สะลึมสะลือไม่รู้ตัวก็มาถึงพระที่นั่งไท่เหอเตี้ยน หวังทงรู้ว่านี่เป็นความฝันรำลึก แต่ทุกครั้งล้วนราวกับความจริง ทุกครั้งทำให้เขาไม่อาจแยกแยะจริงเท็จ…
“…ตัดหัวทหารโจรวัวโค่วสามแสน…ตัดหัวหัวหน้าโจรโทโยโตมิ โทกูงาวะและมาเอดะ…ฮ่องเต้วัวโค่วยอมจำนน ขอเป็นข้ารองบาท…ประเทศวัวยอมมอบฮิโกะ ฮิเซ็น ชิกูโกะ ซาโดะ ซาโก ในแถบภูมิภาคคิวชูให้เป็นดินแดนในอาณัติแผ่นดินหมิง…ประเทศวัวขอยอมชดใช้ทองคำห้าแสนตำลึง เงินอีกห้าล้านตำลึง สตรีหนึ่งหมื่น…ทุกปียังจะบรรณาการเงินอีกสองล้านตำลึง ข้าวสารอีกล้านสือ[1]…”
“ทำไมเป็นเกาะอีกแล้ว ทำไมไม่มอบเป็นผืนนาที่ดินสักหมื่นฉิ่ง ไม่ได้หรือไง?”
“พี่ชาย ก่อนหน้าข้าเองก็คิดเช่นนี้ พอสอบถามมาจึงได้รู้ว่า ฮิเซ็นกับซาไกของโจรวัวโค่วก็เหมือนกับเทียนจินกับเมืองซงเจียงแผ่นดินหมิง เป็นเมืองท่า ส่วนซาโดะนั่น ถุยๆ ภูเขาทองคำห้าลูก ภูเงินสิบแปดลูกเลยนะ!”
“เบาหน่อย ๆ หากถูกหัวหน้ากองพบว่าเสียกิริยาต่อหน้าพระที่นั่งเช่นนี้ ย่อมถูกลงโทษ พี่ชาย บ้านท่านก็มีกิจการไม่น้อยแล้ว ไม่อยากไปลองที่ประเทศวัวบ้างหรือ?”
“ไม่รีบๆ หวังทงตีเร็วไป ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 21 ก็เข้าสู่ประเทศวัวแล้ว ปีที่ 22 ก็นำชัยชนะใหญ่กลับมา แม้ว่ามีพวกตระกลูชิมัสสึอะไรนั่นมาสวามิภักดิ์ แต่อย่างไรก็คั่นด้วยทะเลใหญ่ ไม่แน่อาจลุกฮือต่อต้านอีก รอให้สงบก่อนค่อยไปก็ไม่สาย…”
“โอ้โห หวังทงดูแล้วอายุสามสิบกว่า ก่อกรรมทำเข็ญสังหารไปมากไปไหม ตอนนั้นตัดหัวพวกนอกด่านไปมากมาย ก็ได้เป็นโหว คนตายด้วยน้ำมือเขาเกือบล้านแล้ว คืนนี้นอนหลับไหมเนี่ย?”
“พูดไปก็ไร้ประโยชน์ ฝ่าบาทกับสำนักส่วนพระองค์ ยังมีคณะเสนาบดีใหญ่ล้วนหารือเรียบร้อยแล้ว ครั้งนี้แต่งตั้งหวังทงเป็นจวิ้นอ๋อง ประเทศวัวกับเกาหลีแบ่งพื้นที่ให้เขาครึ่งหนึ่ง ปฐมฮ่องเต้หมิงไท่จู่กับฮ่องเต้เฉิงจู่เดาว่าคงไม่คิดว่าจะมีวันนี้ ท่านจางเองได้เห็นวันนี้ ไม่รู้ว่าจะคิดเช่นไร”
“เหอๆ ดูซิหวังทงจะปฏิเสธหรือไม่ ครั้งก่อนเขายอมไม่รับความชอบใหญ่ หนีไปหลบเมืองซงเจียง ตอนนี้จะยอมก็อาจยอมไม่ได้!”
“ทุกท่านๆ เบาหน่อยๆ หัวหน้ากองมองมาแล้ว พูดถึงเรื่องพวกนี้ ตอนเข้าหวังทงเฝ้าหน้าพระที่นั่งกวาดตามองมาทางข้าแวบหนึ่ง ทำเอาข้าวาบไปทั้งตัว กลิ่นอายสังหารรุนแรง คืนนี้กลับไป ต้องดื่มสุราร้อนอุ่นกายสักหน่อย พูดไปแล้ว พระเมตตาสองเลยนะเนี่ย รัชทายาทถึงกับเสด็จด้วย โอรสสวรรค์กับรัชทายาทเสด็จรับด้วยพระองค์เอง”
กล่าวว่าหน้าพระที่นั่งต้องเงียบ เงียบกริบไร้สำเนียง แต่ทว่าหวังทงยังคงแอบได้ยินวาจาเช่นนี้แว่วมา มองไปยังข้างพระวรกายฮ่องเต้ว่านลี่อีกทาง มีรัชทายาทจูฉางสวิน ราวกับไม่ได้ยิน คนที่เหลือสีหน้ามึนเล็กน้อย มีแต่เจ้าจินเลี่ยงข้างจูฉางสวินที่หวังทงเห็นชัด ได้ยินว่าตอนตนเองไปติดพันอยู่ที่โอซาก้า เจ้าจินเลี่ยงได้รับคำสั่งให้มีหน้าที่ดูแลรัชทายาทจูฉางสวินแล้ว นี่ก็เหมือนกำหนดบั้นปลายแห่งอำนาจวาสนาชั่วชีวิตนี้แล้ว
“เจ้ากลับมาครั้งนี้ อยู่เมืองหลวง อย่าจากไปไหนอีก ช่วยเราดูแลแผ่นดิน เจ้าหากยังไปอีก ใต้หล้าคงต้องยิ้มเยาะเราสองแล้วแน่…”
ฮ่องเต้ว่านลี่แย้มสรวลตรัสขึ้น หวังทงไม่ได้สังเกตพระดำรัสนี้ และไม่ได้สังเกตด้านหลังพระวรกายฮ่องเต้ว่านลี่มีรอยยิ้มมึนงงพวกนั้น เขาเพียงแค่มองไปยังรัชทายาทจูฉางสวิน
ตามคาด แม้ตนเองยิ้มอ่อนโยน แต่องค์ชายรัชทายาทจูฉางสวินที่ถูกปกป้องดูแลอย่างเอาใจในวังมาแต่เล็กก็ยังคงหวาดกลัวถดตัวกลับ เห็นชัดว่ากลัว สองฝ่ายระยะห่างกันมาก ตามหลักหวังทงย่อมไม่ได้ยินว่าคุยกันอันใด แต่ยังคงได้ยินกระจ่างว่า
“ปั้นปั้น เรากลัว…”
เจ้าจินเลี่ยงเหมือนเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวหนักแน่นว่า
“มีกระหม่อมอยู่ ฝ่าบาทไม่ต้องกลัว”
กล่าวจบก็ก้าวไปบังหน้ารัชทายาทจูฉางสวินไว้ สีหน้าเรียบเฉยสบตากับหวังทง…
“ตึง~~~~”
เสียงกลองตีดังยาว ภาพตรงหน้าดำมืดก่อนหวังทงจะลืมตาขึ้น
“ฝันถึงเรื่องนี้อีกแล้ว…”
ภาพตรงหน้าเป็นสีกระโจมทัพ นอกห้องมีเสียงฝีเท้าเดินปกติ
หวังทงสะบัดหัวไปมา สูดลมหายใจลึก ยันตัวขึ้นจากเตียงมานั่ง พอเขาขยับ สตรีข้างกายก็ตกใจตื่นไปด้วย ลืมตาถามขึ้น
“ฝ่าบาท…”
“เจ้านอนต่ออีกหน่อย เรานอนไม่หลับ”
“ฝ่าบาททรงฝันหรือเพคะ?”
จำได้ว่าตอนพบหลูรั่วเหมย นางยังผมดำขลับ แต่ยามนี้กลับมีสีขาวแซมา หวังทงเริ่มรู้ตัวลูบใบหน้าตนเอง ตอนนี้เต็มไปด้วยริ้วรอย
“แก่แล้ว ฝันมากไปแล้ว”
“ฝ่าบาททรงตื่นบรรทมแล้ว รีบเข้ามาปรนนิบัติ”
หลูรั่วเหมยบนเตียงคลุมเสื้อลุกนั่ง ดึงม่านข้างเตียงขึ้นแขวน ได้ยินเสียงกระดิ่งด้านนอก หน้าเตียงก็มีเสียงฝีเท้ามา มีคนนอบน้อมกล่าวว่า
“ขอฝ่าบาททรงเปลี่ยนฉลองพระองค์ล้างหน้าเพคะ”
หวังทงลงจากเตียง เห็นนางกำนัลหลายคนรอรับใช้ อีกข้างมีขันทีในชุดงูใหญ่กำลังรอปรนนิบัติ ขันทีอายุราวสี่สิบกว่า มองไปแล้วก็ขมวดคิ้ว กล่าวว่า
“เสิ่นอัน เจ้าไม่ต้องมาคอยดูแลบ่าวรับใช้เหล่านี้มากนัก เจ้าเป็นขันทีงานส่วนพระองค์ ไม่ใช่พ่อบ้านทำงานเหล่านี้”
ขันทีผู้นั้นยิ้มคำนับกล่าวว่า
“ฝ่าบาททรงพระปรีชา ในวังคนเหล่านี้ทำงานพวกนี้ไม่ชำนาญ ฝ่าบาทกับพระชายาใช้งานไม่สะดวก รอให้กระหม่อมดูแลสั่งสอนให้เรียบร้อยก่อน ค่อยไปตั้งใจทำงานในหน้าที่กระหม่อม”
ปีรัชสมัยต้าหัวที่สอง ราวปี ค.ศ. 1623 ในวังเริ่มดำเนินไปตามปกติ มีคนเข้ามาปรนนิบัติล้างหน้าบ้วนปาก มีคนรับหน้าที่เปลี่ยนฉลองพระองค์ มีคนเร่งรีบเข้ามาเตรียมพระกระยาหารเช้า
นางกำนัลในวังเดินไปมาขวักไขว่ พริบตาก็เริ่มยุ่งวุ่นวายกับการงาน แต่เทียบกับวังหมิงในตอนนั้นแล้ว นี่ก็เหมือนแค่ระดับจวนผู้มากอำนาจวาสนา
ท่ามกลางวังที่เริ่มงานกันวุ่นวาย ไม่เห็นขันทีสักเท่าไร อาจปรากฏบ้างสักคน แต่ก็ล้วนอายุสามสิบขึ้นไปทั้งนั้น เมื่อก่อนงานพวกนี้ล้วนต้องเป็นขันที่อายุสิบกว่ามารับหน้าที่
ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 41 ก็เริ่มหยุดรับเข้าวังแล้ว ปีรัชสมัยต้าหัวที่ 1 ฮ่องเต้ต้าหัวก็ส่งขันทีในวังอายุสามสิบขึ้นไปไปที่จวนในเหลียวหนิงกับเจี้ยนโจว ให้เครื่องมือทางการเกษตรและให้เสบียงอาหารในปีแรก สั่งให้ทำมาหากินด้วยตนเอง และยังมีคำสั่ง จากนี้หากพบชายที่ไร้ความเป็นชายหรือพวกที่ตอนตนเองล้วนต้องประหารสิ้น
ขันทีในวังอายุสามสิบขึ้นไปให้ทำงานที่ถนัดในวัง มีที่รองรับในวังมี 24 หน่วยงานกับงานนอกวัง บรรดาคนในวังล้วนมีงานทำ การดูแลในวังให้จัดตั้งหน่วยงานส่วนในดูแล งานในวังทั้งหมดล้วนให้หน่วยงานส่วนในนี้ดูแล
ในวังตอนนี้นอกจากการรักษาความปลอดภัยมากกว่าชาวบ้านข้างนอกแล้ว เรื่องอื่น ๆ ล้วนไม่ได้ต่างจากตระกูลผู้มีอำนาจวาสนาเท่าไร ในหมู่บัณฑิตแอบเยาะกันว่า วังหลวงตอนนี้ไม่ต่างจากจวนเหลียวกั๋วกงเท่าไร ล้วนเป็นถึงฮ่องเต้แล้ว ยัง ไม่รู้แยกแยกนอกวังในวัง
สำนักขันทีเลขา แม้ว่ามีคำว่า ขันที แต่ไม่ใช่หน่วยงานขันที หากให้ขันทีส่วนหนึ่งในสำนักส่วนพระองค์ในราชวงศ์ก่อนหน้าร่วมกับคนในจวนหวังทงมารับหน้าที่ ช่วยหวังทงจัดการการงาน สำนักขันทีเลขามีหัวหน้างานคนหนึ่ง และรองหัวหน้าอีกคนหนึ่ง ยังมีผู้ช่วยอีก 11 คน ยังมีหัวหน้ากองงานอีก 120 คน
องค์กรเช่นนี้ตอนเพิ่งจัดตั้งขึ้น หลายคนต่างซุบซิบนินทาว่าสำนักขันทีเลขาก็คือหน่วยงานรวบอำนาจของคณะเสนาบดีใหญ่กับสำนักส่วนพระองค์มาคุมงานแผ่นดินจากส่วนใน
แต่ทว่าทุกคนพบทันทีว่า สำนักขันทีเลขานี้มีสถานะหน่วยงานใหม่ในรัชสมัยใหม่นี้ไม่สูงนัก ที่เคยถูกทุกคนคิดว่าต้องถูกกำจัดอย่างคณะเสนาบดีใหญ่ กลับใหญ่ยิ่งกว่า
สำนักขันทีเลขามีขันทีเดิมอยู่มาก ขันทีพวกนี้นอกจากเหมือนกับขุนนางอื่นแล้ว ยังมีที่พักตนเองในเมืองหลวง ไม่ได้อยู่ในวัง แต่การทำงานและการรักษาดูแลในวังก็ไม่ใช่ใครก็ได้จะมาทำ หากต้องเป็นคนในวังสองสามคนคอยสั่งการ ให้ฝ่ายในเรียนรู้ ฝ่ายในสองสามคนนี้ไม่สามารถอยู่ในวังได้นานนัก
ตอนนี้วังตั้งอยู่ที่อุทยานปัจจิม พื้นที่อื่นในวังต้องห้ามนอกจากพวกพระตำหนักเดิมแล้ว ล้วนดำเนินการซ่อมแซมดัดแปลงเป็นที่ทำการ อุทยานหลวงก็ขยายบริเวณให้กว้าง กลายเป็นสวนให้ชนชั้นสูงกับขุนนางใหญ่เข้าออกได้
อุทยานปัจจิมไม่ใหญ่นัก หวังทงบ้วนปากล้างหน้าเสร็จ ก็ร่วมทานอาหารเช้ากับหลูรั่วเหมย จากนั้นก็ไปยังหอชมฟ้า ติดทะเลสาบตามปกติ
โถงทรงงานของฮ่องเต้อยู่ติดกับหอประชุมเหวินเยียนเก๋อ พูดให้ถูกต้องก็คือ ตอนนี้ที่ตรงนี้เท่ากับอยู่นอกวัง ที่ทรงงานโอรสสวรรค์ติดกับคณะเสนาบดีใหญ่ ชาวบ้านไม่เข้าใจอย่างมาก แต่ไม่อาจไม่ยอมรับว่า ประสิทธิภาพดีกว่าเมื่อก่อนมาก
“ฝ่าบาท วันนี้หลี่ซุ่นมาเมืองหลวงขอเข้าเฝ้า พอเข้าเฝ้าฝ่าบาทแล้ว กระหม่อมจะส่งคนพาเขามาที่นี่ จะได้ให้จิตรกรวาดภาพ”
ขันทีเสิ่นอันที่ติดตามข้างกายหวังทงมาตลอดรายงานขึ้น หวังทงพยักหน้า หน้าต่างหอชมฟ้า ไม่ได้ติดกระดาษแต่ใช้แก้วที่หล่อจากโรงช่างเทียนจิน แม้กล่าวว่าการผลิตแก้วนี้ทำได้ในยุคในสมัยนั้นสมัยนี้ก็ตาม แต่ตอนหวังทงยังเป็นขุนนางก็เคยทำลายความเชื่องมงายนี้ แต่เทคนิคก็ยังล้าหลังกว่าทางยุโรปมาก องครักษ์เสื้อแพรจ่ายเงินไปหลายพันตำลึงทองจึงได้ซื้อสูตรมา จวนพวกมากอำนาจวาสนาแผ่นดินหมิงเริ่มสว่างกว่าเมื่อก่อนมาก
……………………………………………………
[1] หน่วยวัดปริมาณในจีนโบราณ