เกาเผิงไม่ได้พักที่หอพัก แต่เขาเข้ามาอยู่อาศัยกับคุณตาของเขา
บ้านของคุณตาเป็นคฤหาสน์ขนาดใหญ่ที่อยู่ไม่ห่างจากตัวสำนักงานใหญ่ไม่มากนัก ตัวบ้านตั้งอยู่ในทำเลที่ดี สามารถเดินทางไปทำงานได้อย่างสะดวกสบาย
หลังจากที่พูดคุยกับคุณตาเสร็จ เกาเผิงก็ลงลิฟต์ไปที่แผนกทรัพยากรบุคคลกับหลิวเฮอ
พอประตูลิฟต์บอกออกมา เกาเผิงก็ได้พบเจอคนที่คาดคิด
นั่นคือชายวัยสามสิบที่ใส่ชุดสูทสีดำ
เมื่อชายสูทดำได้เห็นเกาเผิง เขารีบปรี่ตรงเข้ามาหาเกาเผิงอย่างรวดเร็ว โดยไม่สนใจหลิวเฮอเลย เขาพูดกับเกาเผิงด้วยท่าทีนอบน้อมว่า
“ขอโทษด้วยนะครับ นายน้อยเกา พอดีเมื่อตอนเช้าผมรีบไปหน่อย เลยไม่ได้สนใจนายน้อยนะครับ หวังว่านายน้อยจะไม่ถือโทษโกรธผมนะครับ”
เกาเผิงได้มองไปที่แถบสถานะของชายคนนี้บอกเขาว่า สุขภาพดี สงบ
แต่บริเวณโดยรอบกลับไม่สงบเช่นนั้น พนักงานต่างตกตะลึงทำให้เกิดเสียงดังขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากชายสูทนั้นคือ เฉาเซียง หัวหน้าฝ่ายการตลาด ตำแหน่งของเขาอยู่สูงเทียบเคียงกับหลิวเฮอ หัวหน้าของพวกเขา
การแสดงออกของเฉาเซียงดูสงบและใจเย็น ตัวเขาที่เป็นหัวหน้ามาก้มหัวให้กับเด็กอย่างเกาเผิงแบบนี้ เชื่อได้เลยว่าเรื่องนี้ต้องแพร่กระจายไปทั่วทั้งบริษัทแน่ๆ
แต่ถึงอย่างนั้นเฉาเซียงก็ไม่ได้เสียอะไรเลย เขาคิดคำนวณอะไรหลายอย่างไว้ในใจแล้ว
เกาเผิงค่อนข้างรู้สึกสับสนที่จู่ๆ ก็มีคนมาขอโทษเขาแบบนี้ เรื่องเมื่อตอนนั้นเกาเผิงก็แทบจะไม่เก็บอะไรมาใส่ใจเลย ถ้าเขาไม่มาขอโทษ บางทีเกาเผิงก็อาจจะลืมไปแล้วก็ได้
หลังจากนั้นก็มีหัวหน้าแผนกท่านอื่นก็มาโค้งคำนับเขาเหมือน เกาเผิงรู้สึกตกใจมาก เขาไม่คิดว่าการเปิดเผยตัวตนของเขาจะส่งผลได้มากถึงขนาดนี้
เกาเผิงรู้สึกไม่ค่อยโอเคเท่าไร
เนื่องด้วยเขาไม่มีประสบการณ์ทางการเมืองในที่ทำงานมาก่อนเลยไม่รู้ว่าเขาจะรับมือกับมันอย่างไรดี
‘นี่เป็นวันแรกที่ฉันมาทำงานนะ’
เกาเผิงเดินไปข้างหน้าและยกตัวเขาขึ้นมา พร้อมกับพูดอย่างอบอุ่นว่า
“หัวหน้าแผนกเฉา คุณไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้มันเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้นเอง จู่ๆ คุณก็มาทำแบบนี้ทำให้รู้สึกประหม่าขึ้นมาน่ะครับ”
เฉาเซียงยอมลุกขึ้นมาแต่โดยดี และบอกว่าจะซื้ออาหารมาให้เกาเผิงกินจากนั้นเขาก็เดินออกไปทันที โดยที่เกาเผิงยังไม่ทันจะตอบอะไรเขาเลย
เกาเผิงมองเขาอย่างสนใจ ในระหว่างที่พูดกับเมื่อกี้ แถบอารมณ์ของเขานอกจากอารมณ์สงบกับตกใจเล็กน้อยแล้ว เขาไม่ได้มีอารมณ์อื่นโผล่เข้ามาเลย อย่างเช่นความเกลียดชังเป็นต้น
ไม่รู้ว่าเฉาเซียงคนนี้เก่งในเรื่องควบคุมอารมณ์หรือเขาเป็นคนอย่างนี้ตั้งแต่แรก
แต่อย่างไรก็ตามตัวตนของเขาได้ถูกเปิดเผยแบบนี้ ทำให้การทำงานของเขากับเพื่อนร่วมงานคงจะไม่ค่อยราบรื่นเท่าไรแน่ๆ
เมื่อเกาเผิงหันไปมองคนอื่นๆ พวกเขาต่างหลบหน้าเกาเผิงทันที ทำให้เกาเผิงรู้สึกเหนื่อยใจเป็นอย่างมาก
ส่วนหลิวเฮอก็ไม่คาดคิดว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้น หลังจากที่เขาตั้งสติได้แล้ว เขาก็หันไปพูดกับเกาเผิงว่า
“เอ่อ เกาเผิง เธอรู้ทางไป เขตไบยี่ไหม ที่นั่นมีการรับสมัครพนักงานใหม่พอดี ทำให้ที่นั่นยุ่งมาก เธอน่าจะไปช่วยพวกเขาหน่อยก็ดี”
เกาเผิงพยักหน้า เขาเพิ่งเริ่มทำงานที่นี่วันแรก ดังนั้นเขาควรทำตามคำสั่งของเขาจะเป็นการดีที่สุด
…
เขตไบยี่อยู่ในทางตอนเหนือของเมืองหยูโจว ที่นี่ค่อนข้างไกลจากตัวเมือง ตึกรามบ้านช่องและอาคารส่วนใหญ่ของที่นี่มีสภาพทรุดโทรม
มีกลิ่นเหม็นโชยออกมา เกาเผิงขมวดคิ้วทันทีที่มาถึงที่นี่
อากาศร้อนมากอย่างกับอยู่ในเตาอบเลย
“ดูเหมือนที่นี่จะร้อนมากเลยนะครับ” เกาเผิงพูดพลางเช็ดเหงื่อของเขา
“ใช่ครับ แต่ว่าเมื่อก่อนที่นี่มีอุณหภูมิที่ร้อนระอุมากกว่านี้นะครับ ต้องขอบคุณมหาภัยพิบัติที่ทำให้มีต้นไม้เพิ่มมากขึ้น ทำให้อุณหภูมิของที่นี่ลดลงไปบ้าง” เสียงจากชายที่ยืนอยู่ด้านข้างเกาเผิง เขาเป็นเจ้าหน้าที่อาวุโสของแผนกทรัพยากรบุคคล เขาถูกส่งตัวมาเป็นผู้ช่วยของเกาเผิง
เกาเผิงพยักหน้า แต่ก่อนทั่วทั้งประเทศฤดูร้อนจะร้อนมาก แต่พอหลังเกิดมหาภัยพิบัติทำให้ความร้อนที่ร้อนแรงค่อยๆ ทุเลาลงไป
“นายน้อยเกาครับเดินไปข้างหน้าจะถึงที่หมายแล้วน่ะครับ” หวังเหลียงกล่าวพลางโค้งคำนับ ท่าทางขของเขาช่างดูเหมือนลูกน้องของเขาเลย
เกาเผิงรู้สึกเหนื่อยใจและบอกกับเขาว่า “ไม่ต้องเรียกผมว่านายน้อยเกาก็ได้มั้งครับ”
“ได้ครับนายน้อยเกา”
เกาเผิงถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย เขาพูดกับหวังเหลียงในเรื่องนี้หลายรอบแล้วแต่ผลที่ออกมาก็เหมือนเดิม
ก่อนจะมาที่นี่เกาเผิงได้ฝากต้าซื่อกับสตีปี้ไว้กับคุณตา เนื่องจากเขาไปสามารถยกโขยงพวกมันมาทั้งหมดได้ เขาฝากพวกมันเป็นเวลาสองวัน
ในตอนแรกต้าซื่อดูเศร้ามากที่ไม่ได้ตามเจ้านายไป แต่หลังจากที่เขาบอกว่าจะให้มันไปอยู่กับคุณตาท่าทีของมันก็เปลี่ยนไป
‘คุณตาของเจ้านาย!!’
‘หมายความว่าเป็นคุณตาของเค้า’
จากนั้นมันเป็นเปลี่ยนเป็นมีความสุขทันที
ตอนนี้สัตว์อสูรที่ตามเขามาก็มีดัมมี่ ซิลลี่และเฟลมมี่
เฟลมมี่ในตอนนี้ดูไม่อ้วนเหมือนเพนกวินดังแต่ก่อนแล้ว รูปร่างมันดีขึ้นดูคล้ายกับนกกระเรียนมากขึ้น
“อันที่จริงเขตไบยี่แห่งนี้ค่อนข้างจะ..ล้าหลังไปหน่อยนะครับ” หวังเหลียงกระซิบเรื่องนี้กับเกาเผิงเบาๆ ในขณะเดียวกันเขาก็สังเกตปฏิกิริยาของเกาเผิงในเวลาเดียวกัน
“ที่นี่ล้าหลังเหรอ?” เกาเผิงถามด้วยสีหน้าเฉย
“เนื่องด้วยที่นี่มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากระหว่างเกิดมหาภัยพิบัติ ทำให้ที่นี่แทบจะเป็นเมืองร้าง และชาวบ้านบางคนก็ยังปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้” หวังเหลียงกล่าวพลางถอนหายใจ
เกาเผิงพักหน้าพลางมองไปรอบๆ เขาพบว่าที่นี่มีคนไม่มากนัก เขาแทบไม่เจอคนเดินตามท้องถนนเลย
พวกเขาได้เลี้ยวไปทางขวาตรงหัวมุมข้างหน้า พวกเขาหยุดอยู่ตรงหน้าอาคารสองชั้น หวังเหลียงหันมาหาเกาเผิงและพูดว่า
“นายน้อยเกาครับที่นี่คือสาขาย่อยของบริษัทเซาท์เทิร์นสกายในเขตไบยี่ ที่นี่ดูแลเรื่องทรัพยากรบุคคลในเขตนี้”
ก่อนที่เกาเผิงจะเดินเข้าในอาคาร เขาก็เหลือบไปเห็นอาคารตรงข้าม อาคารแห่งนี้สภาพค่อนข้างทรุดโทรม ข้างในมีคนนั่งอยู่บนพื้นหลายคน พวกเขาใส่เสื้อผ้าเก่าๆ ผมเผ้ายุ่งเหยิง
ที่อาคารแห่งนั้นมีคนเข้าออกตลอดเวลา เกาเผิงสังเกตเห็นชิปฝังไว้ที่ไหล่ของพวกเขา สภาพของพวกเขาดูน่าอดสูมาก
“ทำไมพวกเขาถึงมีสภาพแบบนั้นล่ะครับ” เกาเผิงถามอย่างประหลาดใจ
“ที่นั่นคือหอประชุมของเมืองไบยี่น่ะครับ ผู้คนเหล่านี้เป็นกลุ่มคนที่ดีที่สุดของไบยี่แล้วครับ” หวังเหลียงกล่าวด้วยถ้อยคำที่กำกวม
“ดีที่สุดอย่างนั้นเหรอครับ แต่ที่ผมเห็นเหมือนมันจะไม่ใช่นะครับ” เกาเผิงถามอย่างสงสัย
“จริงๆ มันเป็นการเสียดสีน่ะครับ คนพวกนี้คือกลุ่มที่สูญเสีย ที่อยู่ ครอบครัว และทุกสิ่งหลังจากเกิดมหาภัยพิบัติ พวกเขามองสัตว์อสูรเป็นปีศาจร้าย ทำให้คิดว่าการทำพันธะเลือดคือการทำสัญญากับปีศาจ พวกเขาใช้ชีวิตอย่างเลื่อนลอยและอยู่ไปวันๆ น่ะครับ” หวังเหลียงส่ายหัวเบา
………………………………….