‘ทำไมสัตว์อสูรชนชั้นราชวงศ์ถึงมาอยู่ในเขตชานเมืองเนี่ย!’
ทุกคนบนรถตัวแข็งทื่อ ในขณะที่คนขับจับพวงมาลัยด้วยมือที่สั่นเทิ้ม
สัตว์อสูรของพวกเขาต่างหลบอยู่ที่มุมของรถบรรทุก เหล่าสัตว์อสูรต่างสามารถรับรู้ถึงออร่าได้ดีกว่าพวกมนุษย์ ดังนั้นมันจึงรู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก แม้คนขับจะตัวสั่นมากเพียงใด แต่ก็ยังประคองรถให้แล่นต่อไปได้
เหล่านักล่าจากไปอย่างเงียบๆ พวกเขาไม่กล้าส่งเสียงดังเพราะกลัวมันจะได้ยิน
เกาเผิงและเหล่าสัตว์อสูรของเขา ได้เดินทางมาถึงคฤหาสน์ตอนหนึ่งทุ่มครึ่ง เขาหันไปมองสวนบ้านลุงหลิวก็พบว่า มีนางพญาแมงมุมตัวนั้นนอนอยู่ที่สวน สภาพของมันไม่ค่อยจะสู้ดีนัก
แร้งเครานัยน์ตาโลหิตได้รับคำสั่งจากลุงหลิวว่าให้คอยเฝ้ามันและไม่ให้มันฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บได้
ฉะนั้นเจ้าแร้งเลยมีเส้นเอ็นกินอย่างต่อเนื่องแบบไม่พัก ทำให้เจ้าแร้งอิ่มมากจึงนอนอยู่ที่หลังของแมงมุมอย่างเกียจคร้าน
แน่นอนว่าเกาเผิงไม่รู้เรื่องนี้เลย แต่ถึงอย่างไรเกาเผิงก็รู้สึกว่าแมงมุมตัวนี้ดูเหนื่อยล้ามากจึงตรวจสอบข้อมูลของมันและพบว่า มันได้รับบาดเจ็บสาหัส และมีปัญหาด้านการเคลื่อนไหว
ส่วนข้อมูลด้านอื่นไม่มีอะไรเปลี่ยนไปมากนัก เกาเผิงเลื่อนดูข้อมูลการวิวัฒนาการแล้วพบว่าการวิวัฒนาการ-v’มันมีเพียงแค่เส้นทางเดียวเท่านั้น
เกาเผิงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่มีแค่เส้นทางเดียว บางทีมันได้รับผลกระทบจากการโดนขัดขวางการวิวัฒนาการในครานั้น ทำให้เส้นทางอื่นขาดหายไป
ชื่อสัตว์อสูร นางพญาแมงมุมปีศาจสีเทา กึ่งราชวงศ์
วัตถุดิบที่ต้องการใช้เลื่อนชนชั้น หินบริสุทธิ์หนึ่งจิน แก่นปฐพี และเซรัมไขกระดูกปฐพี
จากชื่อที่ปรากฏขึ้นมา เกาเผิงรู้จักแค่เซรัมไขกระดูกปฐพีอย่างเดียว ส่วนอันอื่นเขาไม่รู้เกี่ยวกับพวกมันเลย ดูเหมือนเขาต้องหวังพึ่งโชคเท่านั้นเพื่อที่จะได้เจอพวกมันในสักวันหนึ่ง
ตราบใดที่เกาเผิงเห็นมัน เขาก็สามารถระบุได้ทันที แต่ปัญหาคือจะหาของพวกนี้มาจากไหน
หากเขาเจอคนเก็บของแปลกๆ ที่ไม่สามารถระบุได้ไว้กับตัว มันจะมีประโยชน์ต่อเกาเผิงเป็นอย่างมากเลย
แต่ถ้าไม่สามารถหาส่วนผสมเหล่านี้ได้ มันก็จะติดอยู่ที่เลเวลสี่สิบจุดห้าไปตลอดกาล หากเป็นอย่างนี้ต่อไปศักยภาพของมันก็จะลดน้อยลง แต่หากคู่ต่อสู้ไม่ใช่สัตว์อสูรชนชั้นราชวงศ์ขึ้นไป มันก็พอจะมีประโยชน์อยู่บ้างล่ะนะ
“ลุงหลิวอยากได้นางพญาแมงมุมตัวนี้เหรอครับ?” เกาเผิงถาม แม้ลุงหลิวจะมอบมันให้กับตนแล้ว แต่อย่างไรเขาก็ยังอยากถามความเห็นของลุงหลิวก่อน
“อะไรนะ?! ทำไมลุงต้องอยากได้แมงมุมด้วย ดูสิมันน่าเกลียดจะตายไป” ลุงหลิวพูดพลางส่ายหัว
หลังจากที่พูดจบ ลุงหลิวก็เพิ่งรู้ตัวว่าสตีปี้ยังยืนอยู่ข้างเขาจึงชะงักไปครู่หนึ่ง “ฉันไม่ได้หมายถึงแก ฉันพูดถึงนางพญาแมงมุมนั่นต่างหาก”
สตีปี้เงียบไม่พูดอะไร มันเดินเข้าไปในบ้านอย่างเงียบๆ ก่อนหยุดอยู่ตรงหน้ากระจกและมองตัวเอง พลางใช้ขาหน้าถูใบหน้าไปมาก่อนเผยสีหน้าพึงพอใจ
“ผมจะให้มันเป็นของขวัญคุณตาแล้วกัน” เกาเผิงเกาหัวอย่างช่วยไม่ได้ หากคุณตาไม่ต้องการคงเอามันไปใช้ทดสอบต่างๆ หรือเอาไว้เป็นเสบียงยามฉุกเฉินก็ได้
เกาเผิงเข้าไปในคฤหาสน์และเดินตรงไปที่ห้องครัว เขาเปิดตู้เย็นที่ข้างในมีผักและเนื้อสัตว์มากมาย
ต้าซื่อคลานเข้ามาหาเกาเผิงด้วยท่าทางที่ไร้เดียงสา มันยกตัวขึ้นพร้อมกระดิกหางไปมา
“ว่าไงต้าซื่อ มีอะไรเหรอ?”
“กิน…กิน…ซี่โครง ฉันอยากกินซุปซี่โครงหมู” ต้าซื่อโบกหนวดอย่างตื่นเต้น
“แต่ตอนนี้ซุปซี่โครงหมูหมดแล้วนะ” เกาเผิงพูดอย่างช่วยไม่ได้
ต้าซื่อไม่ยอมแพ้ มันเคลื่อนที่เป็นวงกลมดูคล้ายกับโดนัทสีม่วง
“นี่แกคิดว่าฉันสามารถเสกซี่โครงหมูออกมาจากอากาศได้เหรอ” เกาเผิงกล่าว
ต้าซื่อรู้สึกเศร้าเล็กน้อย หนวดของมันลู่ลงมาข้างหน้า
ทันใดต้าซื่อเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออก มันเหล่มองไปที่ดัมมี่อย่างลับๆ
ท่าทางแปลกๆ ของต้าซื่อ ทำให้เกาเผิงรู้สึกสงสัย “แกมองอะไรอยู่น่ะ?”
เกาเผิงมองตามสายตาต้าซื่อ และพบว่าดัมมี่กำลังนั่งโซฟาดูทีวีอย่างเงียบๆ โดยไม่รู้ตัวว่ามีใครบงคนกำลังมองอยู่
จากนั้นเกาเผิงได้ก้มลงมองต้าซื่อ ในขณะเดียวกันต้าซื่อก็หันไปมองเจ้านาย เมื่อทั้งสองสบตากัน รอยยิ้มเจ้าเล่ห์โผล่ออกมาทันที
…
“เฮ้ ดัมมี่มานี่สิ” เกาเผิงตะโกนเรียกดัมมี่จากห้องครัว
ดัมมี่เดินเข้าไปโดยที่ไม่คิดอะไร
เมื่อมันไปถึง ก็มีหม้อขนาดใหญ่ตั้งอยู่ น้ำเดือดเต็มหม้อและข้างมีหัวหอม ขิง กระเทียม เก๋ากี้ ตังกุย และเครื่องเทศชนิดอื่นลอยอยู่เต็มหม้อ
‘เจ้านายทำอาหารไว้ให้ฉันเหรอ?’ ดัมมี่รู้สึกซาบซึ้งและขอบคุณเกาเผิง แม้จะเป็นโครงกระดูกและกินอะไรไม่ได้ แต่เจ้านายก็ยังไม่ลืมมัน
“ดัมมี่มานี่สิ ฉันจะช่วยแกล้างมือให้เอง” เกาเผิงพาดัมมี่ไปที่อ่างล้างจาน เขาถูกระดูกของดัมมี่เบาๆ เพื่อทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่อยู่ในมือออกไป ทำให้กระดูกของดัมมี่เป็นสีเทาส่องประกาย
ดัมมี่ดูเจ้านายของมันที่กำลังถูตัวอย่างเงียบๆ มันรู้สึกอบอุ่นหัวใจเป็นอย่างมาก แม้ว่าตัวมันจะเป็นโครงกระดูกที่เย็นชาแต่ภายในจิตวิญญาณของมันกลับรู้สึกอบอุ่นมาก
‘เจ้านายดูเท่จัง เวลาที่เขาทำหน้าจริงจังแบบนี้’
‘ฉันสาบานเลยว่า ฉันจะปกป้องดูแลเจ้านายให้ดีที่สุด หืม…เจ้านายจะพาฉันไปไหน’
ดัมมี่ไม่เข้าใจว่า ทำไมเจ้านายของมัน พามันมาที่หม้อ
“เอ่อ ดัมมี่ แกช่วยวัดอุณหภูมิน้ำให้ฉันหน่อยสิ” เกาเผิงกล่าวกับดัมมี่
ดัมมี่พยักหน้าและวางมือทั้งสองลงไปในหม้อโดยไม่ลังเล ในเวลาเดียวกันเกาเผิงได้สังเกตดัมมี่อย่างตื่นเต้น
‘หากดัมมี่ทนไม่ไว้ มันก็จะยกมือขึ้นมาเอง’
อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าอุณหภูมิแค่นี้จะทำอะไรดัมมี่ไม่ได้ มันมองมือที่จุ่มลงไปในหม้อด้วยแววตาที่ตื่นเต้น
เมื่อเวลาผ่านไป ซุปในหม้อก็ค่อยๆส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่ว
ต้าซื่อเงยหน้าขึ้นอย่างตื่นเต้น มันส่ายหนวดไปมา
ผ่านไปครึ่งชั่วโมงซุปก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
ในห้องนั่งเล่น ต้าซื่อกินซุปในชามอย่างมีความสุข ส่วนดัมมี่นั่งอยู่ในห้องอยู่เงียบๆ
‘มะ…ไม่เป็นไร ตราบใดที่พวกเขาชอบ’
ดัมมี่แค่รู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่จริงๆ มันดีใจตามที่สามารถทำให้ทุกคนมีความสุข แม้จะแปลกไปหน่อยก็ตาม
…
ในวันถัดมา เกาเผิงตื่นขึ้น พร้อมแสงอาทิตย์ที่ส่องประกายในยามเช้า
เขาเดินออกมาจากคฤหาสน์และล็อกประตู ส่วนสัตว์อสูรที่อยู่ข้างหลังเขาต่างถือกระเป๋าและสัมภาระเอาไว้
เกาเผิงได้เดินออกไปที่สวนพลางหันหลังกลับมามองคฤหาสน์ของเขาอีกครั้ง
เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขารู้สึกหดหู่และเศร้าเล็กน้อย
“เอาล่ะ พวกเราไปกันเถอะ เดินทางไปยังเมืองหยูโจวกันเลย”
………………………………….