไปในกระแสน้ำวนที่วุ่นวาย มองเส้นทางที่มาได้ไม่แจ่มชัด ทั่วทั้งกายเหลือเขาเพียงคนเดียว

 

 

คนตระกูลมู่หรงต่างมาพร้อมเพรียงกันที่สถานที่ว่าการประชุมเป็นประจำของมู่หรงไป๋ สีหน้าของทุกคนดูแย่กันทั้งหมด ทางด้านมู่หรงอิงยังรับความจริงเรื่องนี้ไม่ได้ ทั้งๆ ที่เขาเห็นกับตาตัวเองว่านางหมดลมหายใจไปแล้ว ทว่านางกลับมาปรากฎตัวตรงหน้าของเขาอย่างกระทันหันเช่นนี้

 

 

ความคิดเมื่อครู่ของมู่หรงมู่ถูกสายลมหนาวพัดกระจัดกระจาย พลันกลับมาสู่สภาพเดิมได้แล้ว ฉินอวิ๋นซินก็คือกุนซือเจียงเจี้ยงที่เขายกย่องนับถือ เป็นมารดาของมู่หรงชูอวิ๋น

 

 

“อวิ๋นเอ๋อร์ มีประโยชน์อะไรกับสกุลฉินของพวกเจ้า?”

 

 

ทุกคนต่างรับรู้ได้ถึงความเย็นชาของฮูหยินผู้เฒ่า ฉินอวิ๋นซินรู้สึกขมขื่นไปทั้งหัวใจ เมื่อช่วงเช้าฮูหยินผู้เฒ่าเพียงแต่ตำหนิเท่านั้น ถึงตอนนี้ใช้คำว่า ‘พวกเจ้า’ แล้ว ใจคอคงไม่อยากรู้จักนางอีกต่อไปแล้ว

 

 

“บนกายคนสกุลฉินที่มีปานหงส์ไฟ อนาคตจะต้องเข้าไปยังห้องโถงบรรพชนเพื่อสวดมนต์ขอพรให้กับสกุลฉิน อีกทั้งไม่สามารถแต่งงานได้ตามใจปรารถนา ตั้งแต่วินาทีที่เกิดมาได้ถูกกำหนดให้เป็นภรรยาของว่าที่หัวหน้าเผ่าแล้ว สามารถแต่งงานกับหัวหน้าเผ่ารุ่นต่อไปที่บนกายมีปานรูปกิเลนได้เท่านั้น” มีเพียงบุตรชายที่ถือกำเนิดมาพร้อมกับปานรูปกิเลนบนกายเท่านั้น พวกเขาถึงจะสามารถกลับคืนสู่ช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ดั่งก่อนได้อีกครั้ง ไม่ต้องคับค้องใจคอยหลบซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ทุรกันดาร ต้องคอยปิดบังชื่อสกุล การปรากฎตัวของมู่หรงชูอวิ๋นก็คือความหวังสุดท้ายของพวกเขา

 

 

“เหตุใดพวกเขาถึงต้องการตามหาอวิ๋นเอ๋อร์?” ฉินอวิ๋นซินแต่งงานกับมู่หรงไป๋มาหลายปีแล้ว มู่หรงชูอวิ๋นก็อยู่ตระกูลมู่หรงอย่างสงบสุขมาได้หลายปี ไม่เห็นพวกเขาจะมาตามหาตัวนาง เหตุใดวันนี้ถึงได้ปรากฎตัวขึ้นมากระทันหันเช่นนี้ เห็นทีผู้มาคงไม่หวังดี

 

 

ฉินอวิ๋นซินมุมปากมีรอยยิ้มเย็นชา “ธิดาเทพคนก่อน ก็คือพี่สาวแท้ๆ ของข้าได้ลาจากโลกไปแล้ว ถึงวันนี้สกุลฉินไม่มีบุตรสาวแล้ว พวกเขาร้อนใจต้องการหาธิดาเทพสักคน อวิ๋นเอ๋อร์ก็คือทางเลือกที่ดีที่สุดของพวกเขา มารดาของผู้เป็นหัวเผ่าคนแรกก็มีสถานการณ์เดียวกันกับอวิ๋นเอ๋อร์” นางนึกถึงเรื่องราวครั้งก่อนที่รีบร้อนกลับไป ทันได้เห็นเพียงเงาร่างที่ก้าวทะยานของนาง เส้นผมกระจายปกคลุมเต็มท้องฟ้า

 

 

……

 

 

ลมฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่านต้นไม้มาอย่างเงียบๆ ต้นดอกกุ้ยฮวาสองฝากฝั่งส่งกลิ่นโชยหอมเย็น

 

 

มู่หรงชูอวิ๋นมือซ้ายประคองท้องโตดั่งลูกบอลลูกใหญ่ มีเฟิงหลีเลี่ยคอยช่วยพยุงเดินไปข้างหน้าทีละก้าวอย่างยากลำบาก

 

 

หลังจากที่มู่หรงชูอวิ๋นตั้งครรภ์นั้น ไม่คิดว่าคนอื่นจะโตขึ้นทุกส่วน แต่ว่าสำหรับนางแล้วโตเพียงส่วนของเด็กในท้องเท่านั้น ใบหน้าของนางยังคงเล็กเช่นเดิม ทว่าท้องกับขยายใหญ่เป็นก้อนคล้ายกับนำผ้าห่มมายัดไว้ข้างใน ถึงตอนนี้อายุครรภ์ได้แปดเดือนกว่าแล้ว

 

 

ย่างเท้าเดินไปได้ไม่กี่ก้าว มู่หรงชูอวิ๋นก็เหนื่อยเหงื่อไหลพรากเต็มหน้าผาก หายใจหืดหอบ ต้องหยุดฝีเท้าลงในทันที พลางเบ้ปาก “พี่ชายใหญ่เจ้าคะ ส่วนที่เหลือค่อยเดินต่อพรุ่งนี้ดีหรือไม่เจ้าคะ?” พลางกระพริบขอบตาที่ชื้นแฉะอย่างน่าสงสาร ราวกับหากเขาไม่ยอมรับปากน้ำตาเม็ดใหญ่เป็นประกายใสจะร่วงรินลงมาในทันที

 

 

เฟิงหลีเลี่ยเอ่ยปลอบโยนเสียงเบา “อวิ๋นเอ๋อร์ พวกเราเดินต่อกันอีกหน่อยก็ไปพักได้แล้วนะ” ส่วนของวันพรุ่งนี้ยังมีอีก หนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ ขณะที่หมอเทพได้จับชีพจรให้กับมู่หรงชูอวิ๋น พบว่ามู่หรงชูอวิ๋นบำรุงครรภ์ดีเกินไป โภชนาการของทารกมากเกินพอดี ศีรษะทารกโตมาก หากรอให้ครบกำหนดคลอดจะต้องเป็นอันตรายแน่ ทำได้เพียงต้องขยับตัวเดินบ่อยๆ เพื่อจะช่วยให้เด็กคลอดออกมาก่อนกำหนด เฟิงหลีเลี่ยได้ทราบเรื่องนี้ก็โมโหใหญ่โต ตำหนิด่าหมอเทพไปยกใหญ่ ทำเอาหมอเทพโกรธเกือบจะม้วนเสื่อจากไปเสียแล้ว เขาเป็นเพียงหมอธรรมดาคนหนึ่งหาใช่เทวดาไม่ ไหนเลยจะจับชีพจรได้ดีทั้งหมด

 

 

เดิมทีเฟิงหลีเลี่ยจะไปช่วยงานเฟิงหรงสวี่ในเรื่องที่ตัวเองพอจะช่วยได้บ้าง ทว่าตั้งแต่มีสถานการณ์ลูกในครรภ์ของมู่หรงชูอวิ๋นไม่สู้ดีเท่าไรนัก เฟิงหลีเลี่ยก็เฝ้าคอยอยู่เป็นเพื่อนมู่หรงชูอวิ๋นตลอดไม่ยอมห่างไปที่ใด หากมีครู่หนึ่งไม่ได้เห็นจิตใจจะร้อนรุ่มกระสับกระส่าย ทุกครั้งที่เห็นว่ามู่หรงชูอวิ๋นใกล้จะหมดแรงแล้ว แต่ยังต้องบังคับให้นางฝืนเดินต่ออีกหน่อย เขาจะยิ่งโมโหแทบอยากจะฆ่าคนเสียให้ได้ หากไม่ใช่เพราะหมอกำมะลอนั่น มู่หรงชูอวิ๋นคงไม่ต้องทรมานอะไรเยี่ยงนั้น

 

 

มีเพียงหมอเทพคนเดียวที่รู้สึกถึงความอยุติธรรม

 

 

ทางด้านหลานเอ๋อร์หลังจากมาถึงชายแดนตอนใต้แล้ว ก็ตรวจพบว่านางนั้นตั้งครรภ์ ดังนั้นจึงไม่สามารถมาคอยดูแลปรนนิบัติมู่หรงชูอวิ๋นได้ ซึ่งเฟิงหลีเลี่ยเห็นใจพวกเขา งานที่มอบหมายให้มู่เหยียนจึงน้อยลงไปมาก ตั้งแต่มู่หรงชูอวิ๋นตั้งครรภ์ พวกมู่เหยียนต่างพบว่าเจ้านายของพวกเขามีมนุษยธรรมมากขึ้นแล้ว เมื่อก่อนไหนเลยที่พวกเขาจะกล้าหวังเกินตัวกับสิ่งเหล่านี้ ตั้งแต่ต้นปีถึงสิ้นปี ขอเพียงนายท่านยอมปล่อยให้พวกเขาได้ว่างเว้นในช่วงวันปีใหม่สักครู่หนึ่งก็พอใจแล้ว ถึงวันนี้ได้สมหวังตามปรารถนาจริงๆ แล้ว

 

 

เวลาที่เฟิงหลีเลี่ยไม่อยู่ ก็จะมีน่าหลันฉิงหรือไม่ก็เฟิงเยี่ยนเฉิงมาอยู่เป็นเพื่อนมู่หรงชูอวิ๋น น่าหลันฉิงไม่กล้าทำอาหารบำรุงให้นางกินมาก ทางด้านเฟิงเยี่ยนเฉิงได้เห็นท้องโตดั่งลูกโป่งของมู่หรงชูอวิ๋นแล้ว ก็ไม่กล้าไปยั่วโมโหอะไรนางอีก กลัวว่าหากนางโมโหแล้วจะเกิดอุบัติเหตุได้ ทุกๆ วันเขาและเด็กรับใช้จะพากันไปเดินวนอยู่ที่ตลาดหลายรอบเพื่อหาของอร่อย และของที่มู่หรงชูอวิ๋นกินได้ และนำกลับมาให้นางได้กิน

 

 

มู่หรงชูอวิ๋นมองดูทางตรงหน้าอีกไม่กี่ก้าวแต่ไกลมากสำหรับนาง อิงกายพิงซบอยู่ในอกของเฟิงหลีเลี่ย พลางส่ายหน้าปฏิเสธไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมเดิน “พี่ชายใหญ่ ข้าเหนื่อยแล้วจริงๆ เจ้าค่ะ” หนังตาหย่อนลงแทบจะลืมตาไม่ขึ้นแล้ว ปกตินางเป็นคนที่ชอบเดินเคลื่อนไหวที่สุด ทว่าถึงตอนนี้รู้สึกอยากจะนอนอยู่บนเตียงหรือไม่ก็นั่งเฉยๆ อยู่บนเก้าอี้ ไม่อยากขยับเขยื้อนตัวเป็นเจ้าแม่กวนอิมปางยืน ท้องโตขนาดนั้นเพียงนางขยับเดินเกินสองก้าวก็ไม่อยากขยับเดินอีกแล้ว ท้องหนักราวกับข้างในมีก้อนหินหนักหลายสิบชั่ง ผลาญพละกำลังทั้งหมดของนางไป

 

 

เฟิงหลีเลี่ยรับผ้าเช็ดหน้าที่มู่เยี่ยนส่งให้ ก่อนจะช่วยซับเหงื่อที่หน้าผากของมู่หรงชูอวิ๋น เมื่อก้มมองอีกครั้งก็พบว่ามู่หรงชูอวิ๋นที่แอบอิงอยู่ในอ้อมแขนของเขานั้น เพียงครู่เดียวนางได้ผล็อยหลับเข้าสู่ห้วงนิทราเสียแล้ว

ตอนที่ 385 ให้กำเนิด2

 

 

เครื่องประดับสลับซับซ้อนบนศีรษะของมู่หรงชูอวิ๋นได้ถูกถอดลงมา เหลือไว้เพียงปิ่นดอกบัวที่ดูมีชีวิตเล่มนั้น ยังคงปักแน่นอยู่กับเส้นผมที่ลู่ตามลมอย่างขี้เล่น ขับเน้นรูปหน้าเรียวเล็กของนางให้ดูขาวใสเป็นพิเศษ มีเลือดฝาดบนแก้มละเอียดชัด ลูบไล้ใบหน้าของนางเห็นว่าตากลมจนเย็นแล้ว จึงอุ้มนางอย่างระมัดระวังกลับเข้าห้องไป บรรจงวางนางลงบนเตียง มือใหญ่ทาบอยู่บนศีรษะของนาง

 

 

“มู่หรงชูอวิ๋น ข้าเอาของที่เจ้าอยากได้มาให้แล้ว” เฟิงเยี่ยนเฉิงพรวดเข้ามา เห็นเฟิงหลีเลี่ยนั่งอยู่ข้างเตียงของมู่หรงชูอวิ๋น กำลังเอาผ้าเช็ดหน้าให้กับนาง ส่วนนางที่เขาจะมาหาก็กำลังนอนหลับฝันหวานอยู่ ปากยังขยับอยู่หลายที เมื่อเฟิงหลีเลี่ยหันมองมาเขาก็รีบเก็บของถุงกระดาษในมือซ่อนไปข้างหลัง แววตาวาบไหว “ทำไมท่านถึงอยู่ที่นี่?” มู่หรงชูอวิ๋นบอกกับเขาเองแท้ๆ ว่าในยามนี้เฟิงหลีเลี่ยไม่อยู่ เขาถึงได้กล้านำของเช่นนี้มาให้ แม้ว่าเขาจะเป็นอันธพาลน้อย แต่ก็เกรงกลัวเฟิงหลีเลี่ยที่สุด วันนี้เขาถูกเฟิงหลีเลี่ยจับได้เสียแล้วว่าเขาเป็นคนหน้าไว้หลังหลอก

 

 

กลิ่นหอมจากในถุงกระดาษโชยฟุ้งไปทั่ว แม้แต่มู่หรงชูอวิ๋นที่หลับอยู่ ยังขยับปากอยู่หลายที

 

 

เฟิงหลีเลี่ยกวาดตามองเขาเพียงผิวเผิน แล้วก็เงียบไม่พูดอันใด หันมาตั้งใจจัดการเรื่องในมือที่ยังไม่แล้วเสร็จ ทำราวกับว่าการที่เฟิงเยี่ยนเฉิงเข้ามาเมื่อครู่เป็นเพียงสายลมพัดผ่าน ไม่มีระลอกคลื่นใดๆ ทั้งสิ้น

 

 

เฟิงเยี่ยนเฉิงคอยอยู่ครู่หนึ่งไม่เห็นเฟิงหลีเลี่ยมีท่าทีจะสนใจตน ก็เกาศีรษะอย่างหงุดหงิด “ข้าจะไปแล้ว” เขาอยากจะพูดคุยกับเฟิงหลีเลี่ย แต่ว่าเฟิงหลีเลี่ยไม่สนใจเขา

 

 

“หยุดก่อน”

 

 

เฟิงเยี่ยนเฉิงได้ยินเสียง ฝีเท้าพลันชะงักลง ดวงตาจ้องมองเฟิงหลีเลี่ยอย่างเร้าร้อน

 

 

“ต่อไปอย่านำของเหล่านั้นมาให้นางอีก” น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำไร้โทนเสียงขึ้นลง สายตาเย็นชาดั่งน้ำค้างแข็งสัมผัสถึงความอบอุ่นใดๆ ไม่ได้เลย

 

 

เฟิงเยี่ยนเฉิงรู้สึกว่าถุงกระดาษในมือร้อนผ่าวขึ้นมาในทันใด ในใจของเขาเก็บกลั้นไว้ด้วยความน้อยใจ กำหมัดแน่น ปากอ้าค้างสั่นเทาเล็กน้อย หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง เชิดจมูกขึ้นสูง น้ำตาแวววาวเปียกชื้นไปทั้งขอบตา ทว่าเก็บกลั้นไว้ไม่ยอมให้ไหลลงมา ทันใดนั้นเขาก็สะบัดหน้าไปอีกทางอย่างดื้อรั้น ทำปากเบ้ สายตาจดจ้องไปยังมุมๆ หนึ่ง

 

 

“ข้านำมาให้นางไม่ได้ให้ท่าน ไม่เอามาก็ไม่เอามา ไม่เห็นจะมีเรื่องยิ่งใหญ่อะไรเลย” แผดเสียงจบก็ทิ้งถุงกระดาษไว้บนโต๊ะ ก่อนจะวิ่งออกไป นี่ไม่ใช่พี่ชายของเขา ไม่รู้จักพูดจา ชอบทำให้เขาโกรธเสมอ ตนต้องลำบากขนาดไหนกว่าจะเสาะหาของอร่อยมาได้ ที่ทำไปไม่ใช่เพื่อภรรยาของเขาหรอกหรือ เขาไม่เพียงไม่เอ่ยชม หนำซ้ำยังมาตำหนิว่าตนอีก หวังดีกลับกลายเป็นได้ร้ายเสียเอง

 

 

ดวงตาดำใสลึกล้ำของเฟิงหลีเลี่ยเหลือบไปยังทิศทางที่เขาจากไป ก่อนจะเก็บกลับมาเงียบๆ

 

 

ความจริงเขาเข้าใจเฟิงหลีเลี่ยผิดแล้ว เฟิงหลีเลี่ยเพียงแต่เป็นห่วงสุขภาพของมู่หรงชูอวิ๋น จึงไม่อยากให้เขานำของกินเหล่านี้มาให้นาง เพราะกลัวว่าหากมู่หรงชูอวิ๋นกินของผิดจะทำให้สุขภาพแย่ลงไป เวลานี้เฟิงหลีเลี่ยไม่กล้าเสี่ยง เขาทั้งประหม่าทั้งขลาดกลัว เขาเสี่ยงไม่ลงจริงๆ เขาไม่เคยมีอะไรทั้งนั้น หนึ่งเดียวที่มีก็คือมู่หรงชูอวิ๋น หน้าชื่อของนางสลักสกุลของเขาอยู่

 

 

……

 

 

ผ่านไปครึ่งเดือน เฟิงหรงสวี่นำกำลังกองทัพชายแดนตอนใต้ตีประชิดเมืองหลวง ด้วยกำลังดุเดือด แม่ทัพจำนวนมากเมื่อเห็นมีภัยต่างก็หายหัวกันไปหมด โจมตีเข้ามาจนฮ่องเต้ทรงรับมือได้ไม่ทัน พระองค์ทรงทราบดีคนที่พระองค์เลี้ยงไว้มีแต่เศษสวะ ทว่าไม่เคยคิดว่าจะไร้ความสามารถถึงเพียงนี้ ภายใต้ความพิโรธนั้น ทรงรับสั่งประหารศีรษะไปแล้วหลายคน เฟิงหลีเยี่ยมองฮ่องเต้ที่ทรงกริ้วโกรธเดือดเป็นไฟ ก็พบว่าทุกอย่างได้เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมแล้ว เขาไม่รู้ว่าตนเองควรเลือกอย่างไร ตั้งแต่เฟิงหลีเลี่ยเดินทางไปยังดินแดนตะวันตก คนก็หายเงียบไปกับธาตุอากาศ ไร้ซึ่งข่าวคราว ไม่เคยให้คนนำจดหมายมาส่งสักฉบับ แม้เพียงถ้อยคำสักนิดก็ไม่มี

 

 

“เยี่ยเอ๋อร์ สถานการณ์ตอนนี้ไปถึงขั้นไหนแล้ว?” พระสนมเซียวทอดมองฟ้าใสปรอดโปร่ง ไม่รู้ว่าตอนนี้มีคนตายภายใต้ท้องฟ้าสดใสเช่นนี้ไปเท่าไรแล้ว

 

 

“ไม่ทราบเลยพ่ะย่ะค่ะ แต่ลูกได้ยินมาว่าจวนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

คนในวังหลวงตอนนี้ต่างก็แตกตื่นตกใจ ไม่มีผู้ใดเคยคาดคิดมาก่อนว่า ท่านอ๋องสิบแปดผู้ที่ไม่เอาดีสิ่งใดเลย แท้จริงแล้วมีความสามารถมากมาย สัจธรรมเมื่อมีคนสมหวังดีใจก็ย่อมต้องมีคนผิดหวังเสียใจ

 

 

 

 

 

ตอนที่ 386 ให้กำเนิด3

 

 

“นายท่าน ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ สาวใช้ข้างกายพระสนมขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เฟิงหลีเลี่ยที่กำลังว่าประชุมอยู่มองไปยังคนใช้ที่เข้ามาอย่างรีบร้อน สาวใช้ยังไม่ทันพูดอันใด ทว่าในใจของเขาพลันมีโลหิตแห่งความหวาดกลัวพุ่งขึ้นมาที่สมอง ท่วมท้นจนทำให้เขาหน้ามืดตาลายไปหมด

 

 

เฟิงหรงสวี่เอ่ยขึ้นอย่างไม่ชอบใจ “เกิดเรื่องอันใด?” เขาไม่ชอบเห็นคนอื่นไร้ระเบียบวินัยเช่นนี้ อีกอย่างเขากำลังประชุมหารืออยู่กับเฟิงหลีเลี่ย กว่าจะคิดวิธีทำให้ฮ่องเต้วุ่นวายพระทัยได้ไม่ง่ายเลย อารมณ์ฮึกเหิมอยู่ได้เพียงครู่ก็ต้องถูกทำลายลงเสียแล้ว ต่อให้จะอารมณ์ดีเพียงใดก็ยังรู้สึกหงุดหงิดอยู่ดี ช่วงนี้เฟิงหลีเลี่ยเว้นเสียแต่การประชุมหารือเรื่องการตัดสินใจที่สำคัญแล้ว ไม่เช่นนั้นไม่ว่าการประชุมใดเขาก็จะไม่มาร่วม

 

 

ทว่าสาวใช้ต่างก็มีกฎระเบียบกันทั้งนั้น ท่าทางเช่นนี้คงเกิดเรื่องใหญ่อะไรเป็นแน่

 

 

สาวใช้คนนั้นไม่ทันได้หอบหายใจ ก็รีบกราบเรียน “พระชายาเมื่อครู่สะดุดหกล้ม ครรภ์ขยับตอนนี้ใกล้จะคลอดแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

มีเสียงดังอื้ออึงขึ้นมาในหัวของเฟิงหลีเลี่ย สูญเสียการไตร่ตรองไปชั่วขณะ ในสมองมีเพียงประโยคเดียวที่ว่า ครรภ์ขยับ วิ่งออกไปทางประตูตื่นตระหนกไม่ทันจะได้เลือกคำพูด ทุกแห่งที่่วิ่งผ่านสับสนอลม่านไปหมด

 

 

เฟิงหรงสวี่ประกายความหงุดหงิดใจ เหตุใดอยู่ดีๆ ถึงได้สะดุดหกล้มได้ จึงรีบตามไปดู ทว่าไหนเลยจะตามเงาร่างของเฟิงหลีเลี่ยได้ทัน

 

 

เฟิงหลีเลี่ยวิ่งมาถึงห้องนอน เห็นประตูปิดอยู่แน่นสนิท ขณะที่กำลังจะบุกเข้าไป หมอเทพก็ออกมาพอดี มือคว้าดึงเขาเอาไว้ ตะโกนเสียงดัง “คนกำลังจะคลอดลูก ท่านจะเข้าไปทำสิ่งใด?”

 

 

เฟิงหลีเลี่ยเอ่ยถามน้ำเสียงละล่ำละลัก “นางเป็นอย่างไรบ้าง?”

 

 

หมอเทพเหลือบมองประตูห้องที่ปิดสนิทไม่มีลมซึมผ่านเข้าไปได้ “ตอนนี้ยังไม่มีปัญหาใด” อีกประเดี๋ยวนั้นไม่อาจทราบได้ เมื่อครู่เขาเข้าไปลำบากอยู่นานกว่าจะช่วยห้ามเลือดให้มู่หรงชูอวิ๋นได้ ถึงตอนนี้คงได้แต่รอให้พวกเขาออกมาก็เท่านั้น

 

 

ความตื่นตระหนกและหวาดกลัวของเฟิงหลีเลี่ยยังคงครองพื้นที่ทั่วทั้งสมอง ในหัวมีเพียงความว่างเปล่า ไม่มีเรี่ยวแรงอะไรที่จะช่วยประคองตัวเขาได้เลย

 

 

เฟิงเยี่ยนเฉิงยืนรู้สึกผิดอยู่ด้านข้าง ก้มหน้าเงียบไม่กล้าเอ่ยสิ่งใด เดิมทีมู่หรงชูอวิ๋นก็ไม่ได้เป็นอันใด แต่เขาดึงดันจะให้มู่หรงชูอวิ๋นออกไปเล่นเป็นเพื่อนกับเขาให้ได้ ตอนที่เขามาหานางนั้น ระหว่างทางได้เห็นว่าข้างทางมีต้นไม้ต้นหนึ่งออกผลเต็มต้นก่อนฤดูกาล พลันปากไวเผยหลุดพูดเรื่องนี้ต่อหน้ามู่หรงชูอวิ๋น สำหรับทางเดินเขาได้สั่งให้คนมาทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ตอนที่เขาผ่านมาก็ยังเป็นเส้นทางดีๆ ผู้ใดจะล่วงรู้ได้ว่า เมื่อมู่หรงชูอวิ๋นเดินผ่านไม่ทันได้ระวังตัวไปเหยียบก้อนหินสะดุดหกล้มเข้าให้ มองเห็นนางล้มลงไปกองกับพื้น มีโลหิตสีแดงซึมเปื้อนกระโปรงพริ้วของมู่หรงชูอวิ๋น ทันใดนั้นเองเขาก็ตะลึงงัน ยืนค้างอยู่กับที่อย่างเสียสติ แม้ว่ามู่หรงชูอวิ๋นจะถูกนำตัวเข้ามายังในห้องแล้ว ในสายตาของเขายังคงมีเพียงโลหิตกองนั้น กระทั่งเห็นน่าหลันฉิงมาดึงเขาไว้ เขาถึงเปลี่ยนสายตาจดจ้องไปยังประตูห้องแทน

 

 

“อ้าย!”

 

 

เฟิงหลีเลี่ยได้ยินเสียงกรีดร้องทรมานของมู่หรงชูอวิ๋นที่อยู่ในห้อง จะบุกเข้าไปในห้องราวกับม้าป่าที่หลุดคอก เฟิงหรงสวี่ที่ตามมาทันเห็นเช่นนั้นก็รีบดึงเขาเอาไว้

 

 

ใช้พละกำลังอย่างมากกว่าจะดึงรั้งเขาได้สำเร็จ สูดลมหายใจหอบหืดพลางกล่าว “เจ้าเด็กหัวเหม็น นี่เจ้ากำลังทำสิ่งใด? เข้าไปก็มีแต่จะเพิ่มความวุ่นวายเท่านั้น” สมัยก่อนที่เขาบุกเข้าห้องทำคลอดก็ได้เห็นว่าภรรยาของเขามีความกล้าหาญมากเพียงใด เสียงกรีดร้องนั้นแสดงถึงความทรมานถึงชีวิต เห็นนางนอนหายใจแขม่วๆ แผ่วเบาอยู่กับเตียง ทว่าก็ยังมีเรี่ยวแรงพอที่จะปาหมอนใส่เขาได้ แต่เมื่อนึกถึงสมัยที่น่าหลันฉิงอยู่ในวังเย็น ไม่มีผู้ใดคอยดูแล ตอนที่เฟิงหลีเลี่ยจะคลอดออกมานั้นมีเพียงแม่นมใบ้ผู้ซึ่งไม่รู้วิชาแพทย์แต่อย่างใดมาเป็นคนทำคลอดให้กับนาง สำหรับตอนนี้ข้างกายมู่หรงชูอวิ๋นมีหมอเทพสุดยอดทักษะการแพทย์ระดับโลก ไม่ต้องเป็นกังวลมากเพียงนั้น ห่วงมากไปมีแต่จะทำให้เสียเรื่องเสียเปล่า

 

 

“แต่ว่าอวิ๋นเอ๋อร์ นางร้องเจ็บ” มู่หรงชูอวิ๋นทนกับความเจ็บปวดไม่ได้ที่สุด แม้แต่รอบเดือนมาครั้งก่อน นางเจ็บจนกัดริมฝีปากซีดไปหมด ตอนนี้ไม่รู้ว่านางจะเป็นดั่งเช่นตอนนั้นหรือไม่

 

 

เฟิงหลีเลี่ยสายตาจดจ้องที่ประตูไม่ยอมห่าง หูได้ยินเสียงร้องเบาบ้างดังบ้างของมู่หรงชูอวิ๋นแว่วมาไม่ขาดสาย แทบอยากจะให้คนที่ต้องเจ็บปวดเป็นเขาเอง ไม่ใช่มู่หรงชูอวิ๋นที่อ่อนแอมาโดยตลอด เขารู้สึกสับสนเหมือนเด็กน้อยที่หลงทิศหาทางกลับบ้านไม่เจอ

 

 

เฟิงหรงสวี่ตำหนิไปอย่างอารมณ์เสีย “คลอดลูกต้องเจ็บอยู่แล้ว” ต่างก็พูดกันว่าลูกก็คือชิ้นเนื้อก้อนหนึ่งของมารดา ต้องเฉือนเนื้อใยจะไม่เจ็บปวดได้เล่า ปกติซุ่มซ่ามเดินชนยังรู้สึกเจ็บทรมาน

 

 

นางไม่ใช่กวนอูที่แขนข้างหนึ่งรับการผ่าตัดขูดกระดูกรักษาพิษเกาทัณฑ์อยู่ ทว่าแขนอีกข้างยังจะมีเรี่ยวแรงเดินหมากกับผู้อื่น คนข้างในเป็นเพียงสาวน้อยที่ต้องแอบอิงอยู่ในอ้อมอกสามี ปลอบโยนด้วยเสียงแผ่วเบา แล้วจะไม่ให้นางร้องเจ็บได้อย่างไร

 

 

“แต่ว่าเรื่องนี้ไม่มีใครเคยบอกกับข้าเช่นนี้” หากเขารู้ว่ามู่รงชูอวิ๋นต้องเจ็บถึงเพียงนี้ เขาไม่มีทางให้นางอุ้มท้องอย่างเด็ดขาด ต่อให้เป็นเพียงความคิดก็ไม่มี ขอเพียงมีพวกเขาสองคนก็เพียงพอแล้ว

 

 

เฟิงหรงสวี่คิดในใจ การที่สตรีคลอดบุตรก็เท่ากับตรรกะที่ว่าขาข้างหนึ่งได้เหยียบเข้าด่านประตูวิญญาณแล้ว มีหญิงสาวจำนวนไม่น้อยต้องสิ้นชีวิตเพราะเรื่องนี้ ทว่าตอนนี้เขาไม่อาจพูดคำพูดเหล่านี้ออกมาได้ เขาไม่กล้ารับประกันว่าเฟิงหลีเลี่ยจะไม่เสียสติไป

ตอนที่ 387 ให้กำเนิด 4

 

 

หน้าผากมีเหงื่อผุดซึมออกมาเปียกชื้นไปทั้งปอยผม

 

 

ทุกเสียงในห้องล้วนเหมือนกับแส้ที่ฟาดลงบนร่างกาย เจ็บปวดจนเขาแทบหายใจไม่ออก

 

 

“แอ๊ด!” ได้ยินเสียงประตูเปิด สายตาของเฟิงหลีเล่ียหันไปมองในทันที

 

 

เอ่ยถามอย่างร้อนใจ “นางเป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ” เขาตื่นเต้นจนหัวใจแทบทะลักขึ้นมาอยู่ที่ลำคอ จุกกั้นลมหายใจให้รู้สึกทรมาน

 

 

น่าหลันฉิงมีระลอกความขมขื่นเอ่อล้นขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ หากไม่ใช่เพราะมู่หรงชูอวิ๋น เกรงว่าเขาคงไม่มีทางพูดกับตนเป็นแน่ “ตอนนี้นางหลับไปแล้ว”

 

 

เฟิงหลีเลี่ยรู้สึกผ่อนคลายลงได้บ้าง ขยับก้าวไปทางประตูสองสามก้าว แม้ว่าน่าหลันฉิงจะบอกแล้วว่านางไม่เป็นอันใด แต่เขาไม่ได้เห็นกับตาก็ยังไม่อาจวางใจได้ คิดอยากจะเข้าไปดูอาการ แต่ก็กลัวว่าจะเป็นการรบกวนนางเหมือนดั่งที่เฟิงหรงสวี่พูด

 

 

“เลี่ยเอ๋อร์ ตอนนี้เจ้าเข้าไปเยี่ยมได้แล้ว” น่าหลันฉิงเห็นเขามองประตูด้วยท่าทางกระวนกระวายใจ จึงเอ่ยอย่างสงสาร

 

 

เฟิงหลีเลี่ยมองหมอเทพอย่างทำอะไรไม่ถูก เห็นหมอเทพพยักหน้าให้ถึงได้มั่นใจ

 

 

หลังจากเฟิงหลีเลี่ยเข้าไปด้านในแล้ว ประตูบานใหญ่ก็ได้ปิดลง

 

 

กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นฟุ้งกระจายทั่วทั้งห้อง เนื่องจากประตูหน้าต่างล้วนปิดสนิทจึงไม่มีช่องทางให้ระบายอากาศได้

 

 

สาวใช้และหมอตำแยที่อยู่ด้านข้างรีบถอยหลบไปอยู่ข้างหลังทันที

 

 

บนร่างกายของมู่หรงชูอวิ๋นมีผ้าปิดอยู่เป็นชั้นๆ เฟิงหลีเลี่ยนั่งลงข้างกายของมู่หรงชูอวิ๋น มือสั่นเทาลูบไล้ขอบตาบวมแดงของนาง

 

 

กุมมือละเอียดอ่อนของนางมาทาบไว้ที่หัวใจของตัวเอง ถึงสัมผัสได้ว่าหัวใจอันเย็นชาได้ขยับเต้นอยู่หลายครั้ง

 

 

พลบค่ำมู่หรงชูอวิ๋นรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดจากส่วนท้องที่ส่งขึ้นมาเป็นระลอก นางลืมตาอันหนักอึ้งขึ้นมา มองเห็นเฟิงหลีเลี่ยเสื้อผ้ายับยุ่งนั่งอยู่ที่ขอบเตียง น้ำตาไหลมาหยุดที่ขอบตา หยักรอยยิ้มพลางเอ่ยเรียก “พี่ชายใหญ่”

 

 

เปล่งเสียงยังไม่ทันจบ ความเจ็บปวดก็ตีขึ้นมาทำเอานางหยุดชะงักไปทันที

 

 

เมื่อได้ยินความเคลื่อนไหว ผู้คนต่างห้อมล้อมกันเข้ามา หมอตำแยทำคลอดรีบเปิดกระโปรงผ้าของมู่หรงชูอวิ๋นออกดู “ปากมดลูกเปิดห้าน้ิว จะคลอดแล้วเพคะ” เมื่อครู่พวกนางต่างรอให้ปากมดลูกของมู่หรงชูอวิ๋นเปิด ทว่าไม่คิดเลยว่าออกแรงไปตั้งมากมาย ไม่เพียงปากมดลูกไม่เปิด แต่มู่หรงชูอวิ๋นกลับอ่อนเพลียหลับไปเสียก่อน

 

 

น่าหลันฉิงเข้ามาเห็นทุกคนในห้องกำลังยุ่งวุ่นวาย แต่เฟิงหลีเลี่ยกลับนั่งตัวสูงหลังตรงอยู่ทางด้านข้างด้วยท่าทีวิตกกังวล พลันรู้สึกเกะกะสายตา จึงรีบผลักเขาออกไปอยู่ข้างนอก แต่เฟิงหลีเลี่ยเหมือนกับหยั่งรากอยู่ใต้ฝ่าเท้าไม่ยอมขยับเลย

 

 

“เจ้าอยู่ที่นี่จะยิ่งดึงพลังของมู่หรงชูอวิ๋น” ห้องคลอดสกปรกเหลือทน ไม่เหมาะจะเป็นสถานที่ของบุรุษ สมัยก่อนเฟิงหรงสวี่ก็ตกใจกับพลังดุดันของนางจนต้องถอยออกนอกห้องไป

 

 

มู่หรงชูอวิ๋นติดเฟิงหลีเลี่ยถึงเพียงนี้ เกรงแต่อีกประเดี๋ยวความคิดจะฟุ้งซ่านได้ ตอนนี้สภาพร่างกายของนางก็ยิ่งอ่อนแอจากอาการหกล้มเมื่อช่วงเช้าอยู่แล้วด้วย

 

 

เฟิงหลีเลี่ยทอดมองมู่หรงชูอวิ๋นที่เจ็บปวดทรมานแทบตาย สีหน้าของเขาซีดขาวเหมือนกระดาษยิ่งขึ้นไปอีก “ฝากดูแลนางด้วย เมื่อคลอดแล้วจะกลับไปเป็นดั่งเดิมหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

 

 

น่าหลันฉิงเห็นลูกตาของเขามีเส้นเลือดฝอยกระจาย คางอันน่าหลงใหลก็มีหนวดเคราเขียว เสื้อผ้ายับยู้ยี้ดูไม่สนใจการแต่งตัวสักเท่าไร สภาพจึงดูดุร้ายน่ากลัว

 

 

“ได้”

 

 

เมื่อได้รับคำมั่นสัญญาจากน่าหลันฉิงแล้ว เขาถึงยอมออกไป

 

 

น่าหลันฉิงไม่ทันได้คิดว่าเมื่อครู่เฟิงหลีเลี่ยมีใบหน้าที่อ่อนโยนท่าทีเป็นมิตรกับนาง เพราะถูกเสียงร้องเจ็บปวดของมู่หรงชูอวิ๋นดึงความสนใจกลับมาเสียก่อน

 

 

มู่หรงชูอวิ๋นเจ็บปวดจนแยกอะไรไม่ออก กรีดร้องจนอ่อนเปลี้ยเพลียแรงเสียงก็แหบแห้ง เส้นผมยุ่งเหยิงเปียกแฉะแนบติดกับหน้าผากของนาง คิ้วขมวดย่นเป็นปม ดวงตาแทบจะทะลักออกมาจากขอบตาอยู่แล้ว จมูกขยับด้วยลมหายใจหอบเร็ว คอแหบแห้งไปนานแล้ว สองมือกำผ้าคลุมเตียงแน่น เห็นเส้นเอ็นปูดขึ้นที่แขน เหงื่อไหลเปียกเตียงไปหมด

 

 

“พระชายาออกแรงอีกหน่อยเพคะ…”

 

 

หมอตำแยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล มู่หรงชูอวิ๋นใกล้จะหมดสติอยู่แล้ว หัวของเด็กในท้องยังไม่โผล่ออกมาเลย

 

 

 

 

 

ตอนที่ 388 ให้กำเนิด 5

 

 

“อุแว้…อุแว้…”

 

 

ฟ้าเพิ่งจะรุ่งสาง ท้องฟ้าสีครามยังคงมีเศษดวงดาวเรียงรายอยู่จางๆ ในห้องพลันแว่วเสียงร้องกังวานขึ้นมา เป็นเสียงที่มีพลังอันงดงาม แม้อยู่ห่างไปสามฉื่อก็ยังได้ยินเสียงอย่างชัดเจน

 

 

เฟิงหรงสวี่สูดลมหายใจลึกๆ เข้าปอด คลอดแล้วก็ดี พลางนวดเอวที่ปวดเมื่อยอยู่บ้าง เห็นทีคงต้องยอมแพ้ให้กับอายุที่เพิ่มข้ึนแล้วจริงๆ ทางด้านเฟิงหลีเลี่ยที่ยืนหลังตรงมาตลอดทั้งคืน ไม่ขยับตัวเลยแม้แต่น้อย

 

 

เฟิงหรงสวี่ตบบ่าของเขาพลางกล่าว “ถึงตอนนี้ก็สบายใจได้แล้วนะ” เสียงร้องใสกังวานของทารกคนนี้ดังก้องยิ่งกว่าเฟิงเยี่ยนเฉิงในสมัยนั้นเสียอีก

 

 

เฟิงหลีเลี่ยหันกายอันแข็งทื่อของเขา แววตาหลุดลอยกว่าจะจดจ้องมาที่ดวงตาของเฟิงหรงสวี่ได้ไม่ง่ายเลย “อวิ๋นเอ๋อร์เงียบไปแล้ว”

 

 

เฟิงหลีเลี่ยชะงัก เป็นเช่นนั้นจริงด้วย หลังจากที่ได้ยินเสียงลูกร้อง เสียงของมู่หรงชูอวิ๋นก็เงียบลงไปโดยสิ้นเชิงราวกับเสียงร้องโอดครวญเมื่อไม่นานมานี้เป็นเพียงภาพลวงตาของพวกเขาเท่านั้น “อาจจะหลับไปแล้ว” อย่างไรแล้วการคลอดบุตรก็ใช้พลังเปลืองแรงเช่นนั้น น่าหลันฉิงในตอนนั้นก็หลับไปหลายวันกว่าจะรู้สึกตัวฟื้นขึ้นมาได้ แม้ว่าท่านหมอจะย้ำแล้วว่านางหลับไปเพราะเหนื่อยมากเท่านั้น ทว่าเขาก็ยังไม่อาจควบคุมตัวเองไม่ให้เป็นห่วงนางได้

 

 

เฟิงหลีเลี่ยส่ายหน้า “ไม่ถูกต้อง เจ็บตรงนี้เหลือเกิน”

 

 

เฟิงหรงสวี่มองตามนิ้วเรียวยาวของเฟิงหลีเลี่ยชี้ไปที่หัวใจ ใบหน้าลึกซึ้งยากจะคาดเดา มู่หรงชูอวิ๋นคลอดลูก แล้วเขาจะเจ็บได้อย่างไร หรือว่าจะเป็นอย่างที่ตำนานกล่าวไว้ ขอเพียงในใจมีคนคนนั้น ก็จะสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและเย็นชาในชีวิตของคนคนนั้นได้ ถึงว่าเหตุใดตอนนั้นเขาถึงรู้สึกแปลกใจที่เห็นเฟิงหลีเลี่ยมีเหงื่อเย็นซึมท่วมตัว ราวกับเอาตัวไปจุ่มในน้ำ ทว่าเรื่องนี้ก็ออกจะไร้สาระเกินไปแล้ว

 

 

“แย่แล้ว พระชายาหมดสติไปแล้วเพคะ”

 

 

เฟิงหรงสวี่แอบอุทานแย่แล้ว เขาพลันฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าในตอนที่น่าหลันฉิงคลอดบุตรนั้น เพื่อเอาใจเขาแม้ว่าจะยังไม่ทันได้ล้างตัวทำความสะอาดให้ทารกน้อย บ่าวรับใช้ก็อุ้มทารกออกมาให้เขาได้เชยชมแล้ว ทว่ามู่หรงชูอวิ๋นคลอดบุตรไปได้สักครู่หนึ่ง แต่กลับยังไม่มีใครอุ้มทารกออกมา

 

 

เฟิงหลีเลี่ยรีบพุ่งตัวเข้าไปในห้องด้วยอาการตื่นตระหนก มีคนวิ่งสาละวนผ่านข้างกายเขาไปมาไม่หยุด หมอเทพมีสีหน้าเคร่งเครียด กำลังฝังเข็มช่วยมู่หรงชูอวิ๋น บนร่างกายของมู่หรงชูอวิ๋นมีเข็มเล่มบางละเอียดแน่นขนัดไปหมด

 

 

เขาขลาดกลัวจนไม่กล้าก้าวไปข้างหน้าอีก

 

 

“เลี่ยเอ๋อร์ กุยอวิ๋นคิดถึงเจ้าแล้ว” น่าหลันฉิงอุ้มทารกน้อยมีเส้นผมหงอกอยู่ประปรายถูกห่อตัวอยู่ในผ้าอ้อม มาวางใส่อ้อมแขนให้กับเฟิงหลีเลี่ย

 

 

เมื่อคืนหมอเทพหมดพลังไปเกือบครึ่งค่อนคืนกว่าจะดึงมู่หรงชูอวิ๋นกลับมาจากประตูมัจจุราชได้ ถัดมานางก็ได้แต่หมดสติ แม้แต่หมอเทพเองก็ยังหาสาเหตุไม่พบ กล่าวเพียงว่าคงต้องปล่อยไปตามลิขิตฟ้าเสียแล้ว

 

 

ทารกน้อยนั้นเป็นบุตรชาย หลังจากคลอดออกมาแล้ว มู่หรงชูอวิ๋นก็หมดสติไป ถึงตอนนี้เวลาก็ได้ล่วงเลยมาสามเดือนแล้ว เฟิงหลีเลี่ยเหมือนกับคนที่สูญเสียตัวตน ไม่ว่าใครจะพูดอย่างไร เขาก็ไม่ฟังอะไรทั้งนั้น ดวงตาลึกล้ำยากจะกระพริบได้ นอกจากลูกน้อยแล้ว ภาพที่สะท้อนสู่สายตาของเขามีเพียงคนเพียงคนเดียวเท่าน้ัน

 

 

แม้แต่ในพิธีสรงสาม[1] เฟิงหลีเลี่ยก็ยังคงมีสภาพเช่นนั้น ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น น่าหลันฉิงเอ่ยถามว่าใครจะเป็นคนตั้งชื่อให้ทารกน้อยของเขา นางอยากได้ชื่อเรียกเหลือเกิน ทารกคนนี้คือหลานชายของนาง อีกทั้งทารกคนนี้ก็เลี้ยงง่ายกว่าเด็กคนอื่นๆ แม่นมป้อนนมอิ่มแล้วก็นอนหลับ แม้แต่ตอนเปลี่ยนผ้าอ้อมก็ไม่ร้องไห้งอแง

 

 

ปลายนิ้วของเฟิงหลีเลี่ยเต็มไปด้วนรอยด้านลูบไล้บนผิวละเอียดอ่อนของทารก เงียบอยู่นานจึงเอ่ยขึ้นว่า “เรียก ‘กุยอวิ๋น’ เถิด”

 

 

น่าหลันฉิงขอบตาชื้นเปียก รีบหันหลังไปปาดซับน้ำตา ‘กุยอวิ๋น’ ชื่อนี้หมายถึงรอการกลับมาของมู่หรงชูอวิ๋น เป็นชื่อที่ดีเหลือเกิน เชื่อว่าเมื่อมู่หรงชูอวิ๋นฟื้นขึ้นมาได้ทราบชื่อของลูกน้อยแล้ว จะต้องดีใจเป็นแน่แท้

 

 

เชื่อมั่นว่าลูกชายของนางที่ลุ่มหลงในความรัก จะหลุดพ้นจากเมฆหมอกดำสลัวได้สักที

 

 

เฟิงหลีเลี่ยเอาแต่เฝ้าดูมู่หรงชูอวิ๋นอย่างไม่รู้วันรู้คืน น่าหลันฉิงเป็นห่วงว่าร่างกายของเขาจะทรุดลงได้ จึงได้อุ้มกุยอวิ๋นมาหาเขาบ้างเป็นครั้งคราว เผื่อจะช่วยเบี่ยงเบนจุดสนใจของเขาได้บ้าง

 

 

 

 

[1] พิธีสรงสามหรือ ‘สี่ซาน’ (洗三)  เป็นหนึ่งในพิธีกรรมเก่าแก่ที่สำคัญมากของคนจีนในสมัยโบราณ โดยทั่วไปจะทำพิธีดังกล่าวในวันที่สามหลังจากเด็กทารกคลอดออกมาเป็นพิธีวันที่สามหลังจากเด็กทารกคลอดออกมา ในวันดังกล่าว คนในครอบครัวจะต้องอาบน้ำให้เด็ก และเชิญญาติสนิทมิตรสหายมาร่วมพิธี

 

 

 

ตอนที่ 389

 

ขอโทษ

 

ฉินอวิ๋นซินคุกเข่าอยู่กับพื้นนานเป็นครึ่งวัน ไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรดีจึงจะทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าไม่เคืองโกรธ

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าได้ตำหนินางไปหลายคำ ความรู้สึกทุกข์ใจที่เก็บกลั้นอยู่ในใจมานานหลายปีพลันคลายลงไปได้บ้าง กวาดสายตามองไปยังรอยบากยาวที่ใบหน้าของฉินอวิ๋นซิน ในตอนนั้นที่นางกลับมาจวนสกุลมู่หรงได้สวมหน้ากากปิดบังรอยบ่กนี้ไว้ ฮูหยินผู้เฒ่าเกรงใจจึงไม่กล้าจ้องมองใบหน้าของผู้อื่น ถึงตอนนี้เมื่อได้เห็นแล้วดูท่าหลังจากที่นางจากไปคงเกิดเรื่องราวกับนางอยู่ไม่น้อย

 

 

“ปีนั้นเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่? อีกอย่างอย่าพูดว่าเจ้าบอกข้าไม่ได้ เพราะข้าไม่ใช่เจ้าลูกชายโง่ของข้าคนนั้น ที่จะได้หลับหูหลับตาปล่อยผ่านไปได้โดยง่าย” ฮูหยินผู้เฒ่าด่ามู่หรงไป๋ว่าโง่อย่างไม่รู้สึกผิดแม้เพียงนิด หากเขาไม่โง่ ไหนเลยจะมาช่วยนางปกปิดอยู่เช่นนี้ กระทั่งเรื่องแดงขึ้นมาเช่นนี้ถึงได้ยอมรับออกมา

 

 

ฉินอวิ๋นซินรู้ดีว่าหากนางยังไม่ยอมพูดความจริงกับฮูหยินผู้เฒ่า อย่าหวังเลยว่าชีวิตนี้จะได้กลับเข้ามายังสกุลมู่หรงอีก แม้เพียงอยากพบหน้ามู่หรงชูอวิ๋นก็เป็นความคิดเพ้อเจ้อที่ไม่มีทางเป็นไปได้ มาถึงขั้นที่พวกเขารู้เรื่องของนางกันหมดแล้ว จึงเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบให้ฮูหยินผู้เฒ่าฟังอย่างไม่ปิดบัง

 

 

ฮูหยินได้ฟังเรื่องราวจากปากของฉินอวิ๋นซินแล้ว ก็เงียบไม่พูดอะไรอยู่นาน คิ้วยังคงขมวดแน่นไม่คลาย

 

 

ก่อนจะโพล่งคำถามขึ้นมาประโยคหนึ่ง “แม่ของมู่เอ๋อร์รู้เบื้องหน้าเบื้องหลังของเรื่องนี้หรือไม่?” ดวงตาพลันหรี่ลงอย่างลึกซึ้ง

 

 

ฉินอวิ๋นซินย่นคิ้วก่อนจะพยักหน้ายอมรับ ฮูหยินผู้เฒ่าฉลาดเป็นที่สุด ไม่มีเรื่องใดที่จะปิดบังนางได้เลย

 

 

สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าดูแย่ขึ้นมาก

 

 

ในปีนั้นที่นางได้พบกับคนเผ่าเดียวกัน บังเอิญถูกซูซื่อเห็นเข้าพอดี ซูซื่อเข้าใจผิดคิดว่าฉินอวิ๋นซินทรยศมู่หรงไป๋คบกับชายอื่น ไม่ว่าฉินอวิ๋นซินจะอธิบายเช่นไรนางก็ยืนกรานเชื่อความคิดตัวเองเป็นกระต่ายขาเดียว ในสมัยนั้นซูซื่อริษยาที่ฮูหยินผู้เฒ่าให้ความสำคัญกับฉินอวิ๋นซินที่เป็นเด็กกำพร้า มากกว่าคุณหนูมีชาติตระกูลอย่างนาง แม้ว่าฉินอวิ๋นซินจะให้กำเนิดบุตรสาวก็ยังทั้งรักทั้งหลงกันถึงเพียงนี้ ทั้งที่ประจักษ์กันอยู่ว่านางให้กำเนิดบุตรชายไว้สืบสกุลมู่หรงแท้ๆ ทุกคนก็ยังไปห้อมล้อมอยู่ที่ครอบครัวของมู่หรงไป๋ กระทั่งว่านางเห็นสายตาของมู่หรงอิงสามีของตนอย่างไม่ค่อยชัดเจนเท่าใด ยามที่เขามองฉินอวิ๋นซินหาใช่สายตาของพี่เขยคนหนึ่งใช้มองน้องสะใภ้ นางรู้สึกหวาดระแวงและไม่ยอม กลัวว่ามู่หรงอิงจะไปสนใจภรรยาของน้องชายตนเองเข้าให้ ทว่าก็ไม่กล้าพูดสิ่งใดออกมา นางงามสู้ขนผิวหน้าของฉินอวิ๋นซินยังไม่ได้ ถึงตอนนี้โอกาสมาวางอยู่ตรงหน้าแล้ว นางจึงบอกให้ฉินอวิ๋นซินเลือกว่าจะยอมสารภาพหรือยอมจากไป ไม่เช่นนั้นนางก็ไม่รังเกียจที่จะพูดเรื่องนี้แทนฉินอวิ๋นซินเอง สุดท้ายเรื่องก็เกิดขึ้นอย่างที่เป็นมา ฉินอวิ๋นซินในเวลานั้นถูกบีบด้วยแรงกดดันจากชนเผ่า นางจึงขอให้ซูซื่อช่วยดูแลมู่หรงชูอวิ๋นให้ดี ก่อนจะกินยาแกล้งตายไปเสีย

 

 

“เหตุใดตอนนั้นจึงไม่บอกข้า?” หากยอมบอกเสียแต่แรกเรื่องทั้งหมดก็คงไม่เป็นเช่นนี้ ในตอนนั้นท่าทางของซูซื่อตื่นตระหนก ฮูหยินผู้เฒ่ายังรู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล ทว่าเพื่อความสามัคคีปรองดองของตระกูลมู่หรงแล้ว นางจึงไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจให้มาก ใครจะคาดคิดคนที่รู้จักกันจะหลายเป็นคนที่รู้หน้าแต่ไม่รู้ใจ

 

 

ฉินอวิ๋นซินในตอนนั้นเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ คิดเพียงอย่างเดียวคือจะไม่ทำให้สกุลมู่หรงต้องมาลำบาก

 

 

“ข้าขอโทษเจ้าค่ะ” ในตอนนี้ฉินอวิ๋นซินไม่รู้ว่าควรพูดถึงบาปของตนเองอย่างไร ยิ่งอธิบายก็ยิ่งเหมือนหลบหนี นางไม่ต้องการหนีอีกต่อไป เพราะนางได้หนีไปสิบปีแล้ว

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจยาว มองคนที่นั่งก้มหน้าจนน้ำตาที่กลั้นไว้เกือบจะไหลลงมาแล้ว พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่รีบร้อน กำลังได้จังหวะพอดี “คนที่เจ้าต้องพูดขอโทษนั้นไม่ใช่ข้า และก็ไม่ใช่ไป๋เอ๋อร์ แต่เป็นอวิ๋นเอ๋อร์” นางไม่รู้หากมู่หรงชูอวิ๋นรู้เรื่องนี้แล้วจะทนรับไหวหรือไม่ มู่หรงชูอวิ๋นในเวลานี้มีความสุขเช่นนั้น นางไม่อยากให้คนอื่นมาทำลายความสุขของหลานสาวอีกแล้ว

 

 

ดวงตาคลุกเคล้าไปด้วยความเสียใจ “ข้าไม่กล้าขอให้อวิ๋นเอ๋อร์ให้อภัย หวังเพียงท่านแม่จะยอมให้ข้าได้อยู่ชดเชยความผิดข้างกายอวิ๋นเอ๋อร์เจ้าค่ะ”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าได้ฟังนางเอ่ยถึงมู่หรงชูอวิ๋น พลันคิดได้ว่าเมื่อไม่นานมานี้ตนได้รับจดหมายรายงานความปลอดภัยจากเฟิงหลีเลี่ย รอยยิ้มพลันปรากฏขึ้นที่มุมปากอย่างอดไม่ได้ ไม่คิดเลยว่าเฟิงหลีเลี่ยจะใช้ได้ถึงเพียงนั้น อีกไม่นานนางก็จะได้เป็นย่าทวดแล้ว

 

 

“เรื่องยกโทษรอให้เจ้าได้พบอวิ๋นเอ๋อร์ค่อยว่ากัน” เอ่ยออกไปอย่างรำคาญ “เจ้าออกไปก่อนเถิด” ตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นนางแล้วโมโหจนปวดหัวไปหมด

 

 

ฉินอวิ๋นซินมองสีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าแต่ดูไม่ออกว่านางคิดเช่นไร รู้สึกยิ่งสูญเสียความมั่นใจ ทำได้เพียงทำตามที่ใจคิดต่อไปเท่านั้น นางไม่กล้าหวังมากเกินไปที่จะขอให้ฮูหยินผู้เฒ่าอภัยให้นางได้เร็วถึงเพียงนั้น อย่างน้อยฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้ไล่นางออกไปไหนก็ดีแล้ว

 

 

ทอดมองดวงตะวันสูงโด่งค่อยๆ ลับไปยังทิศตะวันตก มุมปากเปี่ยมไปด้วยความขมขื่น

 

 

หลังจากที่ฉินอวิ๋นซินออกไปแล้ว สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าก็ยิ่งเคร่งเครียดขึ้นอีก ท้ายที่สุดมุมปากผลิรอยยิ้มเย็นชาขึ้นมา พลันเอ่ยน้ำเสียงเยียบเย็น “นางช่างกล้าที่จะปิดบัง พาคนใจแคบมายังตระกูลมู่หรงโดยแท้”

 

 

สิ่งที่ฮูหยินผู้เฒ่าเกลียดที่สุดก็คือคนครอบครัวเดียวกันแต่มีลับลมคมใน มีเจตนามุ่งร้ายทำลายกัน หากทุกคนคิดถึงแต่ตัวเอง ไหนเลยที่บ้านจะยังเป็นบ้านต่อไปได้อีก คงจะวุ่นวายกันไปหมด เพื่อสิ่งเหล่านี้ที่เป็นเพียงเปลือกนอกไร้ความหมายก็เท่านั้น

เพียงหนึ่งใจ

เพียงหนึ่งใจ

Status: Ongoing

มู่หรงชูอวิ๋น คือหญิงสาวพัฒนาการช้าชื่อดังแห่งเมืองหลวง นางมักจะถูกหัวเราเยาะว่าเป็นคนโง่อยู่เสมอ ส่วน ‘เขา’ คือองค์ชายสี่ผู้เงียบขรึม บุรุษผู้เป็นที่ชิงชังขององค์ฮ่องเต้ ไม่ว่าใครก็ไม่อาจทราบได้ว่าภายใต้ท่าทีเคร่งขรึมนั้นเก็บซ่อนประกายอะไรเอาไว้

…หนึ่งนางผู้สดใสร่าเริงดั่งดวงตะวันกับหนึ่งชายหนุ่มแสนเย็นชาดั่งน้ำค้างแข็ง ท่ามกลางการแย่งชิงบนเส้นทางสายอำนาจนี้ นางคือผู้เดียวที่จะกุมหัวใจเขา…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท