ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง – บทที่ 372 ผู้ล้างแค้น (1)

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 372 ผู้ล้างแค้น (1)

บทที่ 372 ผู้ล้างแค้น (1)

ดังคำกล่าวที่ว่า ‘สมรภูมิรบเปลี่ยนแปลงสุดจะหยั่งคาดในชั่วเสี้ยวอึดใจ’

ประโยคนี้ควรนำมาใช้ในสถานที่นี้

ไม่มีใครคาดคิด ว่าเผ่าอนารยชนและอ๋องสยบแดนเหนือที่ต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายเมื่อครู่ จู่ๆ จะกลายเป็นพันธมิตรกัน และเล็งหัวหอกไปยังผู้แข็งแกร่งปริศนาที่ถือดาบสยบดินแดนอยู่ในมือ

ในเวลาเดียวกับที่ยอดฝีมือระดับสูงทั้งห้าจ้องมาที่เขา สวี่ชีอันเลียริมฝีปาก เผยให้เห็นรอยยิ้มอันน่าสะพรึงกลัวและกระหายเลือด

“ดูเหมือนเจ้าจะตื่นเต้น? คิดจริงๆ หรือว่ามีดาบสยบดินแดนเพียงหนึ่งจะล้มห้าได้” อ๋องสยบแดนเหนือหรี่ตาลงและกล่าวยิ้มเยาะ

“ดูจากกลิ่นอายของเจ้าแล้ว เจ้าก็เป็นขั้นสามเหมือนกัน โลหิตไม่พออยู่พอดี ใช้แก่นแท้ชีวิตเจ้ามาเติมเต็มก็ไม่เลว”

แก่นแท้ชีวิตของยอดฝีมือขั้นสามไม่ได้แย่ไปกว่าโลหิต หากจะพูดให้ถูก อ๋องสยบแดนเหนือกลั่นโลหิตบริสุทธิ์ ก็เพื่อให้ได้พลังชีวิตมหาศาลที่สามารถผลักดันให้เขาไปสู่ขั้นสองได้

สาระสำคัญคือ ‘พลังชีวิตมหาศาล’ ยาโลหิตที่ถูกกลั่นออกมาจากผู้คนกว่าสามแสนคนคือพลังชีวิต แก่นโลหิตของยอดฝีมือขั้นสามก็เป็นพลังชีวิตเช่นกัน

เพียงแต่ปกติแล้วเป็นเรื่องยากเกินไปที่จะฆ่ายอดฝีมือขั้นสาม การสังหารหมู่คนธรรมดาจึงง่ายกว่ามาก

เมื่อได้ยินคำพูดอ๋องสยบแดนเหนือ จู๋จิ่วและจี๋ลี่จือกู่ก็เลียริมฝีปากแผล็บๆ เผยให้เห็นความโลภ

โอกาสดีๆ อย่างการรุมฆ่ายอดฝีมือขั้นสามเช่นนี้คงไม่ได้มีมาบ่อยๆ

เผ่าอนารยชนและเผ่าปีศาจเป็นพันธมิตรกัน โดยมียอดฝีมือขั้นสามสองท่าน ถึงแม้ทางเหนือจะมีเพียงอ๋องสยบแดนเหนือที่เป็นยอดฝีมือขั้นสามอยู่ท่านเดียว แต่เขาได้เปรียบในฐานะที่เป็นเจ้าถิ่น มีค่ายกลป้องกันเมืองและอาวุธเวทมนตร์ระดับทำลายล้างมากมาย

โดยปกติอ๋องสยบแดนเหนือเป็นคนแน่วแน่และไม่ยอมแพ้ แต่เขาไม่มีทางทุ่มเทปกป้องเมืองฉู่โจวอย่างสุดชีวิตแน่นอน ซึ่งเขาและจู๋จิ่วก็ไม่สามารถขัดขวางยอดฝีมือขั้นสามที่คิดจะหลบหนีได้

แต่หากฆ่าอ๋องสยบแดนเหนือไม่ได้ ก็มีแต่จะเกิดข้อครหากับต้าฟ่ง พวกเขากลัวว่าเว่ยเยวียนจะระดมพลไปทางเหนืออีกครั้ง ดังนั้น ทั้งสองฝ่ายจึงขัดแย้งกันเป็นครั้งคราว แต่ก็ไม่เคยต่อสู้กันยิ่งใหญ่เช่นนี้

ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ตอนนี้ยอดฝีมือระดับสูงทั้งห้ากำลังล้อมฆ่ายอดฝีมือขั้นสามท่านหนึ่ง แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีดาบสยบดินแดน อย่างมากที่สุดก็กลายเป็นเนื้อย่างที่เสียบอยู่บนไม้ จะกินก็ยาก และมีเพียงความยากเท่านั้น

ภายใต้การเฝ้าดูของทุกคน สวี่ชีอันวางดาบสยบดินแดนลงบนพื้น ก่อนจะยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาพร้อมกับเงยหน้า จากนั้นก็ปล่อยเสียงหัวเราะอันแหบแห้งและแปลกประหลาดออกมา

“ถูกกดขี่มานาน ในที่สุดก็ได้ปล่อยพลังออกมาเต็มที่ เด็กอ่อนขั้นสามทั้งห้าอย่างพวกเจ้า ข้าก็ยังกินไม่อิ่ม”

จากนั้นเขาก็ชูนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้ว และประกาศก้องว่า “ยกที่หนึ่ง”

อ๋องสยบแดนเหนือและคนอื่นๆ เลิกคิ้วขึ้น พวกเขารู้สึกว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ได้กำลังวางมาดใหญ่โตเพื่อข่มขู่ผู้คน เนื่องจากพลังของยาโลหิตทำให้เขาสูญเสียทักษะการประเมินตนเองไปเล็กน้อย

นี่ๆ ไต้ซือ ท่านเลินเล่อเกินไปแล้ว แม้ว่าตอนมีชีวิตอยู่ท่านอาจจะแข็งแกร่งมาก แต่ตอนนี้ท่านเป็นเพียงวิญญาณที่แขนหักซ้ำยังพิการ…

สวี่ชีอันยังรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับสถานะของไต้ซือเสินซู

ทุกครั้งที่ร่างอมตะปรากฏขึ้น ไต้ซือเสินซูจะทำตัวแปลกไป รวมทั้งอารมณ์ก็เปลี่ยนไปอย่างมาก ราวกับว่ากลายเป็นอีกคนหนึ่ง

“เขียนเสือให้วัวกลัว!”

พ่อมดพ่นลมหายใจ พลางกางฝ่ามือออกและเล็งไปที่สวี่ชีอัน “ตะ…”

สิ่งที่เขาอยากจะพูดคือ ‘ตาย’ เขากำลังใช้วิชาสาปสังหารจัดการกับผู้แข็งแกร่งที่จู่ๆ ก็สติฟั่นเฟือนคนนี้ เพื่อให้เขาได้รับความเสียหายอย่างหนัก

แต่กล่าวคำว่า ‘ตาย’ ได้เพียงครึ่งเดียว จู่ๆ ‘สวี่ชีอัน’ ก็กดนิ้วชี้ลงที่ริมฝีปากของเขาอย่างกะทันหัน และกล่าวด้วยโทนเสียงทุ้มต่ำเกินจริงว่า “หึ หุบปากเจ้าไปซะ”

ชั่วขณะนั้น พ่อมดรู้สึกว่าปากของเขาถูกปิดผนึกด้วยพลังที่มองไม่เห็น ต่อให้พยายามออกแรงอ้าปากเพียงใดก็ไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้

จากนั้นสวี่ชีอันก็หายตัวไป และออกไปต่อสู้ในระยะประชิด

กลุ่มไฟปะทุขึ้นและส่องแสงแวววับบาดตา คนนอกย่อมมองไม่เห็นรายละเอียดการต่อสู้อย่างแน่นอน ทำได้เพียงสัมผัสความดุเดือดของการต่อสู้ผ่านเสียงฟ้าร้อง และเสียงระเบิดที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

จากนั้นก็มีร่างหนึ่งกระเด็นออกมา หลังจากกระตุ้นพลังปราณ ร่างของพ่อมดในสำนักพ่อมดก็ขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ จนสูงและใหญ่กว่ายักษ์ร่างน้ำเงินจี๋ลี่จือกู่

แต่ตอนนี้เขาถูกตีกลับสู่ร่างเดิม หน้าอกเว้าลงเป็นแอ่ง เกิดรูดาบล่องหนบริเวณช่องท้อง มือซ้ายและสะบักไหล่ขาดออกจากกันเนื่องจากถูกตัดขาดด้วยดาบ

พ่อมดระดับสูงล่าถอยอย่างรวดเร็ว เขาใช้ทักษะจิตวิญญาณแห่งโลหิตขั้นเก้าในกระบวนการกระตุ้นพลังปราณ เพื่อซ่อมแซมบาดแผลและก่อรูปแขนที่หักของตนเองอีกครั้ง

“ระวัง เขาไม่มีจุดอ่อน ข้าหาจุดอ่อนของเขาไม่เจอ” พ่อมดกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

พ่อมดขั้นสามเรียกว่า ‘หลิงฮุ่ย’ มันสามารถมองเห็นจุดอ่อนและข้อบกพร่องในการเคลื่อนที่ของศัตรู เพื่อวางแผนการโจมตีและโต้กลับที่มีประสิทธิภาพ

คุณลักษณะใหญ่ที่สุดที่หลิงฮุ่ยมอบให้ คือการกระทำอย่างชำนาญโดยไม่ต้องออกแรง เช่นเดียวกับผู้แข็งแกร่งซึ่งอยู่เหนือมวลชน ไม่ว่าเจ้าจะโจมตีอย่างบ้าคลั่งเพียงใด เขาก็จะแก้ไขด้วยความสงบนิ่งโดยตลอด

“เจ้าเป็นคนในสำนักพุทธใช่หรือไม่”

จู๋จิ่วกรีดร้องด้วยสัญชาตญาณความหวาดกลัว และดวงตาแนวตั้งของมันก็ฉายรังสีแห่งความเกลียดชังออกมาทันที

เมื่อห้าร้อยปีก่อน ไม่ว่าจะเป็นปีศาจทางใต้ซึ่งถูกกำจัดในหกสิบปีก็ดี หรือปีศาจทางเหนือในตอนนี้ที่ดำรงอยู่ด้วยความยากลำบากก็ดี ทั้งหมดล้วนได้รับความทุกข์ยากเพราะสำนักพุทธ ทั้งหมดล้วนเคยถูกสำนักพุทธสั่งสอน

จิ่วโจวเมื่อสองร้อยปีที่แล้ว มีเพียงลัทธิขงจื๊อแห่งต้าฟ่งเท่านั้น ที่สามารถแข่งขันกับสำนักพุทธได้

ตอนนี้ลัทธิขงจื๊อเสื่อมถอย จึงพูดได้ว่าสำนักพุทธเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในจิ่วโจว

“สำนักพุทธแล้วอย่างไร เมื่อเนื้อหนังข้ากลับมารวมกัน ก็ถึงเวลาที่สำนักพุทธจะล่มสลาย”

สวี่ชีอันส่งเสียงหัวเราะอย่างกำเริบเสิบสาน ราวกับคนวิกลจริตที่ไม่เห็นกฎหมาย หรือกฎของสวรรค์อยู่ในสายตา

ทันใดนั้น แสงสีทองก็ส่องสว่างสูงตระหง่าน มันยิงตรงมาที่เสินซู แต่แท้จริงกลับยิงไปที่ภาพติดตา

วินาทีต่อมา จู๋จิ่วที่กำลังแอบซุ่มโจมตีก็ตกตะลึงจนตัวแข็งทื่อ มันหันศีรษะไปอย่างห้าวหาญ แสงสีทองฉายอยู่ในดวงตาแนวตั้ง

ทันทีที่ร่างหนึ่งปรากฏขึ้น ก็ถูกแสงสีทองฉีกออกเป็นชิ้นๆ ที่แท้ก็เป็นเพียงภาพลวงตา

‘ตุบ!’

ร่างของ ‘สวี่ชีอัน’ ที่ปกคลุมไปด้วยเพลิงมารตกลงบนหลังงูยักษ์สีแดงก่ำ เขาแทงดาบทองสัมฤทธิ์เข้าที่บริเวณหลังงูยักษ์ ก่อนจะลากมันไปบนถนนสีแดงฉานอย่างบ้าระห่ำ

ดาบสยบดินแดนเฉือนเข้าที่เนื้อของงูยักษ์ ตัดกระดูกสันหลังส่วนคอออกเป็นชิ้นๆ

กองดอกไม้สีเลือดเบ่งบานอยู่ข้างหลังเขา

จู๋จิ่วคำรามเสียงแหลมด้วยความโศกเศร้า ร่างของงูยักษ์พลิกตัวไปมาอยู่กลางเมืองและพุ่งชนอาละวาดไปทั่ว ในสายตาของเหล่าทหารที่อยู่บนกำแพงเมือง มันเป็นเหมือนงูบ้าตัวหนึ่งที่เลื้อยเข้าไปในกล่องทราย

เวลานี้ ยักษ์ร่างน้ำเงินจี๋ลี่จือกู่ก็ปรากฏตัวที่ด้านหลังสวี่ชีอันอย่างเงียบๆ และฟาดดาบยักษ์ลงมาอย่างรวดเร็ว

สวี่ชีอันราวกับมีตาอยู่ข้างหลัง เขาหันตัวกลับไปพร้อมกับตวัดดาบสยบดินแดน

‘ปัง ปัง ปัง…’

ดาบเหล็กขนาดเท่าฝาประตูบ้านที่อยู่ในมือของยักษ์ร่างน้ำเงินเป็นเหมือนของเล่น ช่วงเวลาที่ทั้งสองต่อสู้กัน ดาบเหล็กนั้นสั้นลงทีละนิ้ว ก่อนจะกลายเป็นเศษเหล็กที่แตกออกจากกันเป็นแผ่นๆ ในพริบตา

สวี่ชีอันยืนขึ้นและจับศีรษะของยักษ์ร่างน้ำเงิน วิ่งไปด้านหลังเขาอย่างรวดเร็วราวกับปลาว่ายน้ำ ทันทีที่มีเสียงดังคลิก ใบหน้าของยักษ์ร่างน้ำเงินก็ปรากฏขึ้นที่ด้านหลังเขา

ดาบทองสัมฤทธิ์ส่องประกาย ตัดผ่านเกราะที่ปกป้องอยู่ภายนอก ตัดผ่านหลอดลม ตัดผ่านหลอดเลือดแดง เลือดสีแดงอมเขียวหลั่งไหลราวกับน้ำพุและพุ่งสูงหลายเมตรภายใต้แรงกดดันมหาศาล

จู่ๆ อ๋องสยบแดนเหนือก็ขนลุกชันด้วยความหวาดกลัว ด้วยสัญชาตญาณที่มีในตัวนักรบเมื่อต้องเผชิญหน้ากับภัยอันตราย เขากระโจนเข้าไปอย่างดุเดือด และฟันดาบที่กำลังพุ่งมายังศีรษะอย่างรวดเร็ว

ชั่วพริบตาที่เขายืนหยัดอย่างมั่นคง เสินซูติดตามเขาเป็นเงาตามตัว ดาบสยบดินแดนระเบิดแสงสีทองอันรุ่งโรจน์ราวกับจะทลายความว่างเปล่าบนท้องฟ้า

นัยน์ตาของอ๋องสยบแดนเหนือมีเพียงแสงสว่างจ้า ขนอ่อนตามตัวลุกชัน ทุกเส้นประสาทในร่างกายของเขากำลังส่งสัญญาณอันตรายให้เขารับรู้ และบอกเขาว่า อันตราย อันตราย หากไม่หลบไปจะตาย!

ตั้งแต่สงครามที่ด่านซานไห่ก็ไม่เคยประสบกับภัยอันตรายจนถึงชีวิตมาหลายปีแล้ว

วินาทีนี้ หัวใจของเขากลับสงบลงมาก รู้สึกสมองโล่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน บางคนยิ่งเสี่ยงอันตรายมากเพียงใด ก็ยิ่งระเบิดพลังแฝงออกมาได้เพียงนั้น

อ๋องสยบแดนเหนือผู้มีพรสวรรค์ที่ไม่มีใครเทียบได้ สมควรแล้วที่เขาจะหัวเราะทีหลังแล้วดังกว่า

การแสดงออกของเขาเป็นเหมือนคลื่นยักษ์ที่สงบนิ่ง ดวงตาของเขาไม่ไหวติงราวกับกระจกเงา เขากำหมัดแน่นและค่อยๆ เงื้อมมือทุบ แต่มันกลับเร็วอย่างขีดสุด

ทันทีที่กำปั้นจอมเผด็จการพุ่งออกไป ก็ก่อให้เกิดความปั่นป่วนทั้งสวรรค์และโลก เมฆที่ลอยตัวอยู่บนท้องฟ้าสูงหมุนเป็นกระแสน้ำวน แผ่นดินสั่นสะเทือนดังก้องไปทั่วบริเวณ ราวกับไม่สามารถทนต่อจิตใจที่เผด็จการได้อีกต่อไป

อย่างที่ทราบกันดีว่าความหยาบคาบของนักรบเป็นสิ่งที่หาดูได้ยากมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่มีวิธีการพิเศษที่ตระการตา ไม่มีทักษะที่น่าดึงดูด

ด้วยเหตุนี้ หมัดของอ๋องสยบแดนเหนือหมัดนี้จึงใช้พลังปราณของตนเองทั้งหมด เพื่อกระตุ้นการมองเห็นของฟ้าดิน ช่างน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง

‘ปัง!’

หมัดและดาบกระทบกันเสียงดังสนั่น ราวกับเสียงระฆังยักษ์ที่ก้องไปทั่วฟ้าดิน ส่งผลให้กองทัพทหารและทหารม้าเผ่าอนารยชนที่อยู่ในระยะไกลต่างตื่นตระหนก

พลังงานอันดุเดือดกลายเป็นระลอกคลื่นอันทรงพลังโดยมีพวกเขาทั้งสองอยู่ตรงกลาง พื้นดินบริเวณรอบๆ ทรุดตัวลงอย่างกะทันหันและส่งเสียงดังโครมครามไปทั่วบริเวณ

จี๋ลี่จือกู่ พ่อมดระดับสูงและคนอื่นๆ ยังต้องเว้นระยะห่างเพื่อหลบหลีกระลอกคลื่นอันน่าสะพรึงกลัวที่พุ่งเข้ามา

อ๋องสยบแดนเหนือทุ่มหมัดด้วยแรงสูงสุดในชีวิตภายใต้แรงกดดันมหาศาล

แต่หมัดของเขากลับกลายเป็นโคลนเลือด เลือดสดๆ ไหลออกมาจากข้อมือที่หักอย่างต่อเนื่อง

เผด็จการเป็นวิธีการต่อสู้ที่เขายืนกรานที่จะทำและยังเป็นคำอธิบายที่กระชับที่สุดของเขาเช่นกัน

“น่าสนใจ น่าสนใจ มีโอกาสไม่มากที่จะได้เห็นคนที่มีความคิดเผด็จการเช่นนี้”

‘สวี่ชีอัน’ ถือดาบด้วยมือข้างหนึ่งและปิดหน้าด้วยมืออีกข้าง เขาระเบิดหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เสียงหัวเราะของเขาทำให้อ๋องสยบแดนเหนือถึงกับรู้สึกเย็นวาบที่กระดูกสันหลัง

‘แฮ่ก แฮ่ก…’

อ๋องสยบแดนเหนือค่อยๆ ก้าวถอยหลัง ได้ยินเสียงหายใจหอบดังมาจากข้างๆ เขากวาดสายตามองทั้งซ้ายและขวาก่อนจะพบว่าจี๋ลี่จือกู่และพ่อมดระดับสูงกำลังย่างกรายเข้ามาใกล้ตนเอง

ราวกับต้องการปรึกษาหารือ

ผู้นำเต๋านิกายปฐพีที่อยู่ไกลก็ค่อยๆ เคลื่อนย้ายไปใกล้ผู้แข็งแกร่งทั้งสามเช่นกัน

พวกเขาไม่กล้าแยกกันอีกต่อไป

“เขาไม่มีจุดอ่อน จากการต่อสู้ระยะประชิด เรียกได้ว่าเขาเป็นอมตะ” พ่อมดกล่าว

“ร่างกายของเขาแปลกมาก ข้าเทียบไม่ติดเลย” ยักษ์ร่างน้ำเงินบอกความรู้สึกตามสัญชาตญาณของตนเอง

“แต่ดูเหมือนเขาจะไม่มีจิตใจ” อ๋องสยบแดนเหนือกล่าว

มือของเขายังไม่ได้รับการฟื้นฟู เลือดเนื้อค่อยๆ บีบตัวและดิ้นขยุกขยิก เพื่อขจัดเปลวไฟสีทองออกไป

คนในสำนักพุทธ บำเพ็ญร่างกายและจิตวิญญาณคู่กัน เพราะฉะนั้นร่างกายจึงแข็งแกร่งจนน่าสะพรึงกลัว…

แข็งแกร่งเกินไป สำนักพุทธผลิตผู้แข็งแกร่งเช่นนี้ออกมาตั้งแต่เมื่อใด เขาเป็นใครกันแน่

ตอนนี้ยอดฝีมือทั้งห้าไม่มีความมั่นใจเหมือนเมื่อสักครู่อีกต่อไป…

บนหลังคาบ้านบริเวณใกล้กำแพงเมือง เลขาธิการศาลต้าหลี่และผู้ตรวจการทั้งสองยืนอยู่บนแนวสันหลังคา พลางหรี่ตามองสนามรบที่อยู่ไกลออกไป

พวกเขาเป็นเพียงคนธรรมดา ย่อมมองไม่เห็นรายละเอียดของการต่อสู้ อย่างมากก็ทำได้เพียงวินิจฉัยความรุนแรงของการต่อสู้ผ่านเสียงระเบิดที่ดังก้องและลมกระโชกแรงที่พัดมาใกล้

แต่โชคดีที่มีฆ้องทองคำอย่างหยางเยี่ยนอยู่ข้างๆ ยอดฝีมือขั้นสี่ผู้สง่างามที่มักจะมีพลังที่ทำให้ศัตรูหวาดกลัว

ตอนนี้เขาทำหน้าที่เป็น ‘กล้องส่องทางไกล’ และเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวคนหนึ่ง

หลิวยวี่สื่อเขย่งเท้ามองด้วยท่าทีกระสับกระส่าย พลางถามว่า “หยางจินหลัว การต่อสู้เป็นอย่างไรบ้าง”

เลขาธิการศาลต้าหลี่ถามตามมาติดๆ ว่า “ยอดฝีมือปริศนาท่านนั้นสามารถต่อสู้กับห้าคนนั้นได้หรือไม่ เขา เขายังสบายดีอยู่หรือไม่”

หัวใจของหยางเยี่ยนเต้นรัวด้วยความตื่นเต้น

“…ทรงพลังมาก ยอดฝีมือปริศนาท่านนั้นแข็งแกร่งมาก เขาเผชิญหน้ากับการถูกล้อมตีโดยยอดฝีมือขั้นสามถึงห้าคน แต่กลับรับมือพวกเขาได้ด้วยพลังของตนเองเพียงผู้เดียว”

“ดีแล้ว ดีแล้ว!”

เลขาธิการศาลต้าหลี่ตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น

นักรบในยุทธภพที่รอดชีวิตเหล่านั้น ต่างก็ใช้ประโยชน์จากการหยุดต่อสู้ระหว่างทหารต้าฟ่งและเผ่าอนารยชนด้วยการหนีขึ้นไปบนกำแพงเมือง แต่ละคนก็เลือกกำแพงในส่วนที่เป็นมุมมองตานก

ทรงพลังมาก นี่เป็นการสงครามต่อสู้ของยอดฝีมือระดับสูง

เมืองฉู่โจวเป็นเมืองใหญ่ที่มีประชากรมากกว่าสามแสนคน หากคนธรรมดาจะข้ามเมืองนี้ไปต้องใช้เวลาเดินเท้าหนึ่งวันเต็มๆ และใช้เวลาสองชั่วยามในการขี่ม้า

แต่ตอนนี้พวกเขามองลงมาจากจุดสูงสุดของกำแพงเมืองด้วยมุมมองตานก เห็นซากปรักหักพังเป็นแนวใหญ่ มีเพียงบ้านเรือนที่ตั้งอยู่ใกล้กำแพงเมืองเท่านั้นที่ยังคงสภาพเดิม

นี่เป็นเพราะว่าเหล่าผู้แข็งแกร่งในเมืองไม่ได้มีจุดมุ่งหมายที่จะทำลาย มิเช่นนั้น กำแพงทั้งสี่ด้านของเมืองคงถูกรื้อถอนหมดแล้ว

“เขาคือภัยพิบัติอันใหญ่หลวง สังหารอ๋องสยบแดนเหนือ พวกอนารยชน และปีศาจอสรพิษซะ เพื่อล้างแค้นให้ประชาชนชาวฉู่โจว” ชายหนุ่มในยุทธภพคนหนึ่งสาปแช่งด้วยความโกรธ

“กำเริบเสิบสานนัก! อ๋องสยบแดนเหนือคือองค์ชาย เจ้าได้กระทำผิดอันใหญ่หลวงฐานดูหมิ่นพระองค์” ไส้ศึกชุดดำที่อยู่ในระยะไกลได้ยินแล้วก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ

“ข้าพูดอะไรผิดงั้นรึ”

ชายหนุ่มในยุทธภพคนนั้นมีนิสัยใจร้อนตามแบบฉบับคนแดนเหนือ เขาสบสายตากับไส้ศึกชุดดำด้วยสายตาดุเดือดที่ไร้ซึ่งความกลัว

“อ๋องสยบแดนเหนือสังหารคนทั้งเมืองฉู่โจวเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง องค์ชายกากเดนขยะ แม้แต่ดาบสยบดินแดนก็ยังปฏิเสธเขา”

“ใช่ ฆ่าพวกเขาซะ ถ้าครั้งนี้ข้าสามารถปกป้องชีวิตหมาๆ ของข้าได้ ข้าจะเปิดเผยเรื่องที่อ๋องสยบแดนเหนือทำอย่างแน่นอน”

คนในยุทธภพโดยรอบล้วนมีความแค้นเป็นเสียงเดียวกัน ต่างคนต่างก็ตะโกนและถือดาบไว้ในมือ คนในยุทธภพทั้งดื้อรั้นและดุร้าย หัวใจของพวกเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยไฟแห่งความแค้นที่ไม่มีวันมอด

พวกเขาถือดาบไม่ใช่เพื่อขมขู่ แต่พวกเขาสามารถเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยง ด้วยการกวัดแกว่งดาบนี้ได้จริงๆ

ไส้ศึกเห็นฝ่ายตรงข้ามมีพลังท่วมท้นและไร้ซึ่งความอ่อนแอก็ยิ้มเยาะด้วยความเย็นชาและกล่าวว่า “พวกเจ้าคิดว่ามีกองกำลังพันธมิตรของเผ่าปีศาจและเผ่าอนารยชนเข้าล้อมโจมตี อีกทั้งศึกภายนอกและศึกภายใน ภายใต้สถานการณ์คับขันเช่นนี้ ก็เลยละเลยกฎหมายและใส่ร้ายป้ายสีองค์ชายได้งั้นรึ ข้าจะบอกให้เจ้ารู้ ว่าตอนนี้เมืองฉู่โจวก็ยังคงเป็นเมืองฉู่โจวของอ๋องสยบแดนเหนือ”

เขากล่าวแล้วก็โบกมือออกคำสั่งพลทหารจำนวนนับร้อย “จับตัวคนเหล่านี้ให้ข้า หากมีใครต่อต้าน ฆ่ามันให้หมด!”

ไม่มีใครเคลื่อนไหว

ไส้ศึกชุดดำหันมาอย่างรวดเร็ว สายตาเกรี้ยวกราดที่อยู่ภายใต้หน้ากากจ้องไปที่เหล่าพลทหารอย่างดุเดือด “พวกเจ้าคิดจะขัดคำสั่งรึ!”

เหล่าทหารก้มศีรษะและยังคงไม่เคลื่อนไหว

“แม้ว่าข้าจะเป็นคนธรรมดา แต่ก็รู้ว่าปัญญาชนมักมีคำพูดหนึ่งว่า ผู้ที่ตั้งตนอยู่ในธรรมย่อมจะมีแต่ผู้ให้การช่วยเหลือ ผู้ที่ขาดธรรมย่อมจะมีแต่คนตีจาก อ๋องสยบแดนเหนือสติฟั่นเฟือน ไม่มีใครให้การสนับสนุนเขานานแล้ว”

“หมาเดินตามอ๋องสยบแดนเหนืออย่างเจ้ากล้าเห่าที่นี่งั้นรึ”

คนในยุทธภพมากกว่าสิบคนชักดาบออกมาตามคาด และวิ่งเข้าไปล้อมไส้ศึกชุดดำอย่างพร้อมเพรียงกัน

เหล่าพลทหารที่อยู่ไม่ไกลยังคงก้มศีรษะด้วยท่าทีนิ่งเฉย ราวกับไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น

ทุกคนในยุทธภพยังคงให้ความสนใจกับสนามรบอย่างต่อเนื่อง และมองลงไปยังสถานที่ห่างไกลเป็นตาเดียว

อันที่จริงพวกเขาสามารถใช้โอกาสนี้หลบหนีไปจากเมืองอันตรายอย่างฉู่โจวได้อย่างแน่นอน แต่กลับไม่มีใครไปสักคน ไม่ใช่เพราะชื่นชอบความคึกคักนี้ แต่เพราะอยากเห็นผลลัพธ์ต่างหาก เพื่อสิ่งนี้ ถึงแม้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ไม่เสียใจ

คนธรรมดาทั่วไปใช้กำลังฝ่าฝืนข้อห้าม แต่เลือดอุ่นในอกของคนธรรมดาทั่วไปไม่มีวันดับ

เวลานี้ ผู้นำเต๋านิกายปฐพีก็กล่าวว่า “หากไม่ฉกฉวยดาบสยบดินแดนมา เราจะเอาชนะเขาได้ยากมาก หลังจากกลืนยาโลหิต ความแข็งแกร่งของบุคคลนี้จะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด”

คำพูดของผู้นำเต๋าเฮยเหลียนกระตุ้นให้จู๋จิ่ว จี๋ลี่จือกู่และคนอื่นๆ เห็นพ้องต้องกันอย่างเป็นเอกฉันท์

ทั้งห้ายังคงรักษาท่าทีพร้อมรบและสื่อสารกันอย่างลับๆ

เลือดเนื้อบริเวณข้อมือของอ๋องสยบแดนเหนือดิ้นขยุกขยิกและค่อยๆ ฟื้นตัว เขาตอบกลับว่า “เจ้ามีวิธีอะไร?”

ผู้นำเต๋าเฮยเหลียนกล่าวว่า “ข้าสามารถใช้ค่ายกลพังทลายดาบสยบดินแดน ทำให้มันสูญเสียจิตวิญญาณชั่วคราวเป็นเวลาสิบห้านาที สิ่งที่ต้องแลกคือการหายไปของร่างโคลนนี้”

อ๋องสยบแดนเหนือและคนอื่นๆ ไม่แปลกใจ และยังปลาบปลื้มอีกเสียด้วย นักรบมีเพียงความรุนแรงที่บ้าระห่ำ เมื่อได้พบผู้แข็งแกร่งในระบบเดียวกันที่มีพลังต่อสู้แข็งแกร่งกว่าตนเองก็จะถูกกดขี่ได้อย่างง่ายดาย

แต่ระบบอื่นๆ นั้นไม่เหมือนกัน วิธีการที่เฉียบขาดเปลี่ยนแปลงไปมาก

ร่างโคลนของผู้นำเต๋าเฮยเหลียน แลกกับการที่อีกฝ่ายสูญเสียดาบสยบดินแดนไปสิบห้านาที ถือเป็นการค้าที่คุ้มค่าอย่างยิ่ง

งูยักษ์จู๋จิ่วที่อยู่ระยะไกลส่งเสียงว่า “ไม่ได้ ด้วยร่างกายที่น่าสะพรึงกลัวของเขา ต่อให้เขาไม่มีดาบสยบดินแดน พวกเราก็ไม่มีทางฆ่าหรือทำร้ายเขาได้ในหนึ่งเค่อ”

ไม่มีดาบสยบดินแดน พวกเขาก็มีความเชื่อมั่นว่าจะรบชนะฝ่ายตรงข้ามได้ แต่ไม่สามารถฆ่าเขาให้ตายในสิบห้านาทีอย่างแน่นอน

ยอดฝีมือระดับสูงฆ่าได้ยาก

อ๋องสยบแดนเหนือครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวว่า “บางทีอาจจะทำได้ ตราบใดที่ความแข็งแกร่งของพวกเรารวมกันแล้วสามารถไปถึงขั้นสองในระยะเวลาสั้นๆ อืม ข้าพูดถึงพลังขั้นสองเพียงอย่างเดียว”

เลื่อนขั้นจากขั้นสามขึ้นไปขั้นสอง แน่นอนว่าไม่ใช่เพียงการเลื่อนขั้นของพลังปราณ แต่ยังเป็นการเปลี่ยนแปลงของ ‘จิต’

ยักษ์ร่างน้ำเงินหัวเราะเย้ยหยัน “พลังขั้นสอง แค่เจ้าพูดว่ามี ก็จะมีได้งั้นรึ”

อ๋องสยบแดนเหนือกล่าวเสียงเบาว่า “ข้ามีคัมภีร์รวมร่าง เป็นผลงานของท่านโหราจารย์เมื่อหลายปีก่อน คัมภีร์นี้เรียกว่าร่างธรรมเป็นหนึ่ง เขาสามารถรวบรวมพลังของผู้คนทั้งปวงเป็นหนึ่งเดียวจนกลายเป็นร่างธรรมตนหนึ่ง มีเพียงหนึ่งเดียว ไม่แตกเป็นสอง”

คัมภีร์รวมร่างเป็นสิ่งที่เขาได้มาจากท่านโหราจารย์เมื่อหลายปีก่อน สาเหตุคือเมื่อเผ่าปีศาจและเผ่าอนารยชนทางเหนือรวมกองกำลังเข้าด้วยกันแล้ว เขาจะเป็นเสาต้นเดียวที่ค้ำตึกใหญ่ จำเป็นต้องมีวิธีการปกป้องตนเองที่แข็งแกร่ง

ท่านโหราจารย์รู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดมีความสมเหตุสมผล ดังนั้นจึงมอบคัมภีร์รวมร่างให้เขาโดยถือโอกาสชำระล้างคลัง

ในช่วงเวลาที่ศัตรูอยู่เบื้องหน้า ทั้งห้าจึงบรรลุฉันทามติอย่างรวดเร็ว

ยักษ์ร่างน้ำเงินจี๋ลี่จือกู่เป็นผู้นำในการเคลื่อนไหว เป้าหมายไม่ใช่ ‘สวี่ชีอัน’ แต่กลับเล็งไปที่ส่วนหนึ่งของกำแพงเมือง ก่อนจะลงมือยิงอย่างเฉียบขาด

‘หึ่ง หึ่ง หึ่ง…’

พลทหารและทหารม้าของเผ่าอนารยชนที่อยู่บนกำแพงเมือง พร้อมใจกันปล่อยอาวุธในมือลอยขึ้นไปบนอากาศ

‘ฟิ้ว…’

อาวุธหนักอย่างโครงปืนที่ถูกหลอมด้วยเหล็กก็ลอยขึ้นไปเช่นกัน ทั้งหมดลอยตัวไปรวมกันอยู่ด้านบน

อาวุธเหล็กเหล่านี้ถูกละลายเป็นเหล็กหลอมเหลวในอากาศ ปล่อยความมัวหมองออกมาอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะรวมตัวกันมากขึ้นจนกลายเป็นลูกเหล็กหลอมสีแดงฉาน

‘สวี่ชีอัน’ ผู้ครอบครองดาบสยบดินแดนกระตุกยิ้มที่มุมปาก และมองฉากตรงหน้าด้วยสายตาดุเดือด

ไต้ซือ ดูเหมือนพวกเขากำลังวางแผนขั้นสูง ไม่ต้องมัวแต่พูด สั่งสอนพวกเขาเลย…

สวี่ชีอันตั้งสมาธิและสื่อสารกับไต้ซือเสินซูในใจ

ไต้ซือเสินซูกลับนิ่งเฉยราวกับหูหนวก รักษาท่ายืนถือดาบตัวตรง ราวกับสัญญาณไม่เสถียร ขาดการเชื่อมต่ออย่างกระทันหัน

ไต้ซือเสินซูในสถานการณ์นี้ทั้งดื้อรั้นและหยิ่งยโสเกินไป ข้าควบคุมเขาไม่ได้อย่างแน่นอน…

เอ๋ แล้วอะไรทำให้ข้ารู้สึกว่าข้าสามารถควบคุมภาพลวงตาของเขาได้กันนะ…

สวี่ชีอันทอดถอนใจ

……………………………………………….

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท