ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง – บทที่ 227 จดหมายตอบกลับของเหล่าตัวสำรอง (1)

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 227 จดหมายตอบกลับของเหล่าตัวสำรอง (1)

บทที่ 227 จดหมายตอบกลับของเหล่าตัวสำรอง (1)

มืดมาก…ข้าอยู่ที่ไหน…ข้าเป็นใคร

เขาครุ่นคิดอย่างงุนงง เขาจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใครและอยู่ที่ใด

‘กุบกับๆๆ…’

‘ตึงๆๆ…’

สวี่ชีอันได้ยินเสียงแตรและเสียงกลองศึก จากนั้นเขาก็ค่อยๆ ได้ยินเสียงอื่นๆ เสียงตะโกนแห่งการเข่นฆ่าอันท่วมท้น เสียงเกือกม้าที่ทั้งดังสนั่นทั้งวุ่นวาย เสียงระเบิดและเสียงคมดาบปะทะกัน

เสียงต่างๆ ปะปนกัน ประกอบเป็นภาพที่ชัดเจนขึ้นในหัวของสวี่ชีอัน

สนามรบ!

ทันทีที่เขาคิดเช่นนี้ ความมืดเบื้องหน้าก็แยกออก แสงสว่างสาดส่องเข้ามา ในสายตาของเขามันเป็นสนามรบจริงๆ

กองทัพดำทะมึนพุ่งเข้าโจมตีราวกับมดที่อัดแน่น ทหารระดับสูงโหมกระหน่ำอยู่ในสนามรบเหมือนกับมนุษย์เหยียบย่ำรังมด

ในสนามรบแห่งนี้ไม่ได้มีแค่มนุษย์เท่านั้น แต่ยังมีสัตว์ยักษ์ที่สูงเท่าตึกสองชั้น งูยักษ์ที่ยาวหลายสิบเมตร และนกล่าเหยื่อที่ม้วนตัวอยู่บนท้องฟ้า…

มีภิกษุชั้นสูงที่นั่งขัดสมาธิท่องพระสูตรอยู่บนท้องฟ้า มีชนเผ่าป่าเถื่อนที่ทรงพลัง มีกองทัพซากศพที่ไม่กลัวความตาย มีกองทัพปืนใหญ่ที่เรียงเป็นแถว มีทหารม้าผู้กล้าหาญที่ขี่สัตว์ร้าย…

“นี่มันสนามรบแบบไหนกัน เกินจริงเกินไปแล้ว คนที่เสียชีวิตก็เยอะเกินไป” สวี่ชีอันครุ่นคิดอย่างมึนงง

สายตาของเขากวาดผ่านสนามรบ กวาดผ่านกองทัพซากศพ กวาดผ่านกองทัพปืนใหญ่และมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้านหลังสนามรบ ซึ่งมีอสูรเวหาบินอยู่กลางอากาศฝูงหนึ่งตรงนั้น

ขันทีชุดดำคนหนึ่งยืนอย่างทระนงอยู่บนหัวของอสูร มือทั้งสองข้างไพล่หลังและทอดมองสนามรบที่สู้รบกันอย่างดุเดือดด้วยความเฉยเมย

“เว่ยเยวียน?!”

จิตใจของสวี่ชีอันสั่นคลอน ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองเป็นใคร ในชั่วพริบตานี้เอง ภาพสนามรบก็พังทลายลง กลับสู่ความมืดมิดที่ไร้ขอบเขต

สวี่ชีอันลืมตาขึ้น สิ่งที่เขาเห็นยังคงเป็นความมืด

บ้าเอ๊ย หดหู่ชะมัด…เขาไม่ได้ลุกขึ้นในทันที แต่ตั้งใจตอบสนองอย่างใจจดใจจ่อ จากนั้นเขาก็ ‘เห็น’ ท้องเรือที่มืดมิด เห็นโลงศพห้าโลงที่วางเรียงอย่างเป็นระเบียบ เห็นเรือหลวงที่แล่นไปอย่างช้าๆ และเห็นคลองที่สะท้อนแสงเป็นระลอก

นี่คือความอัศจรรย์ที่เขาได้รับหลังจากก้าวเข้าสู่ระดับหลอมวิญญาณ

ไม่รู้ว่าทหารระดับหลอมวิญญาณคนอื่นเป็นอย่างไร แต่อย่างไรเสียพลังวิญญาณของสวี่ชีอันก็สามารถทำหน้าที่เป็นดวงตาได้ในระดับหนึ่ง

วันใดวันหนึ่งแม้ว่าดวงตาสุนัขไทเทเนียมอัลลอยของเขาจะบอด เขาก็ไม่กลัวแม้แต่น้อย

“ความฝันที่ข้าเห็นเมื่อสักครู่นี้…ไม่ มันไม่น่าจะใช่ความฝันธรรมดา ความฝันที่ชัดเจนขนาดนี้มีที่ไหนกัน กองทัพซากศพ ภิกษุชั้นสูงแห่งพุทธศาสนา…สิ่งเหล่านี้ข้าไม่เคยสัมผัสจะฝันถึงได้อย่างไร เหตุใดในความฝันถึงมีเว่ยเยวียน เขาดูยังเด็กมาก…อย่างน้อยจอนผมสองข้างก็ไม่หงอก ตอนพ่อของข้ายังหนุ่มช่างหล่อเหลาเสียจริง หล่อเหมือนกับข้า…”

สวี่ชีอันนอนในโลงศพและหวนนึกถึงภาพที่เห็นในความฝัน ทั่วทั้งภูเขาและท้องทุ่งเต็มไปด้วยกองทัพดำทะมึน จำนวนคนที่เข้าร่วมสงครามก็มหาศาล

กองกำลังหลายฝ่ายปะทะกัน

ผนวกกับการปรากฏตัวของเว่ยเยวียนและผลงานในอดีตของเขา สวี่ชีอันคาดเดาในใจได้ทันที ‘สงครามด่านซานไห่’

ในบรรดาผลงานในอดีตของเว่ยเยวียน ผลงานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือสงครามซานไห่…ประเทศต่างๆ ปะทะกันอย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งเข้ากันได้กับสงครามด่านซานไห่ที่บันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์อย่างลงตัว…แต่เพราะเหตุใดข้าจึงฝันถึงสงครามด่านซานไห่ อารองผู้อ่อนแอสามารถรอดมาได้ เขาต้องนอนอยู่ในกองซากศพและแสร้งตายเป็นแน่…สวี่ชีอันคิดในใจและผลักฝาโลงออก

อากาศบริสุทธิ์ไหลเข้ามา เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง ทันใดนั้นก็มีเสียงประหลาดใจดังขึ้นจากในท้องเรือที่มืดสลัว

“เจ้าตื่นแล้ว”

สวี่ชีอันตกใจจนสะดุ้งโหยง ก่อนจะพบว่าห่างออกไปสามเมตรทางด้านซ้ายมีชายชุดขาวนั่งขัดสมาธิหันหลังให้เขาอยู่…เอาล่ะ ตัวตนเปิดเผย หยางเชียนฮ่วน

นี่เป็นผู้ชายเพียงคนเดียวที่สวี่ชีอันเห็นเพียงแค่แผ่นหลังก็จำได้

เขาไม่ได้ตอบกลับในทันทีและครุ่นคิดคำพูดสองสามวินาทีก่อนจะถามว่า “พวกเราอยู่ที่ไหน”

น้ำเสียงของหยางเชียนฮ่วนค่อนข้างกระฉับกระเฉง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาอารมณ์ดีมาก “ระหว่างทางที่จะกลับเมืองหลวง อ้อ ไม่สิ บนน้ำ”

“คดีที่อวิ๋นโจวจบลงแล้วหรือ” ใบหน้าของสวี่ชีอันล่องลอยด้วยความปีติยินดี “เฮ้อ ในที่สุดคดีนี้ก็จบ ในที่สุดข้าก็ไม่ต้องอดหลับอดนอน ข้าตายไปแล้วครั้งหนึ่ง ไม่รู้ว่าซ่งถิงเฟิงกับจูกว่างเสี้ยวจะทุกข์ใจเพราะข้าหรือไม่ อาจจะทุกข์ใจที่โอกาสกินฟรีห้าครั้งไม่มีแล้ว…เฮ้อ สุดท้ายข้าก็ไม่ได้หลอกให้ซูซูกลับบ้านเพื่อไปเป็นภรรยากระดาษของข้า บางทีหลี่เมี่ยวเจินอาจจะอยากฟันหัวใจของข้า โชคดีที่ข้าตายเร็วกว่าหนึ่งก้าว ไม่อย่างนั้นคงน่าอายมาก…”

หยางเชียนฮ่วนฟังเขาพูดเล่นอย่างอดทน

“จริงสิ ทำไมเจ้าถึงมาอยู่บนเรือได้” สวี่ชีอันถาม

หยางเชียนฮ่วนครุ่นคิดและตอบว่า “ข้ามาทำงานที่อวิ๋นโจวตามคำสั่งของท่านอาจารย์ ตอนนี้งานเสร็จแล้ว ข้าจึงจะกลับ บังเอิญหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลจะส่งศพของพวกเจ้ากลับเมืองหลวง ข้าจึงแอบขึ้นมา จากนั้นข้าก็พบว่าบาดแผลจากดาบและรูจากลูกศรบนร่างของเจ้าฟื้นฟูอย่างน่าประหลาด ข้าจึงแน่ใจว่าเจ้ายังไม่ตาย หลังจากรอมาสิบวัน เฮ้ เจ้าฟื้นขึ้นมาจริงๆ ด้วย”

คำพูดของหยางเชียนฮ่วนนั้นเรียบง่ายมาก แต่ในความเป็นจริงแล้วกระบวนการทางความคิดมีขึ้นมีลงกว่าน้ำเสียงมาก หลังจากรู้ข่าวการตายของสวี่ชีอัน เขาก็คิดในใจว่า ‘จบสิ้นแล้วๆ หลังจากกลับไปที่เมืองหลวงท่านอาจารย์ต้องขังข้าไว้ใต้หอเก็บดวงดาว ไม่มีวันได้เห็นแสงตะวันไปชั่วชีวิตแน่’

เขาแทบจะแยกตัวออกจากสำนักและหลบหนีไปด้วยความตื่นตระหนก

ขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกเสียดายมาก เด็กหนุ่มที่น่าสนใจเช่นนี้ เหตุใดถึงตายในการรบ เหตุใดถึงคิดไม่ตกและยังใช้ชีวิตวัยยี่สิบปีของตัวเองแลกกับชีวิตของชายชราอีก

ผู้ตรวจการจางก้าวเท้าเข้าไปในโลงศพครึ่งก้าวแล้ว

เขาลอบตามไปตลอดทาง แอบเข้าไปในเรือหลวงและเปิดฝาโลงศพของสวี่ชีอัน โดยไม่คาดคิดว่าจะเกิดสถานการณ์ที่ดีขึ้นอย่างกะทันหัน ซึ่งปัดเป่าเมฆหมอกจนเผยให้เห็นท้องฟ้าสีคราม บาดแผลบนร่างกายของเด็กหนุ่มคนนี้ฟื้นฟูอย่างน่าประหลาด การเต้นของหัวใจก็ค่อยๆ ฟื้นคืน เป็นบรรยากาศที่เมื่อพบเจอเรื่องเลวร้ายแล้วกลับกลายเป็นดี

ดังนั้นหยางเชียนฮ่วนจึงเฝ้าอยู่ข้างๆ โลงศพอย่างมีความสุขจนไม่คิดลุกไปขับถ่าย

แน่นอนว่า เรื่องพวกนี้ไม่อาจบอกให้สวี่ชีอันรู้ได้

เขาเปิดโลงศพของข้าหรือ ไม่อย่างนั้นเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าบาดแผลบนร่างกายของข้าฟื้นฟู…อยู่ดีๆ ทำไมถึงเปิดโลงศพของข้า…ข้าคิดอยู่เสมอว่าเขามีเป้าหมายที่ปิดบังเอาไว้อยู่…สวี่ชีอันแอบก่นด่าอยู่ในใจ แต่บนใบหน้ากลับเผยรอยยิ้มออกมา

“ท่านโหราจารย์ส่งเจ้ามาทำอะไรที่อวิ๋นโจวหรือ”

ณ เวลานั้น หยางเชียนฮ่วนถามกลับว่า “เจ้าฟื้นจากความตายได้อย่างไร”

เมื่อถามจบ ทั้งสองคนก็มองหน้ากันและตกอยู่ในความเงียบ

หลังจากนั้นสองสามวินาที พวกเขาที่รู้สึกผิดก็เปลี่ยนหัวข้ออย่างรู้ใจกัน

“วันนี้อากาศดีนะ”

“วันนี้ลมแรงมาก”

สวี่ชีอันกับหยางเชียนฮ่วนนิ่งเงียบอีกครั้ง

ช่างน่าอับอาย…ขณะที่สวี่ชีอันคิดจะเบี่ยงประเด็นและคุยเรื่องอื่น ทันใดนั้นเขาก็พบว่ามีจดหมายสี่ฉบับสอดอยู่ในอกของตัวเอง

จดหมายของใคร

โลงศพถูกเก็บไว้ใต้ท้องเรือและมีเพียงแสงสลัวลอดเข้ามาจากช่องว่างบนดาดฟ้าเรือเท่านั้น

ดาดฟ้าเรือโปร่งใสมาก เรือลำนี้ควรจะซ่อมแซมให้ดีๆ…สวี่ชีอันสบถ เปิดซองจดหมายและอ่านมันภายใต้แสงสลัว

ตอนนี้สายตาของเขาสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ในความมืดได้โดยปราศจากสิ่งกีดขวางแล้ว

หลังจากก้าวเข้าสู่ระดับหลอมวิญญาณ คุณสมบัติทุกด้านในร่างกายก็เพิ่มขึ้น

‘พี่ใหญ่

จดหมายที่ส่งกลับมา ที่บ้านได้รับแล้ว ท่านแม่กับท่านพ่อมีความสุขมาก หลิงอินก็มีความสุขมากเช่นกัน โดยเฉพาะท่านแม่ นางไม่คิดว่าเจ้าจะเขียนจดหมายถึงนาง ท่านแม่ดีใจจนตบโต๊ะ เมื่อรู้ว่าพี่ใหญ่ปลอดภัยดีอยู่ข้างนอก ข้าก็สบายใจ’

ลายมือสวยงาม นี่เป็นจดหมายที่ส่งมาจากน้องสาวหลิงเยวี่ย

เกรงว่าอาสะใภ้คงไม่ตบโต๊ะและก่นด่าท่านแม่ผู้ล่วงลับไปแล้วของข้า…หากเป็นเช่นนั้นเจ้ายังจะมีความสุขหรือไม่ สาวน้อย…ใบหน้ารูปไข่ที่งดงามไร้ที่ติของสวี่หลิงเยวี่ยปรากฏขึ้นในใจของสวี่ชีอัน เมื่อคิดถึงนางที่ก้มหัวเล็กน้อยอยู่ตลอดเวลาและท่าทางเขินอายของนาง เขาก็ยกยิ้มมุมปากอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะอ่านต่อ

‘หลังจากพี่ใหญ่ออกจากเมืองหลวงไปได้ไม่นาน หลิงอินก็ถูกบังคับให้ไปเรียนหนังสือที่สำนักเรียน ทุกอย่างพี่รองเป็นคนจัดการ ตอนนี้หลิงอินท่องตัวอักษรเก้าตัวแรกในคัมภีร์ตรีอักษรได้แล้ว เมื่อท่านพ่อกับท่านแม่รู้ พวกเขาก็แทบจะร้องไห้ออกมาด้วยความปีติยินดี’

หลิงอินท่องตัวอักษรได้เก้าตัวแล้วหรือ สวี่ชีอันแทบจะร้องไห้ออกมาด้วยความปีติยินดีเช่นเดียวกัน

‘แต่ดูเหมือนว่านางจะถูกคนรังแก กำไลหยกมูลค่าสิบตำลึงที่ท่านแม่ซื้อให้นางหายไปอย่างไร้ร่องรอยเมื่อไม่กี่วันก่อน ข้อมือของนางก็มีรอยฟกช้ำตื้นๆ เห็นได้ชัดว่าถูกคนดึงอย่างแรง หลิงอินซื่อบื้อ ข้าถามนางว่าใครทำ นางก็ไม่ตอบ นางไม่เก็บไว้ในใจเลยสักนิด บางทีภายในใจของนาง นอกจากของกินแล้วก็ไม่มีอะไรสำคัญอีก เทศกาลไหว้วสันต์ใกล้เข้ามาแล้ว ท่านพ่อกลับบ้านดึกทุกวันหรือไม่ก็ค้างคืนที่ค่ายข้างนอก ไม่มีเวลาจัดการเรื่องในบ้านเลย ท่านแม่ไม่กล้าบอกเขาจึงไปหาอาจารย์ที่สำนักเรียนเพื่อสอบถามด้วยตนเอง แต่อาจารย์บอกปัดไปเพียงว่า ไม่รู้ บางทีหลิงอินอาจจะทำหายเอง ท่านแม่สั่นไปทั้งตัวด้วยความโกรธ แต่ก็หมดหนทาง หากพี่ใหญ่อยู่ที่บ้าน เรื่องเช่นนี้คงไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน หากพี่รองอยู่ที่บ้าน คงก่นด่าจนอาจารย์ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแน่ แต่เมื่อเร็วๆ นี้พี่รองโกรธมาก ได้ยินจากท่านพ่อว่าเขายืนแช่อยู่ในลมหนาวครึ่งค่อนคืน วันต่อมาเมื่อเขากลับบ้านมาเอาเงินกับข้าว เขาก็ไม่พูดคุยกับพวกเรา พี่รองใจแคบจริงๆ ไม่ใช่ความผิดของพี่ใหญ่เลยที่ลืมเขียนจดหมายถึงเขา พี่ใหญ่ก็ยุ่งมากเหมือนกัน’

น้องสาว อย่างไรเสียเอ้อร์หลางก็เป็นพี่ชายแท้ๆ ของเจ้า เจ้าไม่ควรเห็นคนอื่นดีกว่าญาติพี่น้อง นี่แม้แต่หน้าอกเจ้าก็ยังหันมาทางข้า…โปรดรักษาต่อไป…เมื่อสวี่ชีอันอ่านถึงตรงนี้ เขาก็แทบจะยกมือขึ้นปิดปากเพื่อไม่ให้ตัวเองหัวเราะออกมา

ช่างน่าเสียดาย ไม่ได้เห็นสีหน้าจนตรอกของเอ้อร์หลางด้วยตาตัวเอง คิกๆๆ…

‘จริงสิ ท่านแม่บอกว่าหลังต้นฤดูใบไม้ผลิจะหาสามีให้ข้า ท่านแม่น่ารำคาญจริงๆ เหตุใดนางถึงไม่แต่งงานเสียเองล่ะ หลิงอินคิดถึงเจ้ามาก นางตะโกนหาพี่ใหญ่ทุกวัน ข้า ข้า…ก็คิดถึงเจ้ามากเช่นกัน’

พูดอะไรไร้สาระ อาสะใภ้จะแต่งงานใหม่ได้อย่างไร อาสะใภ้เกิดก็เป็นคนบ้านสกุลสวี่ของข้า ตายก็เป็นผีบ้านสกุลสวี่ของข้า…อืม พี่ใหญ่ก็คิดถึงพวกเจ้ามากเช่นกัน

เมื่ออ่านจบ สวี่ชีอันก็พับจดหมายอย่างพึงพอใจและใส่กลับเข้าไปในซองจดหมาย

เขาเหลือบมองหยางเชียนฮ่วน ชายคนนี้ยังคงหันหลังให้เขาและเงียบราวกับท่อนไม้

“เจ้ามองข้าทำไม ข้าจะอยู่ที่ไหนได้อีก” หยางเชียนฮ่วนพูดอย่างโกรธๆ

สวี่ชีอันไม่สนใจเขาและก้มหน้าเปิดจดหมายฉบับที่สอง

‘สวี่หลาง

จากลากับท่านมายี่สิบวันแล้ว ความรู้สึกคิดถึงท่านราวกับน้ำมันปรุงอาหารจากไฟที่โหมกระหน่ำ ซึ่งลุกโชนขึ้นเรื่อยๆ ทุกอย่างเรียบร้อยดีที่สำนักสังคีต แต่ข้ามักจะชอบผล็อยหลับไป เมื่อตื่นขึ้นมาก็ไปเด็ดดอกเหมยและเดินเล่นรอบๆ ข้าต้มเหล้าดอกเหมยไว้ รอคอยท่านกลับมาดื่มด้วยกัน’

นี่เป็นจดหมายตอบกลับของแม่นางคณิกา

‘บางครั้งข้าน้อยก็จะออกไปดื่มกับแขกสองสามแก้วและฟังพวกเขาคุยโวโอ้อวดกัน อันที่จริงข้าน้อยอยากได้ยินข่าวที่เกี่ยวกับท่าน ทว่าอวิ๋นโจวกับเมืองหลวงอยู่ห่างกันหลายพันลี้ ข่าวสารจึงส่งมาได้ยาก ผู้ชายเฮงซวยพวกนั้นโอ้อวดตนว่าเป็นปัญญาชน ทว่าจริงๆ แล้วส่วนใหญ่ก็เป็นพวกขี้เมาหยำเป พรสวรรค์ธรรมดา ไม่ดีเท่าสวี่หลาง ข้าน้อยมักจะคิดเสมอว่า การได้พบกับสวี่หลางเป็นของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่พระเจ้าประทานให้ข้า ไม่กี่วันก่อน สาวใช้นำข่าวกลับมา ได้ยินว่าสวี่หลางแต่งบทกวีบทใหม่ที่ชิงโจว ซึ่งถูกฆราวาสจื่อหยางเชิดชูเป็นสมบัติล้ำค่าและจารึกลงบนจารึกเพื่อเตือนคนทั้งโลก ข้าน้อยรู้สึกเป็นเกียรติและมีความสุขมาก สวี่หลาง ข้าน้อยคิดถึงท่านทุกวันคืน’

สวี่ชีอันหัวเราะ เขาพับจดหมายอย่างระมัดระวังและเก็บมันกลับเข้าไปในซองจดหมาย

…………………………………………………

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท