ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง – บทที่ 408 ออกหมัด

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 408 ออกหมัด

บทที่ 408 ออกหมัด

สวี่ชีอันละสายตาจากเฉาชิงหยาง มองไปที่หยางซุยเสวี่ยที่อยู่ด้านหลังเขาซึ่งอยู่ไม่ไกลและเหล่าฟู่จิงเหมินก่อนเป็นอันดับแรก แน่นอนว่ายังมีหญิงงามมีเสน่ห์ยิ่งยวดอันดับหนึ่งอย่างเซียวเยว่หนูด้วย

เขาผ่านเหล่าฝูงชนของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ตรวจสอบดูเหล่านักพรตเหลียนฮวาของนิกายปฐพีอย่างละเอียดถี่ถ้วน รวมทั้งสายลับของไหวอ๋องที่สวมเสื้อคลุมสีดำและหน้ากาก

เหล่าสายลับสวมหน้ากาก มองไม่เห็นสีหน้าที่แสดงออกมา แต่เพลิงไหม้ที่แผดเผาในดวงตาแสดงถึงความคับแค้นใจออกมาอย่างโจ่งแจ้ง

คือสวี่ชีอันผู้นี้เองที่สร้างเรื่องสร้างความวุ่นวายอันยิ่งใหญ่ที่เมืองหลวง บังคับให้ฝ่าบาทจำใจทรงออกกฤษฎีกาต้องโทษ ทำให้ชื่อเสียงหลังจากการสิ้นพระชนม์ของไหวอ๋องฉาวโฉ่และป่นปี้ ไม่สามารถฝังซากเถ้ากระดูกไว้ที่หลุมศพจักรพรรดิได้ และไม่สามารถจัดวางป้ายชื่อไว้ที่ศาลบรรพบุรุษได้

ยอดฝีมือลึกลับจากฉู่โจวท่านนั้นต่อสู้กับศัตรูหนึ่งต่อห้า เขาก็ดุร้ายและมีพลานุภาพที่รุนแรง ไหวอ๋องก็ตายด้วยน้ำมือของเขา ทำให้ความโกรธแค้นเกลียดชังของเหล่าสายสืบมุ่งรวมมาที่เขา แต่กลับไม่มีคำพูดใดๆ ผู้ที่อ่อนแอก็ต้องเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแกร่ง นี่คือวิถีของธรรมชาติ

แต่พฤติกรรมของสวี่ชีอันก็ทำให้พวกเขาเดือดดาลและสะอิดสะเอียนเป็นพิเศษ ก็แค่มดตัวน้อยๆ เพียงตัวเดียว ถ้าในตอนที่ไหวอ๋องยังมีชีวิตอยู่ คงสามารถแทงเขาให้ตายได้ด้วยเพียงปลายนิ้วเดียว ไม่ใช่อาศัยการตายของไหวอ๋อง เที่ยวไปทำเรื่องที่โน่นที่นี่เหมือนตัวตลกและเหยียบย่ำไหวอ๋องเพื่อทำให้ชื่อของเขาโด่งดัง

ช่างน่าหงุดหงิดและน่าโกรธแค้นจริงๆ

สำหรับเหล่านักพรตเหลียนฮวานั้นก็เปิดเผยชัดเจนมากยิ่งขึ้น บางคนก็หัวเราะเยาะ บางคนก็ยิ้มเยาะเย้ย และบางคนก็แสดงสีหน้าท่าทางยั่วยุต่อสวี่ชีอัน

“กลุ่มตัวตลกที่เต้นแร้งเต้นกา ไม่มีอะไรให้ต้องห่วง!”

สวี่ชีอันส่ายหน้าและละสายตากลับมา

สายลับของไหวอ๋องและเหล่านักพรตเหลียนฮวาก็เลิกคิ้วขึ้น

“เฉาเหมิงจู่ เมล็ดบัวใกล้จะสุกเต็มที่แล้ว ไม่สามารถต้านทานขวากหนามคลื่นลมได้ ดังนั้นที่นี่จึงไม่มีการวางแผนแบบค่ายกล” สวี่ชีอันมองไปที่เฉาชิงหยางอีกครั้งและพูดอย่างเคร่งขรึม

“เจ้าก็คงไม่ต้องการที่จะทำลายเมล็ดบัวเช่นกันหรอกใช่หรือไม่”

เฉาชิงหยางพยักหน้าอย่างใส่ใจ “สิ่งที่ข้าต้องการคือรากบัว เมล็ดบัวเป็นเพียงส่วนเสริมเท่านั้น ถ้าหากว่ามี ก็คงจะดีที่สุดอยู่แล้ว ถ้าหากไม่มี ก็ไม่ได้มีผลอะไรเช่นกัน บอกมาเถอะ ฆ้องเงินสวี่คิดจะเดินหมากอย่างไร?”

สวี่ชีอันถอดดาบยาวสีดำทองที่ห้อยไว้ด้านหลังเอวออกแล้วโยนทิ้งไว้ข้างๆ เสียง ‘เคร้ง’ ดังขึ้น เป็นเสียงดาบพร้อมฝักที่ตกลงที่ข้างขอบสระ

เขามองไปที่เฉาชิงหยาง เชิดคางขึ้น “ไม่ต้องใช้พลังปราณ ไม่ต้องใช้อาวุธ พวกเรามาประลองทักษะร่างกายกัน!”

‘ฉลาด!’

เซียวเยว่หนูที่อยู่ไกลๆ พยักหน้าเล็กน้อย เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เท่ากับการดึงเฉาเหมิงจู่ให้ลงมาอยู่ในระดับใกล้เคียงกันกับเขา

หากปราศจากการใช้พลังปราณ พลังของทหารขั้นสามก็จะไม่สามารถแสดงออกมาได้ หากปราศจากอาวุธ แต่ความชำนาญของเฉาเหมิงจู่คือการใช้ดาบและรู้ใจดาบ และทักษะที่แข็งแกร่งที่สุดได้โดนกำจัดออกไป

สุดท้ายแล้ว ด้วยความชื่นชมที่เฉาเหมิงจู่มีต่อฆ้องเงินสวี่ เขาต้องเห็นแก่หน้าของฆ้องเงินสวี่แน่นอน

คนทั่วยุทธภพล้วนรวมตัวกันเช่นนี้ การให้เกียรติกันนั้นล้วนสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด

“ได้ เช่นนั้นก็ดวลกันด้วยทักษะร่างกาย! เมื่อเมล็ดบัวสุกแล้ว หากข้ายังสู้ไม่ชนะเจ้า ข้าจะไม่แตะต้องมัน”

แน่นอนว่าเฉาชิงหยางพยักหน้าเห็นด้วย

เหล่า ‘ผู้ชม’ ที่อยู่นอกลานก็ตกตะลึง เฉาเหมิงจู่เห็นแก่หน้าของสวี่ชีอันมากพอ เป็นคำสัญญาต่อหน้าทุกคนว่าจะไม่มีการผิดสัญญา

กล่าวคือ เพียงแค่ฆ้องเงินสวี่สามารถอยู่รอดตราบจนเมล็ดบัวสุกและยังคงไม่แพ้ เฉาเหมิงจู่ก็จะไม่แข่งขันเพื่อแย่งชิงเมล็ดบัว

เหล่าลูกศิษย์พรรคฟ้าดินสวดอธิษฐานอย่างเงียบๆ โดยหวังว่าฆ้องเงินสวี่จะคงอยู่รอดได้นานขึ้นสักหน่อย

ท่านอาจารย์อาจินเหลียนเชิญคุณชายสวี่ให้มาช่วยกัน ซึ่งเป็นการเดินหมากที่ยอดเยี่ยม

ชิวฉานอีแสดงท่าทางเบิกบาน…เฉาเหมิงจู่ท่านนี้ทำลายสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องได้ในลมหายใจเดียว พละกำลังดั่งพายุ บุกไปทางไหนก็ราบไปทานั้น

ไม่ว่าจะเป็นฉู่หยวนเจิ่นหรือหลี่เมี่ยวเจิน เขาก็ไม่เคยยอมอ่อนข้อให้ทั้งนั้น แต่เมื่อเผชิญหน้ากับคุณชายสวี่ เขากลับเต็มใจยอมที่จะอ่อนข้อให้เช่นนี้

วีรบุรุษหนุ่มที่มีชื่อเสียงและความนิยมอย่างสุดขีดเสมือนดวงตะวันกลางท้องฟ้าเช่นคุณชายสวี่นั้น น้อยนักที่จะปรากฏในโลก

นางยิ่งชื่นชมและเลื่อมใสศรัทธาคุณชายสวี่มากขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นหลงใหล

“นี่…เฉาชิงหยางผู้นี้จะสามารถยอมอ่อนข้อให้เช่นนี้ไปตลอดหรือ?” นักพรตหญิงไป๋เหลียนสีหน้าประหลาดใจ นางพบว่าตนเองนั้นยังคงประเมินชื่อเสียงและความนิยมของสวี่ชีอันต่ำไป

“แม้ว่าจะเป็นการแข่งขันความสามารถทางร่างกาย แต่เหมิงจู่ก็ใช่ว่าจะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำได้ง่ายๆ ขึ้นอยู่กับว่าฆ้องเงินสวี่จะสามารถรับมือได้นานแค่ไหน” ฟู่จิงเหมินกล่าว

“ดูเหมือนฆ้องเงินสวี่จะชำนาญเรื่องการใช้ดาบเช่นกัน” หยางซุยเสวี่ยวิเคราะห์

เซียวเยว่หนูฟังทั้งสองพูดคุยหารือกัน พลางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“ร่างกายและพลังของเฉาเหมิงจู่นั้นไม่มีใครเทียบได้ แต่ฆ้องเงินสวี่เองก็มีระดับเพชรไร้พ่ายเช่นกัน ทั้งคู่ต่างก็ชำนาญในการใช้ดาบยาว ไม่ใช่ทักษะร่างกาย ดังนั้นดูเหมือนว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะเป็นการต่อสู้แบบเสือเจอสิงห์ ซึ่งดุเดือดแน่”

เวลานี้ สายลับเทียนซูซึ่งอยู่ไม่ไกลก็ยิ้มเยาะเย้ยและพูดแทรกขึ้น “เสือเจอสิงห์? ถ้าหากข้าบอกเจ้าว่าสวี่ชีอันเป็นเพียงทหารขั้นหกคนหนึ่งเท่านั้นล่ะ?”

คำพูดของเขาทำให้เกิดเสียงดังอื้ออึง เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้น

เหล่าขุนศึกที่เฝ้าสังเกตการณ์ครุ่นคิดค้นพบได้ทันทีว่าพวกเขาแทบไม่รู้ระดับที่แท้จริงของฆ้องเงินสวี่ด้วยซ้ำ

ประการแรก ฆ้องเงินของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมีระดับหลอมวิญญาณแปดขั้น สลายแรงห้าขั้น เดิมทีก็ไม่ได้ใช้ขั้นยศของขุนนางมาเป็นตัวกำหนดแบ่งขั้น ประการที่สอง คุณงามความดีครั้งที่แล้วของฆ้องเงินสวี่ ทั้งการยืนหยัดต่อสู้สกัดทหารกบฏหลายพันนายที่อวิ๋นโจว และพิธีต้าวฮวดของสำนักพุทธ…สิ่งเหล่านี้ล้วนเกินระดับ ‘การต่อสู้โดยทั่วไป’

พวกเขามีเพียงเกณฑ์เดียวที่จะสามารถตัดสินได้ คือเมื่อคืนวานที่ฆ้องเงินสวี่ตัดศีรษะคุณชายที่มีเบื้องหลังลึกลับคนนั้น อีกทั้งฝ่ายตรงข้ามก็ไม่ใช่คนที่อ่อนแอ และยังมียอดฝีมือขั้นสี่สองคนคอยทำหน้าที่คุ้มกันดูแลอีกด้วย

ดังนั้นในใจของทุกคน ถ้าหากฆ้องเงินสวี่ไม่ใช่ขั้นสี่ ก็ต้องเป็นสลายแรงขั้นห้า

“ฆ้องเงินสวี่เป็นเพียงแค่ขั้นหกหรอกหรือ หากเป็นแค่ขั้นหกละก็ จะฆ่าคุณชายผู้นั้นได้อย่างไร?”

“ขั้นหกจะบุกเข้าไปในพระราชวังและไปขู่เข็ญกั๋วกงสองท่านนั้นได้อย่างไร? เรื่องไร้สาระทั้งเพ”

“แต่คนกลุ่มนี้ดูเหมือนจะเป็นกำลังของราชสำนัก คาดว่าจะต้องรู้ตื้นลึกหนาบางของฆ้องเงินสวี่เป็นอย่างดี”

“พูดเรื่องพวกนี้เพื่ออะไร รอดูทั้งสองต่อสู้กันก็รู้เอง”

เฉาชิงหยางมองไปที่สวี่ชีอัน “เจ้าเพิ่งจะขั้นหก? เรื่องนี้เกินความคาดหมายของข้าอยู่บ้างเล็กน้อย”

ในข่าวสารที่รวบรวมมา บันทึกล่าสุดของสวี่ชีอันคือเขาสามารถเอาชนะลูกศิษย์ที่โดดเด่นของทั้งสองสำนักนิกายสวรรค์และมนุษย์ แม้ว่าจะใช้ตำราวรยุทธ์ของลัทธิขงจื๊อ แต่การประเมินของคนภายนอก ระดับของเขาคงไม่ต่ำไปกว่าขั้นห้า

ผลสุดท้าย นึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นทหารขั้นหก

สวี่ชีอันไม่ได้ตอบ แต่ยิ้มจางๆ “ยังต้องขอความกรุณาให้เฉาเหมิงจู่ชี้แนะอีกเยอะ”

เมื่อคำพูดจบลง เขาก็ทะยานออกไปพร้อมกับเหวี่ยงเท้าไปด้านหน้า เสียง ‘ปัง’ ดังขึ้นตามมา เข่าอันดุดันโจมตีเข้าตรงๆ ใกล้ใบหน้า

ระหว่างนั้น หว่างคิ้วก็ปรากฏสีทองสว่างขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะกระจายไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว

เฉาชิงหยางก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เพื่อเป็นฝ่ายรุกปะทะไปข้างหน้า มือซ้ายสกัดกั้นเข่าของสวี่ชีอันที่เข้ามาปะทะออกไป ฝ่ามือขวาสวนกลับแนบไปกับหน้าอกของเขา

‘ตึ้งงง!’

เสียงราวกับยักษ์ใหญ่ชนระฆังดังขึ้น สวี่ชีอันบินกลับไปพร้อมกับกลิ้งตัวรักษาแรงให้ร่างกายยืนหยัดอย่างมั่นคง

“ยังไม่ถึงขั้นห้าจริงๆ ด้วย…” ฟู่จิงเหมินตกตะลึงในทันที

เสียงดังเกรียวกราวดังตามขึ้นมา เหล่าขุนศึกต่างพากันกระซิบกระซาบ จากการปะทะกันสั้นๆ เมื่อครู่นี้ด้วยสายตาที่ดุร้าย ทำให้พวกเขามองระดับของสวี่ชีอันออกในทันที

สีหน้าของเหล่าลูกศิษย์พรรคฟ้าดินจมดิ่งลง หัวใจก็จมดิ่งลงตามเช่นเดียวกัน

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะฝึกฝนในระบบลัทธิเต๋า แต่ก็รู้เกี่ยวกับระบบทหารเป็นอย่างดี ถึงอย่างไรระบบทหารก็ไม่ได้ลึกลับเหมือนกับระบบอื่นๆ เนื่องจากมีผู้คนที่ฝึกฝนในเส้นทางนี้มากเกินไป

สลายแรงขั้นห้าคือสุดยอดของทหารที่ดวลกันด้วยกาย ก่อนบรรลุขั้นห้า การโจมตีระยะประชิดของทหารแม้จะเข้มแข็งมาก แต่ก็ไม่ถึงขั้นทำให้ชาวยุทธ์ยอดฝีมือระดับสูงของระบบอื่นหวาดกลัว

ทหารหลังจากบรรลุขั้นห้า จึงจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ชาวยุทธ์ยอดฝีมือระดับสูงของระบบอื่นหวาดกลัวได้

ทหารสลายแรงสามารถควบคุมความสามารถและพละกำลังของร่างกายเนื้อให้อยู่ในฝ่ามือได้อย่างสมบูรณ์แบบ สามารถมองข้ามความเฉื่อย มองข้ามความไม่สมดุล และอื่นๆ ไปได้ ในกรณีที่โดนพวกเขาโจมตีในระยะประชิด สิ่งที่ต้องเผชิญคือการถูกโจมตีอย่างน่าหวาดกลัวและรุนแรง ไปจนกว่าจะตัดสินผู้ชนะได้ หรือใช้วิธีพิเศษเพื่อสร้างระยะห่าง

ฆ้องเงินสวี่ยังไม่ถึงขั้นห้า เช่นนั้นการต่อสู้ครั้งนี้คงไม่ถึงกับต้องจู่โจม คิดจะถ่วงเวลายิ่งเป็นไปไม่ได้

หลังจากที่สวี่ชีอันยืนหยัดได้อย่างมั่นคง ภาพก็ลอยปรากฏขึ้นในหัวโดยอัตโนมัติ เฉาชิงหยางปรากฏตัวข้างๆ เขา ระลึกได้ว่าฝ่ามือนั้นตัดลงมาที่หลังคอของเขา

ก่อนที่เขาจะมีเวลาได้คิด ด้วยสัญชาติญาณของทหาร เขาย่อตัวลง หลังจากนั้นก็กลิ้งไปข้างหน้า

ทันทีที่เขาทำเช่นนั้น เฉาชิงหยางก็ปรากฏตัวข้างๆ และโบกฝ่ามือเข้ามา

ฝ่ามือนั้นฟาดอากาศที่ว่างเปล่า ดวงตาของเฉาชิงหยางเป็นประกายด้วยความประหลาดใจ ร่างเงาของเขาหายไปอีกครั้ง แล้วตกลงมาจากท้องฟ้า พร้อมกับทุบหมัดลงมา

แต่ก่อนที่เขาจะลงมือ สวี่ชีอันก็บังเอิญสะดุดเซอย่างกะทันหัน ราวกับคนที่ดื่มเหล้าจนเมาและไม่สามารถยืนนิ่งได้ เคลื่อนไปทางซ้ายสองก้าว หลีกเลี่ยงการโจมตีได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ก่อนอื่นต้องปรับตัวกับจังหวะก่อน การโจมตีของเขารวดเร็วมาก ข้าตามไม่ค่อยจะทัน จึงใช้การหลบหลีกเป็นหลักและรอโอกาสที่จะตอบโต้คืน

ด้วยความที่สวี่ชีอันมีความว่องไวและเฉียบแหลมแตกต่างจากคนทั่วไป การรู้เห็นล่วงหน้าได้หนึ่งก้าว ทำให้รู้ภาพการโจมตีของเฉาชิงหยางได้ครั้งแล้วครั้งเล่า และหาทางหลบเลี่ยงจนมือเท้าพันกันไปหมด

ในสายตาของทุกคนที่อยู่นอกสนามที่มองมา ทั้งสองคนดูเหมือนกำลังเล่นเกมแมวจับหนู

ในที่สุด หลังจากที่สวี่ชีอันเอนหลังลงเพื่อหลีกเลี่ยงขาที่เปรียบดั่งแส้ของเฉาชิงหยาง เขาก็คว้าโอกาสนี้ในการโต้กลับ โดยใช้เท้าขวาเป็นแกนหมุนอย่างรุนแรง หมุนตัวไปข้างหลังเฉาชิงหยาง

วินาทีถัดมา การโจมตีเสมือนพายุก็ถล่มซัด ทั้งต่อยหมัด ออกเข่า และตีศอก…การเคลื่อนไหวโจมตีหลายสิบครั้งปรากฏขึ้นในชั่วพริบตา ต่อสู้จนร่างกายที่แข็งแกร่งดั่งเหล็กกล้าของเฉาชิงหยางส่งเสียงดัง

นี่…ดวงตาที่สวยงามของเซียวเยว่หนูดูไร้ความรู้สึก นางสงสัยว่าเฉาเหมิงจู่กำลังอ่อนข้อให้เพราะเห็นแก่หน้าของฆ้องเงินสวี่

“น่าแปลก ดูเหมือนว่าเขาจะสามารถจับการกระทำของเฉาเหมิงจู่ได้ล่วงหน้าและคาดการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ” มือทั้งสองข้างของฟู่จิงเหมินค่อยๆ กำหมัดด้วยความอยากลองพิสูจน์ดูเล็กน้อย พลางพูด

“ดูแล้ว ข้าค่อนข้างจะอดรนทนไม่ไหว”

‘เขาทำได้อย่างไร…’ คิ้วของหยางซุยเสวี่ยขมวดคิ้ว ความสามารถของฆ้องเงินสวี่ที่แสดงออกมานั้นเหนือกว่าสัญชาตญาณต่ออันตรายของทหาร เหมือนกับว่าเขามีความสามารถในการทำนายอนาคต

“เฮ้ ไม่ใช่ว่าเขายังไม่ถึงขั้นห้าหรอกหรือ เหตุใดกลับรับมือการโจมตีของเฉาเหมิงจู่ได้?”

“เฉาเหมิงจู่คงยังไม่ได้จริงจังหรอกกระมัง บางทีเขาอาจต้องการเห็นแก่หน้าของฆ้องเงินสวี่ จึงยกประโยชน์ให้กับเขา”

มีการพูดคุยกันมากมายในหมู่ชาวยุทธ์

เหตุผลนี้ ใครๆ ก็สามารถรับได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดในยุทธภพคือการให้เกียรติกัน

หากไม่ให้เกียรติกัน จะรวมยุทธภพได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น อีกฝ่ายเป็นถึงฆ้องเงินสวี่ผู้มีคุณธรรมสูงส่งเทียมฟ้า

“เฉาเหมิงจู่ เวลามีค่ามาก เจ้ายังคิดที่จะพัวพันกับสกุลสวี่ไปถึงเมื่อไหร่?” สายลับหญิงเทียนซูกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าขอเตือนเฉาเหมิงจู่ไว้หนึ่งอย่าง เด็กคนนี้ประหลาดและร้ายกาจมาก อย่าให้เกิดปัญหาในเรื่องที่มั่นใจว่าสามารถควบคุมได้ล่ะ”

เฉาชิงหยางสามารถสัมผัสได้ถึงความรุนแรงของการโจมตีของฝ่ายตรงข้าม ความเจ็บปวดพลันปรากฏขึ้นอย่างมาชัดเจน แม้ว่าจะเป็นความเจ็บปวดเพียงเล็กน้อย แต่สำหรับทหารขั้นหกคนหนึ่งซึ่งมีพละกำลังมากเพียงนี้ ช่างเป็นเรื่องที่ยากต่อการพบเห็น

เขาหมุนตัวกลับมาแล้วเตะสวี่ชีอันออกไป กระนั้นก็ยังถูกสังเกตเห็นได้ล่วงหน้า อีกฝ่ายถึงขนาดที่ใช้ลูกเตะนี้ของเขาเพื่อผลักให้ตัวเองห่างออกไป

“ดูเหมือนเจ้าจะสามารถทำนายการโจมตีของข้าได้ล่วงหน้างั้นหรือ นี่มันวิธีอะไรกัน?” เฉาชิงหยางขมวดคิ้วแน่น และถามด้วยความสงสัย

“เคล็ดลับพิเศษเฉพาะตัว” สวี่ชีอันกล่าว

“เช่นนั้นข้าก็ถือว่านี่เป็นสัญชาตญาณลางบอกเหตุของระบบหลอมวิญญาณแล้วกัน”

เฉาชิงหยางขยับคอเล็กน้อย พลางพูดเบาๆ “เจ้ารู้หรือไม่ สัญชาตญาณของทหารมีจุดอ่อนอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ…”

รูม่านตาของสวี่ชีอันหดลงทันที เขาย่อตัวลงอีกครั้งและกลิ้งไปข้างหน้า

‘ตูม!’

เฉาชิงหยางปรากฏตัวต่อหน้าเขาและเตะเขาลอยออกไป ลูกเตะนี้แข็งแกร่งมาก เป็นเหมือนลูกกระสุนปืนใหญ่ที่ยิงภูเขาให้แตกละเอียดเป็นผุยผง พุ่งชนหินปูนที่เรียงรายอยู่บนพื้นถนน และจมฝังลึกเข้าไปในผนัง

เมื่อมองไปที่ชายหนุ่มที่กำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบาก เฉาชิงหยางก็กล่าวกลั้วหัวเราะ “ตราบใดที่ความเร็วของการลงมือ เร็วกว่าลางบอกเหตุล่วงหน้าที่เจ้ามี เจ้าไม่มีทางตอบสนองหรือหาทางหลบหลีกได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

ข้าเข้าใจแล้ว พูดตรงๆ ก็คือซีพียูโอเวอร์โหลด…สวี่ชีอันดึงตัวเองออกจากกำแพง พลางยิ้มมุมปากและพูดว่า“การอุ่นเครื่องจบลงแล้ว”

ครั้งนี้ เขารุกโดยการโผเข้าไปหา แต่ถูกเฉาชิงหยางเดินหมากสวนกลับ หมัดที่เหมือนพายุฝนพลันพุ่งกลับเข้าใส่ใบหน้าของเขาทันที

‘ตูม!’ ‘ตูม!’ ‘ตูม!’

เสียงแตกกระแทกดังขึ้นในหูของสวี่ชีอันครั้งแล้วครั้งเล่า หมัดแต่ละครั้งหนักขึ้นกว่าหมัดที่ผุดขึ้นในหัว และแต่ละหมัดก็สะท้อนอย่างรวดเร็วอยู่ในดวงตาของเขาอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะโจมตีเข้าที่ใบหน้าของเขา

ร่างทองคุ้มกายาถูกทุบจนสั่นสะท้านเซไปมา พื้นดินที่ถูกทุบก็แตกระแหง

เมื่อเขาออกหมัด แรงของเขาพุ่งออกไปเป็นเส้นตรง กล้ามเนื้อแขนก็ออกแรงไปในทิศทางเดียว…

ทำไมข้าถึงทำแบบเดียวกันกับเขาไม่ได้ ทำไมพลังของข้าถึงกระจายออกไปในระหว่างการออกหมัด…

‘ศูนย์รวม’ ของดาบเดียวตัดฟ้าดินมีเพียงพริบตาเดียวเท่านั้น และข้าก็เรียนรู้เพียงชั่วพริบตาเดียวเช่นกัน เดิมทีไม่มีทางเลยที่จะรักษาสถานการณ์เช่นนี้ไว้ได้เป็นเวลานาน…

ในขณะที่สวี่ชีอันถูกโจมตี เขาก็สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของพลังปราณฝ่ายตรงข้าม พบว่าทุกหมัดขอเฉาชิงหยาง มีพละกำลังเท่ากันหมดเหมือนกับเลียนแบบกันมาอย่างสมบูรณ์แบบ

ทหารที่ต่ำกว่าขั้นห้า ตลอดจนคนธรรมดาทั่วไป โดยปกติแล้วไม่สามารถที่จะรับประกันได้ว่าพละกำลังของหมัดแต่ละหมัดของตนจะเหมือนกันทั้งหมด

เขายุบพลังปราณและเลือดทั้งหมดที่มี บีบให้เป็นกลุ่มก้อนเดียว ก่อนจะใช้ขาถีบไปที่ท้องน้อยของเฉาชิงหยาง เพื่อเตะให้เขาลอยออกไป

ลูกเตะนี้ได้บีบพลังทั้งหมดเป็นก้อนหนึ่งเดียว แสดงว่านี่เขาบรรลุถึงขั้นห้าแล้ว

‘สลายแรง? ไม่ ยังไม่ใช่ เขาอยู่ห่างจากสลายแรงแค่เพียงอีกหนึ่งก้าว’ เฉาชิงหยางรู้ได้อย่างฉับพลัน พลางถอยห่างออกไปเล็กน้อย หลังจากถอนกำลังออก เขาก็กลับมาเข่นฆ่าอีกครั้ง ไม่ปล่อยโอกาสให้สวี่ชีอันได้พักหายใจ

ในสายตาของทุกคน นี่เป็นการโจมตีเพียงฝ่ายเดียว ความแข็งแกร่งของร่างกายของเฉาเหมิงจู่ไร้ใครเทียบ ทั้งยังเป็นการโจมตีอย่างดุร้าย ฆ้องเงินสวี่ที่ถูกตี ประเดี๋ยวก็กระโดด ประเดี๋ยวก็กลิ้งหลุนๆ ได้แต่หลบหลีกไม่หยุด

มีการโต้กลับบ้างเป็นครั้งคราว แต่หลังจากโต้กลับไปหนึ่งหรือสองครั้งก็ถูกโจมตีกลับอย่างรวดเร็ว กลับมาเป็นการโจมตีฝ่ายเดียวอีกรอบ

‘ตึ้งงง!’

หมัดของเฉาชิงหยางแยกแขนของสวี่ชีอันที่ยกขึ้นมาไขว้กันไว้ ฝ่ามือพลันประทับลงที่หน้าอกของสวี่ชีอันอย่างแรงในทันที ฆ้องเงินสวี่ลอยกลับหัวกลับหางอย่างไม่สามารถควบคุมได้ แต่เฉาชิงหยางก็คว้าข้อเท้าของเขาไว้และดึงกลับมาอย่างแรง

เป็นการโจมตีทางกายที่รุนแรงอีกรูปแบบหนึ่ง

หมัดยังคงทุบไม่หยุดทั้งที่อก ท้องน้อย และใบหน้า…สวี่ชีอันไม่สามารถยืนหยัดได้ ถูกทุบตีจนโซเซถอยหลัง ไม่มีแรงต้านทานเลยแม้แต่น้อย

“ขอพูดหน่อยเถอะ ไหนว่าพลังเทพวชิระของสำนักพุทธเป็นพลังเทพคุ้มกายาอันดับหนึ่งในโลกนี้อย่างไรล่ะ”

“ข้าคิดว่ามันคือพลังเทพกระดองเต่าเสียมากกว่า ดูจากฝีมือของผู้ถูกโจมตีก็รู้แล้วว่าสู้ไม่ได้จริงๆ”

“จุ๊ๆ อาตมารู้ถึงความเจ็บปวดในมือทั้งหมดของเฉาเหมิงจู่ เจ็บมากเกินไปแล้ว”

“ฆ้องเงินสวี่ ถ่วงเวลาออกไปอีกหนึ่งก้านธูปอีกครั้งสิ ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะสามารถอาศัยพลังเทพกระดองเต่าเพื่อไต่เต้าขึ้นไปจนปรากฏในรายชื่อทางการทหารก็ได้”

“ฮ่าฮ่า ศิษย์พี่ รายชื่อทางการทหารไม่ใช่ว่าบรรจุเฉพาะยอดฝีมือในยุทธภพหรอกหรือ ฆ้องเงินสวี่เป็นข้าราชสำนัก อ้อ ข้าลืมไป เขาไม่ใช่ฆ้องเงินแล้วนี่”

แน่นอนว่าการเยาะเย้ยถากถางเหล่านี้มาจากปากของนักพรตเหลียนฮวาและลูกศิษย์แห่งนิกายปฐพี

เหล่าเต๋ามารของนิกายปฐพีมักจะระบายความมืดและความอาฆาตพยาบาทที่อัดอั้นอยู่ภายในใจของพวกเขาอยู่ตลอดเวลา

เทียนจีและเทียนซูสบตากันอย่างรู้กัน ความสัมพันธ์นานหลายปีทำให้ทั้งสองเข้าใจความหมายของกันและกันไปโดยปริยาย

‘เมื่อเฉาชิงหยางทำลายพลังเทพวชิระของสวี่ชีอัน พวกเขาก็จะฉวยโอกาสนี้ลงมือ เพื่อปลิดชีวิตเจ้าเด็กหัวขโมยนี้ซะ’

หลี่เมี่ยวเจินคิดจะลงมือครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ถูกฉู่หยวนเจิ่นขวางไว้ตลอด

“อย่าใจร้อน ตอนนี้เขาอาจจะยังไม่ถึงขั้นตกอยู่ในอันตราย แต่หากเจ้าเข้าไปแทรกแซงการต่อสู้ การพนันต่อสู้ระหว่างเฉาชิงหยางและสวี่ชีอันคงมีอันสูญเปล่า เหตุการณ์อาจยิ่งบานปลายจนไม่สามารถควบคุมได้” ฉู่หยวนเจิ่นเตือนด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

สิบนิ้วของไต้ซือเหิงหย่วนยกประสานกันและถอนหายใจไม่หยุด

ศัตรูที่น่ากลัวเช่นนี้ทำให้ผู้คนรู้สึกสิ้นหวัง เขาพยายามอย่างเต็มที่แล้ว หวังว่าฆ้องเงินสวี่จะทำให้ดีที่สุดเท่านั้นก็พอ

มือขวาของลี่น่าร่วงลง ผิวของนางถูกห่อหุ้มด้วยเส้นใยสีขาวเหมือนใยไหมเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของนางให้หายดี

นางกัดฟันสีเงินเล็กๆ ของนางแล้วพูดด้วยความโมโห “ถ้าพ่อของข้าอยู่ที่นี่ละก็ คงจะเอาหมัดทุบหัวสุนัขของเขาให้ระเบิดซะ”

หลี่เมี่ยวเจินพูดเหน็บแนมด้วยอารมณ์ที่ไม่ดีนัก “พ่อของเจ้า?”

ฉู่หยวนเจิ่นกระแอมไอและกล่าวเตือน “หัวหน้าของฝ่ายลี่กู่ เมื่อยี่สิบปีที่แล้วก็อยู่ขั้นสามแล้ว”

หลี่เมี่ยวเจิน “โอ้ เช่นนั้นก็ไม่ต้องห่วงอะไรแล้วล่ะ”

‘ตึ้งงง!’

เสียงอึกทึกสั่นสะเทือนดังขึ้นขัดจังหวะการสนทนาของพวกเขา ทำให้พวกเขามองไปอย่างใจจดใจจ่อ เฉาชิงหยางต่อยสวี่ชีอันจนเข่าคู่นั้นคุกลงจมกับพื้น จนพื้นปรากฏเห็นเป็นหลุมลึกสองหลุม

“ข้าออกห้าหมัด เจ้าจงตระหนักให้ดี เพราะหลังจากห้าหมัด ร่างทองของเจ้าจะแตกสลายไป” หลังจากที่เฉาชิงหยางพูดจบ หมัดที่สองก็ลงมากระแทกหัวเขา

‘ตึ้งงง!’

ดูเหมือนว่าพลังเทพวชิระจะไม่สามารถป้องกันการโจมตีที่น่ากลัวเช่นนี้ได้ เริ่มสลัวลงไปบ้างแล้ว

‘ตึ้งงง!’

ออกหมัดที่สาม สีทองหรี่สลัวลงอีกครั้ง ภายใต้สิ่งหนึ่งที่ดับสูญและสิ่งหนึ่งที่บังเกิด สวี่ชีอันไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีก เลือดสดๆ ถูกถ่มออกมาจากปปาก

ชิวฉานอีร้องไห้ ‘ฮือ’ ออกมา พลางเอามือปิดปากแล้วน้ำตาก็หลั่งไหล

ลูกศิษย์คนอื่นๆ ก็ตาแดงเช่นเดียวกัน พวกเขารู้สึกว่าฆ้องเงินสวี่ได้รักษาสัจจะและพยายามอย่างเต็มที่แล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้เขากลายเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ พวกเขาก็จะไม่ตำหนิกล่าวโทษแต่อย่างใด

‘ตึ้งงง!’

หมัดที่สี่ สีทองเริ่มด่างพร้อย ราวกับพระพุทธรูปที่ทรุดโทรมขาดการซ่อมแซมมานานหลายปี นี่คือลางบอกเหตุถึงความเสื่อมสลายแห่งพลังเทพวชิระ

สวี่ชีอันเลือดไหลออกทางทวารทั้งเจ็ด การมองเห็นของเขาพร่ามัว แรงหมัดนั้นยังคงดังก้องและสะเทือนในร่างกายของเขาไม่หยุด ทำลายกระดูก เส้นเอ็น และอวัยวะภายในทั้งห้าของเขา

แรงสั่นสะเทือนนี้เปรียบเสมือนสายจุดชนวนระเบิด ที่จุดไฟให้กับเซลล์หนึ่งต่อไปอีกเซลล์ แล้วก็อีกเซลล์ ทำให้พวกเซลล์เกิดการสั่นสะเทือนพร้อมกัน เกิดเสียงก้องกังวาน

เขารับรู้แล้ว

เขารู้ความหมายที่ลึกซึ้งของสลายแรงขั้นห้าแล้ว

เฉาชิงหยางใช้ความรุนแรงประเภทนี้ ใช้วิธีป่าเถื่อนเช่นนี้ เพื่อปลูกฝังความหมายที่ลึกซึ้งของสลายแรงขั้นห้าให้กับเขา

เฉาชิงหยางกำหมัดแน่น พร้อมรับการโจมตี พร้อมที่จะปล่อยหมัดที่ห้าออกไป

หลี่เมี่ยวเจินและฉู่หยวนเจิ่นลงมือพร้อมกัน ลี่น่ากับเหิงหย่วนก็ตามหลังมา อีกทางด้านหนึ่ง นักพรตหญิงไป๋เหลียนไม่สามารถนิ่งดูดายโดยไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือได้

ไม่ว่าใครก็มองออกกันทั้งนั้น หากหมัดนี้ถูกปล่อยออกไป ฆ้องเงินสวี่เอาตัวรอดกลับมาได้ยากแน่

“เหมิงจู่ โปรดเมตตาด้วย” เซียวเยว่หนูกรีดร้องด้วยความตกใจ

“เหมิงจู่ โปรดเมตตาด้วยเถิด อย่าทำร้ายชีวิตของฆ้องเงินสวี่” หยางซุยเสวี่ยตะโกน

เทียนจีและเทียนซูฟันดาบปลายแหลมออกไปพร้อมๆ กัน พุ่งตัวไปขวางทางฉู่หยวนเจิ่นและคนอื่นๆ แสดงออกอย่างชัดเจนว่าต้องการจะขัดขวางพวกเขา

นักพรตเหลียนฮวาแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย

รูม่านตาของสวี่ชีอันสะท้อนภาพกำปั้นที่ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ หมัดนั้นพัดคลื่นอากาศจนผมที่ปรกอยู่ตรงหน้าผากของเขาปลิวไสว สัญชาตญาณทหารส่งสัญญาณเตือนภัยให้กับเขา

ใบหน้าของเขาค่อนข้างไร้ความรู้สึก แสดงออกอย่างแข็งทื่อ ดูเหมือนว่าเขาจะยังไม่ฟื้นจากอาการวิงเวียน แต่หมัดของเขากำแน่นขึ้นตามสัญชาตญาณ เซลล์บางส่วนที่หลับใหลในร่างกาย เวลานี้ได้ตื่นขึ้นมาแล้ว

เซลล์บางส่วนที่ไม่สามารถควบคุมได้ในก่อนหน้านี้ รวมถึงเซลล์ที่ถูกใช้งานไป ณ เวลานี้กลับแปรเปลี่ยนเป็นพลุ่งพล่านอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

แรงทั้งหมดของร่างกายบีบรวมเป็นกลุ่มก้อน เซลล์ทุกเซลล์ล้วนออกแรงไปในทิศทางเดียว

เขาใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีเผชิญหน้ากับหมัดของเฉาชิงหยาง แล้วระเบิดพลังหมัดออกมา

……………………………………………………..

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท