เจ้าเฮดจ์ฮอกที่บาดเจ็บหนักที่ถูกช่วยเหลือและนำออกจากกรง ส่วนค้างคาวกะโหลกปีกสีน้ำเงินครั้งนี้มันไม่กลับไปนอน มันสำรวจโดยรอบด้วยความตื่นตัว
หูกระดิกไปมา บางทีมันก็เผลอหาว ทำให้เห็นเขี้ยวที่แหลมคมของมัน
การโจมตีก่อนหน้านี้เป็นโจมตีด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง
ขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังนำเฮดจ์ฮอก เกาเผิงก็ลอบสังเกตเห็นว่ามันมีเลือดไหลออกจากหูและตาของมัน ดูเหมือนขนที่แหลมคมของมันก็ค่อยๆเปราะและแตกในที่สุด
ขนที่แหลมคมของมันก็ร่วงออกมาเป็นจำนวนมาก ทำให้เห็นเนื้อสีชมพูของมัน
เจ้าเฮดจ์ฮอกได้หันหน้าหนีฝูงชนทันที ในสภาพที่โป๊เปลือยแบบนี้มันไม่กล้าที่จะสู้หน้าใคร
……..
เกาเผิงจ้องค้างคาวกะโหลกปีกสีน้ำเงินที่อยู่ในกรง ดูเหมือนโจมตีด้วยคลื่นเสียงจะรุนแรงกว่าที่คิด คลื่นเสียงนี้สามารถทำให้ขนที่แหลมคมของเฮดจ์ฮอกเลเวล 15 ที่ค่อนข้างแข็งแรงกลับทำให้มันปริแตกได้
แต่เกาเผิงคิดว่าการป้องกันของสตีปี้ย่อมแข็งแกร่งกว่าอยู่แล้ว คลื่นเสียงแค่นี้ทำอะไรมันไม่ได้หรอก
หลังจากเกาเผิงปลอบให้สตีปี้สงบลงได้แล้วเข้าก็กลับสู่โหมดผู้ชมต่อไป เขาสังเกตเห็นว่าผู้ฝึกสอนจางแอบมองมาที่เขา
‘คงจะอยากให้ฉันนำสัตว์อสูรไปสู้สินะ’
เกาเผิงทำเป็นไม่สนใจ ครั้งนี้เกาเผิงไม่มีทางลงไปสู้แน่นอนเพราะสตีปี้มันซื่อบื้อและเจ้าค้างคาวนี่ก็เก่งเกินไป เรื่องอะไรที่เขาจะเข้าไปเสี่ยงล่ะ
ตอนนี้มีสัตว์อสูรถูกกำราบถึงสองตัวแล้ว นักเรียนที่อยู่ที่นี่เริ่มเกรงกลัวต่อความแข็งแกร่งของมัน
เมื่อผู้ฝึกสอนจางถามว่ามีใครจะอาสาอีกมั้ย ทุกคนก็นิ่งเงียบทันทีพวกเขาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
ท่าทีของนักเรียนทำให้ผู้ฝึกสอนจางโกรธมาก ‘แค่สัตว์อสูรตัวเดียวก็ขี้ขลาดตาขาวกันแล้วรึไง’ เขาคิด
“คุณ คุณและก็คุณนะ ช่วงที่ฝึกซ้อมพวกคุณก็ฟอร์มดีนี่ ทำไมถึงไม่กล้าไปสู้กับเจ้าค้างคางนี่ล่ะ”
จู่ๆก็มีนักเรียนคนรีบพูดพูดบางอย่างออกมา “โอ๊ย” เขาเอามือวางและล้มลงไปที่พื้น “ผมปวดท้องไม่ค่อยสบายน่ะครับ”
เมื่อหมีเท็ดดี้สามหางที่เห็นเจ้านายจู่ๆก็ล้มลงไปอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย มันคิดว่าเจ้านายอยากจะเล่นกับมัน ทำให้ตาของมันเปล่งประกายและหางกระดิกไปมา
“อ้อ ฉันลืมไปพวกนายจบเอกการละครนี่น่า” ผู้ฝึกสอนจางกล่าว เมื่อการกระตุ้นไม่ได้ผล เขาก็จำเป็นต้องใชการบังคับ
“ค้างคาวกะโหลกปีกสีน้ำเงินตัวนี้จะถูกนำมาฝึกที่นี่ทุกวัน จนกว่าจะมีใครสามารถกำราบมันได้ มันถึงจะถูกนำเอาออกไป!!”
ขณะที่ผู้ฝึกสอนจางพูดโดยชำเลืองไปที่เกาเผิงไม่รู้ตัวอีกครั้ง แต่ครั้งนี้สายตาของทั้งคู่ก็ได้สบกัยพอดี ทำให้เกาเผิงรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย
‘นี่เขาอยากให้ฉันลงไปสู้มากขนาดนั้นเลยหรอ’ เกาเผิงคิด
หลังจากการฝึกช่วงบ่ายเสร็จสิ้นแต่เกาเผิงก็ไม่รีบกลับบ้านทันที เขากับสตีปี้เดินทางไปยังสมาคมนักล่าสัตว์อสูรแทน
เกาเผิงไปเอาวัตถุดิบที่ใช้ยกระดับสตีปี้ที่เขาสั่งไว้กับสมาคมนักล่าสัตว์อสูรเมื่อเดือนที่แล้ว แต่ช่วงนั้นเขายุ่งมากจึงยังไม่ได้ไปเอาซะที
หลังจากตรวจสอบเสร็จเขาก็จ่ายเงินและเอาของมาและเดินทางไปยังสำนักงานของเขา
เนื่องจากขนาดของสตีปี้ใหญ่เท่ารถเก๋งจึงไม่สามารถใช้บริการขนส่งสาธารณะได้ เขาจึงต้องขี่สตีปี้เดินทางไปสำนักงาน
ความเร็วของมันก็โอเคไม่ช้าจนเกินไป แต่ข้อเสียก็คือขนของมันแหลมมากคอยจะทิ่มก้นของเกาเผิงตลอดเวลา
‘ครั้งหน้าฉันต้องเอาเบาะมารองนั่งแล้ว’
เมื่อถึงสำนักงานเกาเผิงก็นำสตีปี้ไปขึ้นลิฟต์สำหรับสัตว์อสูรขนาดใหญ่ ก่อนไปมันได้คอเคลียด้วยความรัก
จากนั้นเกาเผิงก็ไปเตรียมส่วนผสมที่ห้องแล็บของเขา
เขาใช้เวลาเตรียมการทั้งสิ้น 3ชั่วโมงและตอนนี้ท้องฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว
เกาเผิงได้ใส่ส่วนผสมที่เตรียมไว้เอาลงในหม้อและต้มให้เดือด
เขาผลักประตูออกจากห้องแล็บ เขาไม่เห็นสตีปี้ไม่อยู่ในบริเวณนี้
‘มันไปอยู่ที่ไหนกัน’
และเกาเผิงก็พบมันขดตัวนอนหลับอยู่ในมุมของห้องรับแขก
ดวงตาสีแดงของมันได้หรี่ลงเล็กน้อย ในยามค่ำคืนแบบนี้ มันดูอ่อนแอและไร้ประโยชน์มาก
เกาเผิงเคาะกระจกห้องรับแขกเรียกมัน
สตีปี้สะดุ้งตื่นทันที มันรีบเช็ดน้ำลายและรีบวิ่งไปหาเกาเผิงทันที
“ไปกันเถอะ ฉันจะทำให้นายแข็งแกร่งขึ้น” เกาเผงพูดพลางหัวเราะพร้อมกับลูบศีรษะของสตีปี้
กระบอกทดลองขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยของเหลวสีดำที่ดูคล้ายกับน้ำหมึก
ขั้นแรกให้ขาหน้าทั้งสองที่เหมือนกับโล่จมลงไปในน้ำก่อน หลังจากนั้นก็ค่อยๆย่อนทั้งตัวลงไป ที่ทำอย่างนี้เพราะขาหน้าของมันเป็นส่วนที่แข็งที่สุด
สตีปี้ลงเข้าในกระบอกทดลองขนาดใหญ่ทั้งตัวแล้วมันได้ชูขาหน้าของมันขึ้นอย่างกับท่าไชโยเลย
เนื่องด้วยขนาดตัวที่ใหญ่ของมัน จึงทำให้น้ำกระฉอกไปมา มันพยายามทำให้ร่างกายของมันอยู่ในของเหลวสีดำให้ได้มากที่สุด
เกาเผิงสังเกตการณ์ขั้นต่อไปของสตีปีอยู่ห่างๆ
จู่ๆก็มีควันสีดำขนาดใหญ่ลอยอยู่ด้านบนของกระบอกทดลอง ก่อนที่ควันสีดำนั่นจะถูกดึงเข้าไปข้างในกระบอกทดลองขนาดใหญ่ราวกับสตีปี้ได้สูดควันนั่นไป
หลังจากผ่านไป 1ชั่วโมง เกาเผิงพบว่าการวิวัฒนาการนั้นเป็นอย่างราบรื่น เขาต้องใจว่าจะออกไปพักสักหน่อย เขาทำงานต่อเนื่องมา 4ชั่วโมงแล้ว ทำให้เขาดูเหนื่อยล้ามากตอนนี้
……..
“แน่ใจนะว่าที่นี่ไม่มีคนอยู่” มีชายสองคนยืนข้างนอกสำนักงานด้วยท่าทีที่น่าสงสัย พวกเขาใส่หน้ากากสกีปิดบังใบหน้าเผยให้เห็นแค่ดวงตาเท่านั้น ข้างหลังของพวกเขามีสัตว์อสูรอยู่ 2ตัว
“สบายใจได้ที่นี่ไม่มีคนอยู่แน่นอน ฉันตรวจสอบมาแล้ว ช่วงเวลานี้คนในสำนักงานกลับบ้านไปหมดแล้ว”
“แต่เราจะมาขโมยอะไรในสำนักงานล่ะถ้าจะเอาตังค์ เราไปปล้นธนาคารดีกว่ามั้ง”
“ตอนนี้คนส่วนใหญ่ใช้เงินสกุลเครดิตพันธมิตรกันหมดแล้ว มันเป็นเงินในระบบอิเล็กทรอนิกส์ ปล้นธนาคารไปก็ไม่ได้เงินมากมายเท่าไหร่หรอก” คนที่อยู่ทางซ้ายดุด้วยเสียงต่ำ “เพราะงั้นเราเลยต้องมาที่นี่ไงล่ะ ในสำนักงานเพาะพันธุ์สัตว์แบบนี้มักจะมีพวกอุปกรณ์ทดลองใช่มั้ยล่ะ หากนำมันไปขายต้องได้เงินมาใช้เป็นล้านๆแน่นอน”
ชายที่อยู่ด้านซ้ายได้เรียกสัตว์อสูรของเขาให้เข้ามา สัตว์อสูรตัวนี้รูปร่างคล้ายดินน้ำมัน มันดูยวบหยาบคล้ายกับวุ้นเลย จากนั้นชายคนนั้นก็ควัก ‘เนื้อ’ ของสัตว์อสูรตัวนั้นออกมา สองก้อน ทำให้มันส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดออกมา
เขาได้รีด ‘ดินน้ำมัน’ ให้เป็นแผ่งกว้างๆให้เพียงพอต่อขนาดของมือเขา
จากนั้นเขาก็หยิบกล่องเล็กๆออกมาจากกระเป๋าของเขา เขาเปิดกล่องออกมามีไอเย็นๆออกมาจากกล่อง เขาวางสัตว์อสูรอย่างระมัดระวังตรงที่กระจกกันกระสุน
สัตว์อสูรตัวนี้คือยุงขนาดเท่าฝ่ามือมันมีปากที่แหลมยางถึง 10เซนติเมตร มันถูกแช่แข็งเอาไว้ เขาได้แปะยุงแช่แข็งไปที่กระจกกันกระสุน
จากนั้นเขาก็เอากล่องที่หยิบมาครอบตัวยุงไว้ ต่อไปก็กดสวิตซ์เพื่อกระตุ้นให้ยุงที่ถูกแช่แข็งได้ตื่นขึ้นมา
*เปรี๊ยะ*
ยุงตัวนี้หากถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา มันทำการเจาะกระจกกันกระสุนทันที