ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง – บทที่ 454-2 แต่ละฝักฝ่าย (2)

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 454-2 แต่ละฝักฝ่าย (2)

บทที่ 454 แต่ละฝักฝ่าย (2)

ห่างออกไปหกสิบลี้ เมืองหลวงของเหยียนกั๋วถูกสร้างไว้ตรงกลางระหว่างหุบเขาขนาดใหญ่ กำแพงเมืองสูงตระหง่านทอดยาวสามร้อยจั้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่เชื่อมต่อยอดเขาทั้งสองลูก

ยอดเขาสูงชัน กำแพงเมืองยิ่งใหญ่สูงตระหง่าน และเสริมด้วยยุทโธปกรณ์ป้องกันเมืองเช่นปืนใหญ่ หน้าไม้ยักษ์ และเครื่องกลิ้งหิน ทำให้เพียงพอจะเรียกได้ว่าแข็งแกร่งจนยากจะตีแตก ไม่ว่าจะเป็นนักยุทธศาสตร์ทางทหารคนใดก็ต้องทึ่งเมื่อได้เห็นเมืองที่องอาจแห่งนี้

ในประวัติศาสตร์ นับตั้งแต่การก่อตั้งเมืองหลวงของเหยียนกั๋ว เมืองนี้เคยพังลงเพียงครั้งเดียวในรอบกว่าหนึ่งพันสี่ร้อยปี ซึ่งเกิดขึ้นในยุคที่ต้าโจวรุ่งเรืองที่สุด โดยมีชินอ๋องคนหนึ่งในราชวงศ์ต้าโจวสมัยนั้นที่ฝึกตนในระดับขั้นสอง เขาผสานเต๋ารวมกับยุทธ์แล้วบุกโจมตีเมืองหลวงเหยียน

ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ของเหยียนกั๋ว การต่อสู้ครั้งนั้นน่าสลดใจมาก ในสำนักพ่อมดมีเจ้าแห่งวัสสาน (ขั้นสอง) และปราชญ์วิญญาณ (ขั้นสาม) ตายไปอย่างละหนึ่งคน สุดท้ายต้องให้เทพอูลงมือด้วยตัวเองจึงจะสามารถสังหารชินอ๋องขั้นสองระดับสูงสุดผู้นั้นได้

ไม่ใช่ว่าการป้องกันของเมืองหลวงเหยียนนั้นใช้ไม่ได้ แต่ว่าพลังต่อสู้ของอีกฝ่ายอยู่ในจุดสูงสุดของทั่วทั้งจิ่วโจวแล้ว

ณ เมืองหลวง พระราชวัง

แม้ว่าหนู่เอ่อร์เฮ่อเจีย เจ้าครองแคว้นเหยียนกั๋วจะแก่ชราจนมีผมหงอกขาว แต่ร่างกายของเขาก็ยังคงแข็งแรงกำยำ เจ้าครองแคว้นผู้นี้มีพรสวรรค์มาก สมัยยังหนุ่มเขาเดินอยู่บนเส้นทางแห่งยุทธ์ แต่หลังจากมาถึงระดับสูงสุดของขั้นสี่ก็ไม่อาจทะลวงระดับต่อไปได้อีก

จากนั้นเขาก็เปลี่ยนมาฝึกสายพ่อมด แต่หลังจากมาถึงขั้นสี่ เขาก็ติดอยู่ที่คอขวดอีกครั้ง

การฝึกสองสายคู่กันนั้นหาได้ยากยิ่ง ไม่ใช่เพราะสายที่แตกต่างกันจะก่อให้เกิดความขัดแย้ง แต่เป็นเพราะการฝึกตนนั้นยากลำบากเหลือแสน การมุ่งไปยังระดับเดียวจึงจะทำให้เดินต่อไปได้สูงและยาวไกลยิ่งกว่า

หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียอายุเกินห้าสิบปีและหมดวาสนาจะไปสู่ขั้นสามแล้ว ไม่ว่าจะในสายยุทธ์หรือสายพ่อมดก็ตาม

แต่เขากลับไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องน่าเสียดาย ยอดฝีมือขั้นสามหายากยิ่งกว่าขนหงส์เกล็ดมังกร การฝึกไม่สำเร็จก็เป็นเรื่องปกติ แต่การฝึกสายคู่เช่นเขา แค่พลังต่อสู้เดี่ยวๆ ก็แข็งแกร่งยิ่งกว่าขั้นสี่ของสายการฝึกตนอื่นๆ แล้ว

หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียนั่งอยู่บนบัลลังก์และฟังการโต้เถียงอันดุเดือดของเหล่าขุนนาง

ขุนนางระดับสูงของเหยียนกั๋วไม่ได้หงุดหงิดหรือโกรธเคืองเพราะความแข็งแกร่งของเว่ยเยวียน พวกเขาเตรียมใจรับความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่เอาไว้แล้ว

“เว่ยเยวียนบุกยึดเมืองซวีได้แล้ว วันพรุ่งก็จะยกทัพประชิดกำแพงเมือง”

“ภายในระยะเวลาสั้นๆ เขาตีเมืองเจ็ดเมืองสำเร็จติดต่อกันได้อย่างไร”

“แคว้นของเรายังจะป้องกันได้อีกหรือ”

บรรยากาศในท้องพระโรงค่อนข้างจะเคร่งเครียด เหล่าขุนนางใหญ่แห่งเหยียนกั๋วมีสีหน้าเคร่งขรึมราวกับเผชิญกับศัตรูร้ายกาจ

ชั่วขณะนี้เอง ขุนนางชราบางคนก็ราวกับได้กลับไปในช่วงยุทธการต่อสู้ที่ด่านซานไห่ พวกเขาหวนนึกถึงความหวาดกลัวและความอับอายที่ถูกควบคุมโดยเว่ยเยวียน

“จากข่าวของหน่วยสอดแนม กำลังรบของกองทัพฟ่งมีมากที่สุดเพียงแค่ห้าหมื่น ไม่ว่าเว่ยเยวียนจะคุมกองทัพได้ราวกับเทพอย่างไร แต่แค่อาศัยทัพห้าหมื่นนายมาโจมตีเมืองหลวงก็เป็นเรื่องยากเสียยิ่งกว่ายาก”

“ตอนนี้ประชาชนทุกคนในเมืองมีใจรวมเป็นหนึ่ง ทหารพิทักษ์ อาวุธยุทโธปกรณ์ และเสบียงก็ล้วนมีมากมาย อย่างไรก็พอจะสู้กับเว่ยเยวียนได้”

“…”

หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียเหลือบมองคนข้างกายอย่างอดไม่ได้ นั่นคือชายสูงวัยสวมเสื้อและหมวกคลุมศีรษะ ที่มือถือไม้เท้าทองฝังอัญมณี หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียกล่าวอย่างเคารพว่า “ท่านราชครูอีเอ๋อร์ปู้ ท่านมีความเห็นอย่างไร”

ในสามก๊กของตะวันออกเฉียงเหนือ แต่ละแคว้นล้วนต้องมีราชครูที่เป็นปราชญ์วิญญาณขั้นสามอยู่หนึ่งคน ซึ่งปกติจะไม่เข้าร่วมงานด้านการเมืองใดๆ แต่มีสถานะสูงยิ่งกว่าเจ้าผู้ครองแคว้น เพราะพวกเขาเป็นตัวแทนของแท่นบูชาและเป็นตัวแทนของสำนักพ่อมด

อีเอ๋อร์ปู้ที่ช่วงชิงชีวิตกลับคืนมาจากฉู่โจวได้ก็เอ่ยเสียงขรึมขณะที่มือถือไม้เท้าสีทอง “คังกั๋วมีกองทัพห้าหมื่น ตอนนี้เข้ามาในเขตแดนของเหยียนกั๋วแล้ว มากสุดห้าวันก็จะมารวมกับกองกำลังของเรา”

หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียพยักหน้าครุ่นคิด “เมืองหลวงเหยียนยืนหยัดมาได้นานกว่าหนึ่งพันปีและเคยผ่านสมรภูมิมาไม่น้อย เคยพังไปเพียงครั้งเดียวเท่านั้น หากเว่ยเยวียนคิดจะโจมตีเมืองก็ไม่อาจทำได้ภายในเวลาสั้นๆ แต่สำหรับกองทัพฟ่งในตอนนี้ เวลาเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง เสบียงของพวกเขาใกล้จะหมดลงแล้ว”

ขุนนางในท้องพระโรงพยักหน้าช้าๆ

“ถึงขั้นที่ว่าขอเพียงกองทัพคังกั๋วตัดเส้นทางส่งเสบียงอาหารของพวกเขา เราก็สามารถคุ้มกันเมืองได้ และภายในสามวัน เว่ยเยวียนก็จะต้องถอยทัพกลับไป”

“สงครามในครั้งนี้ มาดูซิว่าเว่ยเยวียนจะทำเช่นไร”

สายตาของอีเอ๋อร์ปู้มองทะลุผ่านประตูท้องพระโรงไปยังท้องฟ้าสีครามด้านนอก

บุกยึดเจ็ดเมืองติดต่อกัน ตัดขาดโชคชะตาของสำนักพ่อมด ชี้ดาบมายังเทพอู…‘เว่ยเยวียน เจ้าคิดว่าตัวเองเฉลียวฉลาดไม่มีใครเกิน และคิดว่าการกระทำทุกอย่างเมื่อปีก่อนนั้นไร้ช่องโหว่ อ่า แต่เจ้าไม่รู้ว่าพวกเรากำลังรอเจ้าอยู่พอดี กำลังทหารยังไม่ถึงหนึ่งแสนก็คิดจะทำลายแท่นบูชาแล้วหรือ เป็นคนโง่ที่ฝันกลางวันหรืออย่างไร’

บนกำแพงเมืองทรุดโทรม เว่ยเยวียนสวมเสื้อคลุมสีครามเข้มและมองลงไปข้างล่าง ทหารต้าฟ่งผลักเกวียนไปยังพื้นเรียบแล้วโยนศพลงไปในหลุมลึกก่อนจุดไฟเผา

ควันหนาพวยพุ่งปะปนไปกับกลิ่นเนื้อไหม้เกรียม

ผู้ที่ถูกจุดไฟเผามีทั้งทหารของเหยียนกั๋วและประชาชนทั่วไป รวมทั้งทหารของต้าฟ่งเองด้วยเช่นกัน

ในเวลาเพียงสิบวัน กองทัพต้าฟ่งก็สูญเสียแม่ทัพนายกองและทหารไปมากกว่าสี่หมื่นนาย

เหล่าทหารนิ่งเงียบ การทำสงครามติดต่อกันมาหลายวัน ทั้งเลือดและไฟล้วนอาบทั่วร่างจนทำให้เหล่าทหารทั้งหลายนิ่งขรึมลง จิตวิญญาณห้าวหาญก็ถูกซุกซ่อนอยู่ในความเงียบสงบนั่นด้วยเช่นกัน

หนานกงเชี่ยนโหรวเดินมาข้างหลังเว่ยเยวียนแล้วเอ่ยเสียงเบา “ท่านพ่อบุญธรรม หลังจากศึกครั้งนี้ท่านก็ยากจะหนีจากเสียงก่นด่าจากประวัติศาสตร์ได้แล้วนะขอรับ”

การบุกยึดเจ็ดเมืองติดต่อกันจนมีรอยเลือดลากยาวหลายร้อยลี้นั้น ในสายตาของหนานกงเชี่ยนโหรว การสังหารทหารที่ยอมจำนนย่อมไม่ใช่เรื่องผิดบาป กองทัพต้าฟ่งคือกองทัพเดี่ยวที่จะเจาะลึกเข้าไปในท้องศัตรู หากไม่สังหาร ทหารพวกนั้นก็จะนำความลำบากมาให้

ไม่เพียงแต่ต้องระวังเรื่องการพยศของทหารที่ยอมจำนนเหล่านั้น แต่ยังมีปากท้องที่ต้องการอาหารเพิ่มขึ้นมาด้วย นั่นหมายความว่าต้องใช้เสบียงมากขึ้น

แต่การสังหารประชาชนก็ยังเป็นข้อห้ามของกองทัพ นับประสาอะไรกับการบุกโจมตีเจ็ดเมืองติดต่อกันเล่า แม้ว่าพวกเขาจะกลับไปอย่างมีชัย แต่ก็จะถูกก่นด่าโดยนักพรตเหล่านั้น

ตั้งแต่ออกศึกมา เสบียงทางฝั่งต้าฟ่งก็ไม่เคยถูกส่งมาเลย ตลอดทางจึงต้องปล้นชิงสังหาร ใช้สงครามมาหล่อเลี้ยงสงครามต่อไป และสิ่งที่ปล้นมาได้ก็คือเสบียงและอาวุธยุทโธปกรณ์ของเหยียนกั๋ว

นี่ไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่

แม่ทัพรุ่นใหม่เหล่านั้นบอกว่านี่เป็นแนวทางนำทัพแบบเฉพาะของท่านพ่อบุญธรรม หลังจากได้ลิ้มรสความหอมหวานติดต่อกันก็เริ่มตื่นเต้นเป็นอย่างมาก แต่ตอนนี้ก็เริ่มจะตระหนักได้แล้วว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง

ดังนั้นแม่ทัพรุ่นใหม่ก็เลือกที่จะถอนตัวกันแล้ว

แม่ทัพรุ่นใหม่ยังเป็นเช่นนี้ แล้วนับประสาอะไรกับคนเก่าแก่ที่ติดตามเว่ยเยวียนมาสิบยี่สิบปีอย่างหนานกงเชี่ยนโหรวพวกนี้เล่า

“จะไม่มีเสบียงแล้ว”

รอยยิ้มของเว่ยเยวียนยังคงอ่อนโยนเหมือนเคย น้ำเสียงก็ราบเรียบเช่นเดิม “เรานำเสบียงมาเท่าใดก็มีเสบียงอยู่เท่านั้น ต้าฟ่งจะไม่ให้เสบียงเราแม้แต่ข้าวเมล็ดเดียว”

“ใครกล้าตัดการส่งเสบียง” รัศมีสังหารของหนานกงเชี่ยนโหรวล้นเปี่ยม

“ทั่วทั้งต้าฟ่งยังจะมีใครอีกเล่า” เว่ยเยวียนถามกลับด้วยรอยยิ้ม

ม่านตาของหนานกงเชี่ยนโหรวหดเกร็ง

“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการโจมตีเมืองหลวงเหยียนให้ได้ในคราวเดียว จากนั้นก็เข้ายึดรังนกกางเขนแล้วใช้จุดที่อันตรายนี้มาต่อกรกับกองทัพของคังกั๋ว แล้วรวมกำลังกับจิงโจว เซียงโจว อวี้โจวเพื่อเข้าล้อมกองทัพคังกั๋ว แต่น่าเสียดายที่เมืองหลวงเหยียนเป็นกระดูกที่แข็งจนยากจะกัดให้แหลก พวกเรากัดไม่ไหว ดังนั้นข้าจะย้ายกองทัพจากสามโจวไปที่อื่น”

สีหน้าของเว่ยเยวียนไม่เปลี่ยน เขามองดูเปลวไฟที่กำลังลุกไหม้ไล้เลียกองศพ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “พรุ่งนี้เคลื่อนทัพใหญ่เข้าใกล้อีกห้าสิบลี้ เผชิญหน้ากับเมืองหลวงเหยียนสามวัน หลังจากสามวัน เจ้าพาทหารม้าหนักหนึ่งหมื่นจากไป คนอื่นไม่ต้องไปสนใจ พวกเขาต้องรั้งอยู่ที่นี่”

พูดพลาง เขาก็หยิบถุงเล็กๆ สองถุงออกมาจากอกเสื้อ ถุงหนึ่งสีม่วง อีกถุงสีแดง

“หลังจากสามวัน ให้เปิดถุงสีม่วง มันจะบอกเจ้าว่าต้องไปที่ใด เมื่อไปถึงที่หมายแล้วให้เปิดถุงสีแดง มันจะบอกว่าต่อไปเจ้าต้องทำอะไร”

ในช่วงพระอาทิตย์ตก สวี่ซินเหนียนสั่งให้ทหารเผาซากศพและผ่าซากม้า พวกเขาเพิ่งจะรบชนะศึกเล็กๆ มาได้

กวาดล้างทัพศัตรูแปดร้อย สูญเสียไปหนึ่งพัน นี่ถือเป็นชัยชนะที่น่าพึงพอใจมากแล้ว

ตั้งแต่การโจมตีในคืนนั้นก็ผ่านมาได้หลายวันแล้ว การโจมตีครั้งใหญ่ได้กวาดล้างกองทัพทั้งสามของเผ่าปีศาจ เผ่าอานารยชน และต้าฟ่งไปมากมาย

กองทัพจิ้งกั๋วตัดสินใจเด็ดขาด พวกเขาแบ่งทัพแล้วไล่ตามมา!

ช่วงไม่กี่วันนี้ สวี่ซินเหนียนตระหนักได้อย่างลึกซึ้งถึงความโหดร้ายของสงครามและได้เห็นถึงความองอาจห้าวหาญของทัพเกราะไฟกับตา ยิ่งไปกว่านั้นยังได้เห็นความน่าสะพรึงที่พ่อมดปลุกศพคืนวิญญาณอีกด้วย

มีทหารม้าหนักและพ่อมดผู้สามารถควบคุมศพอยู่ ทัพต้าฟ่งก็ได้แต่ต้องใช้ชีวิตตนเข้าสู่เพื่อชัยชนะเท่านั้น

ตอนที่ทัพพันธมิตรแตกซ่าน ข้างกายสวี่ซินเหนียนและฉู่หยวนเจิ่นมีทหารต้าฟ่งเพียงหกร้อยนาย เมื่อหลายวันผ่านไป พวกเขาก็ได้รวบรวมทหารที่หลงเหลือระหว่างทาง จนจำนวนเพิ่มขึ้นมาถึงหนึ่งพันเจ็ดร้อยนาย

แต่ตอนนี้เหลือเพียงเจ็ดร้อยเท่านั้น

หลังจากเผาศพเสร็จเรียบร้อย สวี่ซินเหนียนก็ส่งคนออกไปลาดตระเวนและสั่งให้ทหารเตรียมหม้อต้มเพื่อปรุงเนื้อม้าทันที

ทหารแล่เนื้อม้าอย่างชำนาญ และจากนั้นหลายคนรวมพลังกันกวัดแกว่งกระบี่ที่เพิ่งฆ่าคนมาสับเนื้อม้าให้เป็นชิ้นๆ แล้วต้มในหม้อ

นี่คือวิธีที่สวี่ซินเหนียนคิดขึ้นมา ถึงแม้เนื้อม้าจะหยาบและแข็ง มีรสชาติแย่มาก ทั้งยังย่อยยาก กินเป็นครั้งคราวพอได้ แต่กินเนื้อม้าติดต่อกันสองสามวัน ท้องของพวกทหารคงรับไม่ไหว

จะถ่ายก็คงถ่ายไม่ออก

ดังนั้นสวี่ซินเหนียนจึงแนะนำให้สับเนื้อม้าก่อนแล้วต้มในหม้อ จากนั้นค่อยเพิ่มรสชาติเพื่อให้ง่ายต่อการย่อย

“หากไม่มีพี่ฉู่ พวกเราคงตายเพิ่มอีกหลายร้อยคนแน่ถึงจะได้กินของของศัตรูเช่นนี้”

สวี่ซินเหนียนเดินไปข้างกายฉู่หยวนเจิ่นแล้วถอดถุงน้ำส่งไปให้

ฉู่หยวนเจิ่นดื่มไปครึ่งถุงแล้วพูดด้วยรอยยิ้มโดดเดี่ยว

“ตอนข้ายังเด็กเคยเรียนตำราสงครามมาสองสามเล่ม แล้วคิดว่าตนเป็นยอดอัจฉริยะผู้นำทัพต่อสู้ศัตรู ตอนนี้เมื่ออยู่ในสนามรบถึงได้รู้ว่าตนไม่ใช่แบบนั้นแม้แต่นิด แต่กลับเป็นเจ้า เจ้าเติบโตรวดเร็ว ทหารกลุ่มนี้มีคนใดบ้างที่ไม่เห็นด้วยกับเจ้า”

สวี่ซินเหนียนยิ้ม “แต่ละคนก็มีความถนัดต่างกันไป หากข้าไม่ได้มีพรสวรรค์เช่นนี้ อาจารย์ก็คงไม่บอกให้ข้าเรียนตำราพิชัยสงครามเป็นหลักหรอก ข้ากลับเข้าใจดีว่าในสนามรบนั้น ยามที่ใช้กลยุทธ์กลับน้อยนัก เวลาส่วนใหญ่ล้วนต้องอาศัยกำลังทหารเข้าฟาดฟัน นักรบและยุทโธปกรณ์ต่างหากที่มีบทบาทสำคัญ น่าเสียดายที่นำปืนใหญ่มาแค่สามกระบอกและหน้าไม้ทหารแค่หกคัน”

หากเป็นสวี่เอ้อร์หลางก่อนที่จะเข้าสู่สนามรบ ตอนนี้ควรจะเชิดหน้าขึ้นและมีสีหน้าหยิ่งผยอง แต่เขากลับพูดจาสุภาพเจียมเนื้อเจียมตัวเช่นนี้ออกมาได้…ฉู่หยวนเจิ่นถอนหายใจอีกครั้ง

ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่ หน่วยสอดแนมก็ควบม้าเข้ามาเอ่ยเสียงดังว่า “สวี่เชียนซื่อ เราพบทหารเหลือรอดกลุ่มหนึ่ง มีสามสิบคนขอรับ”

ไม่มีเสียงเป่าแตร แสดงว่าเป็นกองทัพต้าฟ่งและเป็นคนของตนเอง

สวี่ซินเหนียนและฉู่หยวนเจิ่นลุกขึ้นยืน สวี่ซินเหนียนเอ่ยขึ้น “ให้พวกเขาเข้ามา”

พูดจบก็หันไปยิ้มขมขื่นกับฉู่หยวนเจิ่น “ยังดีที่คนไม่เยอะนัก เสบียงยังพอเก็บไว้ได้”

ไม่นาน หน่วยสอดแนมก็มาพร้อมกับทหารที่เหลือรอดสามสิบนาย ทั้งยังมีปืนใหญ่หนึ่งกระบอกและกระสุนอีกหลายสิบนัด

ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ฝุ่นผงเขรอะเต็มหน้า ตามเกราะและร่างกายก็มีบาดแผลและรอยคมดาบอยู่เต็มไปหมด

ดูเหมือนพวกเขาเพิ่งจะผ่านสงครามมาไม่นาน

เมื่อมองไปที่หม้อเหล็กนึ่งและได้กลิ่นของเนื้อต้ม ทหารราบสองร้อยนายก็กลืนน้ำลาย

สวี่ซินเหนียนเดินเข้าไปหา “ใครมีตำแหน่งสูงสุด เดินขึ้นมาพูด”

ชายฉกรรจ์มีหนวดอายุราวๆ สี่สิบกอบหมัดเอ่ย “ข้าน้อยเจ้าพานอี้ นายกองธงจากกองร้อยอำเภอซีแห่งยงโจวขอรับ”

สวี่ซินเหนียนพยักหน้า “ข้าคือเชียนซื่อผู้ได้รับบัญชาเป็นตัวแทนจากเมืองหลวง ซู่จี๋ซื่อของสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน สวี่ซินเหนียน”

เมื่อเจ้าพานอี้ได้ยินดังนั้นก็หน้าเปลี่ยนสี เขาจ้องสวี่ซินเหนียนเขม็งแล้วแค่นเสียงใส่ก่อนหันกายเดินจากไป

สวี่ซินเหนียนตะลึงไปชั่วขณะ สีหน้าดูงุนงงและขมวดคิ้วมุ่น “นายกองธงเจ้ารอก่อน ข้ารู้จักเจ้าด้วยหรือ”

“ไม่รู้จัก!” เจ้าพานอี้เอ่ยเสียงทุ้ม

‘ไม่รู้จักหรือ ข้ายังคิดว่าตัวเองไปขโมยสะใภ้ของเจ้ามาโดยไม่รู้ตัวเสียอีก…’ สวี่ซินเหนียนบ่นในใจ หัวคิ้วขมวดแน่นกว่าเดิม

“ในเมื่อไม่รู้จัก เช่นนี้ท่าทีของนายกองธงคืออะไร”

“พูดจาฉะฉานมีอารยะดีจริงๆ สมกับเป็นปัญญาชน เจ้าสุนัขสวี่ผิงจื้อกลับให้กำเนิดเมล็ดพันธุ์แห่งบัณฑิตเสียได้ ได้ยินมานานแล้วว่าญาติผู้น้องของฆ้องเงินสวี่ก็อยู่ในกองทัพด้วย นึกไม่ถึงว่าวันนี้จะได้มาพบกัน” เจ้าพานอี้แค่นเสียงหยัน

“ข้าไม่รู้จักเจ้า แต่ข้ารู้จักบิดาของเจ้า เมื่อครั้งที่เกิดยุทธการด่านซานไห่ พวกเราเคยเป็นพี่น้องกัน”

‘ท่าทางแบบนี้เรียกพี่น้องหรือ?’ สวี่เอ้อร์หลางตกใจ

“นายกองธงกับบิดาข้ามีความแค้นกันหรือ”

“ไม่มีความแค้นอะไรหรอก เพียงแต่ข้าไม่ชอบพวกเนรคุณอย่างเขา”

เจ้าพานอี้สบถ ‘เฮอะ’ ออกมาแล้วกล่าวต่อ

“เมื่อครั้งยุทธการด่านซานไห่ ข้ากับสวี่ผิงจื้ออยู่กองเดียวกัน ตอนนั้นยังมีอีกคนด้วย เขาชื่อโจวเปียว เราสามคนมีความสัมพันธ์ไม่เลวเลย เป็นพี่น้องที่สามารถไว้ใจกันและกันได้

“ช่วงท้ายของยุทธการด่านซานไห่ พวกเราถูกส่งไปต้านกองทัพทหารศพของสำนักพ่อมด ระหว่างที่ต่อสู้อยู่ โจวเปียวก็เข้าไปรับดาบแทนบิดาของเจ้าแล้วตายอยู่ในสมรภูมิครั้งนั้น ตอนนั้นสวี่ผิงจื้อสาบานว่าจะพาแม่ชราของโจวเปียวกลับไปดูแลที่เมืองหลวง และจะสนับสนุนเลี้ยงดูบุตรทั้งสองของเขาให้ได้ดี

มารดามันเถอะ หลังจากนั้นข้าถึงได้รู้ว่า เจ้าคนเนรคุณผู้นี้ไม่เคยไปรับคนที่บ้านโจวเปียวเลย บิดาเป็นสุนัข แล้วลูกของมันจะเป็นคนดีได้อย่างไร ล้วนมีแต่พวกชาติพันธุ์เลวทราม ข้าเจ้าพานอี้คนนี้ต่อให้อดตายในสนามรบ ก็จะไม่กินไม่ดื่มของเจ้าสักคำ ฮึ!”

……………………………………….

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท